บทที่ 171 อยากเป็นแม่ทัพ ต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
หลังจากจดหมายส่งมาถึงมือหวังเป่าเล่อ ก็มีข้อความเสียงของเฉินอวี่ถงตามมาแทบจะติดๆ กัน
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ เจ้าน่าจะได้รับจดหมายแล้ว เราจะเดินทางไปที่ปราการลำดับเจ็ดเพื่อช่วยซ่อมแซมและบูรณะสมบัติเวทประกอบส่วนด้วยกัน ศิษย์ตำหนักอาวุธเวทแทบทุกคนโดนส่งไปตามปราการด่านหน้าแต่ละแห่งแล้ว มีผู้ร่วมเดินทางไปกับเราอีกสองถึงสามคน คือเจ้า โจวเผิงไห่ และคนที่ชื่อซุนฟาง พวกเจ้าจะอยู่กลุ่มเดียวกับข้า
“สหพันธรัฐมียอดแม่ทัพเจ็ดคน แม่ทัพที่ประจำการอยู่ ณ ป้อมปราการลำดับเจ็ด คือ โจวเต๋อสี่ ศิษย์น้องเป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำแหน่งแม่ทัพแลกมาด้วยอะไร ก็ด้วยปราการด่านหน้า อาวุธเวทระดับเก้า และพิชิตดินแดนใหม่เพื่อมนุษยชาติอย่างไรเล่า ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดเลยทีเดียว!”
น้ำเสียงเฉินอวี่ถงตื่นเต้นเป็นล้นพ้น เหมือนเขาระริกระรี้อยากจะร่วมภารกิจสนับสนุนเพื่อชัยชนะสงครามเต็มแก่
“ถ้าอยากจะขึ้นเป็นแม่ทัพ ก็ต้องกวาดล้างเผ่าพันธุ์ทั้งเผ่าให้หมดไป! กำจัดอสูรสายพันธุ์ใดก็ได้จากยี่สิบอันดับแรกในตำราอสูร เพียงกำจัดให้สาบสูญสิ้นไปทั้ง วงศ์วาน แล้วจะได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพอันทรงเกียรติทันที!
“เวลามีแม่ทัพคนใหม่ปรากฏตัว สหพันธรัฐจะประกาศสงครามขยายดินแดนกับเขตแดนป่าที่พวกอสูรอาศัยกันอยู่ แล้วสร้างปราการด่านหน้าขึ้นบนพื้นที่ที่เพิ่งยึดได้ ก่อนจุดสัญญาณควันนิรันดร์กาลให้อสูรพวกนั้นหวาดกลัวไปถึงกระดูกดำ!
“สัญญาณควันนิรันดร์กาลถือเป็นอาวุธเวทระดับเก้า สหพันธรัฐจะเรียกรวมพลนักหลอมอาวุธเวทระดับหัวกะทิที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้หลอมมันขึ้นมาจากโลหิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ที่ถูกกวาดล้างจนสาปสูญไปแล้ว!
“ข้าหลงใหลในการหลอมหุ่นเชิดให้มีชีวิต แต่ข้าฝันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว…ว่าข้าอยากทำลายเผ่าอสูรให้ราบคาบ ขึ้นเป็นยอดแม่ทัพ ก่อตั้งปราการด่านหน้าลำดับ ที่แปดของสหพันธรัฐ และจุดสัญญาณควันนิรันดร์กาลเป็นครั้งที่แปดให้จงได้!”
ถ้อยคำของเฉินอวี่ถงตอนเล่าถึงความฝันหนักแน่นฮึกเหิมจนแทบจะกลายเป็นเพ้อ เขายังพูดต่อไปอย่างตื่นเต้นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะปิดท้ายข้อความเสียงด้วยการนัดหมายกำหนดการออกเดินทาง
หวังเป่าเล่อเก็บแหวนสื่อสารแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเขานิ่งตึง ขณะกำลังทำความเข้าใจสิ่งที่เฉินอวี่ถงบอก
หวังเป่าเล่อเป็นคนระมัดระวังตัว แต่ไม่ใช่คนขี้ขลาด เขาโกรธง่ายและมักใช้ ความรุนแรง มักใช้พละกำลังแก้ปัญหาถึงขั้นเรียกได้ว่าดุร้าย เขาเข้าใจว่าภัยร้ายจากอสูรเป็นเหมือนคมดาบเงื้อเหนือหัวสหพันธรัฐ หลายคนเชื่อว่าสงครามอสูรครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องตำแหน่งแม่ทัพหรือสัญญาณควันนิรันดร์กาล…หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า ทั้งสองอย่างไม่ใช่เป้าหมายปลายทางของตน เพราะความฝันของเขาคือ เป็นผู้นำของสหพันธรัฐต่างหาก!
