บทที่ 180 โต้กลับ!
หวังเป่าเล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วยกมือขวาขึ้นประทับลงกับปืนใหญ่สวรรค์ ปราณวิญญาณหลั่งไหลจากร่างของเขาเข้าไปในปืนใหญ่กระบอกนั้น เขาตรวจสอบสภาพอักขราจารึกแต่ละตัวและสมบัติเวททุกชิ้นในนั้น พยายามบูรณะให้กระบอก ปืนใหญ่เสถียรมากที่สุด
เฉินอวี่ถงยืนมองอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อด้วยความประทับใจ เขาเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนหัวเราะออกมา แววตาทอประกายมุ่งมั่น ขณะที่ก้าวไปข้างหน้า แล้วใช้พลังทั้งหมดที่มีช่วยหวังเป่าเล่อซ่อมแซมอักขราจารึกไปด้วยกัน
หวังเป่าเล่อเห็นว่าเฉินอวี่ถงตั้งใจจะทำอะไร ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เมื่อสายตาทั้งสองประสานกัน พวกเขาก็หลุดหัวเราะออกมา ท่ามกลางฝูงอสูรหนาแน่นตัดกับท้องฟ้าที่สั่นไหวด้วยเสียงคำรามดังสนั่น ทว่าวินาทีนั้นกลับฝังตราตรึงในใจนักรบรอบตัวพวกเขาสองคนตราบตลอดไป
ทุกคนควรทำตามหลักเหตุผล ทุกคนควรหวาดกลัวความตาย แต่บางครั้ง การลงมือทำสำคัญกว่ามัวแต่คิดเช่นนั้น!
คิดให้น้อยลงแล้วทำให้มากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าต้องด่วนตัดสินใจ แต่หมายถึงความตั้งใจจริงแท้ไม่มีอะไรเจือปน!
“ศิษย์พี่เฉิน ให้ข้าจัดการอักขราจารึกเอง ส่วนท่าน ข้าขอฝากงานซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนด้วย!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายสดใส เขากล่าวอย่างใจเย็นขณะที่ทั้งสองซ่อมปืนใหญ่กันต่อไป
เฉินอวี่ถงพยักหน้าแล้วไม่ถามอะไรมากกว่านั้น เขารีบถอนปราณวิญญาณออกจากอักขราจากรึก แล้วใช้พลังงานไปกับการตรวจความเสียหายบนชิ้นส่วนแทน เขาแยกแต่ละชิ้นออกมาจากปืนใหญ่ แล้วเปลี่ยนอะไหล่อย่างรวดเร็ว
ทางด้านหวังเป่าเล่อ เขาสงบลมหายใจแล้วตั้งจิตมั่น สมองเร่งไตร่ตรอง สูตรคำนวณ เขาเข้าใจกลไกการทำงานของปืนใหญ่สวรรค์อย่างทะลุปรุโปร่ง หลังจากต้องซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์มาตลอดการศึกครั้งนี้ เขารู้ว่าปืนใหญ่สวรรค์ประกอบจากสมบัติเวทนับร้อยชิ้น และทุกชิ้นมีหน้าที่เป็นดั่งส่วนประกอบของเครื่องจักรจากหลายส่วน ปืนใหญ่สวรรค์จึงเป็นอาวุธที่มีความซับซ้อนสูงอย่างยิ่ง
สมบัติเวทแต่ละชิ้นมีอักขราจารึกเป็นร้อยเป็นพันตัว จำนวนอักขระข้างใน ปืนใหญ่สวรรค์เรียกได้ว่าน่าทึ่งยิ่งนัก
คลื่นเสียงความถี่สูงที่อสูรค้างคาวใช้โจมตี ปลดปล่อยแรงสั่นสะเทือนทางเสียงเข้าไปก่อกวนสมบัติเวทในปืนใหญ่สวรรค์ ทำให้อักขราจารึกเกิดรอยร้าว อักขราจารึกจึงทนรับการใช้งานปืนใหญ่สวรรค์ต่อไปไม่ได้ ก่อนแตกกระจายออกเป็นจำนวนมากจนปืนใหญ่พังลงในที่สุด
