บทที่ 258 อาวุธเวทมันดีอย่างไร
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากเขาได้หม้อหลอมเล็กมาครอบครอง ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ภัยอันตรายจากทั่วทุกทิศรอเขาอยู่เบื้องหน้า หลังจากที่เขตจันทราเวทถูก ปิดผนึกเอาไว้
แต่ชายหนุ่มก็ยังตัดสินใจใช้วัตถุชิ้นนี้หลอมแก่นรากฐานวิญญาณอยู่ดี!
สิ่งที่ข้าศึกษามาจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงไม่ได้มีเพียงแค่การสานสัมพันธ์กับผู้คน แต่ยังมีบทเรียนชีวิตอีกด้วย ในอัตชีวประวัติระบุว่า มีไม่กี่อย่าง ในชีวิตที่จะสำเร็จแน่นอนเต็มร้อย หากมีโอกาสสำเร็จสักหกในสิบส่วนจะลองเสี่ยงดู ก็ได้ แต่หากมั่นใจว่ามีโอกาสสำเร็จสูงถึงเจ็ดหรือแปดในสิบส่วน ก็ควรทุ่มหมดหน้าตักเพื่อเสี่ยงดูสักตั้ง!
แม้ข้อความนี้จะบอกให้ลองเสี่ยงเพียงอย่างเดียว แต่หากข้าไม่ดิ้นรนไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร นัยน์ตาหวังเป่าเล่อลุกโชติช่วง ปกติไม่ค่อยเห็นเขาเคร่งเครียดแบบนี้เท่าใดนัก ชายหนุ่มมักจะกะล่อนร่าเริงอยู่เป็นนิจ หากแต่ มาบัดนี้ ชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความดุร้ายบ้าระห่ำ
หวังเป่าเล่อยังคงใจเย็น ไม่ได้กระทำอะไรหุนหันพลันแล่น ผุดคิดหนทางต่างๆ มากมายในหัว ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนไม่สามารถออกไปยังด้านสว่างของดวงจันทร์ได้ เขาไม่ได้กังวลว่าจะต้องเจอพวกคนแปลกหน้าอื่นๆ แต่กลัวว่าจะต้องเจอกับคนที่เขารู้จักคุ้นเคยต่างหาก
เชื่อมั่นในความดีของผู้คนได้ แต่อย่ายึดติดเป็นสรณะ เป็นอีกหนึ่งคติจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงที่หวังเป่าเล่อยึดถือ สรุปความได้ว่าไม่ควรลองดีกับกิเลสของมนุษย์นั่นเอง
หลายต่อหลายครั้ง คนคนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่เพราะตัวของคนผู้นั้นเอง หากแต่เป็นโอกาสที่คนคนนั้นได้รับ โอกาสที่อาจจะต้องเสียดายไปตลอดชีวิต
ดังนั้น ยิ่งคนผู้นั้นเป็นคนคุ้นเคย เพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัวด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังไม่หยิบยื่นโอกาสเช่นนั้นให้กับพวกเขา หวังเป่าเล่อตระหนักเรื่องนี้ดี เพราะตอนนี้เขาคือโอกาสที่ว่านั่นในสายตาผู้อื่น
“ข้าควรอยู่ที่ด้านมืดของดวงจันทร์ เพราะคนคุ้นเคยก็มีไม่มาก ศัตรูก็มีไม่เยอะ…
“จะเลิกตามหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายก็ไม่ได้ แม้จะเสี่ยงโดนเคลื่อนย้ายไปส่วนอื่น แต่การใช้หมอกเวทเคลื่อนย้ายหลบหนีก็เป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่
“นั่นเป็นเรื่องของการเอาตัวรอด สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการหาสถานที่ หลอมแก่นรากฐานวิญญาณให้เจอโดยด่วน!