ถ้ากำจัดอสูรทั้งเผ่าทำให้ได้เป็นแม่ทัพ เช่นนั้นถ้าจะเป็นผู้นำของสหพันธรัฐ เห็นทีข้าคงต้องกำจัดอสูรอย่างน้อยสักสิบเผ่าพันธุ์ ขยายดินแดนของเราออกไป แล้วสร้างปราการด่านหน้าอีกสักสิบแห่ง จุดสัญญาณควันนิรันดร์กาลอีกสักสิบจุด หาไม่แล้วข้าคงไม่มีปัญญาควบคุมพวกแม่ทัพเหล่านั้นได้แน่นอน
ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ประกายมุ่งมั่นจุดโชนในดวงตา เขากระตือรือร้นอยากเถลิงอำนาจพอๆ กับเฉินอวี่ถังแล้ว
คิดได้เช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็เริ่มเตรียมตัว เขาเริ่มจัดหาวัตถุเวทและขายโอสถทิ้งไปประมาณหนึ่ง ช่วงระหว่างนั้น เขาสังเกตเห็นเรือบินทะยานผ่านชั้นเมฆจากก้อนหนึ่งไปอีกก้อนอยู่ทุกวัน แต่ละลำมีผู้โดยสารอยู่สามถึงห้าคน พวกเขาคือบรรดาศิษย์ที่ออกเดินทางล่วงหน้าไปยังป้อมปราการที่ตนเองได้รับมอบหมาย
ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายตั้งใจแน่วแน่ เมื่อเห็นคนเหล่านั้นทยอยกันออกเดินทางไป สามวันให้หลัง หลังจากเขาซื้อข้าวของทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับ การเดินทางแล้ว วันออกเดินทางที่ตกลงร่วมกับเฉินอวี่ถงเอาไว้ก็มาถึง
หวังเป่าเล่อออกจากถ้ำที่พักเช้าตรู่วันนั้น แล้วตรงไปยังฝ่ายปกครองสำนักทันที ตัวเขาสดชื่นแจ่มใสและตั้งหน้าตั้งตารอภารกิจเต็มที่
ใช้เวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็เดินทางไปถึงฝ่ายปกครองสำนัก และพบเข้ากับโจวเผิงไห่และซุนฟาง ทั้งสองมาถึงก่อนและกำลังรอเฉินอวี่ถงกับหวังเป่าเล่ออยู่
ซุนฟางมีท่าทีวิตกกังวล เขากำลังพูดด้วยเสียงแผ่วและนอบน้อมอยู่ข้างโจวเผิงไห่ในระหว่างที่ดวงตาสอดส่องไปทั่วทุกแห่ง พอเห็นหวังเป่าเล่อเขาก็สูดหายใจเฮือก แล้วรีบปรี่เข้ามาหาหวังเป่าเล่อในไม่กี่ก้าว หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้เข้าไปหาก่อน ซุนฟางก็ประสานมือแล้วก้มหัวคารวะเสียก่อน
“ฟางซุนขอคารวะศิษย์พี่หวัง!”
