บทที่ 177 คลื่นเสียงสะกดปราณ
หวังเป่าเล่อประจำการอยู่ในปราการย่อยแห่งหนึ่งตามแนวป้องกันลำดับเจ็ด กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติอยู่ เขาไม่มีความสามารถในการบัญชาการรบ และไม่ได้มีระดับปราณทรงพลังจนไร้พ่าย เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาก็เป็นเพียงศิษย์ระดับลมหายใจเที่ยงแท้คนหนึ่งเท่านั้น
เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ร่างกายของเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ แต่นักรบระดับการฝึกตนโบราณรอบตัวเขายังคงสู้ศึกต่อไป ในฐานะผู้ฝึกตนแล้ว เขาจะบังอาจคิดหนีการต่อสู้กับเหตุอสูรหลั่งไหลได้อย่างไร
ลองสักตั้ง! หวังเป่าเล่อตัดสินใจ คลื่นสังหารพวยพุ่งออกมาจากตัวเขาราวกับตอนอยู่ที่ป่าฝนบ่อเมฆอีกครั้ง เขากระโจนขึ้นไปในอากาศ เหยียบขึ้นไปบนเรือบิน แล้วเคลื่อนตัวออกไป ทั้งที่ยังต้องรับผิดชอบดูแลปืนใหญ่สวรรค์อีกสิบกระบอก เขายังคอยตรวจซ่อมแซมสภาพของพวกมันไม่มีหยุดพัก คอยดูให้แน่ใจว่าทุกกระบอกทำงานได้อย่างไร้ข้อติดขัด
ตอนนั้นเอง คลื่นสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนข้างนอกปราการพุ่งตรงเข้ามาในอาณาเขตสามพันเมตร สุ้มเสียงยามพวกมันเคลื่อนที่เข้ามาดังสนั่น ผู้บัญชาการ เคราหนามองพวกมันเข้ามาใกล้ แววตาเขาฉายแววบ้าคลั่ง เขายกมือขวาขึ้นแล้วกวาดไปด้านข้างอย่างรุนแรง
“อักษรปราณ!”
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้น อาณาเขตสามพันเมตรรอบปราการมีวงแหวนปราณโผล่ขึ้นมา นักหลอมวงแหวนปราณจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าและปรมาจารย์ วงแหวนปราณประจำกองทัพต่างเปิดฉากโจมตี พวกเขาเรียกใช้พลังวงแหวนปราณที่ ฝังอยู่ใต้พื้น พลันปราณวิญญาณพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าภายในอาณาเขตสามพันเมตร แสงของวงแหวนปราณสว่างเจิดจ้าแสบตา
ดั่งว่ามีพลังของขุนเขาที่มองไม่เห็นเคลื่อนตัวลงมาแล้วแปรเป็นพลังแข็งแกร่งที่ปกคลุมตัวเหนืออาณาเขตสามพันเมตร!
อสูรที่พุ่งเข้าใส่อาณาเขตสามพันเมตรเข้ามาภายในแสงสว่างแสบตาของ วงแหวนปราณส่งเสียงคำรามกึกก้อง พวกมันเหมือนจมหายลงไปใต้โคลนถล่ม การเคลื่อนไหวช้าลงจนกลายเป็นคลาน ขณะกระเสือกกระสนพวกมันก็ส่งเสียงร้องเกรี้ยวกราดทว่าไร้ผลใดๆ
ขณะที่วงแหวนปราณชะลอความเร็วของอสูรเหล่านั้น กระบี่เหาะเหินก็พุ่งออกมาจากข้างในปราการมากมายเป็นห่าฝนจนน่าตกใจ กระบี่ทั้งหมดเป็นของกองทัพกระบี่เหาะเหินร่วมกับของผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์จากสำนักศึกษาเต๋า และของ ผู้ฝึกตนประจำกองทัพคนอื่น กระบี่เหาะเหินทะยานตรงไปยังอาณาเขตสามพันเมตร ตัดสะบั้นทุกอย่างที่พวกมันพุ่งผ่าน
กระบี่แต่ละเล่มบินประสานกันกลายเป็นม่านกระบี่ ทันใดนั้นเองก็บังเกิดเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดดังขึ้น กลิ่นคาวเลือดสดอบอวลหนักในอากาศ ผืนดินข้างนอกปราการอาบสีแดง มองจากไกลๆ แล้วเหมือนพรมจากเศษเนื้อและโลหิต
เลือดและความรุนแรงคาวคลุ้งในอากาศ ถ้าเป็นเวลาอื่นคงจะมีคนอาเจียนออกมาแล้ว แต่ในสนามรบเช่นนี้ กลิ่นคาวเลือดยิ่งกระตุ้นอสูรให้บ้าคลั่งกระหายเลือด และปลุกเร้าให้มนุษย์ยิ่งอยากเข่นฆ่ายิ่งขึ้น!