วิธีซ่อมปืนใหญ่ที่พวกเขาใช้ก่อนหน้านี้คล้ายกับการร่างภาพ โดยใช้ ปราณวิญญาณต่างหมึก ถมลงบนอักขราจารึกแตกร้าวเหล่านั้น เพื่อพยุงให้มันทำงานกับปืนใหญ่สวรรค์ต่อไปได้ แต่ยิ่งอักขราจารึกแตกร้าวหนักมากขึ้นเท่าใด วิธีซ่อมแซมเช่นนี้ก็ยิ่งได้ผลน้อยลงเท่านั้น รอยแตกมีมากเกินไปและเกิดกับอักขราจารึกถึง หนึ่งในสี่
เฉินอวี่ถงจึงได้ยอมรับอย่างขมขื่นว่าซ่อมปืนใหญ่สวรรค์ไม่ได้แล้ว
ซึ่งเฉินอวี่ถงพูดถูก ถ้าพวกเขาใช้วิธีปกติย่อมซ่อมปืนใหญ่ไม่ได้ ทางเดียวที่ หวังเป่าเล่อจะซ่อมปืนใหญ่สวรรค์ได้…คือหลอมอักขราจารึกชุดใหม่ลงไป!
ไม่ใช่แค่บูรณะอย่างที่เคยทำ แต่เป็นการหลอมอักขราจารึกลงไปใหม่ เพื่อปรับแต่งเศษอักขราจารึกแตกร้าวเดิมภายในกระบอกปืนใหญ่สวรรค์ หรือเรียกอีกอย่างว่ายกเครื่องใหม่นั่นเอง!
แม้แต่องครักษ์อาวุธเวทยังไม่อาจยกเครื่องปืนใหญ่สวรรค์ได้ นับประสาอะไรกับศิษย์ตำหนักอาวุธเวททั่วไปเล่า
ต่อให้เข้าใจกลไกการทำงานของปืนใหญ่สวรรค์ดีเพียงใด หวังเป่าเล่อก็ไม่ใช่ ผู้ประดิษฐ์คิดค้นมันขึ้นมา และไม่ได้ครอบครองสูตรหลอมปืนใหญ่ดั้งเดิม ชายหนุ่มอาจจะลองลอกเลียนแบบดูได้ แต่ครั้นจะให้ปรับเปลี่ยนอักขราจารึกข้างในย่อม ท้าทายเกินไป ถ้าเป็นเวลาอื่น กองทัพคงห้ามไม่ให้พวกเขาลอง เพราะถ้าล้มเหลว ปืนใหญ่สวรรค์อาจสูญเสียการทำงานและพังทลายลงมาโดยใช่เหตุ
แต่ตอนนี้ไม่มีใครห้ามพวกเขาได้ แถมอักขราจารึกในปืนใหญ่สวรรค์ก็แตกเสียหายไปมากแล้ว ถึงหวังเป่าเล่อทดลองไม่สำเร็จ มันก็ไม่มีทางระเบิดตนเองได้ เลวร้ายที่สุดก็แค่ปืนใหญ่สวรรค์พังเท่านั้น
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น!
หวังเป่าเล่อปรับลมหายใจ แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว จากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอักขราจารึกและระบบอักขระที่เขาศึกษามา เขาจะต้องเลือกอักขราจารึกที่ใช้ได้จากตัวอักขระจำนวนมหาศาลเพื่อใช้แก้ของเก่าที่เสียหาย แล้วปรับแต่งขึ้นใหม่
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่หวังเป่าเล่อต้องจารึกชุดอักขระง่ายๆ ลงไปใหม่ เพื่อให้มันทำงานแทนกลุ่มอักขราจารึกอันยุ่งยากซับซ้อนดั้งเดิมที่เสียหายไปแล้ว
หวังเป่าเล่อต้องหลอมอักขราจารึกเพิ่มเข้าไปในส่วนที่ตัวอักขระแตกร้าวจน ใช้การไม่ได้ เพื่อให้ส่วนนั้นกลับมาทำงานอีกครั้งเป็นการชั่วคราว การปรับแต่งเช่นนี้ทำแยกกันไม่ได้ เพราะปืนใหญ่สวรรค์เป็นเครื่องจักรที่ละเอียดซับซ้อน หากปรับ ตรงใดเพียงนิดเดียวก็ส่งผลถึงทั้งกระบอกได้!
