บทที่ 235 บินออกนอกโลก
เรือบินอวกาศแตกต่างจากเรือบินบนท้องฟ้าทั่วไป หน้าตาคล้ายกับเรือรบยาวกว่าสามเมตร มันจอดอยู่ในลานจอดซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเรือบินชนิดนี้โดยเฉพาะ เมื่อมองดูจากระยะไกลจะเห็นว่ามันมีรูปร่างคล้ายกับกระบี่เล่มใหญ่ชวนตะลึง
ขณะเดียวกัน เรือบินอวกาศลำนี้ก็ส่งเสียงคำรามคร้ามครันออกมาเป็นระยะๆ ดุจเสียงฟ้าร้อง เหล่าสานุศิษย์จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงทุกคนที่ไม่ได้เดินทางไป ดวงจันทร์ด้วย ต่างล่าถอยทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ต่างพากันมองดูเรือบินด้วยความรู้สึกท่วมท้น
เสียงคล้ายอสูรร้ายคำรามนั้นคือเสียงติดเครื่องของเรือบิน ผู้คนที่เดินทางมาถึงหลังจากได้รับแจ้งเตือนต่างผงะตกใจ
ทุกคนพอสงบจิตใจลงได้บ้าง หลังจากขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้าของเรือบินอวกาศแล้ว
กลุ่มคนนับร้อยจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กำลังจะเดินทางไปยังเขตจันทราเวท ส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์อาวุโสผู้ร่ำเรียนวิชาอยู่ในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงมาหลายปี พวกเขามักใช้เวลาออกแสวงบุญหรือเก็บตัวฝึกตนตามลำพัง แม้จะรู้ความเป็นไปของโลกภายนอกบ้าง แต่ก็ไม่ลึกซึ้งนัก
อย่างไรก็ตาม บางคนรู้จักหวังเป่าเล่อจากตำแหน่งหน้าที่ที่ตนดำรงอยู่ จึงพากันเข้ามาทักทายชายหนุ่มอย่างสนิทสนม เมื่อพบปะเจอหน้ากันบนเรือบินอวกาศซึ่งเตรียมจะไปยังดวงจันทร์ลำนี้ โดยที่หวงซานจากตำหนักหลุมพรางเองก็เป็นหนึ่งใน คนเหล่านั้น
ตอนที่หวังเป่าเล่อขึ้นมาถึงเรือบินและทักทายคนอื่นๆ ชายหนุ่มสังเกตเห็นหวงซาน เขาทำตัวตามปกติ แม้ว่าในใจจะคอยระมัดระวังอยู่ก็ตาม
นอกจากหวงซานและศิษย์อาวุโสอย่างเฉินอวี่ถงแล้ว ก็มีศิษย์หน้าใหม่ไม่มากนัก รวมๆ แล้วเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น ในบรรดาศิษย์หน้าใหม่นี้ก็มี รวมถึงจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง และหลินเทียนหาวรวมอยู่ด้วย
สำหรับตู้หมิน เฉินจื่อเหิง และผองคณะนั้น ไม่อาจเข้าร่วมด้วย เพราะยังไม่บรรลุถึงระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่ห้า ส่วนกระต่ายน้อยเคยบอกหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ว่านางต้องการใช้เวลาเก็บตัวฝึกวิชามากกว่า อาจารย์ของหญิงสาวเข้มงวดอย่างยิ่ง และคาดหวังในตัวของลูกศิษย์คนนี้อย่างมาก ทำให้นางยังคงต้องเก็บตัวมาตั้งแต่ ตอนนั้น
ชายร่างอ้วนจำหน้าบางคนในกลุ่มศิษย์หน้าใหม่ได้ แต่เมื่อเห็นคนคุ้นเคยคนหนึ่ง ก็อดสงสัยไม่ได้
“เจ้าลูกชาย เจ้าฝึกตนจนบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่ห้ารวดเร็วเสียจริง นี่เจ้ากินจรวดเข้าไปหรืออย่างไรกัน” ชายหนุ่มประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็น ลู่จื่อหาวอยู่บนเรือบินลำนั้นด้วย
