บทที่ 176 ภยันตรายมาเยือน
หวังเป่าเล่อเข้าประชิดตัวมันในทันใด เขาคว้าเขี้ยวอสูรตัวนั้นแล้วกำลังจะดึงออกมา จังหวะเดียวกับที่เจ้าอสูรปล่อยสายฟ้าออกมาจากเขี้ยวฟันระหว่างที่มันขัดขืน สายฟ้านั้นยิงเข้าใส่หวังเป่าเล่อ และกระแทกเอาเศษปราณวิญญาณสุกใสในตัวเขาออกมาเป็นสะเก็ด
พลังสายฟ้านั้นเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดจากการฝึกฝนกับแม่นางน้อย ในหน้ากากนิล เรียกได้ว่าไม่กระเทือนเขาแม้แต่น้อย ร่างกายของหวังเป่าเล่อยังขยับต่อไม่มีหยุดพัก เขาถอนเขี้ยวอสูรตนนั้นออกมาฉับพลัน
หวังเป่าเล่อรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านหัวใจด้วยความพึงพอใจอันน่าอวดเบ่ง เขามองไปรอบๆ สนามรบ สัตว์อสูรถูกสังหารไปกว่าครึ่งหนึ่งของฝูง ยังไม่รวมอสูรอีกหลายตัวเริ่มล่าถอย จุดจบของเหตุอสูรหลั่งไหลรอบนี้ใกล้มาถึงแล้ว ทว่าตอนนั้นเอง พื้นดินกลับสั่นสะเทือนขึ้นต่อเนื่อง บนท้องฟ้าไกลออกไป มีพายุหมุนขนาดใหญ่ปานจะพัดสวรรค์แยกพลันปรากฏขึ้น ขนาดของมันใหญ่กว่าลูกก่อนหน้าสิบเท่า!
พายุหมุนกอปรจากฝุ่นผงและหน้าดินที่โดนพัดลอย สมทบกับฝูงอสูรบนท้องฟ้า สร้างเป็นเงาปกคลุมผืนนภาและปฐพี เมื่อพายุหมุนเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งแรงขึ้น ไม่มีนักรบหรือผู้ฝึกตนคนใดไม่สั่นสะท้าน พวกเขายืนนิ่งตะลึงงันด้วยความไม่เชื่อสายตา ก่อนจะมีเสียงผิวปากแหลมเสียดหูยิ่งกว่าครั้งแรกดังออกมาจากปราการ
เสียงผู้บัญชาการเคราหนาฟังดูร้อนรนและทุ้มต่ำอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้อยคำของเขาดังกลบไปทั่วสนามรบ
“กองทัพที่หนึ่งและผู้ฝึกตนทุกคน ถอยกลับมาเดี๋ยวนี้!”
“ใช้วงแหวนปราณ!”
“พลทหารปืนใหญ่สวรรค์ เตรียมระดมปืนใหญ่ห้าชุด!”
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงลางร้ายและอันตรายที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินคำสั่งนั้นประกาศลั่นออกมา เขาล่าถอยกลับไปพร้อมดึงร่างนักรบที่ตนเองพุ่งผ่านตลอดทางกลับมาด้วย
พวกเขาถอยร่นกลับมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของผู้คนโดยรอบ หวังเป่าเล่อและเฉินอวี่ถงยืนคู่กันอยู่บนปราการ ดวงตาจดจ้องมองยังผืนดินไกลๆ ไม่ว่าเขาจะเริ่มชินกับสถานที่นี้อย่างไร เขาก็ยังคงตกใจกับภาพที่เห็น
ไกลออกไประหว่างฟ้ากับดิน เหตุอสูรหลั่งไหลเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มีขนาดใหญ่กว่าครั้งแรกสักสิบเท่า และเมื่อพวกมันพุ่งมาข้างหน้า อสูรนับแสนกระจายตัวเป็น แนวขวางออกไปราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ภาพนั้นเขย่าขวัญผู้ที่กำลังมองดูและทำให้ พวกเขาตกตะลึงเกินกว่าจะทำใจเชื่อได้
