Skip to content

A World Worth Protecting 170

บทที่ 170 ปราการลำดับเจ็ด

ตอนนี้มีสัตว์อสูรดุร้ายฝูงใหญ่เหินเวหาเป็นหมู่ขบวนเห็นเด่นชัดในแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ เคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สมบัติเวทภายนอกปราการจัดการพวกมันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่สัตว์อสูรเหล่านั้นจะเข้ามาใกล้ บรรดาทวนปลายแหลม          และปืนใหญ่ปลดปล่อยลำแสงเจิดจ้าคำรามก้อง สังหารสิ่งมีชีวิตพวกนั้นอย่างไร้   ความปรานี

สัตว์อสูรบินสายฟ้าไม่อาจหลีกหนีได้พ้น พวกมันตายในฉับพลัน เสียงร้องโหยหวนของก่อนตายของพวกมันสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับทุกคนที่ได้ยิน

กระนั้นนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนในป้อมปราการนั้นกลับเอาแต่ง่วนอยู่กับหน้าที่ของตน ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทุกวัน ไม่ได้แปลกใหม่แต่อย่างใด

ที่แห่งนั้นคือป้อมปราการด่านหน้าที่ปกปักษ์สหพันธรัฐอยู่ รู้จักกันในนาม    ประตูหลวงลำดับเจ็ด!

ป้อมปราการด่านหน้าทั้งเจ็ดแห่งกระจายตัวอยู่ทั่วสหพันธรัฐ ในแต่ละพื้นที่ที่อยู่ในความคุ้มครองของป้อมปราการด่านหน้านี้ก็จะมีป้อมปราการขนาดย่อมย่อยลงมานับร้อยแห่ง

มีกองทหารประจำการอยู่ในปราการเหล่านี้ตลอดทั้งปี เพื่อปกป้องสหพันธรัฐจากสัตว์อสูรที่เข้ามาใกล้และเพื่อป้องกันเหตุอสูรหลั่งไหลขนาดย่อมที่เกิดขึ้นเป็นระยะ

ในปราการด่านหน้าแต่ละแห่ง จะมีแม่ทัพคอยควบคุมดูแลอยู่ แม่ทัพแต่ละนาย   มีหน้าที่รับผิดชอบและมอบหมายภารกิจไปยังป้อมปราการขนาดย่อมกว่าร้อยแห่งในพื้นที่ที่ดูแลอยู่ ภารกิจที่ว่าคือการพิทักษ์เมืองจากสัตว์อสูร

ภายในประตูหลวงลำดับเจ็ด บัดนี้แม่ทัพโจว ผู้เคยเป็นสักขีพยานในการประลองของตำหนักการยุทธ์เคียงข้างโจวลู่ กำลังยืนตระหง่านอยู่บนยอดหอคอย เขายกมือไพล่หลัง สายตาจับจ้องไปยังป่าดงดิบที่ไกลออกไป แม่ทัพโจวยืนอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน นัยน์ตาเขาฉายแววกังวล

“สหพันธรัฐทำนายไว้ว่าเหตุอสูรหลั่งไหลที่กำลังจะมาถึงจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก…      แต่เหตุใดข้ากลับไม่อาจสลัดความรู้สึกวิตกกังวลนี้ออกไปจากใจได้เลยตลอดหลายวันมานี้” แม่ทัพโจวหน้าบึ้งตึงพลางพึมพำกับตนเอง จากนั้นเขาจึงหันไปตะโกนสั่งการ

“ติดต่อไปที่สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ให้เพิ่มจำนวนศิษย์ที่จะมาช่วยงานพวกเราในปีนี้!”