วงแหวนปราณกับกระบี่เหาะเหินร่วมกันเปลี่ยนอาณาเขตสามพันเมตรให้กลายเป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีอสูรตนใดจะผ่านไปได้ ปืนใหญ่สวรรค์ที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จอย่างรวบรัดเริ่มกระหน่ำยิงอีกครั้ง เป้าหมายคืออสูรที่อยู่พ้นอาณาเขตสามพันเมตรไป!
ทั้งภายในอาณาเขตสามพันเมตรและพ้นตรงนั้นไปไม่ต่างจากนรกบนดิน ฝูงอสูรกู่ร้องโดนฉีกกระชากกลายเป็นเศษเนื้อในกองหญ้าหนา
ภาพความพินาศของพวกมันช่วยให้ฝั่งมนุษย์เกิดแรงฮึกเหิม เมื่อพวกเขาเงยหน้ามองไปยังแนวป่าดึกดำบรรพ์ที่อยู่ไกลออกไป ก็ยังคงเห็นกระแสอสูรหลั่งไหลปกคลุมพิภพกลบสวรรค์ เป็นมหาสมุทรที่แผ่ไพศาลไปตามเส้นขอบฟ้าสุดสายตา…
ภาพตรงหน้าทำเอาทุกคนรู้สึกหนักอึ้งในอก
ผู้บัญชาการเคราหนามองภาพดังกล่าวแล้วสูดลมหายใจก่อนจะส่งเสียงดังก้องกังวานไปทั้งปราการ
“พี่น้องทั้งหลาย และสหายจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า อย่าได้กลัว ข้า ตาแก่จาง ปกปักรักษาที่แห่งนี้มาเป็นสิบปีแล้ว ข้าเห็นเหตุอสูรหลั่งไหลมามากมาย ครั้งนี้อาจจะใหญ่หลวงก็ตริง แต่จากประสบการณ์ที่ข้ามีบอกข้าว่าหากเรายืนหยัดเอาตัวรอดจากคลื่นลูกนี้ไปได้ เหตุอสูรหลั่งไหลก็จะลดลงแล้วอ่อนกำลังไปเอง!”
เห็นได้ชัดว่าผู้บัญชาการเคราหนาไม่สันทัดในการปลุกใจคนขี้ขลาดนัก แต่ถึงกระนั้นคำพูดของเขาก็เสริมขวัญกำลังใจให้ใครหลายคน บังเกิดประกายความหวังในแววตาของพวกเขาเหล่านั้น
หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขารู้ว่าความหวังเป็นสิ่งสำคัญต่อใครหลายคนในเวลาเช่นนี้ เขาเคลื่อนตัวไปอย่างว่องไวไร้เสียงแล้วทำงานของเขากับ ปืนใหญ่สวรรค์ต่อ
เขารู้ว่าหน้าที่ส่วนของเขามีความหมายน้อยนิดกับสนามรบ ทั้งหมดที่เขาทำได้คือตรวจสอบให้แน่ใจว่าปืนใหญ่สวรรค์ที่ตนดูแลอยู่รักษาระดับการทำลายล้างไว้ได้คงที่
การต่อสู้ดำเนินต่อไป แผ่นดินสั่นไหว ภูเขาสะเทือน เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า เวลาที่เคยหมดไปอย่างรวดเร็วในวันธรรมดาดูเหมือนกำลังคืบคลานอย่างเอื่อยเฉื่อยในสนามรบ
เหตุอสูรหลั่งไหลไม่ยอมหยุดหย่อน จำนวนของพวกมันไม่จบไม่สิ้น แต่ด้วยพลังทำลายล้างของวงแหวนปราณ ห่ากระบี่เหาะเหิน และการระดมยิงของปืนใหญ่สวรรค์ ดูเหมือนจะทำให้ฝั่งมนุษย์เริ่มตีตื้นฝั่งอสูรได้แล้ว!
