บทที่ 248 รวยและรั้น
“ข้าไม่ขาย!” หวังเป่าเล่อไม่สบอารมณ์ เขามีเศษชิ้นส่วนแค่สิบชิ้น ส่วนชายหนุ่มคนนั้นมีตั้งสิบเก้าชิ้นแล้ว ยิ่งคิดว่าเขาหาแต่ละชิ้นมาด้วยความสามารถของตัวเอง จากความไม่พอใจก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นความหยิ่งผยอง เขาหันหลังให้แล้วเดินต่อไปตามทางของตัวเองทันที
ชายหนุ่มคนนั้น จินตั้วหมิง ยังคงยิ้มต่อไปเหมือนเดิม ความมาดมั่นไม่ได้กระเทือนเลยขณะที่เขาพูดต่ออย่างใจเย็นพลางมองแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ
“อาวุธเวทระดับเจ็ดแลกกับเศษชิ้นส่วนหนึ่งชิ้น ตกลงรึเปล่า” เขาว่าพลาง ชักดาบเล่มหนึ่งออกมาจากกำไลคลังเวทแล้ววางลงข้างตัวเอง เขาใช้มือขวาสะกดมันเอาไว้ ขณะที่จ้องหน้าหวังเป่าเล่ออยู่
ตอนที่ดาบเล่มนั้นปรากฏสู่สายตา มันระเบิดมวลพลังทำลายล้างออกมาอย่าง น่าตกใจ กลายเป็นพายุหมุนสีดำกวาดออกไปทุกทาง ทั้งยังมีจระเข้ตัวใหญ่สีดำปรากฏอยู่ข้างในพายุหมุนนั้นด้วย!
จระเข้สีดำเกล็ดเต็มตัวดูน่าสะพรึงกลัว มันอ้าปากกว้างแยกเขี้ยวพลางแสยะยิ้มไร้เสียง ดูน่าเกรงขามถึงขนาดเขย่าสวรรค์สะเทือนปฐพี!
เมื่อดาบเล่มนั้นโผล่ออกมา แม้แต่เจ้าวานรที่แบกเก้าอี้ของจินตั้วหมิงอยู่ก็ถึงกับตัวสั่นอย่างรุนแรงจากมวลพลังกดดันรุนแรงมหาศาล มันตัวสั่นถึงขั้นทรุดเข่าลงและไม่กล้าขยับแม้แต่นิ้วเดียว กระทั่งผู้ฝึกตนหญิงระดับลมหายใจเที่ยงแท้รอบตัวเขายังหายใจกันไม่เป็นจังหวะ พวกนางล้วนตะลึงตกใจราวกับว่าอาวุธเวทชิ้นนั้นได้สูบเอาพลังปราณของทุกคนไปเสียหมด
แม้พลังของมันจะยังไม่ถึงขั้นเขย่าโลกทั้งใบได้ แต่ก็นับว่ารุนแรงมากทีเดียว ฝุ่นผงฟุ้งขึ้นมาแล้วแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง เห็นเป็นระลอกคลื่นบนพื้นทราย
หวังเป่าเล่อหันขวับไปจ้องจินตั้วหมิงตาค้างราวกับโดนฟ้าผ่าลงกลางกบาล แล้วเหลือบมองอาวุธเวทในมืออีกฝ่าย
“เจ้า…เจ้าว่าอย่างไรนะ” หวังเป่าเล่อยืนอึ้งอยู่กับที่ เขาลังเลและสับสนจนต้องถามอีกครั้งเผื่อว่าตนฟังผิดไป
“ข้าบอกว่า ข้าขอแลกอาวุธเวทระดับเจ็ดชิ้นนี้กับเศษชิ้นส่วนของเจ้าหนึ่งชิ้น ตกลงรึเปล่า” จินตั้วหมิงผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม เขามั่นใจในตัวเองมาก บรรดาผู้ฝึกตนหญิงข้างกายเขาก็ดูไม่แปลกใจกับอากัปกิริยาเช่นนี้ของเขา
“วะ…วัตถุเวทระดับเจ็ดแลกกับเศษชิ้นส่วนหนึ่งชิ้นอย่างนั้นรึ” บรรดาผู้ติดตามคุณชายคนนั้นส่งเสียงอึกทึก ราวกับโลกทั้งใบตกอยู่ในความโกลาหล ทุกอย่างดูแปลกประหลาดในสายตาเขา กระทั่งหลังจากขจัดความสงสัยแล้ว อารมณ์อีกมากมายก็ยังโถมเข้าใส่เขา จนยากจะทำใจเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงได้
ในฐานะนักหลอมอาวุธเวทแล้ว เขาจึงรู้จักวัตถุเวททั้งหลายเป็นอย่างดี วัตถุเวทระดับหนึ่งกับสองเรียกว่าวัตถุเวททั่วไป ระดับสามถึงห้าเรียกว่าสมบัติเวท เฉพาะ วัตถุเวทระดับเจ็ดเท่านั้นถึงจะจัดได้ว่าเป็น ‘อาวุธ’ และเรียกกันอย่างเป็นทางการว่าอาวุธเวท!