อีกฝ่ายเป็นศิษย์ตำหนักการยุทธ์ หลังจากเข้าร่วมการแข่งขันของตำหนักการยุทธ์กับหวังเป่าเล่อไปแล้ว เขาก็ได้รับโอกาสดีๆ มากมาย จนทำให้การฝึกตนพัฒนาขึ้นและบรรลุสู่ระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่ห้าได้สำเร็จ นำหน้าเฉินจื่อเหิง ตู้หมินและผองเพื่อน ก่อนที่เขตจันทราเวทจะเปิดพอดี
แม้จะน่าตกตะลึง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่อยู่เหนือจินตนาการแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะยุคกำเนิดวิญญาณเพิ่งเกิดขึ้นมาสี่สิบกว่าปีเท่านั้น จึงไม่สำคัญว่าเศษชิ้นส่วนจะได้รับการเก็บกลับมาครบถ้วนเพียงใด อย่างไรเสียก็ยังมีดินแดนตกสำรวจอีกมากมาย รอให้คนอย่างลู่จื่อหาวไปคว้าโอกาสทองบนเส้นทางการฝึกตนของตัวเองมา
แม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องปกติและเกิดขึ้นได้ยาก แต่ในความจริงแล้ว มีคนจำนวนมากในสหพันธรัฐ ได้รับโอกาสเช่นนี้ ไม่จ่างขากลู่จื่อหาว
ระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วนับเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าบรรลุถึงขั้นรากฐานตั้งมั่นเมื่อใด จะทำให้พัฒนาการแบบก้าวกระโดดนี้ยากลำบากยิ่งขึ้น
ลู่จื่อหาวมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดและน้ำเสียงประหลาดใจของหวังเป่าเล่อ จริงๆ แล้วชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว เพราะชายร่างอ้วนคนนี้ปรากฏตัว อย่างโดดเด่นมาก ในตอนแรกเขาจึงหลีกเลี่ยงไม่อยากจะเจอหน้า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ก่อนจึงยึดมั่นกับหลักการเดิม แล้วแสดงตัวต่อหน้าหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน เพราะอยากเห็นอีกฝ่ายตื่นตะลึงกับตา
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า แม้ว่าเจ้าจะเป็นรองตำหนัก แต่ลู่จื่อหาวคนนี้มาจากตำหนักการยุทธ์ ไม่ใช่ตำหนักอาวุธเวทของเจ้าเสียหน่อย กล้าดีอย่างไรมาดูถูกข้าเช่นนี้” ลู่จื่อหาวเยาะเย้ยหลังจากรับฟังคำพูดของอีกฝ่าย
“หาวเอ๋อร์ เจ้าพูดจาเช่นนี้กับบิดาของตนได้อย่างไรกัน!” หวังเป่าเล่อมอง ชายตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ก่อนหมุนตัวออกห่าง แล้วตะโกนหาจั่วอี้ฟานซึ่งกำลังพูดคุยกับคนอื่นอย่างเป็นมิตร
“อี้ฟาน ตรงนี้มีเรื่องแล้ว!”
จั่วอี้ฟานผู้กำลังสรวลเสเฮฮากับคนอื่นๆ หันหน้ามามองอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน จึงปลีกตัวออกมาและเดินไปหาอีกฝ่าย ด้วยตำแหน่งรองเจ้าตำหนักแห่งตำหนักการยุทธ์ ทั้งยังเป็นถึงพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐ ทำให้ชายหนุ่มเป็นดาวเด่นทั้งในด้านอำนาจ ความสามารถในการสู้รบ และความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ
ลู่จื่อหาวเกร็งขึ้นมาทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา แม้ว่าจะไม่พอใจอย่างไร แต่เขาก็เป็นเพียงองครักษ์คนหนึ่ง ในขณะที่จั่วอี้ฟานเป็นถึงรองเจ้าตำหนัก
ชายหนุ่มคิดว่าไม่ใช่เรื่องน่าอาย หากจะโค้งคำนับต่อหน้ารองเจ้าตำหนักทั้งสองคน และไม่รู้สึกว่าผิดไปจากหลักการของตนนัก คำนับแล้วเขาก็เริ่มฟึดฟัดเดินจากไป ก่อนที่จั่วอี้ฟานจะเข้ามาถึงด้วยซ้ำ