เหล่าอสูรดุร้ายที่ทะลักเข้ามาพุ่งไปข้างหน้า ไม่แยแสว่าจะโดนกวาดล้างไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยังคงถูกสกัดกั้นไว้ไม่ให้ก้าวล้ำเข้ามาในอาณาเขตสามพันเมตร แม้ว่าอสูรพวกนั้นจะหลบปืนใหญ่สวรรค์ได้ ก็ยังโดนวงแหวนปราณกับกระบี่เหาะเหินสังหารสิ้นอยู่ดี
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฝั่งอสูรคงอยู่เฉยได้อีกไม่นาน…หวังเป่าเล่อมีสีหน้าขึงขัง เขายังคงซ่อมปืนใหญ่สวรรค์ต่อไปพลางเงยหน้าขึ้นมองไปยังพายุหมุนที่อยู่ไกลออกไป กับบรรดาอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งเจ็ดที่ยังไม่ขยับเข้ามาโจมตี
วินาทีที่เขามองยังพายุหมุน นัยน์ตาเขาหรี่ลงจนเหลือเพียงเสี้ยว เขามองพายุหมุนขยายตัวแล้วแผ่ออกกะทันหัน ดันหมู่เมฆให้ไหลเป็นกระแสคลื่น ก่อนที่อะไรบางอย่างจะบินออกมาจากตาพายุขณะที่เมฆกำลังม้วนตัวออก…
ค้างคาวยักษ์!
ค้างคาวตัวนั้นเป็นสีม่วงทั้งเรือนร่าง ดวงตาเป็นประกายโหดร้ายเยือกเย็น มันบินออกมาจากตาพายุไปหยุดอยู่ตรงขอบพายุหมุน อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งเจ็ดรีบเข้าล้อมคุ้มครองมันไว้เป็นวงรอบ
เมื่อค้างคาวตัวนั้นปรากฏขึ้น หลายคนถึงกับผวา แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ชะงักไปครั้นได้เห็นค้างคาวชัดๆ กับตา เขาหายใจเร็วขึ้น เสียงครืนครันดังขึ้นในหัว
ในตอนที่ทุกคนกำลังเสียศูนย์ เจ้าค้างคาวก็อ้าปากกว้าง สีหน้าฉายแววป่าเถื่อน มันตั้งท่าน่าเกรงขามราวกับจะส่งเสียงกรีดร้องสยองพอง ก่อนระเบิดคลื่นเสียง ความถี่สูงใส่ปราการในที่สุด
ผู้ใช้ปราณระดับการฝึกตนโบราณไม่อาจรับรู้ถึงคลื่นเสียงความถี่สูงนั้นได้ แต่ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ต่างโดนพลังของมันกันเข้าอย่างจัง เหมือนมี กระบี่แหลมเสียบทะลุสมองพวกเขา ผู้ฝึกตนหลายคนส่งเสียงร้องเจ็บปวดกันออกมาทันที ทั้งร่างหวังเป่าเล่อสั่นไหวเช่นกัน แต่โชคยังดีที่เมล็ดดูดกลืนสำแดงพลังได้ทัน จึงป้องกันไม่ให้เสียงร้องแหลมทะลวงเข้ามาในจิตใจเขาได้ กระนั้นจมูกของเขาก็ยังหลั่งเลือดออกมาอยู่ดี
เสียงฟ้าร้องดังประสานกับเสียงคลื่นอักขราจารึกที่ระเบิดออกมาจากข้างในตัวค้างคาว กวาดตรงมายังปราการด้วยความเร็วสูง ตัดข้ามอาณาเขตสามพันเมตรภายในพริบตาเดียว ตรงใดที่พลังนั้นผ่าน อักขราจารึกบนวงแหวนปราณจะมีสีเข้มขึ้นแล้วใช้การไม่ได้ทันที!
