Skip to content

A World Worth Protecting 230

บทที่ 230 หวงซานจากตำหนักหลุมพราง

อาจจะพอหาคำมาบรรยาย สภาพชายผู้กำลังเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางอกผายไหล่ผึ่ง พร้อมลูบหน้าท้องของตนที่ยื่นออกมาได้บ้าง แต่หากจะหาคำมาบรรยายมวลพลังอหังการ์ซึ่งปะทุออกมาจากชายผู้นี้นับว่ายากนัก!

ขณะนั้นเอง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าผู้คนตรงหน้าต่างตกตะลึงกับสรีระอันโดดเด่นของตน รวมถึงมวลพลังอันแข็งแกร่งที่เปล่งออกมาจากร่างกายของเขา ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าของกลุ่มคนที่เบิกตากว้าง และอ้าปากค้างด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง

ราวกับหนุ่มอ้วนผู้นี้ลืมเสียสนิทว่ามีวานรเพชรคอยแยกเขี้ยวกว้างอย่าง           น่าหวาดกลัวและดุร้ายอยู่ด้านหลังของตน ชายหนุ่มเงยหน้าเบาๆ และกระแอมไอ

“จอดเรือบินตรงนี้ใช่หรือไม่” หวังเป่าเล่อเอ่ยถาม ขณะมองเหล่าองครักษ์ของเรือนหมู่เจ้าเมืองตรงหัวมุม

บรรดาองครักษ์รอบข้างต่างหายใจติดขัด ด้วยต่างก็หวาดกลัวต่อมวลพลัง      แรงกล้าจากเจ้าวานรเพชร พวกเขาพยักหน้ารับตามสัญชาตญาณ ทำให้ชายหนุ่มได้โอกาสโอ้อวดอีกครั้ง

“เจ้าเพชรน้อย รอพวกข้าอยู่ตรงนี้นะ” หวังเป่าเล่อหันกลับไปลูบขนวานรเพชร

วานรเพชรคำรามและทุบอกเสียงดังหลังจากได้ยินคำดังกล่าว ก่อนสะบัดก้นไปมาแสร้งทำว่าไม่พอใจ แต่กลับขยิบตาให้ชายตรงหน้า

“ข้าเข้าใจเจ้า แต่เราจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มสู้กับใครก่อน เว้นแต่ว่าจะไม่มีทางเลือกจริงๆ” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าวานรเพชรนั้นเล่นละครตามน้ำได้อย่างยอดเยี่ยม ชายร่างอ้วน    ค้นกำไลคลังเวท…แล้วคว้าเอาหุ่นเชิดวานรเพชรออกมา! ก่อนโยนให้กับอสูรตนนี้

ดวงตาของมันจับจ้องเจ้าหุ่นเชิดโดยทันที ก่อนจะคำรามร้องพลางดึงหุ่นเชิดเข้ามากอด และเริ่มเล่นกับของเล่นของมันในจัตุรัสแห่งนี้…

เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ผู้คนต่างตกใจ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาลูกหลานของ       เหล่าเสนาบดี หรือศิษย์หัวกะทิจากสำนักศึกษาเต๋าอื่นๆ กลุ่มคนหนุ่มสาวผู้กำลัง      โอ้อวดเรือบินของตนกันอยู่เมื่อครู่นี้ต่างงงงวย ทุกคนสูดหายใจเข้าลึกด้วยอารมณ์มากมายที่ถาโถมอยู่ภายในใจ

ผู้คนเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากในตอนแรกนั้นทุกคนกำลังคุยโวเรื่องเรือบินกันอยู่ดีๆ จู่ๆ หวังเป่าเล่อและสหายก็ขี่อสูรกายเข้ามา พวกเขาจนปัญญาจะสู้และรู้สึกคับแค้นอยู่ภายในใจ…เพราะไม่มีทางเทียบชั้นอีกฝ่ายได้เลย!

คนเหล่านี้มีแค่เรือบิน แต่คู่แข่งกลับมี…อสูรสงคราม! ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันสุดขั้ว เพราะเรือบินเป็นเพียงยานพาหนะทั่วไป แต่การฝึกอสูรสงครามไว้รับใช้      ต่างยานพาหนะนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออสูรตนนั้นเป็นถึง…อสูรสงครามขั้นรากฐานตั้งมั่น!

