บทที่ 179 แน่วแน่ดั่งเหล็กกล้า
ครั้นปืนใหญ่สวรรค์พังทลายจนสิ้น ฝ่ายปราการก็เสียเปรียบทั้งการศึกทางอากาศและภาคพื้นดินอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาโดนต้อนอย่างต่อเนื่องจนใกล้จะพ่ายแพ้เต็มทน
บรรดาสัตว์อสูรที่คอยจังหวะอยู่ถลาลงมาข้างหน้าทันทีที่ปืนใหญ่พากันพังทลายลง พวกมันทะยานไปบนลานทั้งหลาย พุ่งเข้าจู่โจมบรรดานักรบที่ยืนอารักขาอยู่บนนั้น เกิดเป็นฉากการสังหารโหดอีกครั้งหนึ่ง!
ก้อนเนื้อถูกเฉือนเละกระจายบนพื้น เลือดนองเปื้อนดิน เสียงปะทะต่อสู้กันกลบทับเสียงกรีดร้องเจ็บปวดและเสียงกู่ร้องเดือดดาล หวังเป่าเล่อที่เกาะกำแพงปราการอยู่ได้ยินเสียงทั้งหมดนั้นและเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น!
เขามองเหตุนองเลือดบนลานปืนใหญ่ สหายนักรบของเขาโดนฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคนแล้วคนเล่า
บางรายถูกเหล่าอสูรจับโยนขึ้นไปบนฟ้าให้ฝูงอสูรติดปีกรุมทึ้งร่างอีกต่อหนึ่ง
หวังเป่าเล่อมองทุกอย่างที่เกิดขึ้น เส้นเลือดปูดเต็มดวงตาแดงก่ำครั้นมองเห็นนักรบกล้ามโตคนนั้นโดนอสูรจับได้ เขากำลังจะเข้าไปช่วยสหายคนนั้น แต่จะงอยปากขนาดมหึมาของสัตว์อสูรเจาะทะลวงหน้าผากของเขาทะลุเสียก่อน!
เขาเป็นคนที่งัดข้อแพ้หวังเป่าเล่อ กินขนมร่วมกันกับชายหนุ่ม และบอกว่าจะจับคู่หวังเป่าเล่อกับน้องสาวให้!
แต่เขากลับต้องมาจบชีวิตลง ร่างของเขาถูกอสูรฉีกขาดเป็นสองท่อน
หวังเป่าเล่อคำรามลั่นด้วยความโศกเศร้า มือขวาของเขาพุ่งขึ้นแล้วกวาดไป อีกทางหนึ่ง ทันใดนั้น กระบวนท่าดัชนีเมฆาก็ปลดปล่อยออกมาจากมือของเขา แล้วเลื้อยเข้าไปทะลวงเสียบสัตว์อสูรที่สังหารสหายกล้ามโตเมื่อครู่ ร่างของอสูรตัวนั้นสั่นสะท้านก่อนสิ้นลม หวังเป่าเล่อมองลานปืนใหญ่โชกเลือดอย่างเกรี้ยวกราดและเจ็บปวด เขากระโจนขึ้นไปในอากาศแล้วทรงตัวอยู่บนรั้วเหล็กแหลมนอก กำแพงปราการ ก้าวจากเหล็กแหลมหนึ่งไปยังอีกเหล็กแหลมหนึ่ง รีบรุดมุ่งหน้าไปหาปืนใหญ่สวรรค์กระบอกที่ยังใช้การได้ในปราการ
เขาต้องการล้างแค้นให้จงได้!
เหล่าอสูรโฉบเข้ามาหาเขาระหว่างทาง พยายามจะล้อมร่างของเขาไว้ แต่หวังเป่าเล่อเลือดขึ้นหน้าจนไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ และโจมตีกลับอย่างดุเดือด ผนึกมือระเบิดออกลูกแล้วลูกเล่า หวังเป่าเล่อฝ่าวงล้อมอสูรออกมาได้โดยมีรอยเลือดไหลอาบตามตลอดทางและคราบเลือดเปื้อนมุมปาก ชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว จนในที่สุดเขาก็เหยียบขึ้นไปถึงแท่นปืนใหญ่สวรรค์ที่ตั้งเป้าไว้
ในปราการมีปืนใหญ่สวรรค์ที่รอดจากการโจมตีครั้งรุนแรงและยังใช้การได้อยู่อีกเพียงสิบสามกระบอก หนึ่งในสิบสามกระบอกนั้นเป็นกระบอกที่หวังเป่าเล่อดูแลอยู่ มันตั้งอยู่บนลานที่เขาเพิ่งมาถึง และเป็นกระบอกเดียวในสิบกระบอกของเขาที่ยังเหลือรอด!
