บทที่ 249 ด้านมืดของดวงจันทร์
จินตั้วหมิงผู้ยังนอนบนเก้าอี้ ยกมือขวาขึ้นเล็กน้อยพอได้ยินที่หวังเป่าเล่อ ป่าวประกาศ วานรยักษ์ที่แบกเก้าอี้อยู่หยุดทันทีแล้วหมุนตัวให้เก้าอี้หันกลับมาหาหวังเป่าเล่อ
เมื่อเห็นหุ่นเชิดสามตัวข้างหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงถอดแว่นนักบินออกแล้วดูใกล้ๆ เขาลุกขึ้นนั่งเป็นครั้งแรกหลังจากนอนไม่เปลี่ยนท่ามาตลอด ดวงตาเขามีแววประหลาดใจและสนอกสนใจ
“พวกนั้นคือหุ่นเชิดรึ มีคนอื่นเคยเสนอขายหุ่นเชิดให้ข้าเหมือนกัน ว่าแต่หุ่นเชิดทั้งสามตัวของเจ้าพิเศษอย่างไรเล่า” จินตั้วหมิงถามอย่างใคร่รู้
หวังเป่าเล่อยิ่งตื่นเต้นพอเห็นว่าจินตั้วหมิงสนใจ เขายกมือขวาขึ้นดีดนิ้ว วานรเพชรคำรามดังลั่นพร้อมมองยังวานรยักษ์ที่แบกเก้าอี้ของจินตั้วหมิง
ดวงตาวานรยักษ์ลุกโชน มันหายใจเร็วขึ้น ดูตื่นตัวและหลงใหลวานรเพชรยิ่งนัก
“น่าสนใจ” จินตั้วหมิงยิ้มน้อยๆ นึกประทับใจที่หุ่นเชิดวานรเพชรสมจริงขนาดนี้ อสูรร้ายอย่างวานรเพชรมีสัญชาตญาณดีทีเดียว หากหลอกให้พวกมันเชื่อว่ากำลังเจอกับพวกพ้องได้ หมายความว่าหุ่นเชิดตัวนี้จะต้องเสมือนจริงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
หวังเป่าเล่อเห็นสีหน้าจินตั้วหมิง เขาก็กระแอมแล้วชี้ไปยังหุ่นเชิดหญิงงาม ทันใดนั้นสีหน้าของหุ่นเชิดตัวนั้นก็เปลี่ยนไป ท่ายืนของมันเหมือนคนจริงๆ และไม่ได้ยืนยั่วยวนอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมามีท่าทีเย็นชา ยกมือขวาขึ้นชักกระบี่ยาวออกมาทันที มันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมยาวเลยบ่า อาภรณ์ที่สวมสะบัดพลิ้วไปตามลมพัด ดูราวกับดรุณีคนงามเดินออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน
ดวงตาจินตั้วหมิงเป็นประกาย หวังเป่าเล่อเริงร่าแล้วปล่อยคำสั่งผ่านผนึกมืออีกครั้ง คราวนี้หุ่นเชิดสาวงามแสนเย็นชาเปลี่ยนกลับมาเป็นท่ายั่วยวนอีกครั้ง ปล่อยเสน่ห์ดึงดูดออกมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จินตั้วหมิงโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อดูให้ชัดขึ้น
จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วตวัดเท้าไปกับพื้น มวลพลังเขารุนแรงจนเกิดเป็นระเบิดเสียงดัง ซัดใส่หุ่นเชิดหญิงงามตัวนั้น หุ่นเชิดพยายามรับแรงกระแทกอย่างสุดกำลัง ตัวมั่นล่าถอยไปท่ามกลางแรงกระเทือนจากเสียงนั้น เมื่อฝุ่นตลบจางลงแล้ว จินตั้วหมิงก็ถึงกับประหลาดใจ เขาเห็นรอยแตกร้าวบนตัวหุ่นเชิดตัวนั้น ทว่าถ้ามองใกล้ๆ จะเห็นว่ารอยนั้นเริ่มสมานหายไปเอง!