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เทียบได้กับ การที่คนๆ หนึ่งขับรถยนต์สุดหรูด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจเหนือใคร แต่แล้วกลับเห็นอีกคนหนึ่งขี่เครื่องบินรบเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น!

หลินเทียนหาวแสยะยิ้มอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นฉากตรงหน้า เขาไม่แปลกใจกับ   การกระทำของหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ด้วยมีความเชื่อหนึ่งที่เขายึดมั่นอยู่ในหัวใจ

ชีวิตของหวังเป่าเล่อต้องมีตัวช่วยอยู่แน่นอน เขาอาจจะมีบิดาผู้ทรงอำนาจ     หรืออาจจะมีบิดาทูนหัวที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าคอยช่วยวางแผนชีวิตให้…หลินเทียนหาวรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก ท่ามกลางความขุ่นเคืองนั้น ยิ่งทำให้เขาอยากตีตัวออกหากจาก     ชายผู้นั้นให้มากขึ้นไปอีก

ต่างจากหลี่อี้ หญิงสาวขบฟันแน่นด้วยความแค้นขณะหายใจหอบหนัก หน้าอกของนางสั่นเทาไปด้วยความไม่พอใจ พยายามสะกดความโกรธแค้นที่มีต่อหวังเป่าเล่อไว้สุดกำลัง

น่าทึ่งดี ท่ามกลางฝูงชนรอบข้างและบรรดาลูกหลานของเหล่าเสนาบดี หลี่ซิวมองชายผู้นั้นนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความสนใจที่มากขึ้น

หวังเป่าเล่อหัวเราะร่า โดยมีจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเดินตามเข้าไปหากลุ่มคนซึ่งกำลังจ้องมองมา แม้ว่าหลินเทียนหาวจะรู้สึกขัดใจไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับชายตรงหน้าอีก แต่ในฐานะเจ้าภาพของงาน เขาก็จำต้องกัดฟันเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วประสานมือคำนับ พลางกล่าวคำต้อนรับอย่างสุภาพ

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ถูกชะตากับหลินเทียนหาวนัก แต่ก็รับรู้ว่าความคิดของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปแล้ว เขาจึงได้แต่กะพริบตานิ่งๆ แล้วยิ้มให้ ภายในใจยังระแวงเป็นอย่างมาก

เจ้านี่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือแค่กำลังวางแผนอะไรบางอย่างอีก ชายร่างอ้วน  ข่มความประหลาดใจและแสร้งยิ้มแย้มให้หลินเทียนหาว ราวกับว่าสนิทกันเป็นพี่น้อง ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าภาพจะพาเขาไปแนะนำตัวกับคนอื่นๆ

เจ้าเยี่ยเหมิงนั้นงดงามโดยธรรมชาติ และมีบางคนรู้ว่านางเป็นลูกสาวของหนึ่งในเสนาบดี ทำให้พวกเขาเข้าหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว เช่นกันกับจั่วอี้ฟาน คนภายนอกตระกูลไม่รู้ว่าเขาคือ องครักษ์สงครามแห่งสกุลโจว แต่ด้วยความสามารถอันน่า       ยกย่อง รวมถึงพื้นหลังครอบครัวอันมีอิทธิพลนั้น ก็ทำให้ใครๆ อยากทำความรู้จัก

ทั้งสามคนต่างแยกย้ายกันทักทายคนอื่นทั่วทั้งงาน

หวังเป่าเล่อไม่เคยร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ แต่เคยศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่กลัวที่จะต้องพบปะกับคนชนชั้นสูงทั้งหลาย เขาทักทายทุกคนได้อย่างลื่นไหล ชายหนุ่มสรวลเสเฮฮากับคนแปลกหน้าอย่างมีความสุข         ถึงขนาดโอบไหล่ ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดราวกับรู้จักสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางก่อน