ฝูงอสูรติดปีกเข้ามาใกล้ทุกขณะ ยังมีนักรบเหลือรอดอยู่จำนวนมาก และทุกคนกำลังสู้สุดชีวิต พวกเขายังสกัดการโจมตีของเหล่าอสูรเอาไว้ได้ เพราะมีปืนใหญ่ช่วยระดมยิงคู่กันไป แต่ปืนใหญ่สวรรค์กระบอกนั้นก็สั่นระรัวเสียจนจะพังลงเมื่อไรก็ไม่รู้
หวังเป่าเล่อมาถึงทันเวลาเฉียดฉิว เหล่านักรบแหวกทางให้เขา ชายหนุ่มรีบเข้าไปหาปืนใหญ่สวรรค์แล้วกดมือขวาแนบลงบนกระบอก ปราณวิญญาณพวยพุ่งเข้าไปในกระบอกทันทีแล้วเริ่มซ่อมแซม
แม้ลำปืนใหญ่จะสั่นสะท้านแต่ก็ยังระดมยิงต่อไปได้ ตัวกระบอกหันไปแล้วยิงเข้าใส่เหล่าอสูรที่กำลังกระโจนเข้ามา อสูรพวกนั้นสังหารนักรบบนลานปืนใหญ่ลานอื่น มานักต่อนัก
“ตายเสียเถอะ!” หวังเป่าเล่อคำรามลั่น รัวปืนใหญ่ออกไปสี่นัดติด ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั้งโลกและสรวงสวรรค์ เสียงระเบิดกึกก้องไปทั้งสนามรบ ลำแสงทั้งสี่นัดทะลวงแหวกนภา ปะทะเข้ากับฝูงสัตว์อสูรที่จับกลุ่มกันอยู่แน่นหนาจนเห็นเป็นรูขนาดยักษ์ สี่รู เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดดังลั่นไปทั่ว อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกำจัดลงราบคาบ!
ปืนใหญ่สวรรค์ที่ยังเหลืออยู่ระดมยิงต่อไปเช่นกัน แรงระเบิดจากการระดมยิงดังสนั่นสะเทือนปฐพี การต่อสู้บนท้องฟ้าและภาคพื้นดินของฝั่งปราการเริ่มกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง
พวกอสูรบนท้องฟ้าเริ่มถอยร่นทุกขณะ เป้าหมายล้างแค้นของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปเป็นเจ้าอสูรม้ามีเขาขั้นรากฐานตั้งมั่นตนนั้น เขายิงปืนใหญ่ออกไปอีกหกนัดด้วยความโกรธอัดแน่นเต็มหัวใจ
ตูม ตูม ตูม
ทั้งหกนัดไม่โดนเป้าหมายกลางอากาศ แต่ก็ใช่ว่าจะเสียเปล่า ผู้ฝึกตนฉวยโอกาสนี้ตวัดกระบี่ตัดศีรษะเจ้าอสูรม้ามีเขาขาดสะบั้นในครั้งเดียว!