คำสั่งของแม่ทัพโจวได้รับมอบหมายต่อไปยังสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าในไม่ช้า คำสั่งแบบเดียวกันจากปราการอื่นๆ ก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน

ตอนที่สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเริ่มเตรียมการกัน หวังเป่าเล่อก็จบการทดลองยุง  ของเขาอย่างเปี่ยมสุขพอดี ชายหนุ่มครวญเพลงเบาๆ ขณะเดินทอดน่องกลับถ้ำที่พัก เขามองเห็นถ้ำที่พักของตัวเองอยู่ไกลออกไป แต่ดันเกิดเหตุบางอย่างขึ้นเสียก่อน

ทันใดนั้น เชือกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากที่ใดไม่รู้ มันไม่ได้เหวี่ยงเข้าใส่ร่างของหวังเป่าเล่อ แต่กลับเหวี่ยงไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างกายเขาแทน เชือกเส้นนั้นพันรอบ     ลำต้นของมัน ก่อนรัดแน่นจนตึงไปทั้งเส้น

“นั่นใครน่ะ!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ร่างของเขาขยับออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยสัญชาตญาณ เพียงโบกมืออย่างรวดเร็วแค่ครั้งเดียว ยุงทั้งเก้าตัวก็ปรากฏขึ้น ถุงมือชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นสวมมือข้างขวาของเขา ม่านหมอกจางๆ ปกคลุมมือข้างซ้าย ชายหนุ่มเพ่งมองอย่างระมัดระวังไปยังทิศทางที่เชือกลอยมา

เขาจ้องมองอยู่นานและไม่อาจจะหยุดความกังวลที่ผุดขึ้นในใจราวกับดอกเห็ด    ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ หวังเป่าเล่อหันหลังไปดูเชือกที่มันต้นไม้ยักษ์อยู่อย่างแน่นด้วยความตกตะลึง มันเป็นวัตถุทั่วไปที่พบเห็นได้ในบรรดาวัตถุเวทบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง หวังเป่าเล่อจำมันไม่ได้ในทีแรก แต่ทว่าหลังจากจ้องมองอยู่หลายครา      ดวงตาเขาก็เบิกโพลง

“ของจริงหรือนี่”

หวังเป่าเล่อขยับเข้าไปข้างหน้าเพื่อดูให้ชัด ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงผนึกของตนเองที่ซ่อนอยู่ภายในเชือกเส้นนั้น นัยน์ตาหรี่ลงทันที

“ใช่จริงๆ ด้วย…” หวังเป่าเล่อไม่อยากเชื่อสายตา เจ้านี่คือเชือกวัตถุเวทที่เขาลองผสานเข้ากับทรายอาวุธเมื่อหลายเดือนก่อน เส้นที่เขาเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศและหายลับไปอย่างไร้ร่องรอยนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อเกือบจะลืมมันไปเสียแล้ว ใครจะไปคิดว่ามันจะหาทางกลับมาได้เองหลังจากผ่านไปหลายเดือน

เชือกเส้นนี้ขัดข้องเอาเรื่องเลยทีเดียว…หวังเป่าเล่อทอดถอนใจและปลดเชือกออกมาเก็บไว้ เขาตั้งใจจะนำไปตรวจสอบดูอีกครั้งเมื่อกลับถึงถ้ำที่พัก ว่ายังพอจะซ่อมมันได้รึเปล่า

หากซ่อมไม่ได้ เชือกเส้นนี้ก็เป็นเพียงขยะเท่านั้นเอง วัตถุเวทที่โยนใส่ศัตรูแต่กลับอันตรธานหายลับขึ้นฟ้าไป แล้วโผล่มาใหม่ในอีกหลายเดือนให้หลัง ไม่ว่าจะทรงอานุภาพเพียงใดก็ถือว่าออกฤทธิ์ช้าเกินกาลไปสักหน่อย

ไหนจะคำถามที่ว่ามันหายไปไหนมาตลอดหลายเดือนนี้อีก…เป็นอะไรที่หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจจะคาดเดาได้

หวังเป่าเล่อคิดฟุ้งซ่านอยู่อย่างนั้น พลางเก็บเชือกลงไปในกระเป๋าเก็บของแล้วกลับถ้ำที่พัก เมื่อมาถึงเขาก็รุดหน้าต่อไปยังห้องเตาหลอมทันที หลังจากใช้เวลาศึกษาไปหลายชั่วโมง เขาก็กลับออกมาจากห้องนั้น ก่อนถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย เชือกเส้นนี้เป็นปริศนาที่ไขเท่าใดก็ไขไม่ออกจริงๆ