ห่ากระบี่เหาะเหินสูญเสียประสิทธิภาพไปพร้อมกันและไม่เหลือความว่องไวแต่อย่างใด เจ้าของกระบี่เหล่านั้นรีบเรียกกระบี่ของตนกลับมาทันที แต่ก็สายไปเสียแล้ว กระบี่บางเล่มแตกกระจายไปเสียก่อน
ความเสียหายใหญ่หลวงที่สุดอยู่ที่ปืนใหญ่สวรรค์ ดูท่าแล้วเป้าหมายแท้จริงของเจ้าค้างคาวก็คือปืนใหญ่นั่นเอง คลื่นอักขราจารึกของอสูรค้างคาวพุ่งตรงมาทางนี้ ทำเอาปืนใหญ่สวรรค์นับร้อยสั่นอย่างแรงในคราวเดียว ดูเหมือนปืนใหญ่เหล่านั้นจะสูญเสียอานุภาพทั้งหมดไป กลายเป็นเพียงเศษเหล็กในบัดดล!
ปืนใหญ่สวรรค์ที่หวังเป่าเล่อดูแลอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น หวังเป่าเล่อปาดเลือดออกจากจมูก อดทนเมินเฉยต่อความรู้สึกคับข้องใจ แล้วรีบไปตรวจสภาพปืนใหญ่สวรรค์ทันที เขาพบอย่างรวดเร็วว่าอักขราจารึกที่สลักไว้ข้างในปืนใหญ่สวรรค์สลายกลายเป็นผงไปแล้ว!
เดิมทีหากปืนใหญ่สวรรค์ได้รับความเสียหาย มันจะทำลายตัวเอง แต่บัดนี้ไม่เป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อรีบตรวจสอบปืนใหญ่ที่เหลือแล้วพบว่ามีบางกระบอกที่มีรอยแตกบนอักขราจารึก ปืนใหญ่พวกนี้จวนเจียนจะพังโดยสมบูรณ์!
นี่มันอสูรอะไรกัน หวังเป่าเล่อตะลึงงันสุดขีด เขาเพิ่งเคยเจออสูรที่ทำแบบนี้กับอักขราจารึกได้เป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าผู้บัญชาการเคราหนาไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นโกรธจัด
การโจมตีเมื่อครู่ทำลายแต้มต่อของฝั่งมนุษย์ก่อนหน้านี้ไปเสียสิ้น ทุกคนในปราการต่างตกใจตัวแข็งทื่อ เสียงเหล่าอสูรคำรามดังก้องในอากาศ เหตุอสูรหลั่งไหลเหมือนคลื่นยักษ์ที่โถมซัดมาจากระยะห่างสามพันเมตร พุ่งเข้าใส่ปราการอย่างบ้าคลั่ง
จังหวะนั้นเอง บังเกิดปราณกระบี่สี่เล่มพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าจากภายในปราการ ปราณวิญญาณมากล้นจากปราณกระบี่ทั้งสี่เหนือกว่าปราณระดับลมหายใจเที่ยงแท้ รังสีที่แผ่ออกมาเทียบเท่าสัตว์อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นริมขอบพายุหมุน ให้ความรู้สึกแทบจะไม่ต่างกัน และเรียกว่าแข็งแกร่งกว่าก็ย่อมได้!
ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น! ดวงตาหวังเป่าเล่อเบิกกว้าง หัวใจเขากระตือรือร้นตื่นเต้นขณะที่มองไปยังปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า กระบี่เหาะเหินมีกันอยู่สี่เล่ม บนกระบี่เหล่านั้นมีบุรุษสามคนและสตรีหนึ่งคน!
บุคคลทั้งสี่แผ่มวลพลังน่ายำเกรงมากล้น เห็นได้ชัดว่าทั้งสี่ซ่อนตัวรอคอยมาเป็นเวลานาน ที่พวกเขาเพิ่งเผยตัวกันออกมาอย่างน่าเกรงขามเช่นนี้ เป็นเพราะเป้าหมายของพวกเขาคือเจ้าอสูรค้างคาวที่โผล่มาจากใจกลางพายุหมุนนั่นเอง!