มีปัจจัยมากมายที่คาดเดาไม่ได้ ให้หวังเป่าเล่อต้องคำนึงถึง!
เฉินอวี่ถงเหมือนจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อตั้งใจบูรณะปืนใหญ่สวรรค์อย่างไร นัยน์ตาเขาหรี่เล็กลง จ้องมองหวังเป่าเล่อ ก่อนตัดสินใจเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่าย และปล่อยให้เขา ลงมือตามปรารถนาโดยไม่ขัดขวางแต่อย่างใด ในขณะที่ตัวเองเอาชิ้นส่วนวัตถุดิบทั้งหลายออกมา ซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่กลับเข้าไปอย่างเร่งร้อน
ทั้งสองรวมพลังกันในขณะที่บรรดานักรบยืนให้การอารักขา ทุกคนหวาดกลัวทว่าดวงตาแน่วแน่ดั่งเหล็กกล้า เสียงคำรามสนั่นเสมือนฟ้าร้องก้องสะท้อนไปทั่วสนามรบ พวกอสูรกระแทกตัวเองเข้าใส่เกราะระฆังทองคำกันไม่หยุดหย่อน เกราะระฆังทองคำนั้นจวนเจียนจะแตกอยู่รอมร่อ…หวังเป่าเล่อและเฉินอวี่ถงทุ่มทุกอย่างที่มีเพื่อซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์
พวกเขาทำงานโดยไม่ยอมให้อะไรมารบกวนใจ จดจ่อกับงานซ่อมแซมปืนใหญ่เต็มที่ จนชั่ววินาทีแห่งความหวาดวิตกดำเนินมาถึง เมื่อเกราะระฆังทองคำแตกสลาย เกิดเป็นแรงระเบิดที่ซัดสังหารบรรดาอสูรฝูงใหญ่ในพริบตาเดียว เหล่านักรบต่างกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด แล้วเอาตัวเข้าต้านเหล่าอสูรที่พุ่งเข้ามา…
ปืนใหญ่สวรรค์ส่งเสียงดังกึกก้อง หวังเป่าเล่อตะโกนแล้วฟาดฝ่ามือใส่ปืนใหญ่ เกิดลำแสงขนาดใหญ่ระเบิดตัวออกมาจากภายในกระบอก พุ่งตรงเข้าใส่ฝูงอสูรที่ ถาโถมเข้ามาหา
ฟ้าสะเทือนแผ่นดินสะท้าน ลำแสงนั้นเหมือนได้เจาะรูเอาไว้บนท้องฟ้า คลื่นตัวอักขราจารึกซัดออกไปเป็นระลอกม่าน ทุกหนแห่งที่ลำแสงนั้นแล่นผ่านไป เหล่าอสูรล้วนถูกฉีกร่างจนแหลกด้วยฝ่ามือล่องหนขนาดยักษ์ โดนกวาดหายไป หมดสิ้น
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เฉินอวี่ถงยังคงเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ และหวังเป่าเล่อยังคงปรับแต่งอักขราจารึกเพิ่มก่อนจะยิงปืนใหญ่สวรรค์อีกครั้ง!
ตูม ตูม ตูม!
สามนัดรวดเขย่าสวรรค์สะเทือนปฐพี ฝูงอสูรที่อยู่รอบด้านต่างพากันถอยกรู บรรดานักรบทั้งหลายจึงได้มีโอกาสหายใจหายคอบ้าง หลังจากที่ต้องเสียกำลังพลไปจากการโจมตีของเหล่าอสูรอย่างไม่หยุดหย่อน พวกเขามองตรงไปยังหวังเป่าเล่อกับเฉินอวี่ถงอย่างซาบซึ้งและเลื่อมใส!
ตอนนั้น ภายในปราการเหลือปืนใหญ่สวรรค์ที่ทำงานได้อยู่เพียงกระบอกเดียว!