ครั้นเห็นลู่จื่อหาวทำตัวเป็นองค์หญิงผู้ทะนงตนเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็พลันซาบซึ้งใจ
“ลูกชายของข้าโตขึ้นแล้ว” ชายหนุ่มพึมพำ พลางครุ่นคิดว่าจะต้องสั่งสอน ลู่จื่อหาวให้เห็นถึงความสำคัญของการเคารพผู้อาวุโสบ้าง ขณะที่กำลังไตร่ตรองว่า จะทำอย่างไรดีนั้นเอง จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเหาะเหินมาจากเกาะเส้นทางสวรรค์อันไกลโพ้น ก่อตัวเป็นสายรุ้งพุ่งตรงมาทางเรือบินอวกาศด้วยความเร็วสูง บริเวณนั้นเงียบลงทันที
หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองเช่นกัน ก่อนสังเกตเห็นว่าสายรุ้งนั้นมีพลังน่าทึ่งราวกับกำลังสั่นสะเทือนท้องนภา คนกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นจนถึงเรือบินในชั่วพริบตา
ทั้งแปดคนเผยตัวขึ้น สร้างควมตราตรึงไปทั่วทั้งบรรยากาศ มวลพลังขั้นรากฐานตั้งมั่นแผ่กว้างจนพื้นที่รอบข้างสั่นกระเพื่อม แค่มองปราดเดียว ชายร่างอ้วนก็ต้องตกใจทันทีเมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว!
รองประมุขสำนักผู้ลอบชื่นชมหวังเป่าเล่ออยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสท่าทางเคร่งขรึมอีกคน ที่มักจะเผยความใจดีบนใบหน้าทุกครั้งที่มองมายังเฉินอวี่ถงและหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มไม่เคยพบผู้อาวุโสคนนี้มาก่อน แต่เมื่อสังเกตท่าทางกระสับกระส่ายของเฉินอวี่ถง ก็ตระหนักได้ทันทีว่าชายผู้นั้นเป็นอาจารย์ของศิษย์พี่ของเขานั่นเอง
ท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน มีชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ายืนอยู่ เขาสวมอาภรณ์ยาวสีขาว แลดูคงแก่เรียน ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายดั่งดวงดาว เขาย่างก้าวขึ้นมาบนเรือบิน ก่อนมองดูทุกคนด้วยแววตาชื่นชม
“คารวะ ท่านประมุขสำนัก! คารวะ ท่านรองประมุขสำนักและผู้อาวุโสชั้นสูง ทุกท่าน!” เมื่อชายผู้นั้นปรากฏตัว บรรดาศิษย์รอบข้างก็รีบขานทักทายบุคคลสำคัญทั้งหลายเหล่านี้ทันควัน
ท่านประมุขสำนักหรือ ดวงตาของหวังเป่าเล่อลุกวาว เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบปะผู้มีอำนาจดูแลสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มรู้ดีว่าผู้อาวุโสสูงสุดเป็นเหมือนบุคคลในตำนานที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นอำนาจสูงสุดในสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์จึงตกอยู่ในมือของท่านประมุขสำนักนั่นเอง!
“การเปิดเขตจันทราเวทครั้งนี้ จะชี้ชะตาว่าใครจะได้เป็นผู้นำแห่งสำนัก เต๋าศักดิ์สิทธิ์คนต่อไปในภายภาคหน้า ดังนั้นข้าจึงมาส่งพวกเจ้าทุกคนที่นี่เป็น การส่วนตัว เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยและประสบความสำเร็จจาก การเดินทางครั้งนี้!” ประมุขสำนักแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในอาภรณ์สีขาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่พูดต่อให้มากความ ยกมือขวาขึ้นโบกทันที
“ออกเดินทางได้!”