หลังจากตรวจดูโดยละเอียดก็พบว่า ตัวอักขระที่จารึกลงไปบนเชือกนั้นเปลี่ยนแปลงไปจนหมด อักขราจารึกเหล่านั้นไหลมารวมกันจนยุ่งเหยิง เส้นสาย     ทับซ้อนกันจนอ่านไม่ออก ทำให้เขาจนปัญญาที่จะศึกษามันต่อไปได้

เขาทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากเก็บเชือกไว้ในกล่อง ไว้ค่อยกลับมาดูมันใหม่      เมื่อชำนาญเรื่องวัตถุเวทมากกว่านี้

คงต้องปล่อยวางเรื่องเชือกไปก่อน ตอนนี้เมื่อข้าบรรลุเงื่อนไขพื้นฐานของการเป็นองครักษ์อาวุธเวทแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ…การทำความคุ้นเคยกับการหลอมสมบัติเวทระดับสาม และเตรียมสมบัติเวทเพื่อนำไปทดสอบเลื่อนขั้น!

หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย หวังเป่าเล่อก็ทรุดตัวลงนั่งและเปิดตำราสมบัติเวท เขาไล่ไปตามรายชื่อ สายตาไปหยุดอยู่ตรงสมบัติเวทระดับสามที่มีชื่อเรียกว่า       เขี้ยวมังกร

ในบรรดาสมบัติเวทระดับสามทั้งหลาย เขี้ยวมังกรถือว่าเป็นสมบัติเวทอันดับต้นๆ การหลอมมันขึ้นมาท้าทายยิ่ง ไม่เพียงแต่อักขราจารึกที่ใช้จะซับซ้อน แต่วัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการหลอมก็หายากเป็นอย่างยิ่ง นอกจากโลหะและอัญมณีทั้งหลายแล้ว ยังจำเป็นจะต้องใช้เขี้ยวสัตว์อสูรจำนวนมากที่ได้มาจากการปราบสัตว์ปีศาจอีกด้วย

ตำราสมบัติเวทยังมีหมายเหตุระบุไว้อีกด้วยว่า ยิ่งใช้เขี้ยวสัตว์อสูรจำนวนมากเท่าใด สมบัติเวทที่หลอมได้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

โดยหลักการแล้ว หากใครสามารถดำลงถึงใต้ท้องทะเลระดับลึกเกินหยั่งถึง ปลิดชีพสัตว์อสูรดุร้ายที่เพิ่งมีผู้ค้นพบในยุคกำเนิดวิญญาณอย่างมังกรทะเล และเอาเขี้ยวของมันมาหลอมได้สำเร็จ สมบัติเวทที่ได้จะมีพลังเทียบเท่าสมบัติเวทระดับห้าเลยทีเดียว!

หลักการเดียวกันสามารถใช้ได้กับเขี้ยวของสัตว์อสูรที่น่ากลัวและดุร้ายกว่ามังกรทะเล ด้วยเขี้ยวของพวกมันพลังของสมบัติเวทนี้จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ!

สมบัติเวทชิ้นนี้หน้าตาเหมือนคทาเลย หวังเป่าเล่อจ้องรูปของเขี้ยวมังกรในตำราวัตถุเวทอย่างชั่งใจ เขายังสองจิตสองใจอยู่เล็กน้อย

หลังจากที่ได้ลองศึกษาสมบัติเวทชิ้นอื่นในคู่มือดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็ได้ข้อสรุปว่าหากต้องการให้การสอบเลื่อนขั้นผ่านไปได้อย่างราบรื่น การหลอมวัตถุเวทเขี้ยวมังกรจะรับประกันเขาได้ดีที่สุด

เขี้ยวสัตว์อสูรมีขายที่ตำหนักอาวุธเวท แต่มีไม่มากนัก แถมตัวเลือกก็จำกัด     แถมเจ้าเขี้ยวมังกรนี่ยังต้องใช้แก่นเขี้ยวในการหลอมอีกต่างหาก…ข้าจะเอาเขี้ยวตัวอะไรมาทำแก่นเขี้ยวดีเล่า หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ในใจนึกไปถึงภาพวานรเพชรที่         ยิ้มแสยะมาทางเขา

เขี้ยวเจ้าลิงโง่นั่นขาวชะมัด แถมยังดูสุขภาพดี หากข้าได้เขี้ยวมันมาสักอันหนึ่งและเอามาทำวัตถุดิบหลักละก็สมบัติเวทของข้าน่าจะออกมาทรงพลังเลยทีเดียว

