บทที่ 172 รู้จักข้าด้วยรึ
สัญญาณควันนิรันดร์กาลพุ่งสูงขึ้นไปกว่าสามสิบเมตร ดูน่าตื่นตาเมื่อมองจากที่ไกลๆ และชวนให้ลืมหายใจเมื่อมองใกล้ๆ
ยากจะบอกได้ด้วยสายตาว่าสัญญาณนั้นยิงมาจากที่ใดหรือทำงานอย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่ามีวงแหวนลอยขึ้นอย่างต่อเนื่องไปหาสรวงสวรรค์แล้วแผ่ตัวทั่ว ท้องนภา แปลงร่างเป็นเกลียวอยู่ในอากาศเหมือนดวงตายักษ์ที่แขวนไว้บนสวรรค์ ชั้นฟ้า
สัญญาณควันแผ่มวลพลังวิญญาณมหาศาลสะท้านปฐพี ทรงอานุภาพประหนึ่งว่าหากมีได้รับแรงกระตุ้นบางอย่าง อาจจะแข็งแกร่งเทียบเทียมภูผา กระทั่งผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้แบบหวังเป่าเล่อและเฉินอวี่ถงยังอาจโดนบดให้แหลกสลายในพริบตาเดียว
“อาวุธเวทระดับเก้า! อาวุธเวทที่แข็งแกร่งที่สุดที่สหพันธรัฐจะหลอมขึ้นมาได้ในตอนนี้!” เฉินอวี่ถงสูดหายใจเฮือกใหญ่ ถัดจากตัวเขาไปมีหวังเป่าเล่อที่หายใจ เร็วขึ้นเช่นกัน
สัญญาณควันนั้นช่างเป็นภาพสะดุดสายตา แต่ก็ยังเทียบกับประตูหลวงไม่ได้ ทั้งคูน้ำล้อมหนามแหลมรายรอบกำแพงเหล็ก ไปถึงดินแดนรกร้างมอดไหม้กับ พลังวิญญาณที่แตกต่างไปนอกประตูหลวง ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งต่างจากสหพันธรัฐโดยสิ้นเชิง
โลกที่เต็มไปด้วยความล้าหลัง ความบ้าคลั่งและความรุนแรง!
“ปราการด่านหน้าลำดับเจ็ด” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง เรือบินพวกเขาเข้าไปใกล้กำแพงปราการสูงค้ำ วงแหวนปราณดึงพลังจากทั้งลำไปแบบไม่ให้ทันตั้งตัว เหมือนกับมีมือล่องหนหยิบเอามันไปวางไว้ท่ามกลางค่ายนับไม่ถ้วนเบื้องหลัง กำแพงเหล็กแห่งนั้น
ขณะที่พวกเขาลดระดับลง มีเรือบินอีกนับโหลเร่งมุ่งหน้ามาหาจากระยะไกล ผู้โดยสารเรือบินเหล่านั้นคือสานุศิษย์เหมือนหวังเป่าเล่อและคนอื่น แต่มาจากต่างสำนักศึกษา เรือบินเหล่านั้นโดนวงแหวนปราณดึงเข้าหาแล้วจอดตัวลงทีละลำ
เขตค่ายกว้างใหญ่เหมาะรองรับนักรบได้กว่าแสนคน เมื่อเรือบินพวกเขาลงจอด หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ก็ทยอยลงจากเรือบิน นักรบคนหนึ่งตรงเข้ามาคำนับพวกเขาแล้วนำทางไปต่อ
หวังเป่าเล่อมีท่าทีขึงขังขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมโดยรอบ เขาเดินไปพร้อมกับเฉินอวี่ถงและคนอื่น ผ่านการตรวจตราหลายขั้นตอน ก่อนที่นักรบคนเดิมจะพาไปตรงหน้าอีกกระโจมหนึ่ง
“เมื่อพวกเจ้าลงทะเบียนที่นี่แล้ว พวกเจ้าจะได้รับมอบหมายภารกิจแตกต่างกันไป ขอขอบคุณในความช่วยเหลืออันมากล้นนี้!” นักรบคนที่นำทางพวกเขามาเป็น ชายหนุ่ม พอพูดจบเขาก็คำนับทุกคนอีกครั้ง
“เพื่อมนุษยชาติ!”