อาวุธเวททุกชิ้นล้วนทรงพลังและมีราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ บางทีมีกำลังทรัพย์เพียงพอก็ไม่อาจหาซื้อได้ตามท้องตลาด แต่ต้องอาศัยเส้นสายเพื่อให้ได้มาเท่านั้น!
ต่อให้มีสักชิ้นหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางงานประมูล อาวุธเวทชิ้นนั้นก็จะขายออกทันที ราคาประมูลในตอนท้ายก็สูงจนน่าใจหาย แต่ใครๆ ก็ไม่กลัวที่จะสู้ราคา ด้วยรู้ว่าตนเองกำลังจะได้รับสิ่งที่คุ้มค่าไปครอบครอง
หวังเป่าเล่อเป็นนักหลอมอาวุธเวทแท้ๆ ยังเคยเห็นเพียงควันจากอาวุธเวทของ แม่ทัพโจวเต๋อสี่ในระยะไกลเท่านั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธเวทชิ้นนั้นหน้าตาแท้จริงเป็นเช่นไร
นักหลอมอาวุธเวทส่วนใหญ่ล้วนมีเป้าหมายสูงสุดในชีวิตคือการหลอมอาวุธเวทให้สำเร็จ แต่มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่สืบเชื้อสายจากตระกูลใหญ่โตเท่านั้น จึงจะมีโอกาสได้ครอบครองอาวุธเวทเป็นของตัวเอง
ส่วนผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้…จากทั่วทั้งสหพันธรัฐ คงมีแต่นายน้อย จากกลุ่มไตรจันทราผู้นี้กระมัง ที่มีอาวุธเวทไว้ในครอบครอง ทั้งที่ยังไม่พ้นระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้
ไม่แปลกที่หวังเป่าเล่อตกตะลึงตาค้าง มูลค่าของอาวุธเวทนั้นสูงยิ่งนัก ทว่าคุณชายผู้นี้กลับทำประหนึ่งกำลังขายผักขายปลา พยายามจะเอาอาวุธเวทมาแลกกับเศษชิ้นส่วนหนึ่งชิ้นเท่านั้น…
ในสายตาหวังเป่าเล่อ ไม่ต่างจากคนที่เอารถยนต์ราคาแพงมาแลกกับลูกอมในมือเด็กคิดดูดีๆ แล้ว เปรียบกับรถยนต์ยังน้อยเกินไป ให้เปรียบเป็นเรือบินหรูคงเหมาะกว่า
ความรู้สึกเหล่านั้นทำให้หวังเป่าเล่อได้แต่ยืนนิ่งงัน ทั้งที่พยายามกลั้นหายใจ แต่กลับหายใจกระชั้นกว่าเก่า ภาพตรงหน้าเขาพร่ามัว จินตั้วหมิงยิ้มหยิ่งผยอง เขาเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่เขาแลกเปลี่ยนไม่ได้ เจ้าอ้วนนี่หัวรั้นทำยืดอกบอกว่า จะไม่แลกเศษชิ้นส่วนกับอะไรทั้งนั้น เขาอยากเห็นหวังเป่าเล่อยอมจำนนเมื่อได้เห็นอาวุธเวทตรงหน้าเสียจริง!