ปืนใหญ่สวรรค์กระบอกสุดท้ายจึงดึงดูดความสนใจของทุกคนในสนามรบเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะนักรบหรือผู้ฝึกตน หรือแม้แต่อสูร สายตาทุกดวงจ้องมองมายัง ปืนใหญ่หนึ่งกระบอกที่ยังทำงานอยุ่นั้น
แม้แต่การศึกบนฟ้ายังชะงักไปเช่นกัน ทั้งที่การต่อสู้บนนั้นกำลังหนักหน่วง และตาชั่งความเป็นความตายพร้อมเอียงไปทางใดก็ได้ทุกเมื่อ
กระทั่งอสูรค้างคาวใจกลางพายุหมุนยังหรี่ตา แล้วจ้องมองอย่างเยือกเย็นไปยังปืนใหญ่สวรรค์ที่หวังเป่าเล่อและคนอื่นคอยให้การอารักขาอยู่
“สู้ต่อไป!” หวังเป่าเล่อคำราม แล้วง่วนกับการปรับแต่งอักขราจารึกต่อโดยไม่สนสายตาใครทั้งสิ้น ชายหนุ่มทุ่มเทพลังงานทั้งหมดที่มี การปรับแต่งอักขราจารึกเหล่านี้ต้องอาศัยการคำนวณซึ่งลึกล้ำเกินความสามารถของเขา แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงพยายามต่อไป เขาแก้ไขอักขราจารึกบางตัว แล้วใช้ปืนใหญ่ยิงลำแสงออกไปอีกครั้ง
ทุกนัดที่ปืนใหญ่ยิงออกไปทำให้อักขราจารึกภายในแตกร้าว ดังนั้นต่อให้หวังเป่าเล่อจะคอยซ่อมต่อไปเรื่อยๆ ปืนใหญ่สวรรค์ก็จะยังมีปัญหาในการยิงอยู่ร่ำไป
ปืนใหญ่สวรรค์ยิงช่วยการต่อสู้บนท้องฟ้าและภาคพื้นดินได้ แม้จะยังมีข้อจำกัด แต่การมีอยู่ของมันก็ช่วยเสริมขวัญกำลังใจให้กับกองทัพอย่างถึงที่สุด!
ตราบที่ปืนใหญ่สวรรค์ยังตั้งอยู่ และเสียงของมันยังคงกึกก้องสะท้านสนามรบ จิตวิญญาณนักสู้ย่อมไม่มีวันดับสูญ!
ทว่าพวกเขาก็ใกล้จนมุมเต็มที แม้ว่าหวังเป่าเล่อกับเฉินอวี่ถงจะช่วยกันปรับแต่งด้วยความพยายามและความสามารถเพียงใด หากปืนใหญ่ได้รับการซ่อมแซม เพียงหนึ่งในสามส่วน และไม่ยอมชะลอการยิงลงก่อนแบบนี้ การยิงออกไปแม้เพียงนัดเดียวก็อาจทำให้ปืนใหญ่เสียหายได้กว่าครึ่ง!
แม้จะปรับแต่งอักขราจารึกในปืนใหญ่อยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังมีอักขราจารึกแตกร้าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มีอักขราจารึกแตกสลายไปกว่าสองในสามแล้ว และปืนใหญ่กำลังจะหยุดทำงาน!
“ทำอย่างไรดี!” หวังเป่าเล่อตื่นตระหนกเกินควบคุม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เริ่มเสียสติและหมดเรี่ยวแรง มิหนำซ้ำยังจะมีปัญหามารุมเร้าเพิ่มขึ้นอีก!
บนท้องฟ้า การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนและอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว!
อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นสองตนส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ตามด้วยเสียงระเบิดดังลั่น ร่างของพวกมันฉีกกระจายในบัดดล อีกสามตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดสาดกระเซ็นออกมาจากร่าง ดูอาการของพวกมันสาหัสทีเดียว!