เฉินอวี่ถง หวังเป่าเล่อ และคนในกลุ่มที่เหลือต่างประสานมือคำนับกลับไปด้วยความเคารพ นักรบหนุ่มหันหลังกลับ แล้วเดินไปต้อนรับผู้มาใหม่กลุ่มอื่น
ด้านนอกกระโจมมีคนอีกเป็นร้อยยืนรอกันอยู่ ทุกคนต่างอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้ คนพวกนั้นใส่เสื้อผ้าต่างไปเพราะมาจากสำนักศึกษาเต๋าแห่งอื่น บางคน ดูตื่นเต้น บางคนดูหวาดกลัว ส่วนที่เหลือนิ่งสงบ บางรายมองไปยังแดนป่าไกลๆ ที่ยังไม่มีใครเคยย่างกราย ดวงตาฉายแววเย็นชา
“ปีนี้สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าส่งกำลังคนมาเยอะแยะเลยทีเดียว” เฉินอวี่ถงกระซิบกับหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อพยักหน้า หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจ เขาก็เห็นว่ายังมีคนมาสมทบเพิ่มอีกเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานระหว่างที่พวกเขาเฝ้ารอ เฉินอวี่ถงดูจะเป็นที่รู้จักอย่างดีใน ที่แห่งนี้ คนที่ยืนอยู่ในแถวข้างหน้าและข้างหลังต่างจำหน้าเขาได้แล้วเข้ามาทักทาย
บางคนมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง แต่คนที่มาจากสำนักศึกษาเต๋าอีกสามแห่งที่เหลือก็มีอยู่บ้างด้วย เฉินอวี่ถงทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม เขามารยาทดีและมีเสน่ห์ คอยหัวเราะและพูดคุยกับคนพวกนั้น ระหว่างพูดคุยไปก็จะดึงหวังเป่าเล่อมาแนะนำตัวเสมอ
โจวเผิงไห่กับซุนฟางได้แต่มองเฉินอวี่ถงอย่างนึกอิจฉาที่เขามีเพื่อนรายล้อม หวังเป่าเล่อก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วยเพราะเฉินอวี่ถงให้ความสนใจเขาเต็มที่ พวกเขาอยู่กันคนละชั้น จะไปแข่งเทียบกับเฉินอวี่ถงและเครือข่ายคนรู้จักซึ่งเขามีอยู่กว้างขวางทั่วสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็ไม่ไหว
แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่ได้รู้ว่าหวังเป่าเล่อเองก็มีชื่อเสียงพอจะ ผูกมิตรได้ไม่แพ้กัน
“หวังเป่าเล่อ!”
“หวังเป่าเล่อตัวจริงเสียงจริงรึนี่!” หวังเป่าเล่อยิ้มเป็นมิตรให้คนที่เฉินอวี่ถงแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน ศิษย์หน้าใหม่ จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเริ่มสังเกตเห็นเขาเรื่อยๆ พอคนเหล่านั้นมองหน้าเขาก็จะพากันทำสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา
ศิษย์เหล่านั้นคือ ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบที่หมู่บ้านลมปราณวิญญาณและได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์ชั้นสูงในสำนักที่ตนศึกษาอยู่ พวกเขารู้จักหวังเป่าเล่อเป็นอย่างดี รอยยิ้มของพวกเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย และมีบางรายเข้ามาทักทาย
ขณะที่สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ เฉินอวี่ถงก็ยิ่งสงสัย เขาดึงหวังเป่าเล่อไปถามเสียงค่อย
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ พวกเขามองเจ้ากันแปลกๆ ทั้งนั้นเลย มีเรื่องอะไรกับพวกเขารึ”