ที่จริงแล้วคุณชายผู้นี้หาเศษชิ้นส่วนไม่เจอเลยสักชิ้น เขาได้ทุกชิ้นมาจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ตอนแรกเขาเอาสมบัติเวทเข้าแลกเปลี่ยน แต่ในเมื่อตอนนี้เขาขาดอีกเพียงเศษชิ้นส่วนเดียว เขาจึงตัดสินใจใช้อาวุธเวทเข้าแลกเสียเลย สำหรับเขาแล้ว อาวุธเวทไม่ได้มีค่าอะไรนักหนา หากทำหายเมื่อใด เขาค่อยกลับบ้านไปขอบิดาใหม่ ก็ยังได้ เพราะพวกเขามีของพวกนี้ไม่เคยขาดมือ
ผู้ติดตามของเขาดูจะคุ้นเคยกับวิธีการของนายน้อยตัวเอง ทุกคนโดยเฉพาะ ผู้ฝึกตนหญิงที่ดูเหมือนข้ารับใช้นั้นไม่มีทีท่าตกใจสักนิด พวกนางกลับยิ้มร่าราวกับว่านายน้อยของนางไม่ได้ทำอะไรเกินเหตุเกินควรเลยสักนิด
นายน้อยโตขึ้นแล้ว! เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว เพราะเขาไม่ได้เอาอาวุธเวทระดับแปดไปแลกกับเศษชิ้นส่วน!
“ตกลงหรือไม่” สักพักต่อมา จิ้นตั้วหมิงถามพลางเลิกคิ้วขึ้น พอเพิ่งรู้ตัวว่า หวังเป่าเล่อยังคงไม่ตอบอะไรทั้งที่ตาเป็นประกาย เขาชักรำคาญและงุนงงที่ หวังเป่าเล่อไม่มีท่าทีตอบสนองเสียที
“ตกลง!” หวังเป่าเล่อมองข้ามน้ำเสียงไม่พอใจของจินตั้วหมิง แล้วรีบบอกออกไปก่อนจะโยนเศษชิ้นส่วนหนึ่งไปให้ ด้วยความดีอกดีใจสุดขีด จินตั้วหมิงคว้าเศษชิ้นส่วนชิ้นนั้นขึ้นมาสำรวจ ก่อนจะโยนอาวุธเวทระดับเจ็ดกลับไปให้หวังเป่าเล่ออย่างพึงพอใจ
วินาทีที่หวังเป่าเล่อคว้าดาบอาวุธเวทระดับเจ็ดไว้ได้ ร่างของชายหนุ่มก็สั่นอย่างรุนแรง เขารู้สึกถึงมวลพลังที่กระจายออกมาจากอาวุธเวท มันรุนแรงเกินอธิบาย เหมือนเขากำลังอุ้มจระเข้ดุร้ายเอาไว้มากกว่าเป็นอาวุธเวท
ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนแอลงไปในบัดดล ไม่ว่าจะระดับการฝึกตนหรือพลังปราณของตน ก็แทบไม่สามารถควบคุมอาวุธเวทชิ้นนั้นได้เลย ในฐานะนักหลอมอาวุธเวทแล้ว เขาบอกได้ทันทีเลยว่าอาวุธเวทชิ้นนี้เป็นของจริง!
