บทที่ 273 ไสหัวไป!
สำนักรุ่งสางจักรพิภพสมคบคิดกับต้นไม้ยักษ์ในเขตจันทราเวท พวกเขาหาช่องโหว่ผ่านวงแหวนปราณของเขตจันทราเวทเข้ามาตระเตรียมการทุกอย่าง ขนกองทัพ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นมากว่าร้อยชีวิต
แต่ทว่าไม่ใช่ทุกคนในสำนักรุ่งสางจักรพิภพที่เห็นด้วยกับแผนการนี้ ยังมีอีกหลายฝ่ายในสำนักที่ตัดสินใจไม่ให้ความร่วมมือกับการเดินทางสุดแสนอันตรายนี้ ผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมแผนการนี้มีแต่พวกพ้องของหญิงชราทั้งสิ้น
สำหรับสมาชิกส่วนใหญ่แล้ว หากไม่ใช่ภารกิจที่มีการวางแผนมาก่อนเป็นอย่างดี ก็เป็นการยากที่พวกเขาจะยอมเสี่ยงเดิมพันด้วย โดยปกติแล้ว พวกเขาจะต้องเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้เพื่อรักษาตัวรอด หากภารกิจไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้
เช่นเดียวกันกับตระกูลนภาห้าสมัย ไม่ใช่ทุกคนที่เลือกจะให้ความร่วมมือกับต้นไม้ยักษ์ มีเพียงบางสกุลเท่านั้นที่เลือกจะร่วมมือด้วย ในกรณีที่ผิดแผน ตระกูล นภาห้าสมัยจะได้ยังถอนตัวทัน หากพวกเขาทำไม่สำเร็จ ก็แค่ต้องเก็บกวาดหลักฐานให้เรียบร้อยแล้วหาข้ออ้างมาอธิบายกับสหพันธรัฐเท่านั้น
ในเวลาอื่นขุมอำนาจต่างๆ เหล่านี้ก็หลีกเลี่ยงการก่อสงครามโดยใช้เหตุ แต่ในเวลานี้ ทุกขุมอำนาจต่างยอมรับได้หากจะต้องใช้วิธีการลงโทษและตัดกำลังขุมอำนาจอื่น
จากบรรดาผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นหลายร้อยคนที่ปรากฏตัวในครั้งนี้ ส่วนมากอยู่ในชั้นต้นถึงชั้นกลางของขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น มีเพียงแปดหรือเก้าคนที่อยู่ในชั้นมหาวัฏจักรแล้ว
กองกำลังผู้ฝึกตนหน่วยนี้คือผู้ติดตามที่แข็งแกร่งที่สุดของหญิงชรา ในส่วนลึกของเขตจันทราเวท ฐานที่มั่นทั้งสามฐานของพวกเขาถูกขุดเจาะจนกลวงเปล่า ฐานทั้งสามคือเขตทดสอบที่คนเหล่านั้นและต้นไม้ยักษ์ร่วมกันสร้างขึ้นมา ดูเหมือนว่า พวกเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
ใกล้กับบริเวณที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้น มีเขตทดสอบซึ่งเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นของสำนักรุ่งสางจักรพิภพตั้งอยู่ นอกจากผู้ฝึกตนจำนวนหยิบมือหนึ่งที่เฝ้ายามอยู่แล้ว ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นอีกสิบสองคนที่เหลือก็ได้รับคำสั่ง ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังจุดที่สัมผัสได้ถึงจิตอาฆาตของหวังเป่าเล่อเป็นครั้งสุดท้าย
ในเวลาเดียวกัน หญิงชราเองก็มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วมาจากฐานอีกแห่ง ในเขตจันทราเวทนางไม่เกรงกลัวใคร และไม่จำเป็นต้องซ่อนความเร็วที่แท้จริงของตนเอง นางรุดหน้าไปรวดเร็วราวกับสายฟ้า เคลื่อนที่ใกล้เข้ามาทุกทีพร้อมสายตาอันเย็นชา
อีกด้านหนึ่งกองกำลังผู้ฝึกตนจำนวนมากของสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็กำลังกระชับวงล้อมหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้ตัวได้ทันการจากมุมมองสายตาของฝูงยุงที่เขาส่งออกไปลาดตระเวน
