บทที่ 25 สำเร็จกระบวนท่าบิดหมุนมหาสูญ
เสียงแซ่ซ้องด้วยความโกรธยังคงดังกลบพื้นที่ตรงชั้นสองของชมรม ภาพติดตา ที่ทุกคนจดจำหวังเป่าเล่อได้คือการเป็นเจ้ากระต่ายอ้วนจอมหักนิ้ว บิดข้อมือ และเตะผ่าหมาก
แม้กระบวนท่าอันโหดร้ายเหล่านั้นทำให้ใครๆ ต่างกลัวจนตัวสั่น แต่ความ เกลียดชังก็ยังเพิ่มพูนมากขึ้น ใครได้เห็นการเตะอัดเป้านั้นต่างก็รู้สึกเจ็บซ่านทั้งสิ้น พวกเขาเข้าใจความเจ็บปวดอย่างดี ทำให้ยิ่งรู้สึกว่ากลยุทธ์นี้น่าละอายนัก
ผู้คนคิดว่าการหักนิ้ว บิดข้อมือเป็นการต่อสู้แบบนักเลงชั้นต่ำ และการเตะอัดเป้ายิ่งดูสถุลจนรับไม่ได้ขึ้นไปอีก
แย่ไปกว่านั้น ความปากร้ายของเจ้ากระต่ายอ้วนคอยเย้ยหยันคนดูให้ขึ้นมาสู้ บนสังเวียน ยิ่งกระตุ้นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายต่างๆ ให้รู้สึกว่าถูกเหยียดหยามซ้ำเติม
ไม่ว่าใครต่างมองเขาไร้ศักดิ์ศรีไม่มีค่า ราวกับเป็นเพียงเศษขยะที่มีเล่ห์เหลี่ยมและไร้ยางอายแค่นั้น อย่างไรก็ตาม ผู้คนทั้งหลายต่างเห็นกับตาว่า วิทยายุทธ์ การต่อสู้อันไร้ยางอายของหวังเป่าเล่อนั้น เอาชนะยอดฝีมือขั้นบำรุงชีพจรได้ กลุ่มคนเริ่มเกิดการอุปทาน การดูหมิ่นเหยียดหยามก่อนหน้า ได้เปลี่ยนเป็นการ อึ้งตะลึงไปครู่ใหญ่
“เจ้านั่น…เจ้านั่นล้มผู้ฝึกตนขั้นบำรุงชีพจรได้!”
“โธ่ ฟ้าดิน! วิทยายุทธ์การต่อสู้อันหน้าไม่อายอย่างการหักนิ้ว บิดข้อมือ และการเตะผ่าหมากนั่น น่าเกรงขามจริงๆ!”
“ไม่ยุติธรรมเลย คนทั่วไปยากนักจะทำได้ เจ้ากระต่ายอ้วนคงใช้เวลาเป็นปีๆ ฝึกฝนจนเป็นวิชาขนาดนี้!”
เสียงอึกทึกครึกโครมปะทุขึ้น จริงอยู่ที่คนในชมรมแห่งนี้ มักเป็นกลุ่มที่คลั่งไคล้ในการฝึกตนโบราณ แต่ลึกลงไปในจิตใจนั้นกลับไร้ตรรกะกฎเกณฑ์ตายตัว หากมีสิ่ง ที่ใหม่และดีเข้ามา พวกเขาก็พร้อมจะยอมรับเสมอ
แม้ว่ากลวิธีของชายหนุ่มผู้นั้นจะดูหน้าด้านหน้าทนไปบ้าง แต่การประลองนั่นพิสูจน์แล้วว่ามันสัมฤทธิ์ผลจริง คนดูทั้งหลายตรงชั้นสองตะลึงงัน ก่อนเริ่มทยอยออกจากบริเวณขณะปากยังคงอ้าค้าง
บางคนถึงขนาดยอมแลกศิลาวิญญาณกับภาพวีดิทัศน์ที่บันทึกการต่อสู้ของ หวังเป่าเล่อไว้ร้อยกว่าสังเวียน พวกเขาเริ่มศึกษาวิชาจากภาพบันทึกเหล่านั้น ข่าวของเจ้ากระต่ายอ้วนแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจากคนดูจำนวนมากอยู่ตรง บริเวณชั้นสอง รวมถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับแม่นางโจวลู่นั้นด้วย
