บทที่ 178 อันตรายทุกย่างก้าว
เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทดังแหวกอากาศไม่มีหยุดพัก ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น ทั้งสี่ต่อกรอย่างดุดันกับอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งเจ็ด ศึกของพวกเขาดุเดือดไม่มี เว้นช่วง หากก้าวผิดสักก้าวอาจตัดสินความเป็นความตายได้เลย!
เมื่อต่อสู้กับอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นถึงเจ็ดตัวก็ต้องเป็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนทั้งสี่รับมือกันอย่างยากลำบาก แต่ไม่มีใครถอย พวกเขาทุ่มสุดพลังเพื่อต่อสู้กับพวกมัน อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นอาศัยร่างกายที่ไร้เทียมทาน ทางด้านผู้ฝึกตนมีทั้งสมบัติเวท และวงแหวนปราณใช้ได้ดั่งประสงค์ ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นมีกระทั่งอาวุธเวทระดับเจ็ด!
แค่อาวุธเวทเพียงหนึ่งชิ้นนี้ก็สร้างความตื่นตะลึงและหวาดกลัวให้คู่ต่อสู้ได้แล้ว!
เพราะอาวุธเวทคือวัตถุชั้นเลิศหรูและหายากสำหรับผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น ผู้คนต่างเรียกกันว่าสมบัติอันประเมินค่ามิได้ และมีไม่กี่คนที่ได้เป็นเจ้าของ อาวุธเวทมักจะใช้ในหมู่สุดยอดนักรบประจำขุมอำนาจทางการเมืองทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น!
การต่อสู้กลางเวหาดำเนินไปอย่างดุเดือด ในขณะเดียวกัน การต่อสู้บนพื้นดินก็กลายเป็นแดนสังหารหมู่ไปแล้วโดยสมบูรณ์
กำลังพลนับแสนคนของปราการปะทะกับเหตุอสูรหลั่งไหลบนพื้นดิน ฉากการสังหารอันโหดร้ายสะเทือนจิตวิญญาณและความตายเกิดขึ้นทุกชั่วขณะ เนื้อหนังมังสาฉีกขาด เลือดสาดกระเซ็นไหลโชกอาบแผ่นดิน!
อสูรตัวใหญ่และพวกยักษ์สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ต้องใช้ผู้ฝึกตนหลายคนโจมตีพร้อมกันถึงจะเอาชนะได้ เพราะเช่นนั้นฝ่ายมนุษย์จึงเสียเปรียบ หลายด้านและกำลังจะแพ้ในการศึกนี้
โชคยังดีว่าพวกอสูรได้แต่โจมตีด้วยพลังกาย แต่ฝั่งมนุษย์มีทั้งผู้ฝึกตนด้าน วงแหวนปราณ ผู้ฝึกตนด้านหลอมโอสถ และผู้ฝึกตนด้านฝึกอสูรสมทบอยู่ด้วย พวกเขาจึงยังคอยประคองไม่ให้ฝั่งมนุษย์เสียเปรียบไปมากกว่านี้
เกิดการต่อสู้ทั้งบนท้องฟ้าและบนดิน และมีอีกการต่อสู้หนึ่งเกิดขึ้นระหว่างความสูงทั้งสอง ซึ่งการต่อสู้นี้ก็ดุเดือดเลือดพล่านไม่แพ้กัน!