หลังจากที่สำเร็จขั้นรากฐานตั้งมั่น ฝูงยุงของหวังเป่าเล่อก็สามารถบินว่อนออกไปได้ไกลกว่าเคย พวกมันสามารถบินห่างออกไปได้ไกลถึงห้ากิโลเมตร และแม้ว่า หวังเป่าเล่อจะไม่อาจมองเห็นทุกพื้นที่ได้อย่างชัดเจนเท่าๆ กัน เขาก็ยังพอเห็น กองกำลังและสภาพแวดล้อมรอบตัวเจ้ายุงเหล่านั้นได้คร่าวๆ
ขณะนี้ ผู้ฝึกตนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพคนแรกปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเขาแล้ว หวังเป่าเล่อหยุดเคลื่อนที่เขม้นมองดูให้ชัดๆ อีกครั้ง ไม่ช้าเขาก็เห็นผู้ฝึกตนคนที่สอง สาม และสี่ปรากฏตัวขึ้นจากทั่วทุกอาณาบริเวณรอบตัวเขา…
เมื่อผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งสิบสองปรากฏตัวขึ้นจนครบ หวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมา ความเยือกเย็นฉาบอยู่ในแววตาของเขา
แปดคนอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นต้น สี่คนอยู่ในชั้นกลาง…ดูเหมือน สำนักรุ่งสางจักรพิภพจะส่งกองกำลังเข้ามาในดวงจันทร์หลายฝ่ายทีเดียว…
หวังเป่าเล่อตวัดลิ้นเลียริมฝีปาก ทั้งประสบการณ์เฉียดตายที่เขาต้องเผชิญ ทั้งดอกบัวสีเขียวที่ปรากฏขึ้นในกายเขา ทั้งโอกาสในการบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น อีกครั้ง หวังเป่าเล่อยังไม่เห็นขีดจำกัดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
การโจมตีที่เขาปล่อยออกไปเมื่อครู่และพลังกายของเขาในขณะนี้ ดูเหมือนว่ายังไม่ใช่พลังที่แท้จริงเสียด้วยซ้ำ ผู้คนที่เขาสังหารไปก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นต้นทั้งสิ้น หลังจากที่เขาวิเคราะห์เสร็จสรรพ หวังเป่าเล่อก็สามารถคาดคะเนพลังการต่อสู้ของตนเองได้แบบคร่าวๆ
การสังหารผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นต้นเป็นเรื่องง่าย การกำจัดผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลางก็ไม่ใช่เรื่องท้าทายเพราะข้ามีอาวุธเวทอยู่…ในส่วนของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายนั้นยังไม่อาจบอกได้ เพราะว่าไม่เคยประมือกันมาก่อน ข้าน่าจะสามารถเอาชนะได้ สิ่งที่ข้ากลัวอย่างเดียวคือจะต้องเปลืองเวลาไปมากโข หวังเป่าเล่อสรุปความคิดกับตัวเองอยู่เงียบๆ ดวงตาเขาหรี่เล็กลงเมื่อพุ่งเข้าไปหา ผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
หวังเป่าเล่อไม่อาจบอกได้เลยว่า ถ้าไม่มีอาวุธเวทอยู่ในมือแล้ว เขาจะเหลือพลัง ที่แท้จริงสักเท่าใด ชายหนุ่มคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่รองเจ้าตำหนักอาวุธเวทอย่างเขา จะต้องมีอาวุธเวทไว้ในครอบครองบ้าง ถ้าไม่มีสิน่าแปลก
ในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงดอกบัวสีเขียวในกายเขาจากการจู่โจมครั้งก่อนๆ เขารับรู้ได้ว่าดอกบัวสีเขียวนั้นไม่ได้เพิ่มพลังให้คาถาเวทของเขามากนัก แต่กลับส่งผลชัดเจนกับพลังกายของเขามากกว่า
ตั้งแต่ตอนที่เขาฟื้นคืนสติจวบจนตอนนี้ หวังเป่าเล่อยังไม่รู้สึกเหนื่อยอ่อนแม้แต่น้อย แหล่งกำเนิดพลังชีวิตที่มาสถิตอยู่ในร่างกายเขา ปล่อยเอากระแสปราณวิญญาณออกมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ส่งผลให้เขามีพละกำลังเต็มร้อยอยู่ตลอดเวลา