“สหายจินเอ๋ย หุ่นเชิดของข้าทรหดมาก และสลักอักขราจารึกฟื้นฟูตัวเองเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะใช้มันเป็นผู้คุ้มกันหรืออะไรก็ตาม พวกมันจะสามารถรับใช้เจ้าได้ สบายมาก!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสงบนิ่ง เขาเห็นว่าแววตาจินตั้วหมิงประกายสดใสใคร่ปรารถนา
จากนั้นเขาจึงปล่อยผนึกมืออีกครั้งไปยังหุ่นเชิดชายตัวล่ำ มันเคลื่อนไหวในทันทีแล้วอวดกระบวนท่าชุดหนึ่งต่อหน้าจินตั้วหมิง หุ่นเชิดตัวนั้นดูป่าเถื่อนและแข็งแกร่งน่าประทับใจ เมื่อแสดงกระบวนท่าเรียบร้อย หุ่นเชิดตัวล่ำก็ยืนนิ่งแสยะปาก
“อู้ว…อ้า…อื้ม…”
เหล่ากองอารักขาจากกลุ่มไตรจันทราตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น พวกเขาต่าง ตกตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกตนหญิงที่ทำตาโตจ้องมาอย่างอึ้งทึ่ง
จินตั้วหมิงเองก็ถึงกับตัวสั่น เขาตบเก้าอี้พร้อมหัวเราะเต็มเสียง ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร หญิงรับใช้ข้างกายเขาก็ลุกลี้ลุกลนพูดขึ้นมาเสียก่อน
“พวกข้าขอซื้อทุกตัว ในราคาตัวละหนึ่งล้านศิลาวิญญาณ!”
จินตั้วหมิงดูไม่พอใจเมื่อได้ยินข้ารับใช้เสนอราคาตัดหน้าตัวเอง กระนั้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร หากแต่มองมายังหวังเป่าเล่อแทน
หวังเป่าเล่อดูจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกได้ว่าจินตั้วหมิงรวยแต่ไม่ได้โง่ เพียงแค่ไม่ได้ยี่หระเรื่องเงินทองเท่าไรนัก หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าตนไม่ควรจะโลภมาก แล้วรีบนอบน้อมยอมรับราคานั้นไปเสีย จึงหยิบเอาหุ่นเชิดอีกร้อยตัวออกมา
ข้ารับใช้สาวผู้นั้นตกตะลึงไป จินตั้วหมิงเห็นดังนั้นก็ชื่นมื่นพอใจยิ่ง ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนสินค้ากัน ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะบอกลาจินตั้วหมิงและคณะเดินทาง ไปพร้อมกับบัตรรูดศิลาวิญญาณที่ไม่ระบุชื่อผู้ถือ
ก่อนจากไป จินตั้วหมิงชักสนใจในตัวหวังเป่าเล่อมากยิ่งขึ้นจึงเอ่ยถามชื่ออีกฝ่ายเอาไว้ เขาประหลาดใจพอได้ยินชื่อหวังเป่าเล่อ เพราะเป็นชื่อคุ้นหูที่เขาเพิ่งได้ยินมา จากนั้นเขาก็โบกมือลาแล้วจากไป
มหาเศรษฐี มหาเศรษฐีตัวจริงเสียงจริง! หวังเป่าเล่อถึงกับพูดไม่ออกขณะมองจินตั้วหมิงจากไป อดนึกเศร้าขึ้นมาในใจไม่ได้ เขาหันไปทางอื่นตอนที่คนกลุ่มนั้น ลับตาแล้ว
สิ่งที่ข้าชอบที่สุดในชีวิตคือเป็นมิตรกับมหาเศรษฐี หวังเป่าเล่อลูบไล้กำไลคลังเวท สัมผัสถึงบัตรรูดศิลาวิญญาณไม่ระบุชื่อผู้ถือกับดาบอาวุธเวทระดับเจ็ดที่ได้รับมา ภายในใจเขาเกิดไฟลุกโชนราวกับมีบ่อหินร้อนอยู่ข้างใน
เขาเริ่มตามหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายต่ออย่างเปรมปรีดิ์ พลางทดลองอาวุธเวทระดับเจ็ดไปด้วย ปัญหาเดียวก็คือ อาวุธเวทที่ทรงพลังจะแสดงอำนาจได้สุดความสามารถของมันก็ต่อเมื่อผู้ใช้อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น ครั้นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้อย่างเขาได้ลองใช้มัน ก็ค่อนข้างเก้ๆ กังๆ เหมือนให้เด็กเล็กเหวี่ยงขวาน ด้ามใหญ่