สายลมรุนแรงพัดกลิ่นเลือดโชยพุ่งมาข้างหน้า ดั่งว่าโลกทั้งใบขยับเขยื้อน ภูเขาสะเทือนไหว อสูรตัวสูงใหญ่กว่ายี่สิบเมตรจำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่ท่ามกลางเหตุอสูรหลั่งไหล มีกระทั่งอสูรตัวสูงกว่าร้อยเมตรปรากฏตัวให้เห็น มันเป็นอสูรยักษ์ร่าง สีน้ำเงินตัวเป็นๆ และกำลังลากหินก้อนใหญ่มาด้วยขณะที่มุ่งหน้าตรงมายังปราการ
ถ้าหมดเพียงเท่านี้คงไม่เลวร้ายนัก แต่เบื้องหลังเหตุอสูรหลั่งไหลไม่รู้จบกลับมีร่างปราณวิญญาณเจ็ดร่างลอยอยู่ด้วย ร่างทั้งเจ็ดลอยสูงถึงสวรรค์และแผ่มวลพลัง ที่เหนือกว่าระดับลมหายใจเที่ยงแท้อย่างเห็นได้ชัด อาจจะเหนือกว่าระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้ชนิดที่เทียบไม่ติดฝุ่นด้วยซ้ำ ปราณวิญญาณสร้างพายุหมุนส่งเสียงโหยหวนพร้อมกับที่พวกมันมุ่งหน้าเข้ามา
ยากจะมองเห็นว่ามีอะไรอยู่ภายในพายุหมุนบ้าง แต่ตรงขอบมีอสูรน่ากลัวเจ็ดตัวลอยอยู่ อสูรทั้งเจ็ดมีรูปร่างประหลาดล้ำ อักขราจารึกสว่างวาบเรืองรองบนตัว พวกมัน พวกมันยืนอยู่กลางอากาศบนสิ่งก่อสร้างเหมือนหิน หินเหล่านั้นเองก็ดูพิเศษราวกับเป็นสมบัติเวท ทั้งยังแผ่มวลพลังข่มขวัญรุนแรงออกมาอีกด้วย
รังสีน่ากลัวชวนข่มขวัญจากสิ่งมีชีวิตทั้งเจ็ดนั้นสะเทือนทุกคนไปถึงก้นบึ้งหัวใจ
“ขั้นรากฐานตั้งมั่น!” เฉินอวี่ถงที่ยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่อหายใจหนัก แล้วพูดด้วยเสียงต่ำเครือ
พอได้ยินคำว่า ‘รากฐานตั้งมั่น’ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็หรี่ลงทันที เขาทราบดีว่าเหนือกว่าระดับลมหายใจเที่ยงแท้คือขั้นรากฐานตั้งมั่น!
พลังของขั้นรากฐานตั้งมั่นนั้นรุนแรงเหลือเกิน ช่องว่างระหว่างขั้นนี้กับระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้กว้างยิ่งกว่าช่องว่างระหว่างระดับการฝึกตนโบราณกับระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้เสียอีก กล่าวได้ว่าเหนือขั้นรากฐานตั้งมั่นไป ความแตกต่างระหว่างระดับลมหายใจเที่ยงแท้และระดับการฝึกตนโบราณก็ดูเล็กน้อยลงไปถนัดตา ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ไม่ใช่มดปลวก แต่ก็ขยี้ให้ตายได้ง่ายนิดเดียว
ช่องว่างระหว่างระดับปราณนั้นไม่ใช่จะเอาชนะกันได้ด้วยตัวเลข ต่อให้ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้รวมพลังกันโจมตี คู่ต่อสู้ขั้นรากฐานตั้งมั่นก็จะจัดการพวกเขาจนย่อยยับได้อยู่ดี!
หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความอันตรายที่ผุดขึ้นในใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุ อสูรหลั่งไหลปีนี้จะยิ่งใหญ่อย่างที่เห็น ศัตรูของพวกเขามีกระทั่งอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นถึงเจ็ดตัว!