ตอนนั้นตัวเขากลับมาถึงสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลังจากฝึกฝนหนึ่งวัน ชายหนุ่มก็ได้เรียนรู้เคล็ดลับใหม่ของกระบวนท่าเตะผ่าหมาก จึงกลับเข้าไปใน มิติมายาเพื่อฝึกซ้อมกับคู่ต่อสู้รุ่นพี่อีกครั้ง
เวลาผ่านไป แม้เสียงโหยหวนจะยังคงดังอยู่บ้างในมิติมายา แต่ความถี่ของ เสียงร้องนั้นค่อยๆ เพลาลง
ขณะที่โลกภายนอกนั้นมีการส่งต่อข่าวของเจ้ากระต่ายอ้วนอย่างรวดเร็ว จนทุกคนต่างพูดถึงบ่อยและติดลมบน
เจ้ากระต่ายอ้วนนั้นไม่ได้โด่งดังเพียงในชมรมเท่านั้น เพราะวันเกิดเหตุ มีศิษย์แห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มากมายเข้าชมการต่อสู้ด้วย หลังจากหายอึ้งกันไป พวกเขาต่างรีบศึกษากระบวนท่าทันที
ดังนั้นวีดิทัศน์ที่บันทึกการต่อสู้ทั้งหลายของหวังเป่าเล่อจึงปรากฏไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายวิญญาณของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เอง หรือแม้กระทั่งเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐก็ตาม
ทุกๆ วีดิทัศน์เริ่มจากไร้คนเข้าไปกดดู ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่ว ใครได้ชมเป็นอันต้องกรามค้าง โดยเฉพาะคู่ประลองคนเก่าๆ ของเขามาก่อน ทุกครั้งที่เห็นภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้น ความเจ็บปวดก็ย้อนกลับมาให้ทรมานอีกคราทันที และนั่นยิ่งเป็นแรงผลักดันให้ทุกคนต้องศึกษาอย่างจริงจัง
วีดิทัศน์เหล่านั้นแพร่กระจายไปในเวลาอันสั้น ทั้งยังเป็นสื่อการเรียนรู้ให้กับผู้คนอย่างมากมายอีกด้วย บางคนถึงกับต้องย้อนกลับไปศึกษากระบวนท่าการบิดหมุน ในตำราการฝึกตนโบราณเลยทีเดียว แท้จริงแล้วกระบวนท่านี้มีต้นฉบับดั้งเดิมอยู่ แต่ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่อจะนำมาประยุกต์อีกทีระหว่างฝึกฝน เมื่อใช้ร่วมกับพลัง อันแกร่งกล้าของเมล็ดแห่งการดูดกลืนแล้ว จึงกลายเป็นกระบวนท่าการบิดหมุนเฉพาะตัวไปเลยทีเดียว
กลายเป็นว่าทุกอย่างนั้นกลับตาลปัตรเมื่อได้รู้ที่มาที่ไป อาทิเช่น ความรังเกียจที่ทุกคนมีต่อกลยุทธ์ของหวังเป่าเล่อนั้นพลันลดลง มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับ เป็นหนึ่งในวิทยายุทธ์ขึ้นมาอีกต่างหาก
“นี่สินะคือ การประลองที่แท้จริง!”
“ถูกแล้ว หลายพันปีที่ผ่านมาการต่อสู้เป็นเพียงการแสดงเพื่อความบันเทิง หากแต่ปัจจุบัน การต่อสู้ทุกครั้งมีความเสี่ยง ถึงขนาดชี้เป็นชี้ตายได้เลยทีเดียว”
“ช่างมีเหตุผล ในความเป็นจริง ถ้าต้องเผชิญหน้าความเป็นความตาย จะมีผู้ใดมาสนใจอีกว่าจะใช้วิธีหักนิ้วหรือเตะผ่าหมากกันเล่า เพ้อเจ้อเกินไปแล้ว!”