แม้ว่าทางกายภาพ หวังเป่าเล่อจะมีระดับปราณเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่ที่เขาทำได้มากที่สุดคือ ประคองดาบนั้นไว้ใช้เป็นอาวุธต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ยังไม่อาจใช้คาถาเวทควบคุมดาบให้เหมือนกระบี่เหาะเหินได้
แต่ต่อให้ใช้เป็นอาวุธระยะประชิด ดาบเล่มนั้นก็ยังทรงพลังน่าทึ่ง หวังเป่าเล่อใช้พลังการฝึกตนเพียงเล็กน้อยเหวี่ยงดาบอย่างนุ่มนวล ก็บังเกิดเสียงดังอื้ออึง ร่างเสมือนของจระเข้ปรากฏขึ้น สร้างรอยแตกน่าหวาดกลัวบนพื้นดินทันที
หวังเป่าเล่อเบิกบานใจเหมือนได้ไพ่ตายใหม่เพิ่มเข้ามา ชายหนุ่มระริกระรี้ลองใช้อาวุธเวทอีกครั้งก่อนจะเข้าใจว่าตนใช้ดาบมากไปไม่ได้ เขาบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นแค่ทางกายเท่านั้น จึงตัดสินใจเก็บดาบไปแล้วตามหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายต่อ
หลายวันให้หลัง หวังเป่าเล่อเจอหมอกเวทเคลื่อนย้ายหลายครั้ง ชายหนุ่มพยายามเคลื่อนย้ายตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เขายิ่งบ้าบิ่นขึ้นเมื่อมีอาวุธเวทไว้ปกป้องตัวเอง แล้วทั้งสัปดาห์ก็ผ่านไปทั้งอย่างนั้น
ตลอดช่วงสัปดาห์นั้น หวังเป่าเล่อหายตัวไปมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง ยิ่งแก้ลูกประคำเพิ่มมากเท่าไร ขนาดลูกประคำก็เปลี่ยนตามไปด้วยเท่านั้น
ระหว่างนั้น หวังเป่าเล่อก็เจอเศษชิ้นส่วนพิเศษอีกสองชิ้น ตอนนี้ชายหนุ่มจึงมีเศษชิ้นส่วนพิเศษในครอบครองทั้งหมดสิบเอ็ดชิ้น เขาหาทางปกปิดปราณวิญญาณที่แพร่กระจายออกมาจากเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นได้ชั่วคราว จนถึงจุดหนึ่งก็สามารถทำให้มันอ่อนกำลังลงได้ โดยการใช้พลังสูบจากเมล็ดดูดกลืนเข้าช่วย แต่ก็ไม่อาจปกปิดไปได้ตลอด
ภายในหนึ่งสัปดาห์ หวังเป่าเล่อได้พบเจอคนรู้จักบ้างประปราย พวกเขาต่างเป็นศิษย์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าทั้งสิ้น พอได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทุกคนก็แยกย้ายไปคนละทาง
หวังเป่าเล่อยังไม่เจอจั่วอี้ฟานหรือเจ้าเยี่ยเหมิงเลยตั้งแต่ตอนนั้น แต่เท่าที่ได้ยินคนอื่นบอกมา เขาจึงได้รู้ว่าสองคนนั้นหาเศษชิ้นส่วนพิเศษเจอกันแล้วหลายชิ้น
อันตรายระหว่างทางก็มี ชายหนุ่มเจอเข้ากับค้างคาวจันทรารัตติกาล ทั้งยังผ่านประสบการณ์ฝนกรดพิษมาแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขามองเห็นภาพลวงตาอยู่ไกลออกไปด้วยซ้ำ
แล้วหลังจากทดลองลูกประคำและเสาะหาเศษชิ้นส่วนพิเศษไม่หยุดหย่อน โชคของหวังเป่าเล่อก็ดูจะหดหายไปทั้งอย่างนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดคาดแต่อย่างใด สองวันให้หลัง เมื่อเขาโผล่มาอีกครั้งหลังจากโดนหมอกเวทเคลื่อนย้าย จึงพบว่า รอบกายตัวเองรายล้อมไปด้วยป่าทึบ!