“กว่าจะถึงตอนนั้น ถ้าหากมีใครกล้าทำร้ายข้าเพราะความละโมบโลภมาก เห็นทีข้าคงจะต้อง…สู้สุดฝีมือเพื่อเอาตัวรอดเช่นกัน!” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดในใจ นัยน์ตาพลันฉายแววเยือกเย็น เขารีบพุ่งลึกเข้าไปในผืนป่าด้านมืดของดวงจันทร์
หวังเป่าเล่อรู้จุดแข็งของตัวเองดี ซึ่งก็คือร่างกายอันแข็งแกร่งและระดับปราณที่เหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นสูงสุดคนอื่นๆ อีกทั้งยังมีอาวุธเวทและสมบัติเวทอีกมากมาย ข้อได้เปรียบอีกอย่างคือความคุ้นชินเส้นทางในผืนป่า ด้านมืดของดวงจันทร์!
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีประสบการณ์และความรู้เช่นหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเคยทั้งเป็นฝ่ายไล่ล่าและถูกตามล่าในผืนป่าด้านมืดของดวงจันทร์มาแล้ว เขาใช้ความรู้ที่สั่งสมมาให้เป็นประโยชน์ เมื่อมุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่าจนรอบข้างมีแต่ต้นไม้หนาแน่น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ยุงสีเทาภายในกายคืนชีพสมบูรณ์อีกครั้ง จึงบินกระจายออกไปพร้อมกับยุงตัวอื่นๆ บ้าง ทำให้ชายหนุ่มสามารถเห็นทุกสิ่งในระยะหนึ่งร้อยหลาได้อย่างชัดเจน
คนอื่นๆ จึงมุ่งหน้าตามมาได้ช้าลงเล็กน้อย จากเส้นทางและภัยอันตรายต่างๆ ในป่าที่ไม่คุ้นเคย ขณะที่หวังเป่าเล่อกลับเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ
ข้าต้องใช้เวลาสามวันกว่าจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น… หวังเป่าเล่อคิดคำนวณขณะวิ่งไปด้วย พร้อมกับพยายามใช้เมล็ดดูดกลืนกลบปราณวิญญาณของ หม้อหลอมเล็กอย่างต่อเนื่อง แม้จะได้ผลไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าช่วยได้ในระดับหนึ่ง
หกชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่ที่เขาได้ครอบครองหม้อหลอมเล็ก ชายหนุ่มยังไม่ได้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนเลยสักคน แต่ตอนที่กำลังคำนวณเวลาอยู่นั้นเอง จู่ๆ ดวงตาเขาก็หรี่เล็กลง ก่อนยกมือขวาขึ้นส่งประกายสายฟ้าไปทางป่าเบื้องหลังด้านขวามือ
ระดับการฝึกตนของชายหนุ่มในปัจจุบันทำให้วิชาประกายสายฟ้าไม่ได้ปล่อยเพียงแค่สายฟ้าเส้นเดียว แต่ยังมีพลังสนามแม่เหล็กผนวกรวมเข้าไปด้วย จนขยายใหญ่กลายเป็นตาข่ายแม่เหล็กลอยออกไปกลางอากาศ ตรงเข้าหาหญิงสาวที่พุ่งพรวดออกมาจากด้านหลังราวกับลูกธนู!