หลี่ซิ่วสนใจอยากทำความรู้จักกับหวังเป่าเล่ออยู่แล้ว เมื่ออีกฝ่ายดึงเข้าไปกอด จึงกอดกลับและยิ้มกว้างก่อนถามขึ้น “ท่านน้องเป่าเล่อ อีกไม่นานเจ้าก็คงจบการศึกษาแล้ว คิดจะเข้าไปเยือนเขตจันทราเวทเพื่อฝึกตนหรือไม่ หลังจากนั้น       เจ้าสนใจจะเข้าร่วมกิจการกับตระกูลของข้าด้วยรึเปล่า” หลี่ซิ่วยิ้มแย้มขณะพูด

หวังเป่าเล่อได้ยินอีกฝ่ายชักชวนดังนั้นก็หัวเราะ ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับข้อเสนอแต่อย่างใด หลี่ซิ่วเองไม่ได้ติดใจอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะต้องตัดสินใจทันที   เขาเพียงแต่คิดจะโน้มน้าวชายหนุ่มให้มาสังกัดกับขุมอำนาจตระกูลของตนก็เท่านั้น

งานเลี้ยงดำเนินไปเรื่อยๆ เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงตรงลานจัตุรัส เหล่าผู้กล้าหนุ่มสาวรุ่นใหม่ต่างสังสรรค์กันอย่างสนุกสนานในเรือนหมู่ของเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าบางคนไม่ชอบหน้ากัน แต่ไม่มีใครแสดงออกมา บรรยากาศมีชีวิตชีวามากขึ้น        เมื่อบรรดาศิษย์เอกจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าและลูกหลานของเหล่าเสนาบดีรู้จักกันมากขึ้น

อีกครู่ต่อมา หวังเป่าเล่อก็ปลีกตัวออกจากการบทสนทนาอย่างยากลำบาก    ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงหยิบจอกเหล้าจากข้ารับใช้สาวสวย      คนหนึ่งซึ่งเดินผ่านมา พลางมองดูผู้คนอย่างรื่นเริง ก่อนจะทำหน้ามุ่ย

“แม่นางคนงาม ที่นี่มีน้ำเย็นหล่อวิญญาณรึเปล่า ใส่น้ำแข็งด้วยยิ่งดี ถ้ามีมะนาวฝานบางๆ ด้วยก็สุดยอดไปเลย…อ้อ จริงสิ อาหารอยู่ที่ใดรึ มีไข่ต้มดองซีอิ๊วให้กิน       รึเปล่า แล้วขนมเล่า ไม่ก็มันฝรั่งทอดหรือเนื้อแดดเดียวอะไรพวกนี้” หวังเป่าเล่อ      ถือจอกเหล้า มองสาวใช้ด้วยแววตาคาดหวัง

นางตัวแข็งทื่อ เพราะนับเป็นครั้งแรกที่เจอคำขอเช่นนี้ ก่อนจะพยักหน้าและรีบไปหาน้ำเย็นหล่อวิญญาณกับไข่ต้มดองซีอิ๊วมาบริการ

พวกตระกูลใหญ่ๆ นี่มีครบทุกอย่างเลยสิท่า หวังเป่าเล่อพึงพอใจอย่างมาก   พลางถือจอกเหล้าที่ไม่ถูกปากตัวเองนัก แต่ดูเหมือนคนอื่นจะคุ้นเคยกับรสชาติของมันเป็นอย่างดี เขาจึงแสร้งจิบมันเบาๆ ขณะนั้นเอง เจ้าเยี่ยเหมิงก็หลบออกจากฝูงชนมายืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม หญิงสาวยิ้มแย้มอย่างน่ารัก ก่อนหัวเราะเบาๆ เหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่าง

นางพูดโดยไม่ให้คนอื่นได้ยิน แต่หากสังเกตจากสีหน้าของนางแล้ว ดูเหมือนนางกำลังให้ความสนใจกับอะไรบางอย่างอยู่

เจ้าเยี่ยเหมิงเดินมาหยุดข้างๆ กับหวังเป่าเล่อ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แต่สิ่งที่นางเอ่ยออกมาช่างร้ายแรงนัก!

“เป่าเล่อ เจ้าอย่าเพิ่งหันไป…ด้านหลังทางซ้าย มีเด็กหนุ่มผมยาวสวมชุดเครื่องแบบสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่หนึ่งคน…

“เขาก็ดูปกติดี แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดตอนที่เดินผ่านเขาไปถึงรู้สึกอะไรบางอย่าง เหมือนกับเคยรู้จักมาก่อนจากที่ใดสักแห่ง แต่กลับไม่คุ้นสักนิด ข้าเองก็อธิบายไม่ถูก! และข้าคิดว่าเขาเองก็จับตามองพวกเราอยู่ โดยเฉพาะท่าน…

“สัญชาตญาณของข้าบอกว่าคนผู้นี้…อันตรายอย่างมาก! ดูมีเจตนาไม่ดีต่อพวกเรานัก…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ได้แต่เก็บอาการ แล้วแสร้งระเบิดเสียงหัวเราะลั่นราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลกสุดยอดออกมา ขณะนั้นเอง ข้ารับใช้สาวคนเดิมก็กลับมาพร้อมน้ำเย็นหล่อวิญญาณและขนมขบเคี้ยว

ชายหนุ่มหันไปหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาจากถาดของข้ารับใช้ ก่อนทำทีเป็นกวาดตามองผ่านๆ โดยไม่จับจ้องใครคนใดคนหนึ่ง แต่สายตาก็สะดุดเข้ากับคนที่เจ้าเยี่ยเหมิงเอ่ยถึงในทันที

เขาเบือนหน้าหนีโดยไม่ลังเลหรือชะงักค้าง แล้วดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณในมือ ก่อนพูดเบาๆ พลางยิ้ม

“ประหลาดนัก ข้ารู้สึกคลับคล้ายคลับคลา แต่ว่าไม่คุ้นกับเจ้านั่นเหมือนกัน…” หวังเป่าเล่อเอ่ย ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเงียบๆ ก่อนจะแยกย้ายไปรวมกลุ่มกับคนอื่นอีกครั้ง พวกเขาเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น

ชายหนุ่มแอบติดต่อกลับไปยังตำหนักอาวุธเวท และสั่งให้ลูกน้องค้นหารายชื่อ รวมถึงรูปภาพของบรรดาศิษย์ที่ได้รับเชิญมายังเรือนหมู่ของเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

หากเป็นองครักษ์อาวุธเวทอาจจะสั่งการเรื่องนี้ได้ลำบากหน่อย แต่หวังเป่าเล่อเป็นถึงรองเจ้าตำหนัก ชายหนุ่มและเฉินอวี่ถงถือได้ว่าเป็นผู้ปกครองสูงสุดที่ดูแลตำหนักอาวุธเวททั้งหมดในกำมือ เจ้าพนักงานในตำหนักอาวุธเวทจึงกระตือรือร้นทันทีเมื่อได้รับคำสั่งจากหวังเป่าเล่อ

พวกเขารวบรวมรายชื่อแขกในงานส่งให้รองเจ้าตำหนักผู้นี้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มจิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณพลางไล่ดูรายชื่อไปด้วย ไม่นานนักจึงพบชื่อของคนที่กำลังตามหา!

หวงซานจากตำหนักหลุมพราง!

หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง คนที่ตนเองและเจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกคุ้นตาและมองมาที่พวกเขาคือหวงซาน ผู้เป็นศิษย์เก่าแก่ที่เข้ามายังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน หวงซานมีความสามารถด้านการทำหลุมพราง และมีภูมิหลังตระกูลไม่ธรรมดา เช่นเดียวกันกับผู้อาวุโสจากตำหนักหลุมพรางผู้เป็นศิษย์พี่ของเขา ชายหนุ่มผู้นี้ได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นรองเจ้าตำหนักประจำตำหนักหลุมพรางเมื่อปีที่แล้ว

ตำหนักหลุมพราง…เราเคยพบหน้ากันมาก่อนในสำนักศึกษาด้วยหรือ แล้วเหตุใดเจ้านั่นถึงต้องมองข้าด้วยเล่า แถมเจ้าเยี่ยเหมิงยังรู้สึกว่าเขาไม่ชอบมาพากลอีกต่างหาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version