อสูรตนนั้นส่งเสียงร้องทรมานและโกรธเกรี้ยวก่อนสิ้นใจ เลือดของมันไหลกระหน่ำลงพื้นเหมือนห่าฝน
แต่ปืนใหญ่สวรรค์ไม่อาจต้านทานได้อีกนานนัก ทุกครั้งที่ยิงลูกปืนออกไปต้องอาศัยการซ่อมแซมทันที ฝูงอสูรติดปีกกลางอากาศคำรามแล้วโฉบลงมา ทันทีที่เห็นว่าปืนใหญ่หยุดยิง จำนวนเป้าหมายของพวกมันลดลง เพราะปืนใหญ่เหลืออีกแค่ สิบสามกระบอก พวกมันตั้งใจจะทำลายปืนใหญ่ทุกกระบอกที่เหลืออยู่ให้หมดสิ้น
ในวิกฤตการณ์เช่นนี้ หวังเป่าเล่อรีบโยนเกราะระฆังทองคำทั้งหมดที่มีออกมาโดยไม่เสียเวลาคิด เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นเวหา เกราะระฆังทองคำที่กำบังลานปืนใหญ่เอาไว้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมในชั่วพริบตา เมื่อรวมพลังกับบรรดานักรบอีกพันคนบนลานปืนใหญ่นั้นแล้ว ก็ไม่ยากเกินต้านทานการโจมตีของฝูงอสูรติดปีกเอาไว้ได้!
หวังเป่าเล่อเหนื่อยหอบหลังจากเร่งมือซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์จนสำเร็จ เขากระหน่ำยิงปืนใหญ่อีกครั้งอย่างไม่รอช้าด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต
“ข้าจะกำจัดพวกเจ้าให้หมดเลย!” หวังเป่าเล่อสบถ ชายหนุ่มอยากยิงปืนใหญ่ไปที่อสูรค้างคาวใจกลางพายุหมุนยิ่งนัก เพราะมั่นใจเหลือเกินว่ามันคือกุญแจสำคัญที่จะยุติศึกครั้งนี้ได้ แต่ตอนนี้เจ้าอสูรตนนั้นมันอยู่ไกลเกินไป แถมยังมีพายุหมุน คอยปกป้องอยู่อีกชั้นหนึ่ง หวังเป่าเล่อพยายามยิงครั้งหนึ่งแล้วพบว่าปืนใหญ่เข้าไป ไม่ถึงเป้าหมาย หลังจากกระหน่ำยิงไปกลางอากาศอีกสองสามหน เขาก็เปลี่ยนมา ยิงใส่บรรดาอสูรหลั่งไหลบนพื้นดินแทน
หวังเป่าเล่ออาจจะกำลังโกรธแค้น และมีเป้าหมายเป็นบรรดาอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นบนฟากฟ้า แต่เขารู้ดีว่าตัวเองอาจกลายเป็นจุดสนใจให้สัตว์อสูรพวกนั้นมาสังหารได้ เขาจึงยิงขึ้นไปในอากาศลูกหนึ่ง สลับกับยิงลงบนพื้นดินอีกลูกหนึ่ง ชายหนุ่มเปลี่ยนตำแหน่งยิงไปมาเพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ตัวว่าพวกมันกำลังตกเป็นเป้า
ปืนใหญ่สวรรค์กระบอกอื่นก็หันมาทำแบบเดียวกัน อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่น ซึ่งกำลังง่วนกับการต่อสู้อยู่จึงไม่ทันรู้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังคิดทำอะไร
แต่ถึงหวังเป่าเล่อจะซ่อมปืนใหญ่สวรรค์อย่างไร มันก็เริ่มรับมือไม่ไหวขึ้นเรื่อยๆ อักขราจารึกส่วนใหญ่ในกระบอกเสียหายและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งหวาดวิตก ระหว่างที่เขากำลังคิดหาวิธีซ่อมปืนใหญ่ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพเช่นเดิม ก็พลันมีเสียงกู่ร้องดังมาจากลานปืนใหญ่สวรรค์แห่งอื่นเสียก่อน
หวังเป่าเล่อสะดุ้งโหยง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วก็เห็นฝูงอสูรรายล้อมปืนใหญ่สวรรค์กระบอกอื่นอยู่ บางกระบอกพังทลายลงเพราะโดนโจมตีอย่างหนักหน่วง บางกระบอกก็ถูกฝูงอสูรเข้ารุมจัดการ บาดแผลและความตายผุดขึ้นเต็มไปหมด หวังเป่าเล่อหันปากกระบอกปืนใหญ่ของเขาไปอีกด้านหมายจะยิงช่วย แต่ก็ เปล่าประโยชน์ ปืนใหญ่ในการดูแลของเฉินอวี่ถงพังลงไปอีกสองกระบอก ชายหนุ่มผุดรอยยิ้มทะมึนขึ้นบนใบหน้า ความเดือดดาลหนักอึ้งอยู่ในหัวใจ เฉินอวี่ถงรีบวิ่ง ฝ่าบรรดานักรบที่กำลังสิ้นลมตรงมาหาหวังเป่าเล่อไม่รอช้า
ทั้งปราการเหลือปืนใหญ่สวรรค์อีกเพียงสามกระบอก!