“ที่นี่เป็นแค่ปราการย่อย แต่กลับเผชิญเหตุอสูรหลั่งไหลระดับนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นปราการอื่นๆ เล่า…ไหนจะปราการด่านหน้าอีก นี่แปลว่าพวกเขาต้องเผชิญกับ เหตุอสูรหลั่งไหลที่โหดเหี้ยมกว่านี้อีกรึ” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เขาหยิบเอาถุงมือที่หลอมเป็นสมบัติเวทออกมาใส่โดยไม่เสียเวลาคิด
หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเปลี่ยนไป นักรบทั้งหลายที่ประจำการอยู่บนปราการนี้มาทั้งปียังมีสีหน้าอึมครึมขึ้น
บรรยากาศตึงเครียดปกคลุมทั้งปราการ และเมื่อเหตุอสูรหลั่งไหลอันบ้าคลั่งเคลื่อนเข้ามาใกล้ไม่มีชะลอ ทั้งปราการสั่นไหว อักขราจารึกมากมายปรากฏขึ้นด้านนอกกำแพงเหล็กของปราการ ตัวอักขระส่องประกายวูบไหว ม่านคุ้มกันโปร่งแสงปรากฏขึ้นมาในบัดดล
ม่านคุ้มกันพุ่งออกไปข้างนอกพร้อมด้วยพลังระเบิด บริเวณที่ม่านเคลื่อนผ่านไป อสูรที่ยังเหลือรอดอยู่นอกปราการร่างสั่นเทิ้มแล้วระเบิดออกทันที
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงเมื่อได้เห็นพลังทำลายล้างของม่านคุ้มกัน จากความเข้าใจในฐานะนักหลอมอาวุธเวท เขารู้ว่าม่านคุ้มกันขนาดใหญ่เช่นนี้มีอายุการใช้งานไม่นาน ดังนั้นพวกเขาจึงจะเรียกออกมาใช้เฉพาะในยามจำเป็นที่สุดเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าผู้บัญชาการเคราหนาของปราการนี้ตัดสินใจว่าถึงจุดที่จำเป็นต้องใช้ม่านคุ้มกันแล้ว หวังเป่าเล่อมองม่านพลังผลักตัวเองเคลื่อนออกไปไกลกว่า สามพันเมตร แล้วหยุดลง กลายเป็นเกราะชั้นแรกต้านเหตุอสูรหลั่งไหลเอาไว้!
ทันทีที่เกราะคุ้มกันปรากฏ เหตุอสูรหลั่งไหลอันน่าพรั่นพรึงก็กระแทกเข้าใส่เกราะกันเสียงดังสนั่น ความดิบเถื่อนและรุนแรงฝังอยู่ในธรรมชาติพวกมันเป็นทุนเดิม เหล่าอสูรกระแทกร่างเข้าใส่ม่านคุ้มกันโดยไม่ลังเล ดวงตาสีทับทิมทุกคู่ฉายแววกระหายเลือด
เสียงคำรามกึกก้องกังวานผ่านอากาศ อสูรทุกตัวที่สัมผัสม่านคุ้มกันล้มลงเหลือเพียงกองเลือดผสมเนื้อไม่ว่าจะเป็นระดับปราณใด เลือดของพวกมันแดงฉานอาบแผ่นดิน แต่อสูรไม่กลัวตายพุ่งมาข้างหน้ามากขึ้นอีก ม่านคุ้มกันสั่นไหว มีคราบเลือดเปรอะอาบไปทั่ว
คลื่นความรู้สึกโถมเข้าใส่หวังเป่าเล่อยามที่เขามองความบ้าคลั่งนี้ ตอนนั้นเอง ปืนใหญ่สวรรค์เริ่มยิงกระหน่ำต่อทันที
เสียงปืนใหญ่ยิงดังเหมือนสวรรค์และโลกกำลังกู่ร้องพร้อมเพรียง แต่ละกระบอกยิงออกไปห้าลูก เกิดเป็นลูกระดมยิงจากปืนใหญ่ถึงห้าชุด คลื่นห้าลูกยิงสังหาร!
แต่ละลูกมีลำแสงประมาณร้อยลำแสงทะยานข้ามท้องฟ้า ผืนนภายามอัสดงสว่างลุกเป็นไฟในบัดดล ลำแสงตกลงราวกับห่าฝน ยิงทะลวงผ่านเกราะคุ้มกันเข้าใส่ เหตุอสูรหลั่งไหล
แผ่นดินสะเทือน แรงสั่นไหวเป็นระลอกเคลื่อนออกไปไม่หยุด อสูรฝูงแล้วฝูงเล่าถูกฉีกทึ้ง สลายกลายเป็นธุลี พลังระเบิดจากลำแสงปืนใหญ่นับห้าร้อยลำแสงกำจัดเหตุอสูรหลั่งไหลนอกม่านคุ้มกันไปครึ่งหนึ่ง
ทะเลเลือดและภูเขาซากศพแผ่ไปไกลสุดลูกหูลูกตา!
แต่เพียงพริบตาเดียว คลื่นเหตุอสูรหลั่งไหลลูกใหม่ก็พุ่งมาข้างหน้าแล้วเข้าแทนที่ ฝูงอสูรรวมตัวกันไม่มีหยุดอยู่ไกลๆ จำนวนของพวกมันดูจะเพิ่มมากขึ้น แล้วพวกมันก็พุ่งเข้าใส่เกราะโดยไม่มีเว้นช่วง เกราะบิดเบี้ยวแล้วเริ่มงอเพราะแรงโจมตีของพวกมัน ดูทรงแล้วไม่อาจต้านทานแรงปะทะนี้ได้อีกนานนัก
บนท้องฟ้า พายุหมุนเคลื่อนมา อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งเจ็ดตรงขอบของพายุหมุน บินเข้ามาใกล้อย่างแน่วแน่ รังสีกดดันแผ่ออกมาดูดุร้ายยิ่งขึ้นไปอีก
ผู้บัญชาการเคราหนาหรี่ตามองพร้อมสบถ “สหพันธรัฐทำนายเหตุอสูรหลั่งไหลขนาดเล็กไม่ใช่รึ ระยำนัก ข้าเพิ่งเคยเห็นอสูรหลั่งไหลขนาดนี้เป็นครั้งแรก!”
ผู้บัญชาการเคราหนารีบส่งคำขอความช่วยเหลือไปยังปราการด่านหน้า ทว่าสถานการณ์ทางด้านปราการด่านหน้าเองก็วิกฤตไม่แพ้กัน อันที่จริงแล้วตอนนี้ทุกคนที่ปราการกำลังเจอเหตุอสูรหลั่งไหลแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะทางปราการด่านหน้าเอง เพราะบรรดาราชันอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!
ครั้งได้ยินว่ามีราชันอสูรปรากฏตัวขึ้นมา ผู้บัญชาการเคราหนาก็สูดลมหายใจแหลมสูง ดวงตาแดงก่ำจ้องมองไปยังรอยแยกบนเกราะคุ้มกันจากการถูกฝูงอสูรโจมตี มีแววโหดร้ายฉายวาบอยู่ภายใน เขายกมือขึ้นและออกคำสั่งในฉับพลัน
“ม่านคุ้มกันทำลายตัวเอง ให้พวกอสูรชั้นต่ำเจอแรงซัดเข้าจังๆ เสียบ้าง ปืนใหญ่สวรรค์ ระดมยิงปืนใหญ่สิบชุด! กองทัพวงแหวนปราณ ใช้งานอักขราจารึก วงแหวนปราณ กองทัพที่สอง เตรียมพิธีกรรมกระบี่เหาะเหิน!”
ผู้บัญชาการเคราหนาออกคำสั่ง ไม่นานนักม่านคุ้มกันที่ต้านเหตุอสูรหลั่งไหลจนจวนพังทลายก็ระเบิดออก เล่นงานพวกอสูรไม่ให้ทันตั้งตัว แรงระเบิดฉับพลันเหมือนมีดขนาดใหญ่ที่กวาดพื้นดิน ตัดร่างกายพวกอสูรเป็นสองท่อนท่ามกลางเสียงกรีดร้อง!
จังหวะนั้นเอง ลำแสงนับพันจากปืนใหญ่ระเบิดออกจากปืนใหญ่สวรรค์สิบชุดต่อเนื่อง แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นในอากาศยกตัวขึ้นสูงเสียดฟ้า ลำแสงตกลงไปกับแรงกวาดเสมือนมีดสั้น เกิดเป็นคลื่นสังหารอีกลูกหนึ่ง!