ถ้าหากนี่เป็นเพียงป่าธรรมดาคงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ทว่าพอชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนยอดไม้แล้วมองขึ้นฟ้า เขากลับต้องกลั้นหายใจเมื่อตนมองไม่เห็นโลกมนุษย์ อีกต่อไป
ยิ่งมองออกไปไกล ทั้งบริเวณยิ่งเหมือนปกคลุมไปด้วยผืนป่า เขาจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าตนเองโดนส่งมายังด้านมืดของดวงจันทร์ แถมยังเป็นส่วนที่ลึกกว่าแค่ ชายขอบเข้าเสียแล้ว
ข้าจะต้องไม่ตาย ยกเว้นจะชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน…หวังเป่าเล่องงงันและระแวดระวังตัว เขากวาดตามองไปยังผืนป่าเงียบสงัด ลมหายใจเร่งระรัวขึ้น
พืชพรรณที่นี่ต่างจากบนโลกทั้งสีสันและรูปร่าง พืชส่วนใหญ่มีเฉดสีม่วงซึ่งเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ส่วนรูปร่างล้วนมีรูปร่างกลมเหมือนอยู่ในโลกจินตนาการ ทั้งยังมองเห็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมขนาดเท่าลูกวัวเคลื่อนไหวเร็วๆ ผ่านไปเป็นครั้งคราว
ปราณวิญญาณบริเวณนี้เข้มข้นกว่าด้านสว่างของดวงจันทร์อย่างเห็นได้ชัด แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่ชอบใจ เพราะนั่นหมายความว่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ละแวกนี้สามารถดูดซับปราณวิญญาณได้ พวกมันจึงยิ่งอันตรายเป็นเท่าตัว
ตอนหวังเป่าเล่อค่อยๆ รุดหน้าไป เขาเจอเข้ากับสิ่งมีชีวิตลูกผสมหลายสายพันธุ์สองหัวขนาดเท่าสิงโตตัวหนึ่ง ร่างกายของมันเปลี่ยนสีไปมาระหว่างฟ้ากับเหลือง มันปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วต้นไม้ต้นนั้นก็แยกออกจากกันกลายเป็นปาก ขนาดใหญ่ ก่อนกลืนสิ่งมีชีวิตนั้นเข้าไปทั้งตัว
หวังเป่าเล่อเสียวสันหลังวาบ เขายิ่งระแวดระวังตัวหนักขึ้นไปอีก
ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่ ข้าต้องหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายให้เจอ แล้วย้ายตัวเองไปที่อื่น! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้า ก่อนรุดหน้าไปในป่าเร็วยิ่งขึ้น สามชั่วโมง ให้หลัง เขาก็ยังไม่พบชายป่าหรือหมอกเวทเคลื่อนย้ายสักที ความกังวลท่วมท้นขึ้น ในใจ ตอนที่เขากำลังจะเปลี่ยนทิศทางไปค้นหาในอีกที่ลุ่มหนึ่ง ก็มีอันต้องหยุดชะงักแล้วหันขวับไปมองทางซ้ายทันควัน
มีใครอยู่ตรงนั้น หวังเป่าเล่อตกใจ เขามองผ่านช่องว่างระหว่างใบพืชไป แล้วเห็นผู้ฝึกตนนับร้อยปรากฏต่อสายตา!
ทุกคนล้วนแต่งกายคล้ายกันไปหมด หวังเป่าเล่อนึกได้ว่าเคยเจอคนที่แต่งกายลักษณะนี้ตอนที่เขาอยู่ในเขตจันทราเวท เขาบอกได้ทันทีว่าคนพวกนี้มาจากตระกูลนภาห้าสมัย!
พวกเขาหลอมวงแหวนปราณขึ้นทั่วทั้งบริเวณนั้น ทั้งยังขุดพื้นดินเป็นร่องขนาดใหญ่ คนนับร้อยเคลื่อนไหวกันเหมือนกำลังพยายามเคลื่อนย้ายบางสิ่ง ครั้นหันไปมอง อีกทาง หวังเป่าเล่อก็เห็นบางสิ่งที่ทำให้นัยน์ตาหรี่เล็กลง หัวใจเขาแทบหยุดเต้น เมื่อเห็น…ต้นไม้ยักษ์!
ต้นไม้ยักษ์เหมือนกำลังสื่อสารกับใครบางคนอยู่ และเขาผู้นั้นก็คือ ชายชรา ที่กำลังขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด มวลพลังที่เขาปลดปล่อยออกมาทรงพลังเข้าขั้น กำเนิดแก่นในแล้ว!
นี่มัน…นี่มัน…ภาพตรงหน้าทำให้ใจหวังเป่าเล่อปั่นป่วน