ความปรารถนานั้นช่างเย้ายวนใจ แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะ  ทำสำเร็จ อย่าว่าแต่จะสำเร็จรึเปล่าเลย ต่อให้เขาทำสำเร็จจริงและเอาเขี้ยวของมัน  มาได้ ชายหนุ่มก็คงไม่กล้าเอาเขี้ยวออกมาเปิดเผยให้คนอื่นเห็นแน่นอน                 แม้จะเสียดายอยู่บ้าง แต่หวังเป่าเล่อก็คิดว่าควรมองหาเป้าหมายอื่นแทน

แม้ว่าตำหนักอาวุธเวทจะมีเขี้ยวสัตว์อสูรขาย แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อโพสต์ขอรับซื้อเขี้ยวสัตว์อสูรบนเครือข่ายวิญญาณ เขาก็ยังคงได้รับความสนใจมากมายจากสานุศิษย์บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง  ศิษย์ส่วนมากที่มาตอบเป็นสานุศิษย์จาก    ตำหนักการยุทธ์ พวกเขามีเขี้ยวอสูรไว้ในครอบครองจำนวนมาก หลังจากกวาดตาสำรวจอยู่ระยะหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็เจอเข้ากับเขี้ยวของหมาป่าพิฆาตดัชนี ที่จะมาเป็นแก่นเขี้ยวในสมบัติเวทที่เขากำลังจะหลอมครั้งนี้

หมาป่าพิฆาตดัชนีเดินทางและอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นฝูง ตัวโตเต็มวัยอาจแข็งแกร่งเท่าผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สองหรือขั้นที่สามเลยด้วยซ้ำ นอกจากนิสัย   ดุร้ายแล้วหน้าตาของมันยังชวนขยะแขยง กระดูกอ่อนรูปทรงคล้ายนิ้วมือมนุษย์งอกขึ้นมาทั่วร่างของหมาป่าพันธุ์นี้

สำหรับผู้ที่เพิ่งเคยพบหมาป่าพิฆาตดัชนีเป็นครั้งแรก แค่เพียงได้เห็นจากไกลๆ    ก็เพียงพอที่จะทำให้ขนลุกชันไปทั้งสรรพางค์กายได้เลยทีเดียว

เขี้ยวของพวกมันคมกริบแถมยังมีพิษ หวังเป่าเล่อใช้ศิลาวิญญาณไปไม่น้อยในการซื้อมา หลังจากที่ศึกษามันอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ทั้งประทับใจทั้งสะพรึงกลัว   อย่างอดไม่ได้ เขาเชื่อแล้วว่าการเลือกเอาเขี้ยวของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มาเป็นแก่นเขี้ยวของสมบัติเวทที่จะหลอมนั้นเป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

ยังไม่ทันที่เขาจะเลือกซื้อเขี้ยวสัตว์อสูรชนิดอื่นต่อไป ก็มีข่าวหนึ่งปรากฏขึ้นในเครือข่ายวิญญาณ แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงราวกับไฟลามทุ่ง

“เหตุอสูรหลั่งไหลกำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว! ข้าคิดว่าอีกไม่นานพวกเราคงถูก    เรียกตัวไปต่อสู้เป็นแน่!”

“พวกสัตว์อสูรบัดซบ! ไม่เพียงแต่พวกเจ้าแย่งเอาปราณวิญญาณไปจากเรา พัฒนาเร็วกว่าเราแบบไม่เห็นฝุ่น พวกเจ้ายังจะบุกรุกดินแดนของพวกเราทุกๆ ปี     อีกหรือ!”

“ใครสนกันเล่า พวกเราเป็นผู้กำชัยในสงครามอสูรนะ! แถมยังฆ่าพวกมันเสีย   จนเหี้ยนเลยในเหตุอสูรหลั่งไหลทุกครั้งหลังจากนั้น!”