โจวเผิงไห่ซึ่งอยู่ข้างกายซุนฟางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินดังนั้น เขาพอรู้ข่าวมาบ้างว่าซุนฟางเริ่มเรียกแทนตัวเองว่าฟางซุนแล้ว กระนั้นบัดนี้เมื่อได้เห็นท่าทีของซุนฟางต่อหน้าหวังเป่าเล่อ เขาก็ยังอดอมยิ้มไม่ได้ ชายหนุ่มประสานมือคารวะทักทายหวังเป่าเล่อบ้าง ท่าทางเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หวังเป่าเล่อหัวเราะพอเห็นว่าซุนฟางกลายเป็นคนสงบเสงี่ยมไปเสียแล้ว เขาตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนหันไปทักทายโจวเผิงไห่อย่างเป็นมิตร แล้วดึงให้มาร่วมบทสนทนากันคึกคัก
ทางด้านซุนฟางรู้สึกเหมือนภาระหนักอึ้งถูกยกหายไปเพียงได้หวังเป่าเล่อตบบ่า ในที่สุดความหนักอึ้งในจิตใจของเขาก็มลายหายไปเสียที ชายหนุ่มตื่นเต้น เปี่ยมชีวิตชีวา ยังคงยืนอย่างระแวดระวังอยู่ข้างกายอีกสองคน และคอยพยักหน้าเห็นด้วยอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อหรือโจงเผิงไห่จะพูดอะไร
ไม่นานนักเฉินอวี่ถงก็มาถึงพร้อมสวมยุทโธปกรณ์ครบครัน เขามองหวังเป่าเล่อและคนอื่นที่เหลือแล้วหัวเราะ ก่อนเดินนำขึ้นเรือบินไปโดยไม่เอ่ยเอื้อนอะไร สักคำเดียว
เรือบินของหวังเป่าเล่อเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อยกับเรือบินของเฉินอวี่ถง เรือบินลำนี้คุณภาพสูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ภายในบรรจุได้สิบคน ภายนอกทาสีเงินล้วน เพียงรูปลักษณ์ที่มองเห็นก็วิเศษเหลือเกินแล้ว
“ออกเดินทางกันได้แล้ว!” เฉินอวี่ถงกวักมือเรียกแล้วกระโดดขึ้นเรือบิน หวังเป่าเล่อตามหลังไป ตามมาด้วยโจวเผิงไห่และซุนฟางผู้ว่านอนสอนง่าย
เมื่อทุกคนขึ้นมาบนเรือบินหมดแล้ว เฉินอวี่ถงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเป็นประกายสดใสเจิดจ้า
“ทุกท่าน พวกเรามาร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อภารกิจนี้กันเถอะ ข้าหวังว่าพวกเราจะกลับมาที่นี่โดยพร้อมหน้า จะไม่มีใครต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลังเป็นอันขาด!”
สิ้นประโยคนั้น ฉับพลันเฉินอวี่ถงก็แผ่ปราณวิญญาณของตนเองออกมา มวลพลังนั้นเหนือกว่าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ พลังของยอดฝีมือระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้ระเบิดตัวออกมาในบัดดล ก่อนหลอมรวมเข้ากับเรือบินจนเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั้งลำ กลายเป็นเชื้อเพลิงอันน่าทึ่ง เรือบินเคลื่อนตัดข้ามระยะทางกว้างไกลภายในเพียงพริบตาเดียว
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงกลางเรือบิน พลางหันไปมองทางทะเลสาบป่าขจีที่ค่อยๆ หดตัวเล็กลงตามระยะทางที่ห่างออกมา เขาค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า ความมุ่งมั่นตั้งใจจะทำภารกิจนี้ฉายชัดในดวงตา
เรือบินของเฉินอวี่ถงต่างจากเรือบินของผู้ใช้ปราณระดับการฝึกตนโบราณหรือของคนทั่วไป เขาไม่เพียงแต่เป็นศิษย์หัวกะทิของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ทว่ายังเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ และผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งรองเจ้าตำหนัก ขวัญใจมหาชนอีกต่างหาก เรือบินของเฉินอวี่ถงจึงรวดเร็วเป็นพิเศษเหนือใคร แม้ปราการด่านหน้าลำดับเจ็ดจะอยู่ไกลออกไปจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง แต่ถ้า ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี พวกเขาก็จะไปถึงที่หมายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