หญิงสาวผู้นั้นมีร่างสูงกำยำ ถือกระบี่เล่มใหญ่ในมือ นางไม่ใช่เฉินหุยหรือคนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพ แต่เป็นผู้ฝึกตนจากสำนักสหชุมนุมสกุณาที่มุ่งนำหน้ามาก่อนคนอื่นๆ พวกเขาเตรียมตัวมาดีกว่าที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์ไว้ นางพยายามจะซุ่มโจมตีเมื่อเข้าใกล้ชายหนุ่ม แต่โดนยุงจับการเคลื่อนไหวได้ก่อน
หญิงสาวผู้นั้นคำรามลั่นยามฟันกระบี่ใส่ตาข่ายสายฟ้าที่ปรากฏขึ้นอย่างรุนแรง พลังของนางล้นเหลือ ตาข่ายสายฟ้าถูกฟันขาดเป็นสองส่วน กลายเป็นประกายสายฟ้ากระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ในทันใด
“ส่งแหล่งกำเนิดปราณวิญญาณมาให้ข้า แล้วพวกข้าจะปรานีให้ศพเจ้ามี สภาพสมบูรณ์!” นางเงยหน้าขึ้นจ้องหวังเป่าเล่อพร้อมกับหัวเราะด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย ร่างเงาเจ็ดแปดคนพุ่งตามออกมาจากด้านหลังของนาง ในนั้นมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงร่างสูงกำยำ แต่ละคนดูเก่งกาจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือนักรบที่ได้รับการฝึกฝนมา อย่างหนัก
“ไสหัวไปเสีย ข้าจะได้ไม่ต้องลงมือฆ่าเจ้า” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อย่ามาทำปากดี!” นางหัวเราะร่วน ก่อนจะกระโจนขึ้นฟ้าเตรียมพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม บรรดาผู้ฝึกตนรอบข้างต่างแสยะยิ้มพร้อมกับกระโจนขึ้นฟ้าตามไป ทันทีที่พวกเขาลอยขึ้นจากพื้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นเรียกผนึกฝ่ามือออกมา กระแสสายฟ้าประสานกันกลายเป็นตาข่ายสายฟ้าเช่นที่อีกฝ่ายเพิ่งฟันขาดไปเมื่อสักครู่ ตาข่ายสายฟ้าลอยขึ้นบนอากาศ ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่สายฟ้าหลายเล่ม ฟาดฟันตรงไปที่กลุ่มศัตรู
ฝูงกระบี่พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เหล่าศิษย์สำนักสหชุมนุมสกุณามีร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ พวกเขาไม่สนใจกระบี่เหล่านั้นแม้แต่น้อย พุ่งสวนปะทะกระบี่สายฟ้า มุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาหิวกระหายและรอยยิ้มแสนน่ารังเกียจ
แม้พวกเขาจะเพิกเฉยต่อกระบี่สายฟ้า แต่ก็ไม่อาจหนีการโจมตีของยุงสิบตัวของหวังเป่าเล่อได้พ้น ฝูงยุงพุ่งไปกัดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ศิษย์สำนักสหชุมนุมสกุณา เจ็ดแปดคนหน้าเปลี่ยนสีด้วยความตื่นตะลึงในทันใด
“เกิดอะไรขึ้น!”
“มีอะไรไม่รู้กัดข้า!”
ขณะที่อีกฝ่ายกำลังตื่นตกใจ หวังเป่าเล่อไม่มัวเสียเวลาพูดพล่าม เขาก้าวไปข้างหน้า ทะยานออกไปอย่างรวดเร็วจนไปหยุดอยู่ที่หน้าศิษย์ชายสำนักสหชุมนุมสกุณาคนหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเย็นยะเยือก ชายหนุ่มปล่อยหมัดใส่อีกฝ่าย ศิษย์ชายร้องคำรามลั่น ปล่อยหมัดสวนกลับด้วยใบหน้าเหยเกจากความคันคะเยอ
หวังเป่าเล่อไม่เอี้ยวหลบหมัดที่สวนกลับมา แต่กลับออกแรงเพิ่มเข้าไปในหมัดของตัวเอง หมัดทั้งสองเข้าปะทะกันเกิดเป็นเสียงดังสนั่น
ศิษย์สำนักสหชุมนุมสกุณา ผู้นั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แขนขวาที่ปล่อยหมัดปะทะหวังเป่าเล่อแตกร้าวลงมาตั้งแต่กำปั้น ความปวดร้าวแล่นปราดไปทั่วทั้งแขน แผ่ขยายไปครึ่งร่าง ก่อนที่ร่างกายจะระเบิดออก เลือดเนื้อสาดกระเซ็นไปทั่ว!