ข่าวที่แพร่สะพัดออกไปนี้ทำให้ศิษย์หน้าใหม่หลายคนตกใจไม่น้อย เพราะพวกเขา     ไม่เคยได้ยินข่าวเช่นนี้มาก่อนเมื่อครั้งอยู่ที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ข่าวที่พวกเขาได้รับรู้นั้นเพียงผิวเผินและจำกัดจำเขี่ยเป็นอย่างยิ่ง

ขณะนี้ เมื่อมาอยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้ว พวกเขาเริ่มเข้าใจความเป็นไปของโลกและความน่าสะพรึงกลัวของสัตว์อสูรดุร้ายเหล่านี้มากขึ้น ข่าวลือยังคงแพร่กระจายออกไป หวังเป่าเล่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ข้อมูลอีกมากมายไหลบ่า     เข้ามาในเครือข่ายวิญญาณไม่หยุดหย่อน

หวังเป่าเล่อหยุดซื้อของชั่วคราว แล้วหันมาสนใจอ่านข่าวเหตุอสูรหลั่งไหลแทน เขาอ่านบทความหลายชิ้นและโพสต์บนเครือข่ายวิญญาณอีกจำนวนหนึ่งซึ่งช่วยยืนยันสิ่งที่เขาพอรู้มาบ้าง ในสหพันธรัฐมีแม่ทัพทั้งสิ้นเจ็ดคน ในสงครามสัตว์อสูร แม่ทัพ   ทั้งเจ็ดได้แผ่ขยายอาณาเขตของสหพันธรัฐออกไป เข้าใกล้เส้นเขตแดนของดินแดน   ดึกดำบรรพ์ภายนอกนั้นเข้าไปทุกที และในที่สุดพวกเขาก็ก่อตั้งปราการทั้งเจ็ดขึ้นมา!

ปราการด่านหน้าแต่ละแห่งมีปราการเล็กๆ รายล้อมอยู่นับร้อย คอยปกป้องและกำจัดสัตว์อสูรที่รุกล้ำเข้ามา สำหรับปราการทั้งหลายในสหพันธรัฐแล้ว เหตุอสูรหลั่งไหลช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิถือเป็นฤดูแห่งสงครามโดยแท้จริง

สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเป็นสถาบันอันสูงส่ง จึงจำเป็นจะต้องแบกรับหน้าที่นี้ด้วยส่วนหนึ่ง ในทุกๆ ปี สำนักมหาปราชญ์ชั้นสูงของแต่ละสำนักศึกษาจะต้องส่งสานุศิษย์จำนวนมากไปช่วยเหลือที่ปราการด่านหน้าทั้งเจ็ด บรรดาศิษย์จำนวนมากต้องปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพ การช่วยเหลือในการกำจัดสัตว์อสูรนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของฝึกตนเช่นกัน

ศิษย์ตำหนักการยุทธ์เข่นฆ่า ศิษย์ตำหนักหลอมโอสถรักษา ศิษย์ตำหนัก           วงแหวนปราณคอยหลอมวงแหวนปราณเกื้อหนุน ศิษย์จากแต่ละตำหนัก ก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบแตกต่างกันออกไป ในส่วนของศิษย์ตำหนักอาวุธเวทนั้น มีหน้าที่ซ่อมแซมและบูรณะสมบัติเวทที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะสมบัติเวทประกอบส่วนขนาดใหญ่ที่อารักขาป้อมปราการอยู่

บรรดาศิษย์ทุกคนที่เดินทางไปช่วยงานยังปราการเหล่านั้นจะต้องเสี่ยงตาย    หากรอดกลับมาได้ พวกเขาจะได้รับการตอบแทนด้วยถ้อยคำสรรเสริญและบำเหน็จรางวัลจากสำนักศึกษา ทั้งยังมีการบันทึกความดีความชอบนี้เอาไว้ในเอกสารประวัติการศึกษา เมื่อได้ดำรงตำแหน่งในสหพันธรัฐภายภาคหน้า ประวัติข้อนี้ก็จะช่วยเป็นใบเบิกทางชั้นดี

ข่าวเรื่องเหตุอสูรหลั่งไหลแพร่สะพัดออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนั้นเองที่          หวังเป่าเล่อได้รับจดหมายทางการของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มอบหมายให้เขา    ร่วมเดินทางกับเฉินอวี่ถง มุ่งหน้าไปยังปราการลำดับที่เจ็ดทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version