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ก็แค่พวกเขาคิดว่าข้าแย่งสมบัติพวกเขาไปตอนเข้ารับ การทดสอบที่หมู่บ้านลมปราณวิญญาณ” หวังเป่าเล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาอธิบายโดยคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่หมู่บ้านลมปราณวิญญาณบ้าง โจวเผิงไห่และซุนฟางได้ยินก็ทำตาโต มองเขาเหมือนดั่งเทพเจ้าตรงหน้าพวกตน ทั้งตะลึงและหวาดกลัว
สีหน้าเฉินอวี่ถงเปลี่ยนไปพอเขาได้ฟังเรื่องราว เขารู้สึกเหมือนเพิ่งได้รู้จักอีกด้านหนึ่งของศิษย์ผู้น้อง เขาตบบ่าหวังเป่าเล่อแล้วตั้งท่าหมายจะเอ่ยบางอย่าง แต่ทันใดนั้น หญิงสาวผุ้หนึ่งในกลุ่มที่เพิ่งมาถึงใหม่ ก็มองเห็นหวังเป่าเล่อเข้าเสียก่อน นางถึงขั้นหรี่ตาเล็กทันที
“หวังเป่าเล่อ!” หญิงสาวในเสื้อคลุมสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวผู้นั้นหน้าตาสะสวย เครื่องหน้าจิ้มลิ้ม ติดแค่ว่าดวงตาเรียวรีนั้นกำลังถลึงโพลง และฟันของนางกำลัง เข่นเขี้ยวอย่างเคียดแค้น
“หลี่อี้” หวังเป่าเล่อหันไปหาแล้วระรื่นโบกมือให้
หญิงสาวนางนั้นคือหลี่อี้ นางถลึงตาใส่หวังเป่าเล่อแล้วพ่นลมเยาะ ก่อนหันหน้าเมินเขาไปทางอื่น
พอเฉินอวี่ถงเห็นดังนั้น ก็หันมากระซิบถามหวังเป่าเล่อ “คนที่เจ้ารู้จักจากหมู่บ้านลมปราณวิญญาณเช่นกันรึ”
“ใช่แล้วขอรับ นางใจร้ายมาก อยากจะจับข้าแก้ผ้าเสียให้ได้ โชคดีว่าข้าไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นคงอันตรายน่าดู” หวังเป่าเล่อครวญ
เฉินอวี่ถงอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เวลาผ่านไปก็สรรหาคำไม่ได้ เขาเพียงส่ายหัวแล้วยิ้มเจื่อน ส่วนโจวเผิงไห่กับซุนฟางนั้นตะลึงค้างจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว
สักพักต่อมา คนที่รออยู่นอกกระโจมต่างเริ่มทำความรู้จักกัน คนที่ต่อแถวอยู่ข้างหน้าทยอยเข้าไปในกระโจม เมื่อกลับออกมาก็ขึ้นเรือบินจากไป ราวกับว่าพลังของวงแหวนปราณจะยุติลงหลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดแถวข้างหน้าของหวังเป่าเล่อก็เข้าไปในกระโจม อีกไม่นานก็จะถึงตาพวกเขา ตอนนั้นเองที่มีเสียงตะโกนดังก้องมาจากไกลๆ เสียงแตกกระจายของม่านเสียงที่ระเบิดออกดังก้องเสียดมวลอากาศ
เสียงดังบาดหูสร้างความเจ็บปวดให้ทุกคนที่ได้ยิน พวกเขาถึงกับต้องเงยหน้า มองบนฟ้า ฉับพลันสีหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อค่อยๆ โงศีรษะขึ้นตาม เหนือกำแพงปราการไปบนท้องฟ้าเหนือแดนป่า มีอสูรยักษ์บินตรงมายังปราการ
อสูรยักษ์บินได้ทั้งสามมีร่างมหึมากว้างกว่าสามสิบเมตร ร่างเหมือนงูปกคลุมด้วยหนวดแมลงและมีปีกนับไม่ถ้วนงอกออกมาจากหลัง พวกมันดูว่องไวและดุร้าย มวลพลังปราณที่แผ่ออกมาทำให้ทุกคนบังเกิดความกลัวในใจ พลังปราณที่ว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าของพลังปราณของเฉินอวี่ถงเสียอีก
เมื่ออสูรทั้งสามพุ่งข้ามผืนฟ้ามา กำแพงปราการก็สั่นสะเทือน ลำแสงสามลำระเบิดออกมาจากภายใน พลานุภาพของมันสั่นสะเทือนพื้นโลก ประหนึ่งจะพุ่งทะลวงถึงสวรรค์ บริเวณที่ลำแสงพุ่งผ่านทิ้งรังสีความร้อนเผาไหม้เอาไว้เป็นทางยาว อสูรบินได้ทั้งสามพยายามจะหนีแต่ก็ไร้ผล ลำแสงพุ่งทะลวงผ่านร่างของพวกมันจนระเบิดกลายเป็นจุณ จบสิ้นชีวิตในพริบตา!