สวรรค์! เหมือนข้าฝันไปเลย! หวังเป่าเล่อระริกระรี้ เขารีบเก็บอาวุธเวทเข้าไปในกระเป๋าคลังเวทเพราะกลัวพ่อคนรวยจะเกิดนึกเสียดายขึ้นมาแล้วเปลี่ยนใจ แต่ท่าทางเขาจะดูถูกจินตั้วหมิงไปสักหน่อย
ระหว่างที่หวังเป่าเล่อเก็บอาวุธเวทอยู่นั้น จิ้นตั้วหมิงก็เอนตัวลงนอนกับเก้าอี้ แล้วหยิบแว่นนักบินกลับมาสวมใหม่ เขาโบกมือให้หวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าเป็นสุข
“ขอบคุณเจ้ามาก สหายเต๋า”
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มคนโขยงใหญ่พากันมุ่งหน้าต่อไป ยิ่งได้ยินคำขอบคุณก่อนจากไปของจินตั้วหมิงแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณชายคนนั้นชักจะมีปัญหากับการให้ค่าสิ่งต่างๆ อย่างไรพิกล
ใจป้ำอะไรปานนั้น เอาอาวุธเวทมาแลกกับเศษชิ้นส่วน ทั้งยังขอบคุณข้าอีก… หวังเป่าเล่อยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ เขาเดาว่าความยากจนจำกัดจินตนาการของตนไว้ ตัวเองจึงไม่เข้าใจเหตุผลจากการกระทำของนายน้อยแห่งกลุ่มไตรจันทราเลยสักนิด
แต่หวังเป่าเล่อมั่นใจเรื่องหนึ่ง คือตัวเขาเองไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด และคงจะยิ่งดีใจด้วยซ้ำถ้าอีกฝ่ายอยากได้เศษชิ้นส่วนมากกว่าหนึ่งชิ้น…
กระทั่งความรู้สึกอิจฉาก่อนหน้านี้ยังลดน้อยลงตามไปด้วย เห็นๆ กันอยู่ว่า ชายหนุ่มคนนั้นรวบรวมเศษชิ้นส่วนพิเศษจนครบถ้วนภายในเวลาอันสั้นได้อย่างไร ถ้าลงทุนขนาดนี้แล้วยังหลอมรากฐานตั้งมั่นไม่ได้คงไร้ความยุติธรรมสิ้นดี เขาสมควรจะโดนฟ้าผ่าตายไปเสีย
ข้าคิดอะไรออกแล้ว! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึกตื้นตันใจและอยู่ไม่สุขยิ่งนัก เมื่อจู่ๆ ก็ตระหนักได้ว่าเก้าอี้ที่จินตั้วหมิงนอนอยู่นั้น น่าจะใช้วานรสองตัวแบกมากกว่าตัวเดียว
ดังนั้นหลังจากคิดทบทวนเร็วๆ ดวงตาของเขาก็ทอประกาย ชายหนุ่มยกมือขึ้นร้องเรียกดังลั่น
“สหายเต๋าจิน ข้ายังมีของคุณภาพสูงอีกมากมายที่เจ้าหาซื้อที่ใดไม่ได้อีกแล้ว หุ่นเชิดชั้นยอดที่ช่วยแบกเก้าอี้และนวดไหล่เจ้าได้เป็นอย่างไร จะใช้พวกมันอารักขาเจ้าก็ยังได้! แค่เจ้าซื้อไปตัวเดียว พวกมันก็ทำให้เจ้าได้ทุกอย่าง!” หวังเป่าเล่อ ป่าวประกาศพลางตบกระเป๋าคลังเวทตัวเอง ก่อนหยิบเอาหุ่นเชิดออกมาสามตัว
ตัวหนึ่งเป็นหญิงงาม อีกตัวเป็นชายหุ่นล่ำ และตัวสุดท้ายคือวานรเพชรขนาดจิ๋ว!
หุ่นเชิดหญิงงามเปี่ยมเสน่ห์น่าดึงดูด ใบหน้านางเหมือนภาพวาดแสนสวยจับใจใครที่ได้เห็นราวกับดอกไม้บาน
หุ่นเชิดชายตัวล่ำพละกำลังเหนือกว่าหุ่นเชิดทั่วไป แลดูป่าเถื่อนและให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม เพียงมีไว้ข้างกายก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยได้
ส่วนหุ่นเชิดวานรเพชรนั้นเหมือนภูเขาขนาดย่อม ดูมีชีวิตและสมจริงยิ่งนัก!
เขาไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มมีรสนิยมเช่นไร จึงหยิบหุ่นเชิดหลายประเภทออกมา อย่างละตัว…