เมื่อเทียบกันกับเรือบินที่หวังเป่าเล่อนำมาจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองแล้ว ระยะเวลาเดินทางของฝ่ายหลังน่าจะนานกว่ากันมากทีเดียว อย่างไรเสียระหว่างเดินทางก็ยังต้องเผชิญหน้ากับสภาพอากาศย่ำแย่หลายครั้งหลายครา เรื่องพรรค์นี้มักจะเป็นตัวแปรต่อความเร็วของเรือบินอยู่แล้ว
มีแต่เรือบินระดับของเฉินอวี่ถงเท่านั้นจึงจะฝ่าสภาพอากาศเลวร้ายส่วนมากไปได้ เพราะระดับการฝึกตนของเขาสูงยอดเยี่ยม แน่นอนว่ามีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบางประเภทและชั้นบรรยากาศที่เรือบินของเฉินอวี่ถงยังต้องหลีกเลี่ยง
ส่วนเรื่องภัยจากอสูรนั้น แม้ว่าจะมีอสูรดุร้ายอยู่ในดินแดนของสหพันธรัฐ แต่ส่วนใหญ่พวกนั้นเป็นระดับการฝึกตนโบราณ อสูรระดับลมหายใจเที่ยงแท้มักจะ ไม่โผล่ออกมา สหพันธรัฐมีแผนกำจัดอสูรทั้งหมดในเขตการปกครอง แต่ก็แทบจะ ทำให้เป็นจริงไม่ได้ ทุกปีจะมีอสูรธรรมดากินปราณวิญญาณเป็นอาหารแล้วกลายพันธุ์เป็นอสูรดุร้ายอยู่จำนวนมาก
ถ้าทางสหพันธรัฐคิดจะจัดการพวกมันจริงๆ ก็คงไม่ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ ทว่าเนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง สหพันธรัฐกลับตั้งเป้าไว้เฉพาะอสูรดุร้ายระดับลมหายใจเที่ยงแท้ ในทุกปีจะมีแผนกเฉพาะกิจสำหรับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรตามที่ตั้งเป้าเอาไว้เสมอ
อีกทั้งยังมีเขตแดนที่เหมือนจะทำข้อตกลงกับสหพันธรัฐว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายซึ่งกันและกันอีกด้วย
ตอนนี้เรือบินของเฉินอวี่ถงพุ่งทะยานผ่านก้อนเมฆ มองจากไกลๆ จะเห็นเป็นริ้วขาวตัดข้ามนภาฟ้าครามอยู่กับเสียงดังก้องยามมุ่งหน้าด้วยความเร็วระดับเสียง สะท้อนก้องทั่วทิศทาง ฟังคล้ายเสียงอสูรยักษ์คำราม น่าเกรงขามและชวนพรั่นพรึง
บนเรือบินลำนั้น เฉินอวี่ถงกับหวังเป่าเล่อยืนอยู่ส่วนหน้าดาดฟ้า ทอดสายตามองไปยังแผ่นดินไกลลิบ
เมืองแล้วเมืองเล่าผ่านสายตาพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่แล้วเป็น ซากปรักหักพังน่าเศร้าและโดนผืนป่ายึดครองไปหมดแล้ว บางครั้งพวกเขาเห็นซากที่หลงเหลืออยู่ของสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองมาก่อน
“ตอนเกิดสงครามอสูร มนุษยชาติกำลังจะแพ้ ประชากรกว่าครึ่งล้มตาย” เฉินอวี่ถงเอ่ยเสียงแผ่วเบา ครั้นมองเห็นภาพซากปรักหักพังของเมืองทั้งหลายเลื่อนผ่านตาไป
“ข้าอ่านเกี่ยวกับสงครามครั้งนั้นมามาก ตอนนั้นในบรรดาขุมอำนาจทางการเมืองทั้งหลายทั่วทั้งค่ายของสหพันธรัฐ ระดับการฝึกตนมีผู้บรรลุได้สูงสุดอยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น ไม่เคยมีใครบรรลุถึงขั้นกำเนิดแก่นในมาก่อนเลยสักคน!
“ในขณะที่ภายในค่ายอสูร กลับมีราชันอสูรระดับกำเนิดแก่นในอุบัติขึ้นถึงสามตน…
“โชคยังดีว่าในขณะที่สถานการณ์กำลังเข้าขั้นวิกฤติร้ายแรง มีใครบางคนในสหพันธรัฐบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นในได้ในที่สุด ทำให้ทิศทางของสงครามเปลี่ยนไปทันที อาวุธเทพก็ถือกำเนิดขึ้นตอนนั้นเอง หลังจากต่อสู้กับ ขุมอำนาจทางการเมืองอื่นๆ และพวกอสูรจนได้อาวุธเทพมาไว้ในครอบครอง สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็เป็นผู้คว้าชัยในครั้งนี้!