“ปืนใหญ่สวรรค์!” เฉินอวี่ถงร้อง แววตาเป็นประกายตื่นเต้น
“สหพันธรัฐรวบรวมสุดยอดนักหลอมอาวุธเวททั้งหมดมา คนที่ค้นคว้าและ หลอมสมบัติเทพมานับร้อยร่วมกันหลอมปืนใหญ่ที่มีพลังทำลายล้างมหาศาล!
“นี่คือภารกิจที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มอบให้พวกเรา ให้คุ้มครองและ บูรณะปืนใหญ่สวรรค์!”
หวังเป่าเล่ออึ้งไปกับพลังทำลายของปืนใหญ่สวรรค์ จากนั้นเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าบรรดานักรบรอบตัวพวกเขาไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเลยสักคน ตอนนั้นเขาถึงเข้าใจได้ว่าเหล่านักรบที่ประจำการที่นี่มาเป็นปีอาจจะเคยชินกับ ภาพเช่นนี้หมดแล้ว
“ด่านหน้าเป็นเช่นนี้เอง…” หวังเป่าเล่อทำใจให้สงบลง เขาเห็นปืนใหญ่สวรรค์ที่เฉินอวี่ถงพูดถึงตอนเดินทางอยู่บนท้องฟ้าเมื่อครู่ ผู้คนที่เข้าไปในกระโจมออกมาพอดีตอนที่เขากำลังหมกมุ่นกับความคิดในหัวตัวเอง พวกเขาบอกลาหวังเป่าเล่อและสหาย ก่อนขึ้นเรือบินจากไป
เฉินอวี่ถงสูดลมหายใจเฮือกโตแล้วมองมายังหวังเป่าเล่อ ทั้งสองเข้าไปในกระโจมทีละคน โจวเผิงไห่และซุนฟางสงบความรู้สึกตกตะลึงเอาไว้แล้วรีบตามเข้าไป
ภายในกระโจมไม่กว้างเกินไปนัก มีนักรบสี่คนยืนอยู่สองฝั่ง ตรงกลางเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง ข้างหลังโต๊ะตัวนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางสวมเครื่องแบบนักรบ รอบตัวแผ่มวลระมัดระวังทั้งยังเอาการเอางานออกมา ถ้าสังเกตให้ดีจะมองเห็นถึงประกายความ บ้าระห่ำในดวงตานาง
ดวงตาของโจวเผิงไห่กับซุนฟางเป็นประกายสุกใสพอเห็นหญิงสาว เฉินอวี่ถงไม่ยี่หระ ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นอึ้งสนิท
ไม่นะ…หวังเป่าเล่อเผลอยกมือแตะจมูกโดยไม่รู้ตัว ชีวิตเขายุ่งยากเข้าเสียแล้ว เพราะหญิงสาวตรงหน้าพวกเขาคือ โจวลู่นั่นเอง
โจวลู่ก็เห็นหวังเป่าเล่อแล้วเช่นกัน นางดูไม่ประหลาดใจสักนิดเดียว เพราะได้เห็นรายชื่อมาก่อนและรู้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังเดินทางมา
สายตาของนางเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง ปรายมองมาที่หวังเป่าเล่อแล้วแสยะยิ้ม
“หวังเป่าเล่อ จำข้าได้หรือเปล่า”
คำถามของนางทำโจวเผิงไห่ ซุนฟาง และเฉินอวี่ถงประหลาดใจ พวกเขาพร้อมใจกันมองยังหวังเป่าเล่อ จำนวนคนในปราการนี้ที่รู้จักหวังเป่าเล่อดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ถ้าที่แห่งนี้คือ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แค่ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมไว้ก็คงทำให้เขาลงทะเบียนผ่านไปได้อย่างไร้ข้อกังขา ทว่าตอนนี้เขาอยู่ในถิ่นฐานของศัตรู จะถอยสักครู่หนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด เขามองโจวลู่ ด้วยสีหน้าประหลาดใจและสับสน
“ท่านหญิงคนงาม ท่านรู้จักข้าด้วยรึ”