แต่ราคาที่ต้องจ่ายให้บาดแผลและความตายของเหล่าอสูรนั้น…คือชีวิตของ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นสองคน และอีกสองคนที่เหลือได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ผู้ฝึกตนชายเจ้าของอาวุธเวทและผู้ฝึกตนหญิงเพียงหนึ่งเดียวคือผู้รอดชีวิต ทั้งคู่ต่างกระอักเลือดออกมาหลังจากอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นสองตนตายไป ร่างกายของพวกเขาสั่นเทิ้มจนแทบประคองวัตถุเวทเอาไว้ไม่ไหว ได้แต่พากันล่าถอยกลับมายังปราการ
ทางฝั่งเหล่าอสูรนั้น จากเดิมเจ็ดตัว ถูกสังหารไปแล้วสามตัว เหลืออีกสี่ตัวที่รอดมาได้ พวกมันได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่ายังคงดุร้ายและป่าเถื่อนเช่นเดิม พวกมันพากันกู่ร้องคำราม แล้วไล่ต้อนผู้ฝึกตนทั้งสองมาทางปราการอย่างไม่ยอมลดละ!
เมื่อเห็นดังนั้น หวังเป่าเล่อจึงเล็งปืนใหญ่สวรรค์หวังจะช่วยผู้ฝึกตนสองคนนั้น ตอนที่เหล่าอสูรสี่ตัวที่เหลือกำลังไล่ตามผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นตัดผ่านสนามรบมาอย่างรวดเร็วนั้นเอง กลับบังเกิดสายรุ้งระเบิดตัวออกมาจากพื้นดินเสียก่อน!
ร่างของผู้บัญชาการเคราหนากระโจนขึ้นไปในอากาศเร็วเสียจนมองไม่ทัน เขายืนอยู่บนสมบัติเวทหน้าตาเหมือนแผ่นเสียงบินได้และถือกระบี่ยาวสีเลือดไว้ในมือ ผู้บัญชาการเคราหนาส่งเสียงคำรามฮึกเหิมขณะที่ทะยานไปบนฟากฟ้า ก่อนตวัดกระบี่หนึ่งครั้งผ่าสวรรค์!
มองจากไกลๆ กระบี่สีเลือดเล่มนั้นดูเหมือนกลายสภาพเป็นคมมีดเศษชิ้นส่วนทลายสวรรค์ อสูรทั้งสี่ส่งเสียงร้องเกรี้ยวกราด สีหน้าตะลึงงันเมื่อคมกระบี่สีทับทิม ผ่ากวาดผ่านร่างของมันลงมา อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นสองตัวที่บาดเจ็บมาก่อนหน้านี้หลบไม่ทัน จึงถูกผ่าร่างออกเป็นสองซีกในบัดดล!
โลหิตสดสีแดงฉานพวยพุ่งออกมา อสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นอีกสองตนตื่นตระหนกรีบล่าถอย ผู้บัญชาการเคราหนาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วหัวเราะร่า ดวงตาฉายแวว บ้าคลั่ง เขากู่ร้องสุดเสียง “พี่น้องทั้งหลาย โต้ตอบกลับไป เพื่อสหพันธรัฐ!”
เขาคำรามแล้วพุ่งร่างตามอสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นสองตัวที่กำลังหนีไป ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสองคนอยู่ไม่ไกลออกไป พวกเขากัดฟันแล้วไล่ตามผู้บัญชาการเคราหนาไปติดๆ!
ตัดมาที่ภาคพื้นดิน เหตุอสูรหลั่งไหลชะงักไปชั่วขณะเมื่ออสูรขั้นรากฐานตั้งมั่นตายไปถึงสี่ตัว และเริ่มเห็นสัญญาณว่าพวกมันกำลังจะแตกทัพ นักรบทุกคนจึงต่อสู้กลับไปอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาแดงก่ำและกระหายศึกเป็นล้นพ้น!
“ยังมีความหวังอยู่!” หวังเป่าเล่อคลุ้มคลั่งด้วยความปีติยินดี เขายังตกตะลึงกับการลอบจู่โจมและกระบวนท่าโจมตีของผู้บัญชาการเคราหนาไม่หาย โลหิตสูบฉีดจนรุ่มร้อนไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย