บทที่ 247 อย่าเพิ่งไป สหายเต๋า!
หวังเป่าเล่อทึ้งผมตัวเอง ดวงตาเขาฉายแววความดื้อด้านมุ่งมั่น ยิ่งเขาหลอมลูกประคำให้เก็บหมอกเวทเคลื่อนย้ายไว้ไม่ได้สักที เขาก็ยิ่งโมโห
เขารู้ว่าลูกประคำพวกนี้จะเปล่าประโยชน์ทันทีที่ออกไปนอกเขตดวงจันทร์แล้ว แต่ภายในเขตจันทราเวทแห่งนี้ มันเปรียบเสมือนกับไม้ตายที่ช่วยให้เขาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
ถ้าเขาไปเจอเข้ากับอสูรดุร้ายที่อาศัยอยู่ในเขตจันทราเวท เขาก็ใช้หนีได้ ถ้าเขาเจอ ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่น เขาก็ใช้สิ่งนี้ส่งคนพวกนั้นไปไกลๆ ได้เช่นกัน
ลูกประคำยิ่งมีค่าสูงลิ่ว ครั้นหวังเป่าเล่อคิดถึงสรรพคุณของมัน
ถ้าไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยตั้งแต่แรก เขาคงทำใจได้ แต่ในระหว่างที่โดน หมอกเวทเคลื่อนย้ายหลายต่อหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็สามารถหลอมอักขราจารึกและปรับปรุงลูกประคำ จนมันสามารถดูดหมอกเข้ามาได้แล้ว จุดที่ท้าทายตอนนี้คือ ทำอย่างไรจึงจะเก็บหมอกเอาไว้ได้
ลูกประคำดูดกลืนหมอกได้ก็จริง แต่พอหวังเป่าเล่อเผชิญกับหมอกเวทเคลื่อนย้ายทีไร หมอกในลูกประคำก็จะหายไปเองทันที เขาไม่ได้อยากให้มันออกมาเป็นอย่างนั้น
ข้าจะปรับปรุงให้สำเร็จให้ได้! หวังเป่าเล่อยืนยันกับตัวเองหนักแน่น เขามองรอบด้านก่อนจะพุ่งตัวไปอีกทาง ใช้เมล็ดดูดกลืนค้นหาเศษชิ้นส่วนไปพลาง ปรับปรุงลูกประคำไปพลาง ขณะเดียวกันเขาก็มองหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายไปด้วย
หลังจากค้นคว้าเกี่ยวกับหมอกเวทเคลื่อนย้ายมาตลอดทั้งเดือน หวังเป่าเล่อเข้าใจกลไกของหมอกเวทเคลื่อนย้ายมากขึ้น ปกติแล้วหมอกเวทเคลื่อนย้ายจะลอยต่ำ ดังนั้นระหว่างหาเศษชิ้นส่วนไปด้วย หวังเป่าเล่อก็จะสอดส่องอยู่ตามพื้นที่ลุ่มต่ำ รอให้หมอกเวทเคลื่อนย้ายผ่านมา จะได้ทดสอบว่าผลงานการหลอมของตนสำเร็จหรือไม่
เป็นอยู่อย่างนั้นนานสองวัน ตลอดสองวันนั้น หวังเป่าเล่อปรับปรุงลูกประคำออกมาหลายรูปแบบ และตระเวนตามหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายอย่างมั่นใจ ทว่า เย็นวันหนึ่งในระหว่างที่กำลังสอดส่องอยู่ตามพื้นที่ลุ่มต่ำอยู่นั้น ชายหนุ่มก็มีอันถึงกับผงะไป เขารีบมองออกไปยังบริเวณทางด้านขวามือทันที
แม้จะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงด้วยตาเปล่า แต่เขาสัมผัสได้ว่าตำแหน่งทางด้านขวา มีปราณวิญญาณหลั่งไหลอย่างขึ้นไปบนฟ้ามหาศาลอย่างน่าตกใจ ราวกับคบเพลิงขนาดใหญ่ที่โผล่ออกมากลางดึก หากใครเข้าใกล้ก็คงรู้สึกถึงได้ไม่ต่างกัน
หวังเป่าเล่อเคยเจอปราณวิญญาณหลั่งไหลขึ้นฟ้าในลักษณะนี้มาก่อน เขามั่นใจว่ามันไม่ได้มาจากเศษชิ้นส่วน แต่มาจากใครบางคนที่ครอบครองเศษชิ้นส่วนอยู่ต่างหาก!
ประเด็นคือเหตุการณ์ปราณวิญญาณหลั่งไหลที่หวังเป่าเล่อเคยเจอมาก่อน นับเป็นเพียงสามหรือสี่ในสิบส่วนของภาพตรงหน้าเท่านั้น เขาไม่เคยพบเจอ ปราณวิญญาณหลั่งไหลมหาศาลอย่างที่รู้สึกได้ในตอนนี้มาก่อน!
บัดซบ! ทางนั้นมีเศษชิ้นส่วนกี่ชิ้นกัน เห็นทีไม่ถึงยี่สิบก็ใกล้เคียง! หวังเป่าเล่อ สูดหายใจลึก เมื่อเทียบกับพลังปราณวิญญาณที่หลั่งไหลออกมาจากตัวเขาแล้ว ชายหนุ่มก็ถึงกับตะลึงด้วยความเหลือเชื่อ
ตอนแรกหวังเป่าเล่อคิดว่าตนทำผลงานได้ดีทีเดียว เพราะตัวเองใช้ประโยชน์จากเมล็ดดูดกลืนในเขตจันทราเวทได้ แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้นเขากลับหาเศษชิ้นส่วนที่ใช้หลอมรากฐานตั้งมั่นได้เพียงสิบชิ้น กลับกัน ใครบางคนที่อยู่ทางขวามือนั้นกลับ เข้าใกล้ขั้นรากฐานตั้งมั่นเต็มทีแล้ว
หวังเป่าเล่อเริ่มไม่สบายใจขึ้นมา สัญชาตญาณของชายหนุ่มหวาดระแวงกว่าเก่า รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งแปลกไปเพราะมันไม่ปกติเอาเสียเลย เขาจึงล้มเลิกแผนเดิมที่คิดจะแย่งเศษชิ้นส่วนมาแล้วตั้งท่าจะจากไป ตอนนั้นเองที่ดวงตาเขาหรี่แคบลง
จังหวะนั้น จากทิศทางที่ปราณวิญญาณมหาศาลหลั่งไหลออกมา ดูเหมือนว่าเจ้าของปราณวิญญาณอันรุนแรงนี้จะรับรู้ได้ถึงปราณวิญญาณที่หลั่งไหลออกจากร่างของหวังเป่าเล่อเช่นกัน ทางนั้นจึงเปลี่ยนทิศทางพุ่งมาทางเขา!
ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววยะเยือกวาบผ่านเมื่อชายหนุ่มเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ เขาเปลี่ยนใจไม่ไปทางอื่น แล้วยืนนิ่งตรงนั้นพลางเพ่งมองเจ้าของปราณวิญญาณมหาศาลนั้นอย่างโอหัง
คิดจะปล้นข้ารึ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก แต่หากข้ากำจัดเขาได้ ข้าก็จะมีเศษชิ้นส่วนเพียงพอสำหรับหลอมรากฐานตั้งมั่น! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจ อุ่นเครื่องร่างกายและเรียกพลังปราณขึ้นมา เขารักษาความแข็งแกร่งของพลังกายไว้ที่ระดับสูงสุด เตรียมพร้อมปลดปล่อยมันออกมาได้ทุกเมื่อ หากจำเป็นต้องต่อสู้กับอีกฝ่ายจริงๆ
ไม่ใช่ว่าตัวข้า หวังเป่าเล่อ อยากจะปล้นเจ้านักหรอก ข้าแค่ปกป้องตัวเองต่างหาก! หวังเป่าเล่อแสยะยิ้มอย่างจองหอง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดที่อยู่ ไกลออกไป
ไม่นานหลังจากหวังเป่าเล่อเตรียมตัวเรียบร้อย ฝุ่นควันก็ฟุ้งกระจายมาแต่ไกล ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะปรากฏต่อสายตาชายหนุ่ม พอเห็นคนเหล่านั้น หวังเป่าเล่อก็ชะงักค้างราวกับโดนฟ้าผ่า เขากลั้นหายใจเฮือก
ระยำนัก! คนพวกนี้เป็นใครกัน แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าตัวเองอ่านสถานการณ์ขาด แต่ก็ยังอดไม่ได้อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
คนกลุ่มนั้นมีกันราวสี่สิบถึงห้าสิบคน เป็นชายหนุ่มท่าทางแข็งแรงประมาณ ยี่สิบคนอยู่รอบนอก แต่ละคนเป็นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นสุดยอด และดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย สายตาของพวกเขาแผ่มวลสังหารออกมา บ่งบอกชัดเจนว่าต่างก็เป็นนักรบที่ผ่านการศึกมาอย่างโชกโชน
ตรงกลางกลุ่มนั้นมีสตรียี่สิบนางแต่งกายสีสันแตกต่างกันออกไป พวกนางเป็น ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นสุดยอดเช่นกัน ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ขณะที่พวกนางสำรวจสิ่งรอบตัวอย่างระแวดระวังอยู่นั้น ก็ยังเรียกเคล็ดวิชาของตนออกมาใช้งานไปพร้อมกันด้วย พวกนางมีตั้งแต่นักสร้างวงแหวนปราณ นักหลอมโอสถ และนักฝึกอสูร
แถมยังมีคนที่กำลังซ่อมแซมสมบัติเวทรั้งท้ายมาอีกสามคน…
ตรงใจกลางวงซึ่งมีคนราวห้าสิบคนคุ้มกันให้ มีชายหนุ่มสวมกางเกงและเสื้อลายดอก ตาคาดแว่นนักบิน กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่
เก้าอี้ตัวนั้นตั้งอยู่บนหลังของวานรตัวใหญ่ล่ำสูงเกือบสองเมตรครึ่ง มันเคลื่อนไหวอย่างว่องไวนำหน้าคนทั้งคณะมา
พวกเขาคือ คณะผู้คุ้มกันนายน้อยแห่งกลุ่มไตรจันทรานั่นเอง!
หวังเป่าเล่ออึ้งไปครั้นเห็นคนกลุ่มใหญ่โผล่มาในเขตจันทราเวท เขตซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย เขาหายใจถี่กระชั้นด้วยความตกใจ