เมื่อความคิดเช่นนี้แพร่สะพัดออกไป ก็เกิดสำนักมากมายที่เข้าข้างเจ้ากระต่ายอ้วนขึ้นมา สำนักเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมาเอง เพื่อแสดงความเห็นด้วยอย่างแรงกล้ากับ สิ่งที่ชายหนุ่มได้ทำไปลงบนเครือข่ายวิญญาณ
ไม่นานนัก ข่าวของหวังเป่าเล่อก็ลามไปทั่วนครศักดิ์สิทธิ์
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้คนสนใจศึกษากระบวนท่าบิดหมุนนั้นกันมากขึ้น อย่างมหาศาล เริ่มมีคนใช้กระบวนท่าหักนิ้ว บิดข้อมือ และเตะอัดเป้าตามสังเวียนต่างๆ ในชมรมด้วย แม้จะยังคงมีการเหยียดหยันอยู่บ้าง แต่ก็เป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ จนชมรมต้องรีบออกมาประกาศห้ามไม่ให้ใช้กระบวนท่าเตะผ่าหมากในการประลองเด็ดขาด
กระบวนท่าบิดหมุนยังเป็นวิทยายุทธ์เดียวที่ได้รับอนุญาต ผู้คนจึงเริ่มหลงใหล ในการหักนิ้วและบิดข้อมือกันมากขึ้น
วิทยายุทธ์นี้ยังคงมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม แม้จะขาดพลังอันน่าเกรงขามจากเมล็ดแห่งการดูดกลืนก็ตาม
ความนิยมนี้แทรกซึมไปถึงสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์จากสาขาการยุทธ์ บางคนเริ่มฝึกฝนวิชานี้แล้ว โดยเฉพาะลู่จื่อหาว ผู้โดนบังคับให้เรียกหวังเป่าเล่อ ว่าบิดามาหลายครั้ง เขาเองก็ฝึกฝนและเรียนรู้กระบวนท่าการบิดหมุนนั้นจากวีดิทัศน์และลองซ้อมในห้องฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าต้องรู้ตัวตนของเจ้าให้ได้ หากวันนั้นมาถึง ลู่จื่อหาวผู้นี้ สาบานว่าจะทำให้เจ้าเรียกข้าว่าบิดาบ้าง!”
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังฝึกซ้อมอย่างสุดแรงเกิด ตัดภาพมาริมหน้าต่างภายในห้องอันโอ่อ่าของชมรมการต่อสู้ โจวลู่เองก็กำลังชมวีดิทัศน์อยู่เช่นกัน
ห้องพักนี้ช่างวิจิตรตระการตา จากด้านในสามารถเห็นนครศักดิ์สิทธิ์เกือบครึ่งเมือง ท่ามกลางก้อนเมฆนั้น นครแห่งนี้ดูราวกับเป็นโลกอมตะ
การตกแต่งในห้องมีความประณีต วัตถุทุกชิ้นภายในต่างเป็นของที่มีราคา
สาวงามผู้สวมเสื้อผ้าอยู่บ้านในห้องพักสุดหรูแห่งนี้ จดจ่อกับภาพฉายวีดิทัศน์ของอริคนเก่า
การพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกตนขั้นผนึกกายานับเป็นเรื่องใหญ่นักสำหรับนาง โดยเฉพาะเมื่อโดนอัดบั้นท้าย ยิ่งทำให้ไฟแค้นลุกโชนหนักกว่าเก่า
แม้ว่านางจะตั้งใจค้นคว้ากระบวนท่าบิดหมุนเพียงใด ก็มิได้คิดสนใจฝึกวิชานี้เลยแม้แต่น้อย นางกำลังพยายามคิดหาวิธีเอาชนะกระบวนท่านี้ต่างหาก
ภาพที่เห็นในวีดิทัศน์ทำให้นางเผลอคุมตัวเองไม่อยู่ จนกำหมัดแน่น เป็นจังหวะเดียวกับที่ท่านประธานของชมรมการต่อสู้แห่งนครศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นท่านพ่อของนาง ได้เดินเข้ามา
หลังจากได้เห็นสีหน้าของลูกสาวอันเป็นที่รักนั้นขุ่นเคือง ผู้เป็นพ่อก็คลี่ยิ้ม อย่างขมขื่นก่อนถอนหายใจ
“ลูลู่ เหตุใดเจ้าถึงหงุดหงิดนักเล่า” ชายผู้นี้ดูคล้ายว่าจะมีอายุประมาณ สี่สิบกว่าๆ รูปร่างสูงโปร่ง และเส้นผมถูกแซมด้วยสีขาวประปราย ระดับปราณของเขาสูงกว่าระดับการฝึกตนโบราณด้วยซ้ำ ชายวัยสี่สิบผู้นี้ทรงพลังกว่ามนุษย์ทั่วไปจนไม่อาจหยั่งถึงได้
“ท่านพ่อ ท่านจะยอมบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้ากระต่ายอ้วนจากขุมนรกนั่นเป็นใครกันแน่!” โจวลู่มองไปยังพ่อของตนทันทีที่เขาเดินเข้ามา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้ขอร้องเรื่องนี้
“พอเถิดลูลู่ รากฐานสำคัญของการก่อตั้งชมรมของพวกเราคือ การไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า กฎนี้มิอาจฝ่าฝืนได้ และเจ้าต้องไปรายงานตัวกับ กองทัพหลวงในเร็ววันนี้ด้วย ดังนั้นเลิกอารมณ์ร้ายเสียเถิด” ท่านประธานผู้เป็นพ่อบอกลูกสาวพลางส่ายหัวอย่างจนปัญญา ทว่าแม่นางยังคงฝังใจเจ็บจนผู้เป็นพ่อ รู้สึกปวดขมับ ต้องขอบคุณผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีเรื่องเข้ามารายงานเสียก่อน จึงทำให้ชายร่างสูงจำต้องผละออกมาหลังจากปลอบลูกสาวไปเพียงสองสามคำ
หน้าอกของโจวลู่นั้นกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วง นางขบฟันกรอดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากจ้องวีดิทัศน์เขม็ง
“เจ้าอ้วนเอ๊ย ข้าจะต้องรู้ตัวตนของเจ้าให้ได้!”
