บทที่ 207 จงน้อมตนสู่เส้นทางแห่งเต๋า
ผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมจำนวนนับร้อยโผล่ขึ้นมาบนพื้นเหนือโพรงต้นไม้ บนพื้นผิวที่แห้งและแตกระแหงของต้นไม้ต้นน้อยท่ามกลางต้นไม้ยักษ์นับร้อย ใบหน้าของ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
เครื่องหน้านั้นบิดเบี้ยวราวกับกำลังเผชิญความเจ็บปวดเหลือประมาณ เมื่อเพ่งพินิจดูอย่างใกล้ชิดจะมองเห็นแสงในสภาพของเหลวที่แทบมองไม่เห็นหลั่งไหลและกระจายออกมาจากรอยแตกระแหงบนผิว
ชัดเจนว่าการแพร่กระจายของแสงในสภาพของเหลวนี้เป็นผลจากการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อโดยตรง แต่การดูดกลืนอาจจะไม่ใช่สาเหตุเดียว เพราะในขณะนั้น ใบหน้าบนต้นไม้นั้นดูราวกับกำลังแปรสภาพ!
แตกต่างกับสีหน้าที่เจ็บปวด นัยน์ตาบนใบหน้านั้นช่างแสนสงบ ดวงตาคู่นั่นเพ่งมองไปยังทิศที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ มีเสียงพึมพำเบาๆ สะท้อนอยู่ในอากศ
“ในที่สุดข้อความก็ถูกส่งไปจนได้…ไม่ใช่อย่างที่ข้าหวังใจไว้เลย แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้…คงต้องมีการวางแผนกันสักเล็กน้อย เพราะอย่างไรเสีย อีกสองคนก็ทำสำเร็จแทบจะในคราเดียวกัน ข้าเองก็ต้องทำสำเร็จเช่นเดียวกัน…สำหรับแมลงกระจ้อย ทั้งสามบนกายข้า ช่างอ่อนแอยิ่งนัก เพียงต้องขยี้เสียก็เท่านั้นเอง”
เสียงพึมพำของต้นไม้น้อยยังสะท้อนอยู่ไปมาขณะที่การโจมตีอันรุนแรงยังคงดำเนินไปภายในโพรงต้นไม้และรังสีอำมหิตแผ่กระจายออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อนั่นเอง ก็เริ่มมีกลุ่มหมอกก่อตัวขึ้นที่ใต้เท้าของชายหนุ่มเช่นกัน
กลุ่มหมอกนั้นคือกระบวนเวทระดับสามของเคล็ดวิชาเฉพาะตัวประจำ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มันช่วยเพิ่มความว่องไวให้ผู้ใช้งานได้ หวังเป่าเล่อพุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับลูกธนูจากคันศร
หมอกนั้นปกคลุมทั้งร่างเขาจากกระบวนเวทระดับสี่ของเคล็ดวิชาแห่ง สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ รู้จักกันในนามว่ากายาหมอก!
สำหรับระดับที่ห้าของเคล็ดวิชานี้ หวังเป่าเล่อผู้ที่เพิ่งจะบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นสุดยอดยังไม่สามารถเข้าใจหลักการของพวกมันได้อย่างถ่องแท้ ร่างกายเขาตอนนี้เหมือนกับกลุ่มเมฆที่เหาะทะยานพุ่งไปหาเหล่าผู้ฝึกตนที่ถูก แทรกซึมในพริบตา
ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มก็ชูมือขวาขึ้น ปรากฏเป็นสายฟ้าพุ่งไปข้างหน้าทันที ความก้าวหน้าในระดับการฝึกตนของเขาส่งผลให้สายฟ้านั้นรุนแรงขึ้นด้วย มันส่งแสงแปลบปลาบและพุ่งตรงไปยังเหล่าผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึม
ขณะที่เคลื่อนที่ข้ามอากาศไปนั้น สายฟ้าขนาดใหญ่ก็ปล่อยสายฟ้าขนาดย่อมกว่าออกมา หากมองจากระยะไกลจะดูราวกับว่ามหาสมุทรสายฟ้าขนาดย่อมมาปรากฏอยู่เหนือโพรงต้นไม้ เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง!
สายฟ้าคำรามกึกก้องไปทั่วทั้งสี่มุมของโพรงต้นไม้ ไม่ว่าสายฟ้าจะผ่านไปที่ใด ผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมต่างก็ตัวสั่นเทิ้มและมีจำนวนไม่น้อยร่างระเบิดสลายไปในทันที ขณะที่กำลังโจมตีอยู่นั้นหวังเป่าเล่อก็เรียกเอากระบวนเวทเพลิงปะทุขึ้นมาใน ฝ่ามือเพลิงปะทุแปรสภาพเป็นทะเลเพลิงที่กว้างที่สุดที่เขาเคยเรียกมา มันพุ่งกระจายออกไปทุกทิศทุกทางพร้อมเสียงกัมปนาทดังสนั่น
ความร้อนจากเปลวเพลิงนั้นสุดจะทานทน ผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมควรจะสลายกลายเป็นเถ้าไปในทันทีที่สัมผัส แต่พวกเขาได้รับพลังของต้นไม้ยักษ์มา จึงทนทานต่อเปลวเพลิงเหล่านั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้น ทะเลเพลงกับพายุสายฟ้าก็สร้างความเสียหายให้กองทัพผู้ฝึกตนเหล่านั้นไปไม่น้อย
ผู้ฝึกตนบางคนถึงกับสลายเป็นเถ้าถ่านหรือถูกเผาจนเป็นตอตะโกไป พวกเขาไม่อาจจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ทัน ถือเป็นการทำลายล้างอย่างสมบูรณ์!
ความรุนแรงนี้มากล้นไปกว่าที่หวังเป่าเล่อเคยทำได้มากนัก ระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นสุดยอดช่วยให้พลังเวทของเขาเพิ่มขึ้นมหาศาลและจำนวนของกระบวนเวทที่เขาใช้ได้ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ขณะที่เขาปลดปล่อยกระบวนเวทประกายสายฟ้าและกระบวนเวทเพลิงปะทุออกไป เขาก็ใช้กระบวนท่าดัชนีเมฆาไปด้วยในเวลาเดียวกัน
วงแหวนปราณจากเจ้าเยี่ยเหมิงเพิ่งปรากฏขึ้นในบัดนั้น เส้นแสงของวงแหวนปราณโอบล้อมรอบตัวเขาและติดตามเขาไปทุกย่างก้าว มันส่องประกายขณะที่ทำหน้าที่เป็นโล่กำบังให้กับหวังเป่าเล่อ ทั้งยังสร้างความเสียหายให้ศัตรูไปในตัวอีกด้วย
ทางด้านจั่วอี้ฟาน แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้มีกำลังเต็มร้อย แต่ก็กัดฟันและใช้สมบัติเวทช่วยเหลือเจ้าเยี่ยเหมิงฆ่าผู้ฝึกตนที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านข้าง การร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้นี้ส่งเสียงโครมครามดังสะท้อนไปทั่วโพรงต้นไม้ อากาศหนักอึ้งไปด้วยมวล ไอสังหาร
“ตายเสียเถอะ!” หวังเป่าเล่อคำราม เขาเหวี่ยงหมัดออกไปก่อให้เกิด คลื่นพลังงานมหาศาล ความแข็งแกร่งภายในกายของเขาระเบิดออกมา เมื่อหมัดของเขาฉีกเอาหนังศีรษะของผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมคนหนึ่งเปิดเปิงไป ในขณะที่มือซ้ายก็ร่ายผนึกเรียกเปลวไฟออกมา เปลวไฟนั้นพุ่งตรงไปข้างหน้าขณะที่เผาไหม้ทุกสิ่งที่ขวางทางอยู่ หวังเป่าเล่อขยับตัวก่อนจะก้มศีรษะลงอย่างกะทันหันเพื่อหลบ กระบี่เหาะเหินใบไม้ที่ถูกซัดมาโดยผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมสามคน จากนั้นเขาจึงกระโจนขึ้นฟ้าและเขวี้ยงเอาประคำระเบิดตัวเองออกไปสามลูก
แรงระเบิดอย่างต่อเนื่องนั้นส่งผู้ฝึกตนสามคนลอยละล่องไปกองรวมกันอยู่มุมหนึ่ง หวังเป่าเล่อกำลังจะพุ่งไปเผาพวกเขาให้สิ้นซากแต่ต้องเอียงตัวหลบ เขายกมือขวาขึ้นคว้าไปที่ด้านหลังของตนเอง บีบเข้าที่ลำคอของผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่หมายจะย่องมาโจมตีหวังเป่าเล่อจากด้านหลัง ชายหนุ่มออกแรงกำแน่น
หวังเป่าเล่อโบกมืออีกครั้ง กระบี่เหาะเหินจำนวนหนึ่งพุ่งออกไปทางจั่วอี้ฟานก่อนจะระเบิดขึ้น ส่งเอาผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมกลุ่มหนึ่งที่กำลังล้อมจั่วอี้ฟานให้ร่าง สั่นสะท้านและกระเด็นไปข้างหลัง
หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดขยับหลังจากช่วยจั่วอี้ฟาน เขาโจมตีอีกครั้ง ตอนนี้เขาดู ราวกับพญาพยัคฆ์ผู้น่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้าใส่ฝูงหมาป่า แม้ว่าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อจะพุ่งสูงขึ้น แต่ก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ ทางเหล่าผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมนั้น แม้จะถูกทำลายเป็นชิ้นๆ ก็จะฟื้นคืนชีพได้ใหม่โดยกิ่งไม้นับพันที่ประกอบพวกเขากลับขึ้นมาเป็นตัวคนอีกครั้ง ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปยิ่งเห็นได้ชัดว่าพวกอยู่กันคนละชั้น
แม้ว่าผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมจำนวนมากจะถูกหวังเป่าเล่อทำลายสิ้นทั้งกายและวิญญาณ แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย ไม่ถึงสองในสิบส่วนของเหล่าผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึม นับร้อยที่รายล้อมพวกเขาอยู่ด้วย ถึงชายหนุ่มจะบรรลุสู่ขั้นต่อไปในระดับการฝึกตนแล้ว ปราณวิญญาณของเขาก็ยังคงมีจำกัด ประกายสายฟ้าและเพลิงปะทุต่างก็กินพลังปราณของเขาเป็นจำนวนมาก
ไม่นานนักหวังเป่าเล่อก็เริ่มหอบหายใจและถอยร่นอย่างช่วยไม่ได้ จั่วอี้ฟานผู้ซึ่งกำลังอ่อนแอก็ค่อยๆ หมดแรงลงอย่างช้าๆ จนในที่สุดเขาก็ไม่อาจหลบการโจมตีได้ทันเวลาและถูกใบไม้เวทสามใบแทงทะลุอก เขากระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ สัญญาณชีวิตค่อยๆ ล่องลอยออกจากร่างเมื่อเขาล้มหงายหลังไป เขาหมดแรงใจต่อสู้ไปอย่างขมขื่น จังหวะที่เขาล้มลงนั้นเขามองเห็นหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งยังคงต่อสู้ อย่างดุเดือด ก่อนที่สติของเขาจะหลุดลอยไป
จั่วอี้ฟานนึกย้อนไปถึงความทรงจำในวัยเด็ก ตระกูลของเขาและบิดาผู้โหดร้ายและเย็นชา พี่ชายผู้เลือดเย็น หมู่บ้านลมปราณวิญญาณและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่น และสุดท้ายคือหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ตาเขาเริ่มพร่ามัวลงอย่างช้าๆ สรรพสำเนียงของการต่อสู้ค่อยๆ เลื่อนลอยห่างไกลออกไปทุกที
อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายเจ้าเยี่ยเหมิงก็กำลังกัดฟันสู้อยู่แม้ร่างกายจะสั่นเทิ้มไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่าปราณวิญญาณของนางกำลังจะหมดลง แต่ว่าเส้นแสงจากวงแหวนปราณของนางมีส่วนช่วยหวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก เป็นเหตุว่าทำไมนางจึงยังกัดฟันยืนหยัดสู้ต่อไป แม้ร่างกายจะถึงขีดจำกัดแล้วก็ตาม
แต่กระนั้นการต่อสู้โดยไร้ซึ่งจั่วอี้ฟานเป็นไปอย่างยากลำบาก แม้หวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม เขาเองก็ไม่อาจจะรับมือกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันได้ มีช่องว่างให้ใครสักคนเล็ดลอดผ่านเข้ามาโจมตีเจ้าเยี่ยเหมิงได้จากทุกทิศทาง
เมื่อหวังเป่าเล่อสังเกตสถานการณ์ ชายหนุ่มก็เริ่มลนลานขึ้นมา เขาได้ใช้ สมบัติเวททั้งหมดที่มีไปแล้ว และหมดหนทางป้องกันตัวโดยสิ้นเชิง เขาทำได้เพียงแต่ถอยหนีและปัดป้องการโจมตีอยู่ไปมา ณ จุดนั้น ชายหนุ่มเริ่มหอบหายใจหนักขึ้น รอยกรีดจากคมมีดของกระบี่เหาะเหินใบไม้เริ่มปรากฏขึ้นทั่วร่าง
บางแผลก็แค่ผิวเผิน บางแผลก็บาดลึก แผลที่เลวร้ายที่สุดคือขาขวาของเขา ถูกเสียบทะลุ ทำให้เกิดแผลฉีกกว้าง
“เป่าเล่อ เยี่ยเหมิง พวกเจ้าคิดว่า…สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้รับข้อความของเราหรือเปล่า พวกเขากำลังเดินทางมาใช่หรือไม่…” จั่วอี้ฟานถามขึ้น ราวกับลืมไปแล้วว่าทั้งคู่กำลังอยู่ในสมรภูมิรบ สัญญาณชีวิตในดวงตาของชายหนุ่มพร่าเลือน ขณะที่ ริมฝีปากเขาขยับแต่ไม่มีสุ้มเสียงเล็ดลอดออกมา ประกายตาเขาค่อยๆ มืดดับลง ราวกับว่ามีแสงสีแดงสว่างโรจน์อยู่ภายในแทน
เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ตอบอะไร นางใช้ปราณวิญญาณเพื่อรักษาวงแหวนปราณเอาไว้ จนหยดสุดท้าย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็อดทนได้ไม่นานนัก ในไม่ช้า หลังจากรับการโจมตีจากใบไม้เวทอีกจำนวนหนึ่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็กระอักโลหิตออกมา นางได้ใช้พลังปราณทั้งหมดในร่างกายไปแล้ว วงแหวนปราณรอบๆ กายพวกเขาอันตรธานหายไปในพริบตา ตอนนี้ดูราวกับว่าร่างกายของนางไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
นางเอนตัวพิงผนังต้นไม้อย่างยากลำบากพลางกัดริมฝีปาก ใบหน้าของนาง ไร้สีเลือด ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เป็นการใคร่ครวญที่ไม่มีใครช่วยนางได้ นางกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ด้วยความยากลำบาก
“อี้ฟาน อดทนไว้ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะส่งความช่วยเหลือมาแน่นอน!” หวังเป่าเล่อที่เห็นว่าพลังชีวิตกำลังจะหลุดลอยออกจากร่างของจั่วอี้ฟานรีบเตือนสติสหายอย่างรวดเร็ว เขาถอยหลังอย่างว่องไวมาจนใกล้จะถึงตัวจั่วอี้ฟานและ เจ้าเยี่ยเหมิง ด้วยถุงมือในมือขวา หวังเป่าเล่อปล่อยคลื่นกระแทกอันรุนแรงที่ส่ง ผู้ฝึกตนที่กำลังพุ่งเข้าใส่สหายทั้งสองกระเด็นไปไกล
หวังเป่าเล่อได้แต่มองดูจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงสูญเสียกำลังใจจะต่อสู้ ขณะที่กระแสผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมยังคงไหลบ่าเข้ามาหาพวกเขาจากทุกทิศทาง ความขมขื่นและเศร้าโศกเอ่อล้นใจเขา ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้รับข้อความของพวกเขาหรือไม่
ขณะนั้นเอง เมื่อเขากำลังจะจมลงไปในความสิ้นหวังอีกคน ชายหนุ่มก็…ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากในศีรษะ มันเป็นเสียงจากหน้ากากนิลแน่นอน เสียงที่คุ้นเคยแม้จะห่างเหินของแม่นางน้อยดังขึ้นมาเป็นครั้งแรก
“อย่าได้กลัวไป หวังเป่าเล่อ ข้าจะสอนเคล็ดวิชาหนึ่งให้กับเจ้า พลังของมันนั้น ไร้ก้นบึ้ง เพียงเจ้าท่องมันออกมาเจ้าก็จะได้พลังที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน และจะสามารถทำลายทุกสรรพชีวิตได้ทันที!”
น้ำเสียงของนางที่บัดนี้สะท้อนก้องอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ เจือไปด้วย ความเย่อหยิ่งแฝงอยู่ ชายหนุ่มรู้สึกสงสัยเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่นางพูด คำพูดของนางช่างทรงพลังจนทำให้เขาอดกังขาไม่ได้ อย่างไรเสีย เมื่อเขานึกย้อนไปถึงทุกสิ่งที่แม่นางน้อยเคยบอกเขาในอดีต ยกเว้นการโอ้อวดเกินจริงเกี่ยวกับฝักกระบี่ ไม่ว่าอะไรที่นางบอกเขาล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสรีระทองคำ ที่เขาทำตามคำแนะนำของนางจนบรรลุมาได้สำเร็จ
หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หวังเป่าเล่อศรัทธาในตัวนาง “เคล็ดวิชาอะไรหรือ”
“ตั้งใจฟังข้าให้ดี…ตื่นเถิด ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์ สรรพชีวิตย่อมต้องเผชิญ ภัยพิบัตินับไม่ถ้วนเป็นสรณะ เพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็จะปลดปล่อยเจ้าจาก คุกจองจำอันล้ำลึกนี้ได้ จงน้อมตนสู่เส้นทางแห่งเต๋าเสีย!
“เอาสิ ใช้เคล็ดวิชานี้สังหารเจ้าต้นไม้อ่อนแอนี่เสีย!” แม่นางน้อยพูดด้วย ความเย่อหยิ่งเช่นเคย
เมื่อได้ยินเคล็ดวิชานั้น ทั้งกาย ใจ และวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้านไปจนถึงแก่นราก เขารู้สึกได้ถึงแรงดลใจบางอย่าง เหมือนกับว่าเคล็ดวิชานี้จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้จริงดังที่แม่นางน้อยในหน้ากากนิลว่า และเมื่อท่องตามก็สามารถจะเปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งไปได้โดยสิ้นเชิง!