แม้จะสังหารฝูงอสูรไปมากมายก็ยังไม่ได้ลดปริมาณอสูรมหาศาลลงแม้แต่น้อย จำนวนอสูรนัยน์ตาแดงก่ำกู่ร้องเกรี้ยวกราดกระหายเลือดเพิ่มมากขึ้นดูราวกับ น้ำท่วมทะลัก ประชิดเข้ามาห่างจากปราการไม่ถึงสามกิโลเมตร พวกมันเร่งฝีเท้าเข้ามายังยอดเขาที่ปราการตั้งอยู่อย่างบ้าคลั่ง
หากยืนอยู่ตรงยอดสูงสุดของปราการแล้วมองลงมา จะเห็นอสูรหน้าตาดุร้ายพุ่งมาข้างหน้าเป็นฝูง จำนวนของพวกมันเกินคณานับและแผ่ไกลออกไปจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดใต้ท้องฟ้ายามเย็นที่มืดลงเรื่อยๆ
ในเขตพื้นที่ของปราการด่านหน้าลำดับเจ็ด ปราการย่อยทั้งหมดต่างเผชิญกับสภาวะลำบากโดยทั่วกัน เหตุอสูรหลั่งไหลที่พวกเขากำลังเผชิญล้วนใหญ่กว่าที่สหพันธรัฐคาดไว้!
โดยเฉพาะกับปราการด่านหน้าลำดับเจ็ด ที่ซึ่งมีเหตุอสูรหลั่งไหลมาอย่างล้นหลาม อีกทั้งยังมีราชันอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นปรากฏตัวขึ้นอีกด้วย อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นภายใต้บังคับบัญชาของราชันอสูรเหล่านั้นล้วนอันตรายพอกัน พวกมันเคลื่อนที่มาพร้อมกับกองทัพอสูรขนาดใหญ่ กระทั่งปราการด่านหน้าลำดับเจ็ดตกอยู่ในภยันตรายร้ายแรง
สัญญาณเตือนดังขึ้นทั่วทั้งแนวป้องกันลำดับเจ็ด บ่งบอกถึงภาวะฉุกเฉิน!
ในเวลาเดียวกันกับที่กองทัพอสูรขนาดใหญ่เข้าถล่มปราการด่านหน้าลำดับเจ็ด ปราการด่านหน้าหกอันดับแรกของสหพันธรัฐ และบริเวณที่อยู่ใต้การปกครองต่างก็กำลังป้องกันตัวจากกองทัพอสูรจำนวนมหาศาลเกินจินตนาการเช่นกัน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว ปราการด่านหน้าลำดับสี่นั้นจวนจะถูกทะลวงฝ่าเข้าไปได้แล้ว กองทัพอสูรเล็งเป้าไปยังจุดโหว่หลักโดยใช้ราชันอสูรแปดตัว!
ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไรเหตุอสูรหลั่งไหลคราวนี้จึงมาถึงโดยไม่ให้ทันตั้งตัวและรุนแรงนัก
สหพันธรัฐพยายามจะให้ความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สนามรบตั้งกระจายตัวกันอยู่มากมายเกินไป จึงทำให้แต่ละแห่งได้รับความช่วยเหลือไม่ทั่วถึง พวกเขาจึงระดมกำลังความช่วยเหลือของกองทัพไปยังปราการด่านหน้าลำดับสี่ก่อนเป็นอันดับแรก
สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า รวมถึงบรรดาเสนาบดีและขุมอำนาจอื่นๆ ก็เริ่มตื่นตัวเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ผลุนผลันมุ่งหน้าออกมายังสนามรบด้านนอกปราการแต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่าทำเช่นนั้นไปก็ไม่มีความหมาย
สหพันธรัฐออกคำสั่งการลับ ให้ขุมอำนาจทางการเมืองทั้งหลายส่งบุคลากรมากความสามารถฉวยโอกาสที่เหตุอสูรหลั่งไหลท่วมท้นเข้ามานี้ หลบหนีออกจากสหพันธรัฐแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในแนวป่าดึกดำบรรพ์ เป้าหมายของพวกเขาเหล่านั้นคือ…มหาสมุทรสัตว์ปีศาจจำนวนมหาศาลที่อยู่ภายในป่าดึกดำบรรพ์!
ฐานที่มั่นของสัตว์อสูรพวกนี้ตั้งอยู่ในนั้นนั่นเอง!
ในแง่หนึ่งกลยุทธ์นี้ถูกวางไว้เพื่อจะลอบโจมตีสัตว์อสูร และอีกแง่หนึ่งก็เพื่อตลบหลังพวกมัน พวกเขาวางแผนจะบีบให้ศัตรูถอยร่นจากการบุกโจมตีป้อมปราการ กลับไปรับมือกับการลอบโจมตีฐานที่มั่น แน่นอนว่ากลยุทธ์นี้จะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อ ปราการด่านหน้าทั้งเจ็ดสามารถต้านกองทัพศัตรูไว้ได้เท่านั้น!