นี่มัน…แห่คุณชายชมเมืองกันรึ เขากำลังจัดงานสังสรรค์หรืออย่างไร หวังเป่าเล่อจ้องมองตาโต ชายหนุ่มสวมแว่นนักบินดูเอื่อยเฉื่อยจนหวังเป่าเล่อรู้สึกว่าช่างไม่ เข้ากับบรรยากาศในเขตจันทราเวทเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าชายหนุ่มเหมาะจะอยู่ที่ชายหาด กับบรรดาสาวงามในชุดว่ายน้ำชิ้นกระจ้อย และทะเลสีฟ้ามากกว่า
ในขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่หลั่งไหลออกมามหาศาล พอวิเคราะห์ดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็เดาออกว่าอีกฝ่ายคงมีเศษชิ้นส่วนสำหรับ หลอมรากฐานตั้งมั่นอย่างน้อยยี่สิบชิ้นหรือมากกว่านั้นแน่นอน
หวังเป่าเล่อยังนึกริษยาที่เหล่าสตรีรอบตัวชายหนุ่มคนนั้นล้วนงดงาม บางคนถือร่มให้ บางคนกำลังนวดไหล่ ในขณะที่บางคนกำลังป้อนผลไม้เพิ่งปอกให้เขาด้วย
เมื่อมองทางนั้นแล้วย้อนกลับมามองตัวเอง หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าต่อให้มั่นใจในตัวเองสักเพียงใด ก็ไม่มีอะไรเทียบอีกฝ่ายได้เลย หวังเป่าเล่อถอนหายใจแล้วหันไปทางขวาเตรียมจะเผ่นหนี คนเหล่านั้นมีกันมากเกินไป หวังเป่าเล่อสังหรณ์ใจว่าถ้าต้องปะทะกับพวกเขาโดยตรง ตัวเองคงโดนปล้นของไปหมดแน่แท้ เขาชักจะนึกเสียใจที่เมื่อครู่ทำทีอวดเบ่งไม่กลัวใคร รอให้คนพวกนั้นมาประชิดตัวจนได้
วินาทีที่หวังเป่าเล่อจะหนีนั้นเอง ชายหนุ่มสวมแว่นนักบินบนเก้าอี้ก็ตะโกนหาทันที
“อย่าเพิ่งไป สหายเต๋า!”
เพียงเขาเอ่ย ชายหนุ่มทั้งยี่สิบคนต่างก็กระจายตัวเข้าล้อมหวังเป่าเล่อทันที ทุกคนต่างมีสมบัติเวทส่องประกายติดตัวมาด้วย สมบัติเวทพวกนั้นทำให้ทุกคนเคลื่อนไหวรวดเร็วและแผ่มวลกดดันอันหนักหน่วงน่าตกใจออกมา หวังเป่าเล่ออึ้งไปสนิทพอสัมผัสได้ถึงพลังเหล่านั้น
บัดซบ! ขนาดองครักษ์ยังมั่งคั่งถึงเพียงนี้! หวังเป่าเล่อฉุนกึก ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ดูแล้วชายหนุ่มผู้นี้คงยังไม่เคยเจอหมอกเวทเคลื่อนย้ายในเขตจันทราเวท หาไม่แล้วเจ้าตัวคงไม่เหลือผู้ติดตามมาด้วยมากขนาดนี้ น่าจะกระจายตัวออกจากกันไปนานแล้ว
หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำขอให้อยู่ต่อ รีบพุ่งหนีไปทันที ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววเย็นชา ถ้าพวกองครักษ์คิดจะขวางทาง เขาก็ต้องสู้กับพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด
ครั้นสัมผัสได้ถึงมวลสังหารที่แผ่ออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มคนนั้น ก็ถอดแว่นนักบินออก เขายังคงนอนอยู่ท่าเดิม คลี่รอยยิ้มจริงใจ แล้วร้องเรียกหา อีกครั้งหนึ่ง
“สหายเต๋า อย่ากลัวหรือกังวลไป ข้า จินตั้วหมิง ไม่มีวันทำอะไรต่ำช้าอย่าง การปล้นคนอื่นเป็นอันขาด!
“กลุ่มไตรจันทราของข้า เราทำทุกอย่างด้วยความเที่ยงธรรมและมีเหตุผลเสมอ!”
“ข้ามีเศษชิ้นส่วนสิบเก้าชิ้นสำหรับรากฐานตั้งมั่นแล้ว ข้าขาดอีกเพียงชิ้นเดียว ในเมื่อชะตานำเรามาพบกัน บอกราคามา แล้วขายให้ข้าสักหนึ่งชิ้นเถอะ!” ชายหนุ่มยิ้มอย่างมั่นใจเหมือนกำลังเจรจาต่อรองธุรกิจ เขาถึงขั้นโบกมือให้หวังเป่าเล่อขณะพูดไปด้วย