หวังเป่าเล่อจามจนนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยคำสาปแช่งและก่นด่าจำนวนมากจากคนทั่วนครศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะผู้ที่เคยปะทะกับเจ้ากระต่ายอ้วนมาก่อน เช่น ลู่จื่อหาว และโจวลู่
มีใครคิดถึงข้าอีกแล้วสิท่า ชายหนุ่มจามออกมา ขณะกำลังกินขนมในถ้ำที่พักของตน เขารีบจิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
ชายหนุ่มกล่าวพึมพำกับตัวเอง ขณะกำลังขบเคี้ยวขนม
“ชื่อเสียงข้ากระฉ่อนเกินไปแล้ว ต้องทำตัวไม่ให้เป็นโดดเด่นอีก ข้าจะต้องเติบโตไปเป็นผู้นำของสหพันธรัฐ นอกเหนือจากชื่อเสียงอันเป็นทางการนั่น ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงทางอื่นอีก” ชายหนุ่มย้ำความคิดตนเองตอนที่เลือกใช้หน้ากากในตอนแรก หลังจากกินขนมเสร็จด้วยความสบายใจยิ่ง เขาลูบพุงตัวเองพลางสูดลมหายใจ อย่างลึก ก่อนเปิดมิติมายาเพื่อสู้กับคู่ต่อสู้รุ่นพี่อีกครั้ง
เวลาผ่านไป ฝีมือของหวังเป่าเล่อเริ่มคล่องแคล่ว การประลองกับคู่ต่อสู้รุ่นพี่นั้นทวีความรุนแรงขึ้น
ระหว่างฝึกซ้อม ความสามารถในการต่อสู้ของเขาดีขึ้นมาก จำนวนการโดนซัด อัดเป้าน้อยลงทุกที จนวันหนึ่งที่คู่ต่อสู้รุ่นพี่ก็มิอาจเตะชายหนุ่มได้อีกต่อไป และเขาเองเริ่มรู้จักตอบโต้บ้าง
ทว่าการตอบโต้กลับหาได้นำความยินดีมาสู่หวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย หากแต่กลับทิ้งฝันร้ายครั้งใหม่ไว้ให้เขาแทน
กระบวนท่าของคู่ต่อสู้รุ่นพี่นั้นเปลี่ยนจากการบิดข้อมือ เป็นบิดไหล่ คอ เข่า และจุดหมุนส่วนอื่นๆ แทน
ราวกับเป้าหมายสำคัญในการใช้กระบวนท่านี้คือ ข้อต่อทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ แม้การประลองทำให้ข้อต่อของหวังเป่าเล่อบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาต้องกรีดร้อง อย่างเจ็บปวด แต่ชายหนุ่มก็ยังคงกลับเข้าไปในมิติมายาอยู่ดี
ชายหนุ่มคิดจะเข้าไปที่ชมรมการต่อสู้อีกครั้ง แต่เมื่อนึกถึงความโกรธเคืองต่อ แม่นางเจ้าของชมรมนั่น ก็ชะงักความคิดอย่างเศร้าเสียดาย จึงตั้งใจฝึกฝน และยกระดับวิทยายุทธ์ของตนเองในมิติมายาแทน
ยังดีที่รากฐานของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก และกระบวนท่าของคู่ต่อสู้รุ่นพี่มีจำกัด หวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ เรียนรู้แก่นแท้ของกระบวนท่าบิดหมุนทั้งหลาย ไปพร้อมร่างกายที่เคยชินกับความเจ็บปวดจากการถูกบิดข้อต่อ ทำให้ฝีมือของเขาพัฒนาไปอีกระดับ
ด้วยระยะเวลาเพียงสองเดือน หวังเป่าเล่อก็สามารถล้มคู่ต่อสู้รุ่นพี่ได้สำเร็จ ชายหนุ่มออกมาจากมิติมายา แล้วแหงนหน้ามองนภาแต้มเมฆขาวด้านนอกถ้ำที่พักด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด
ในที่สุด ข้าก็สำเร็จวิทยายุทธ์แล้ว!