“การปรากฎตัวของอาวุธเทพทำให้สหพันธรัฐเป็นฝ่ายชนะไป สหพันธรัฐจึงได้สร้างปราการด่านหน้าทั้งเจ็ดแล้วสังหารราชันอสูรทุกตัวจนสิ้น แต่ก็ยังไม่อาจฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดได้สำเร็จ…
“แต่ข้าเชื่อว่าในเมื่อมนุษย์เรายังมีวิวัฒนาการต่อไปไม่หยุดยั้ง สักวันหนึ่งผืนดาวที่เราเหยียบอยู่นี้จะต้องตกเป็นของเราโดยสมบูรณ์อย่างแน่นอน!”
ดวงตาเฉินอวี่ถงฉายแววดุดัน
หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกมากมายภายในจิตใจ ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร ก็เห็นปราการบนแผ่นดินเบื้องหน้าตรงหน้าเสียก่อน ปราการหลังนั้นตั้งอยู่บนหุบเขา มีรั้วหนามแหลมน่ากลัวโอบล้อมไว้ กำแพงเหล็กสีดำทมิฬ ปืนใหญ่ระดับสมบัติเวท บนฐานรูปวงแหวนจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ภายใต้ดงหนามแหลม ปราการแห่งนี้แผ่รังสีน่าพรั่นพรึงไปถึงผู้ที่ได้พบเห็น
นักรบนับไม่ถ้วนภายในปราการกับเค้าไอของความรุนแรงที่แผ่ออกมาก็น่ากลัว ไม่แพ้กัน
“ถึงแล้วรึ” หวังเป่าเล่อมองออกไปภายนอก เฉินอวี่ถง โจวเผิงไห่ และซุนฟาง ทำตามบ้าง
“บริเวณนี้เป็นปราการย่อย ตรงที่อยู่เหนือขึ้นไปคือปราการด่านหน้าลำดับเจ็ด เราต้องไปรายงานตัวกันที่นั่น!” เฉินอวี่ถงบอกเสียงต่ำหลังจากกวาดตาสำรวจ จนแน่ใจ
“นี่แค่ปราการย่อยอย่างนั้นรึ” หวังเป่าเล่ออึ้งไป ไม่ช้าเขาก็เห็นปราการอีกหลายจุดหน้าตาคล้ายกับที่เพิ่งเห็นมาก่อนหน้านี้ แม้จะเรียกว่าปราการย่อย แต่ว่าขนาดและสัดส่วนของปราการแต่ละแห่งล้วนใหญ่โตโอฬารทั้งสิ้น ปราการย่อยเหล่านั้น มักสร้างกันไว้บนแนวเขา เลียนแบบมาจากปราการด่านหน้า เมื่อจับกลุ่มกันแล้วเกิดเป็นแนวปิดล้อมที่ไม่ธรรมดาทีเดียว!
เฉินอวี่ถงประกาศในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาว่าปราการด่านหน้าลำดับเจ็ดอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว หวังเป่าเล่อมองตามไป แล้วก็ถึงกับตะลึงงันครั้นเห็น กำแพงเหล็กขนาดมหึมาน่าเหลือเชื่อบนแนวเขาไกลออกไป
ไม่มีคำใดจะสาธยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาได้ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มไปถึงภายใน ป้อมปราการเบื้องหน้าของเขามีขนาดใหญ่มโหฬารยิ่งกว่าปราการย่อยที่เพิ่งเห็นมา บานประตูหลวงมหึมาราวกับจะค้ำสวรรค์และโลกสะกดสายตาเขาเอาไว้
ตอนที่เขากำลังซาบซึ้งครั่นคร้ามไปกับภาพตรงหน้าอยู่นั้นเอง เขาก็สังเกตเห็น วงแหวนควันพวยพุ่งขึ้นมาจากด้านในป้อมปราการอันสวยสง่าแห่งนั้น ลอยสูงขึ้นไปยังท้องฟ้า ทะยานนภาไปถึงสวรรค์
สัญญาณควันนิรันดร์กาล!