ศิษย์ชายผู้นั้นไม่ทันจะได้ตัดสินใจทำอะไร ก็ตายไปก่อนจากความเสียหายรุนแรงที่ได้รับ
ภาพตรงหน้าทำเอาเหล่าผู้ฝึกตนที่เหลือพรั่นพรึง รีบถอยร่นตามสันชาตญาณด้วยความหวาดกลัว พวกเขาต่างมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง มีเพียงหญิงสาวร่างกำยำผู้ฟันตาข่ายสายฟ้าที่หรี่ตามอง นางไม่ได้ถอยหนี ความกระหายอย่างสู้รบกลับเพิ่มพูนขึ้นไปอีก
หวังเป่าเล่อไม่สนใจหญิงสาวบ้าพลัง เขายกมือขวาขึ้นโบกผ่านอากาศ พลันเส้นกั้น ก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน
“ข้าไม่ใช่คนที่ชอบเข่นฆ่าผู้อื่น ใครก็ตามที่ก้าวผ่านเส้นนี้เข้ามา…จะต้องตายสถานเดียว!” พูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันหลังกลับ เตรียมมุ่งหน้าจากไป
“อย่าไปกลัว ถ้าเจ้านั่นเก่งอย่างที่ปากว่าคงจะฆ่าเราไปแล้ว ที่จริงคงกลัวจนตัวสั่นเลยพยายามขู่เราให้ถอยหนี!” หญิงสาวที่ถือกระบี่เล่มใหญ่พูดขึ้นทันที นางพุ่งไปข้างหน้า ไม่สนใจเส้นที่ขีดกั้นเอาไว้บนพื้น ศิษย์คนอื่นๆ ฮึกเหิมตามขึ้นมาทันที เมื่อเห็นการกระทำและคำพูดของศิษย์พี่ผู้นั้น รีบทะยานข้ามเส้นกั้นเข้าใส่หวังเป่าเล่อโดยไม่รอช้า
ทันทีที่อีกฝ่ายพุ่งเข้ามา หวังเป่าเล่อก็หันกลับมาสะบัดกำไลคลังเวท เรียก กระบี่อาวุธเวทระดับเจ็ดมาไว้ในมือ ก่อนจะเหวี่ยงกระบี่ ฟันเข้าใส่ศิษย์เจ็ดแปดคนที่พุ่งตรงเข้ามา
ชายหนุ่มคุมพลังที่ปล่อยออกไปไม่ให้รุนแรงเกิน เพื่อให้ตนเองพอรับแรงสะท้อนกลับได้ไหว ถึงกระนั้นทันทีที่อาวุธเวทปรากฏสู่สายตาของทุกคน ท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนสี มรสุมสีดำก่อตัวขึ้น เงาจระเข้พลันปรากฏ พุ่งทะยานควบคู่ไปกับคมกระบี่!
หวังเป่าเล่อเก็บกระบี่เข้าฝักในทันที ขณะที่เส้นผมของชายหนุ่มปลิวไสวไปตามลม มรสุมสีดำและเงาจระเข้ก็พลันหายไป หวังเป่าเล่อหันกลับ ไม่เหลียวแลเหล่าศิษย์สำนักชุมนุมสกุณาที่ยืนชะงักอยู่แม้แต่นิด เขากลับจ้องลึกเข้าไปในป่าก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เส้นกั้นนี้ใช้กับเจ้าด้วยเช่นกัน”
พูดจบหวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าหายลึกเข้าป่าไป ชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำปรากฏตัวออกมาจากจุดที่หวังเป่าเล่อจ้องอยู่เมื่อสักครู่ เขาคือชายหนุ่มหัวกะทิที่โดน หวังเป่าเล่อขโมยชิ้นส่วนไปก่อนหน้า ร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำสั่นเทิ้ม สูดหายใจอย่างยากลำบาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและหวาดหวั่น มองเส้นกั้นบนพื้นพร้อมกับร่างเหล่าศิษย์สำนักสหชุมนุมสกุณาที่กำลังเอนมาข้างหน้า ศีรษะของทุกคนเลื่อนหลุดออกจากบ่า ภาพเบื้องหน้าทำเอาชายชุดดำเสียว สันหลังวาบ
บ้าจริง นั่นต้องเป็นอาวุธเวทแน่ๆ…หึม มีอาวุธเวทแล้วทำเป็นเก่ง แสร้งขีดเส้น ไร้สาระลงบนพื้น ทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้! ชายชุดดำเริ่มเดือดดาล แต่ก็พาลลังเลใจว่าควรจะไล่ตามต่อไปดีไหม เขาถอนหายใจยาว หลังจากตระหนักว่าอาวุธเวทที่ หวังเป่าเล่อครอบครองนั้นมีพลังเหลือล้นเกินไป ก็ตัดสินใจยอมแพ้แต่เพียงเท่านั้น