ตอนที่พวกเขาทะยานออกไปราวกับสายฟ้าฟาด สัตว์อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่น ทั้งเจ็ดรอบอสูรค้างคาวตัวนั้น ก็ปรี่มาข้างหน้าแล้วสกัดกั้นพวกเขาเอาไว้ ดวงตาของพวกมันฉายแววกระหายเลือด
ทั้งสี่คงคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ ตอนแรกพวกเขาวางแผนไว้ว่าจะรออีกสักหน่อย แต่อสูรค้างคาวเปิดฉากโจมตีรุนแรงเกินไป หากพวกเขายังหน่วงเวลาต่อ เห็นทีจะต้องมีคนตายมหาศาล หรือกระทั่งปราการอาจจะล้มครืนลงมา พวกเขาจึงจำเป็นต้องโจมตีเสียตั้งแต่ตอนนี้
ถือว่าผิดแผนเล็กน้อย อันที่จริงพวกเขาควรจะปล่อยให้ปราการทลายไป ในเมื่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาคือกำจัดค้างคาวเท่านั้น จากที่พวกเขาประเมินกันไว้ หากค้างคาวตัวนั้นตายจะถือเป็นความเสียหายอย่างหนักสำหรับฝั่งอสูรหลั่งไหล
แต่พวกเขายังมีจิตวิญญาณแห่งผู้ฝึกตนอยู่ พวกเขาก้าวขึ้นมาทีละก้าว จากคนธรรมดากว่าจะถึงตำแหน่งในปัจจุบันได้ จะให้พวกเขาไม่สนความเป็น ความตายของคนจำนวนมากนั้นไม่มีทางเป็นอันขาด!
สี่ผู้ฝึกตนปะทะกับเจ็ดอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นเกิดเป็นศึกกลางเวหา ดูเหมือน พวกเขาตั้งใจจะซุ่มโจมตี แต่หลายคนในปราการบอกได้ทันทีว่าพวกเขากำลังโจมตีแบบดุดันและเบี่ยงความสนใจของอสูรทั้งเจ็ดเอาไว้ เพราะพวกมันเป็นอสูรที่จะพร้อมปล่อยพลังทำลายล้างมหาศาลทันทีที่เข้าสนามรบ!
ภาพเบื้องหน้าทำเอาหวังเป่าเล่อเย็นสันหลังวาบอีกครั้ง ลมหายใจเขากระชั้นขึ้นอีก ประกายตาของชายหนุ่มสุกใสดุดันยิ่งขึ้นยามเขามองไปยังเหล่าอสูรรอบกาย ร่างของเขาส่ายตอนปรี่เข้าไปซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี อสูรหลั่งไหลระดับพื้นดินเข้ามาใกล้พร้อมเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหว ปืนใหญ่สวรรค์กระบอกที่เหลืออยู่เริ่มยิงอีกครั้ง ยิ่งยิงออกไปแต่ละนัด อักขราจารึกที่ปริร้าวอยู่ก็ยิ่งทำให้อานุภาพของมันไม่คงที่ บางกระบอกส่งเสียงครืดคราดชวนสิ้นหวัง ก่อนจะพังสนิทในนัดต่อมา
ผู้บัญชาการเคราหนาเห็นทุกอย่าง เขาคำรามลั่น ดวงตาแดงก่ำ “นักหลอมอาวุธเวททุกคน ทุ่มพลังทั้งหมดซ่อมปืนใหญ่สวรรค์ จะให้ปืนใหญ่สวรรค์พังทลายไม่ได้! พวกข้าจะถ่วงเวลาไว้ให้พวกเจ้า!”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นจบ ผู้บัญชาการเคราหนาก็ออกคำสั่งเพิ่มเติม พริบตาต่อมา ทั้งกองทัพก็พุ่งออกไปนอกปราการ เหลือเพียงไม่กี่คนไว้คอยตั้งรับอยู่ประจำ ตำแหน่งเดิม ผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่านักรบออกไปสู้กับเหตุอสูรหลั่งไหลอีกรอบหนึ่ง!