เฉินอวี่ถงมาถึงตัวเขาและช่วยแบ่งเบาภาระของหวังเป่าเล่อทันที ทั้งสองไม่มีเวลาแม้แต่จะคุยกัน กระนั้นหวังเป่าเล่อก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรทั้งสิ้น เฉินอวี่ถง ทุ่มสุดตัวลงมือซ่อมปืนใหญ่ทั้งที่ตัวเองสภาพสะบักสะบอมบาดเจ็บสาหัส ปืนใหญ่กระบอกนั้นยังยืนหยัดยิงนัดแล้วนัดเล่าออกไปภายใต้การดูแลของพวกเขา
แม้จะเป็นเพียงเสมือนน้ำหยดเดียวในถัง แต่ตราบที่ยังมีปืนใหญ่สวรรค์ยืนหยัดอยู่ในสนามรบ ต่อให้เหลือเพียงกระบอกเดียว ก็ยังเป็นพลังที่สร้างความกลัวในใจ พวกอสูรและสกัดกั้นพวกมันเอาไว้ได้
หลังจากยิงออกไปสองสามครั้ง ปืนใหญ่ก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรงอีกแล้ว หวังเป่าเล่อชักสีหน้าถมึงทึง ในใจรู้สึกขื่นขม พลังโจมตีจากคลื่นความถี่ของอสูรค้างคาว สร้างความเสียหายให้อักขราจารึกเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่อาจยื้อไว้ไม่ให้มันแตกกระจายหลังจากนั้นได้ ปืนใหญ่กระบอกนี้กำลังจะพังลงแล้วเช่นกัน แววตาของเฉินอวี่ถงทอประกายความสิ้นหวัง เขาพึมพำออกมาว่า “เป่าเล่อ มันซ่อมไม่ได้แล้ว…ยังมีปืนใหญ่อีกสองกระบอก พวกเราควรไปตรงนั้นดีกว่ารึเปล่า”
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาหันไปมองบรรดานักรบรอบกายเขา
เหล่านักรบในเกราะระฆังทองคำเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อกับเฉินอวี่ถงแล้ว ต่างก็เริ่มหน้าซีดแล้วพากันเงียบกริบ วัตถุเวทของพวกเขาเสียหายไปหมดแล้ว และของที่หวังเป่าเล่อให้ไปบัดนี้ก็มีรอยร้าวรอยชำรุดอย่างหนักเช่นกัน หวังเป่าเล่อใช้กระทั่งลูกประคำระเบิดตัวเองไปจนหมดทั้งคลัง พวกเขาแทบจะไม่เหลือ อาวุธยุทโธปกรณ์ให้ใช้อีกต่อไปแล้ว
ทุกคนรู้ดีว่าไม่อาจปกป้องลานแห่งนี้ได้อีกต่อไป ทันทีที่เกราะระฆังทองคำชิ้นนี้แตกสลาย วินาทีที่ปืนใหญ่สวรรค์พังทลายลงมา พวกเขาก็จะเผชิญชะตากรรมอัน น่าเศร้าแบบเดียวกับลานปืนใหญ่สวรรค์แห่งอื่นๆ แน่นอน
ฝูงอสูรรายล้อมอยู่นอกเกราะระฆังทองคำ พวกมันกระแทกลำตัวเข้าใส่เกราะนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันมีกันอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน และหนึ่งในนั้นมีอสูรระดับลมหายใจเที่ยงแท้อยู่หลายตัวทีเดียว แรงโจมตีของพวกมันทรงพลังมากล้นจน เกราะระฆังทองคำเริ่มบิดเบี้ยว พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ
“เป่าเล่อ ปรมาจารย์อาวุธเวทเฉิน หนีไปเถอะ รีบหนีไป! พวกเราจะคอยต้านอสูรพวกนี้ไว้แล้วถ่วงเวลาให้พวกท่าน!”