เสียงของชายวัยกลางคนผู้นี้ดังก้องกังวาน ก่อนที่เรือบินอวกาศขนาดมหึมาจะค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ ทะลุผ่านเกราะป้องกันของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงออกไปด้วยความเร็วเต็มกำลัง เรือบินอวกาศลำนี้มุ่งหน้าขึ้นสู่ท้องนภาพร้อมด้วยเสียงคำรามลั่นสนั่นทั่วทิศทาง
มันเคลื่อนที่รวดเร็วมากจนน่าทึ่ง ทำเอากลุ่มคนผู้เฝ้าดูอยู่ต่างตกตะลึง ไม่เว้นแม้แต่หลิวเต้าปิน เฉินจื่อเหิง และพรรคพวก ที่ได้แต่หายใจหอบถี่ขณะมองดูเรือบินอวกาศหายลับตาไปอย่างว่องไว
แม้พวกเขาจะมองไม่เห็นเรือบินอวกาศแล้ว แต่ก็ยังเห็นว่าวงแหวนแห่งเมฆหมอกนั้นกระเพื่อมอย่างรวดเร็วจากแรงขับเคลื่อนของเรือบิน รุนแรงเสียจนทำให้ภาพท้องฟ้าบิดเบี้ยวไป…
กระต่ายน้อยผู้เก็บตัวอยู่ในตำหนักหลอมโอสถไม่รู้ว่าภายนอกเกิดอะไรขึ้น แต่กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ขนตาของนางกระตุกจนเกือบต้องลืมตา
ตู้หมิน บรรดามิตรสหายของหวังเป่าเล่อ และบรรดามิตรสหายของทุกคนที่กำลังเดินทางไปยังเขตจันทราเวท ต่างเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความคาดหวังและรอคอยการกลับมาของพวกเขา
ตรงสุดสายตาของทุกคน ณ สถานที่ที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลุ่มเมฆพวยพุ่งขึ้นฟ้าอย่างว่องไว เรือบินอวกาศลำนั้นไม่ต่างกับเป็นจรวด แหวกท้องฟ้าด้วยความเร็วน่าอัศจรรย์
ยากจะบอกได้อย่างแม่นยำว่าเรือบินลำนี้กำลังเดินทางด้วยความเร็วเท่าใด แต่ผู้คนบนเรือบินก็หาได้รู้สึกถึงความเร็วรุนแรงนั้นเลยแม้แต่น้อย กระนั้นพวกเขา ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เมื่อคิดว่าพวกตนกำลังเดินทางออกนอกโลกอยู่
เพราะคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้เพิ่งเคยออกนอกโลกเป็นครั้งแรกในชีวิต!
เช่นเดียวกันกับหวังเป่าเล่อ หัวใจของเขาเต้นระรัว ดวงตาส่องประกายวับวาวขณะมองพื้นด้านล่าง ซึ่งตอนแรกแบนราบ แต่กลับค่อยๆ โค้งขึ้น ท้องฟ้าด้านบนมืดลงอย่างช้าๆ ก่อนจะกลายเป็นสีดำสนิท
ชายร่างอ้วนแทบหยุดหายใจและให้ความสนใจกับทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจน ลืมดูเวลา หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่ายาวนานเท่าใด จึงพบว่าพื้นดินเบื้องล่างนั้นกลายเป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินโดยสมบูรณ์ ชายหนุ่มรู้สึกสั่นสะท้านทั่วไป ทั้งสรรพางค์กาย
คนอื่นๆ อีกหลายคนต่างตัวสั่นเทิ้ม อารมณ์ท่วมท้นมากมายไม่ต่างกับหวังเป่าเล่อ
บนโลกที่ทุกคนจากมา มีท้องฟ้าส่องแสงให้กับแผ่นดิน ผู้คนต่างคุ้นชินกับ ความสว่างบนท้องนภา แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้าม เพราะพวกเขากำลังนั่งเรือบินอยู่ท่ามกลางหมู่ดวงดาว ท้องฟ้าซึ่งเคยมอบแสงสว่าง กลับถูกแทนที่ด้วยความมืดดำรอบตัว โลกเบื้องล่างอาบลำแสงสีฟ้าเรืองรอง เป็นปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมองกลุ่มดวงดาวบน ทางช้างเผือก แล้วเห็นดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตและมีขนาดเล็กกว่าโลกอย่างมาก…มันคือดวงจันทร์นั่นเอง!
“ดวงจันทร์นั้นมีตำนานอยู่มากมาย…” ทุกคนยังคงตื่นเต้นกับประสบการณ์แปลกใหม่นี้ไม่หาย ตอนที่เสียงของท่านประมุขสำนักดังกังวานก้องทั้งเรือบินขึ้นมา