ปืนใหญ่สวรรค์หลายกระบอกเป็นอาวุธหลักสำหรับการต่อสู้ทางอากาศ คู่ต่อสู้คือเหล่าอสูรบินได้ทั้งหลาย พวกมันว่องไว โหดร้ายและไม่กลัวตาย ถาโถมโรมรันมาข้างหน้าไม่หยุดหย่อน การโจมตีของพวกมันขัดขวางงานซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์และทำให้สมบัติเวทประกอบส่วนเหล่านี้ชำรุดรวดเร็วยิ่งขึ้น
งานซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์เป็นงานที่ต้องใช้เวลานาน ระหว่างที่ซ่อมก็ยังต้อง ยิงออกไปเป็นระยะๆ เพื่อช่วยเหลือการต่อสู้บนท้องฟ้าและพื้นดิน ไม่มีเวลาให้ พวกมันได้บูรณะตัวเองด้วยซ้ำ นักรบประมาณพันคนที่ประจำการอยู่ตามลาน ยืนเรียงแถวเป็นแนวป้องกันกำบังปืนใหญ่สวรรค์เอาไว้
เสียงกู่ร้องออกรบดังแหวกอากาศอย่างต่อเนื่อง บนลานยังเนืองแน่นไปด้วย ปืนใหญ่สวรรค์ที่อักขราจารึกแตกร้าวรอให้นักหลอมอาวุธเวทมาซ่อมแซม ขณะเดียวกันบรรดาอสูรก็กระหน่ำโจมตีไม่หยุดยั้ง จนกระบอกเหล่านั้นไม่อาจรองรับความเสียหายได้ไหวแล้วพังไปในทันที
เมื่อปืนใหญ่สวรรค์พัง ลานเหล่านั้นก็โดนฝูงอสูรทะยานเข้ามารุมทันที พวกมันร่อนลงมาข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งกระหายเลือด จำนวนผู้เสียชีวิตพุ่งสูง กลายเป็นเหตุการณ์นองเลือดไปในที่สุด
เฉินอวี่ถง โจวเผิงไห่ ซุนฟาง และนักหลอมอาวุธเวทจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าทั้งหลายต่างเดือดดาลจนเส้นเลือดแดงผุดในดวงตา ภาระที่พวกเขาต้องแบกรับ หนักหนาเกินไป ต้องซ่อมแซมไป ระวังการโจมตีของอสูรไป ทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายของเหล่าอสูรไปโดยปริยาย
ตอนนั้นหวังเป่าเล่อเพิ่งบูรณะปืนใหญ่สวรรค์ให้พอใช้งานได้ระดับหนึ่ง ก็ต้องรีบกระโจนหนีออกไป ชายหนุ่มได้ยินเสียงร้องด้วยความทรมาน พอหันไปมองผ่าน เกราะระฆังทองคำและแนวนักรบที่คุ้มกันตัวเขาเอาไว้อยู่ ก็เห็นอสูรเจ็ดแปดตัว แหวกผ่านสมบัติเวทเกราะคุ้มกันบนลานปืนใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป เข้าฉีกร่างนักหลอมอาวุธเวทจากสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์ คนหนึ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
ท่ามกลางไอเลือดที่ก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ อสูรนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานตรงเข้าใส่ ลานปืนใหญ่ การต่อสู้ที่ตามมาจบลงด้วยความตายของสัตว์อสูรเหล่านั้นและ บรรดานักรบอีกหลายร้อยชีวิต…
ถ้าเป็นที่อื่น เวลาอื่น พวกเขาจะมีผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์คอยประกบอยู่ใกล้ๆ เพื่อคุ้มกันพวกเขา แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด เกราะคุ้มกันเดียวที่เหล่านักหลอมอาวุธเวทมีคือ สมบัติเวทของตัวเองและนักรบราวพันคนบนแต่ละลานที่ตัวเองประจำอยู่!
หวังเป่าเล่อสนิทสนมกับพวกนักรบเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่เดินทางไปยังลาน ปืนใหญ่สวรรค์ที่ตนต้องดูแล บรรดานักรบเหล่านั้นจะรีบมาให้การอารักขาเขาเอาไว้ แล้วใช้ร่างของตนเป็นเกราะกำบังป้องกันเขาจากฝูงอสูรดาหน้าเข้ามา
เกราะระฆังทองคำของเขาก็มีประโยชน์อย่างยิ่งในเวลานี้ เขาจึงโยนออกไปยังลานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่อีกเป็นสิบชิ้น
นักหลอมอาวุธเวทคนอื่นทำแบบเดียวกัน พวกเขาดึงวัตถุเวททั้งหมดที่ใช้ได้ออกมา หวังเป่าเล่อถึงขั้นแจกจ่ายวัตถุเวทที่ตนเองหลอมขึ้นให้พวกนักรบที่คุ้มกันเขาอยู่ เพื่อเสริมพลังป้องกันให้แก่พวกเขา
ถึงแม้จะทำขนาดนั้นก็ยังมีคนตาย อสูรติดปีกบนฟ้ารวมตัวกันเหมือนก้อนเมฆทมิฬ จำนวนของพวกมันเกินนับไหว อสูรระดับลมหายใจเที่ยงแท้ในฝูงมักโจมตีพร้อมกันทีละสิบตัวหรือมากกว่านั้นด้วยพลังมหาศาล
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะปล่อยยุงออกไปเช่นก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเจออสูรจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไป พวกยุงก็ไม่ต่างอะไรกับหยดน้ำเล็กจิ๋วในมหาสมุทร พวกมันแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน
ภัยคุกคามโผล่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่านักหลอมอาวุธเวทจะทำงานซ่อมแซมกันหนักเพียงใด ปืนใหญ่สวรรค์รอบกายก็ยังมีปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกครั้งที่ ปืนใหญ่พังก็ย่อมจะมีคนตายเพิ่มขึ้นตามมาด้วย
ในตอนนั้น หวังเป่าเล่อเพิ่งซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์กระบอกหนึ่งเสร็จ มันปล่อยระเบิดลำแสงยิงออกไปในอากาศ ประสานเข้ากับแรงโจมตีจากผู้ฝึกตน ขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งสี่ เข้าโจมตีเหล่าอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่น แรงกระชากอย่างรุนแรงจากการยิงนัดนั้นออกไปทำให้ปืนใหญ่ขัดข้องก่อนจะพังลงต่อหน้าต่อตา!
อสูรติดปีกระดับลมหายใจเที่ยงแท้สบโอกาสที่ปืนใหญ่เสียหาย ร่อนเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง นำกองทัพอสูรติดปีกระดับการฝึกตนโบราณอีกนับพันโฉบลงมาด้วย พวกมันถล่มเข้าใส่เกราะระฆังทองคำอย่างจัง
เสียงกระหึ่มดังก้องแหวกอากาศ บรรดาอสูรติดปีกดีดตัวเองถอยออกมา ร่างของพวกมันสั่นเทิ้ม เกราะระฆังทองคำก็สั่นสะเทือนเช่นกัน แต่พลานุภาพของมันสูงกว่ามากนัก เกราะจึงไม่มีแม้แต่รอยแตกร้าว
“หนีไป!” หวังเป่าเล่อรีบตะโกนแล้วถอยร่นอย่างเร็วไปพร้อมกับนักรบบนลานแห่งนั้น อสูรพวกนี้ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาหนีไปได้ รีบโถมร่างกลับเข้ามาอีกครั้ง ไอสังหารแผ่ออกมาจากร่างกายของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มร้องคำรามลั่น
“ไปรอข้าที่ลานถัดไป!” เขาว่าพลางรีบพุ่งตัวออกจากม่านคุ้มกันของเกราะ ระฆังทองคำ ก้าวขึ้นไปบนเรือบิน มือขวาสวมถุงมือกำแน่นเป็นหมัดแล้วต่อยออกไป!
ปราณวิญญาณหมุนวนเข้ามารวมกันไว้กลายเป็นคลื่นพายุก่อนปล่อยหมัดออกไป บรรดาอสูรทั้งหลายโดนพายุลูกนั้นกระแทกส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวด ร่างแหลกสลายเป็นเศษเสี้ยวตามทางที่พายุผ่านไป
หวังเป่าเล่อเรียกผนึกมือขึ้นมาอีกทันทีหลังต่อยหมัดแรกออกไปไม่เว้นช่วง คมมีดตัดเฉือนอากาศ กระบี่เหาะเหินรวมกันเป็นสายน้ำแล้วพุ่งออกไปจากรอบตัวเขา
โลหิตพรั่งพรูลงมาจากท้องฟ้าราวกับหยาดฝนสีทับทิมในบัดดล แขนเสื้อของ หวังเป่าเล่อเปื้อนรอยสีแดง เขามองอสูรรอบตัวถอยร่นไป สีหน้าถมึงทึงขึ้นมา มือซ้ายเขาเรียกผนึกมือขึ้นมาอีก เกิดเป็นหมอกลอยโอบล้อมรอบตัวเขา ชายหนุ่มกลับหลังทันทันควัน มือซ้ายกำแน่นซ่อนเอาไว้ข้างหลัง
“คิดจะลอบโจมตีโคตรบิดาเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่น ผนึกมือของหวังเป่าเล่อตั้งกระบวนท่าดัชนีเมฆา คว้าหมับเข้าที่ลำคอของอสูรระดับลมหายใจเที่ยงแท้ที่พยายามจะลอบกัดเขาเอาไว้ ร่างของมันระเบิดออกทันทีที่ถูกสัมผัส!
เลือดสดปลั่งแดงฉานทะลักทลายออกมา หวังเป่าเล่อไม่รอช้ารีบถอยร่นไปรวมกลุ่มกับนักรบที่อยู่ในเกราะระฆังทองคำทันที ทุกคนต่างเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาอย่างยิ่ง เมื่อรวมกลุ่มเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็รีบมุ่งหน้ากลับปราการทันที
พวกนักรบไม่มัวหยุดพักหรือแวะรับใคร พวกเขารีบมุ่งหน้าไปยังลานปืนใหญ่สวรรค์กระบอกอื่นทันที หวังเป่าเล่อหอบหนักพลางเอาโอสถออกมากินแล้ว เดินหน้าต่อ ยังไม่ทันที่โอสถจะละลาย ชายหนุ่มก็ขึ้นไปอยู่บนเรือบินของตัวเอง มุ่งหน้าออกไปอีกครั้งแล้ว
การต่อสู้ระดับท้องฟ้าดำเนินต่อไป พวกอสูรติดปีกกลางอากาศแผ่เงาปกคลุมผืนดินเบื้องล่าง ซึ่งมีบรรดาอสูรหลั่งไหลแผดเสียงคำรามกันอยู่สนั่นหวั่นไหว ฉากการรบแพร่ขยายจากบริเวณป่าดึกดำบรรพ์ไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ภยันตรายรอคอยอยู่ทุกหนแห่ง และความตายคอยตามเป็นเงาในทุกย่างก้าว หวังเป่าเล่อกัดฟันกรอด แววตาเขาฉายแววคลุ้มคลั่ง เขายังไม่ลืมภารกิจของตัวเอง แค่เสียปืนใหญ่สวรรค์ไปสามกระบอกไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขายังมีอีกเจ็ดกระบอกที่ ใช้การได้และยังระดมยิงต่อไปอยู่
ทุกคนยังคงยืนหยัดต่อสู้ ไม่มีใครหนีไปจากตรงนี้สักคน!
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่หวาดกลัว แต่มีหน้าที่ที่พวกเขาต้องทำแม้จะหวาดกลัวเพียงใด!
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่กลัวตาย การมายืนในสนามรบแห่งนี้เสียสมาธิแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้ จะกล่าวว่าไม่กลัวอะไรทำนองนั้นเลยก็เกินจริงไปสักหน่อย แต่คนส่วนใหญ่ที่คิดแบบเดียวกันก็ถูกสังหารสิ้นไปแล้ว
ภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อสะเทือนใจเขายิ่งนัก โลหิตของเขาเดือดพล่าน ประหนึ่งมีเชื้อเพลิงมาจุดให้มอดไหม้ ความบ้าคลั่งในดวงตาเขาฉายชัดขึ้น ชายหนุ่มยืนอยู่ในเรือบินซึ่งได้รับความเสียหายจากการต่อสู้และกรงเล็บอสูร เร่งรุดไปยังแท่นปืนใหญ่สวรรค์อันถัดไป
ขณะที่กำลังเร่งเครื่องออกไปนั้น ชายหนุ่มก็พลันรู้สึกเสียววาบขึ้นที่หลังศีรษะ เขากระโจนลงจากเรือบินทันทีโดยไม่ต้องคิด เมล็ดดูดกลืนในตัวเขาสำแดงพลังตามมาทันควัน แรงสูบของมันกระชากร่างของหวังเป่าเล่อเข้าไปยังฟากหนึ่งของปราการอย่างรุนแรง เขาปล่อยให้เรือบินลำนั้นแล่นของมันต่อไป
หลังจากที่หวังเป่าเล่อตัดสินใจทำเช่นนั้น ก็พลันมีลำแสงสีดำมากกว่าสิบสายพุ่งลงมาแต่ไกลจากบนฟากฟ้า จากตำแหน่งที่บรรดาผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งสี่ยังคลุกวงในต่อสู้กับอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งเจ็ดอยู่
บอกไม่ได้ว่าอสูรตัวใดจู่โจมเขาเมื่อครู่ แต่เป้าหมายของลำแสงสีดำที่พุ่งมานั้นไม่ใช่ปืนใหญ่สวรรค์ หากแต่เป็นบรรดานักหลอมอาวุธเวท!
เฉินอวี่ถงและปราณขั้นสุดยอดระดับลมหายใจเที่ยงแท้ของเขายังแทบจะรับมือกับการโจมตีไม่ได้ เขาใช้สมบัติเทพทั้งหมดที่มีอยู่เกือบสิบชิ้นขึ้นมาป้องกันตัว ทุกชิ้นสูงกว่าระดับสามด้วยซ้ำ กระนั้นเขาก็ยังกระอักเลือดออกมาอยู่ดี
ฝ่ายหวังเป่าเล่อ เรือบินของเขาถูกลำแสงสีดำเหล่านั้นยิงจนพรุนในวินาทีเดียวกับที่เขากระโจนออกมา ตอนเรือบินระเบิดออก ลำแสงสีดำก็ยังหักเหพุ่งมา ทางเขา แรงสูบจากเมล็ดดูดกลืนภายในกายกระชากเขาหักศอกลงสู่กำแพงปราการ รอดจากลำแสงสีดำหวุดหวิดเป็นหนที่สอง
ท่ามกลางเสียงระเบิดในสงคราม แสงสีดำลำนั้นเฉียดผ่านหวังเป่าเล่อไป เส้นยาแดงผ่าแปด พุ่งกระแทกพื้นเบื้องล่างระเบิดดังสนั่นก้อง หวังเป่าเล่อ หอบหายใจเฮือก เงยศีรษะขึ้นมองอย่างตกตะลึง
บนท้องฟ้าบริเวณที่อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นกำลังต่อสู้อยู่นั้น อสูรสีดำสนิทรูปร่างคล้ายม้ามีเขาเหมือนกำลังมองมาทางเขากับเฉินอวี่ถงอย่างเยือกเย็น
มีแค่พวกเขาสองคนที่รอดตายจากลำแสงสีดำจำนวนมากนั้น หวังเป่าเล่อหลบได้ตั้งแต่ดอกแรก ซึ่งยากยิ่งกว่าต้านทานลำแสงนั้นเสียอีก อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นตนนั้นคงไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
เพราะอันที่จริงระดับการฝึกตนอย่างหวังเป่าเล่อไม่ควรจะหลบการโจมตีได้ด้วยซ้ำ แต่หวังเป่าเล่อสามารถมองเห็นผ่านสายตาบรรดายุงของเขาได้ ทำให้รู้ทันการโจมตีที่จะเกิดขึ้น ทั้งยังมีเมล็ดดูดกลืนที่ช่วยให้เขาเหมือนเหาะเหินเดินอากาศได้ อย่างที่ ผู้ฝึกตนระดับเดียวกันกับเขาไม่สามารถทำได้ นับเป็นตัวช่วยที่คาดไม่ถึงและทำให้เขาหนีรอดสำเร็จ
หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัว เหงื่อกาฬผุดท่วมหน้าผากเมื่อเพิ่งรอดจากภยันตรายที่รุนแรงกว่าเดิมมาหมาดๆ เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดคิด เสียงระเบิดและเสียงร้องโหยหวนด้วยความทรมานของผู้เสียชีวิตดังก้องในหูของเขาไม่ว่างเว้น
การซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์มีอันต้องหยุดชะงัก เพราะลำแสงสีดำนั้นสังหาร นักหลอมอาวุธเวทไปหลายคน ปืนใหญ่สวรรค์ที่เหลืออยู่แทบทำงานไม่ไหวแล้ว ยิ่งระดมยิงไปอีกระลอก ก็ยิ่งมีกระบอกที่ใช้การไม่ได้เพิ่มขึ้นอีก!