“พวกเราอาจไม่มีความสามารถจะเป็นผู้ฝึกตน แต่พวกเราก็ยังเป็นนักรบ นับตั้งแต่วันที่เราเข้ากองทัพ ก็ได้ปฏิญาณตนจะปกป้องสหพันธรัฐด้วยชีวิต!”
“เป่าเล่อ อย่าลืมไปเยี่ยมพ่อแม่ข้าแทนข้าด้วย ข้าให้ที่อยู่ไปแล้วนี่!”
“เป่าเล่อ รีบไปเสีย!”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง บัดนี้พวกนักรบพูดพร้อมกันแทบจะเป็นเสียงเดียว พวกเขาโพล่งใส่หวังเป่าเล่อกันเสียงดังลั่น ทุกสายตามุ่งมั่นดั่งเหล็กกล้า มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะดับพวกมันลงได้ นักรบบางคนถึงกับก้าวออกมาขณะที่กล่าวอยู่ แล้วเข้าล้อมรอบกายหวังเป่าเล่อกับเฉินอวี่ถงทันที พวกเขาพร้อมจะพาทั้งสองออกไปจากที่นี่ คนอื่นยืนเตรียมพร้อมจะสละเลือดเนื้อเป็นโล่ต้านพวกอสูรอยู่ที่เดิม
ภาพตรงหน้าทำให้เฉินอวี่ถงชะงักไป ดวงตาของหวังเป่าเล่อแดงก่ำมีน้ำตา รื้นคลอเบ้า เลือดในตัวเขาเหมือนจะหยุดไหลเวียน หัวใจเขาบีบตัวแน่น ชายหนุ่มมองทุกคนรอบตัว แล้วหันไปมองกระแสอสูรหลั่งไหลที่ใกล้เข้ามา สายตาของเขาเลื่อนขึ้นไปมองเหล่าอสูรบนฟ้าและศึกนองเลือดที่เกิดขึ้น
เขาระลึกถึงตอนที่มายังป้อมปราการใหม่ๆ และความรู้สึกซาบซึ้งตอนที่ เหล่านักรบระดับการฝึกตนโบราณอาสาจะปกป้องผู้ฝึกตนอย่างเขา…
แม้จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเพียงสั้นๆ ก่อนที่เหตุอสูรหลั่งไหลจะโผล่มากะทันหันและทำลายทุกอย่างพังพินาศเกินกว่าใครจะคาดคิด แต่ความทรงจำที่พวกเขามีด้วยกัน ทั้งความทรงจำตอนแข่งงัดข้อกับทุกคน ตอนที่แบ่งขนมกันกิน และหัวเราะ พูดคุยไปด้วยกัน ภาพทั้งหมดนั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาหลังเปลือกตาเขา…
ภาพความตายนับไม่ถ้วนกลางสนามรบ ที่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน กลับฝังรากลึกในจิตวิญญาณของเขา ความเจ็บปวดบาดลึกลงไปในหัวใจ…
โดยเฉพาะภาพความตายอันโหดร้ายของชายหนุ่มที่อยากจับคู่น้องสาวของตัวเองให้กับหวังเป่าเล่อ…
แต่ละชั่วขณะซ้อนทับกันไปมา ก่อนกลับมาเป็นภาพตรงหน้าของเขาตอนนี้ แววตาอันจริงจังของบรรดาสหายนักรบเหล่านั้นฉายประกายหวาดกลัว แต่พวกเขายังคงยืนหยัดเตรียมตัวสละชีวิตให้หวังเป่าเล่อกับเฉินอวี่ถงหนีไป
“อาจจะฟังดูโง่เขลา แต่ข้ายังไม่อยากจากไป…ข้าเชื่อว่าข้าสามารถซ่อมปืนใหญ่กระบอกนี้ได้!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก แล้วหันไปทางปืนใหญ่สวรรค์ ดวงตา ทอประกายกระจ่าง จนเห็นดวงไฟอันแรงกล้าลุกโชนอยู่ในนั้น แลดูมุ่งมั่นอย่างที่ ไม่เคยเป็นมาก่อน!