ถ้าอย่างนั้นแล้ว ข้าจะขอใช้ทั้งสิบสองคนนี้เป็นตัวทดสอบว่าพลังกายของข้ารุดหน้าไปมากเท่าใดแล้วก็แล้วกัน…แววสังหารเคลือบอยู่ในนัยน์ตาของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูง เสียงระเบิดดังลั่นสะท้านสะเทือนไปทั่วจน ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งสิบสองรับรู้ได้ หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นหน้าผู้ฝึกตนคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ทุกคนหันไปมองตามทิศทางที่เสียงนั้นดังมา
ชายผู้นั้นอยู่ในวัยกลางคน พริบตาที่ได้ยินเสียงกัมปนาทนั้นสายตาของเขาก็พร่ามัว แต่ประสบการณ์การต่อสู้มานานปีมอบสัญชาตญาณอันเฉียบคม ที่เตือนให้เขา เอี้ยวตัวหลบไปทางซ้ายทันการ ก่อนเรียกผนึกมือขึ้นมาร่ายคาถาเว และใช้สมบัติเวทสร้างโล่กำบังอันเจิดจ้าเพื่อทัดทานแรงโจมตีของหวังเป่าเล่อ
ทว่า เมื่อแรงโจมตีของหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าปะทะ การป้องกันของเขากลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อฟันกระบี่อาวุธเวทระดับเจ็ดออกไป เห็นเป็นคมแสงยาวกว่าสามสิบเมตรที่ตัดผ่านทำลายทุกสิ่งที่กั้นขวาง ทั้งสมบัติเวทและคาถาเวทต่าง แหลกละเอียด ไม่มีหนทางจะป้องกันได้เลย ในท้ายที่สุด ชายวัยกลางคนก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว รอยฟันกระบี่ปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเขาก่อนจะ เฉือนตัดผ่านไป ร่างของเขาล้มลงฟาดพื้นทันที
เสียงดังสนั่นระเบิดขึ้นมาจากพื้นโลก พร้อมกับรอยแตกบนพื้นเป็นทางยาว ร่างของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทุกคนตามมาถึงด้วยความเร็วสูง พวกเขามองเห็นศพของสหายที่ถูกผ่าครึ่งซีกแล้ว แต่ไม่มีวี่แววของหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด
ซากศพสองซีกและรอยแยกบนพื้นทำเอาเหล่าผู้ฝึกตนแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพถึงกับอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง จิตใจของพวกเขาตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว ทุกคนต่างหันมองไปรอบข้างอย่างหวาดเกรง พร้อมจะต่อสู้สุดขีด
“เพียงฟาดแค่ครั้งเดียว…ก็สังหารผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นได้…”
“พลังต่อสู้ของคนๆ นี้คงอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายเป็นอย่างน้อย บัดซบนัก ข้าก็พอได้ยินมาอยู่หรอกว่าหวังเป่าเล่อมีอาวุธเวทไว้ในครอบครอง แต่ถึงอย่างนั้น การฝึกตนของเขาพัฒนามาถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน เขาไม่บาดเจ็บจากแรงสะท้อนกลับบ้างหรืออย่างไร”
ขณะที่กลุ่มผู้ฝึกตนเริ่มเกรงกลัวและหวาดระแวง แสงจากกระบี่ก็ฉายวาบมาจากฝั่งขวาห่างไกลออกไปร่วมสามสิบเมตร บรรดาผู้ฝึกตนที่เกรงกลัวอยู่เป็นทุนเดิมต่างพยายามหลบหลีกด้วยความกลัวตาย แสงจากกระบี่นั้นตกกระทบลงบนพื้นดินใกล้ๆ กับพวกเขา เกิดเสียงดังสนั่นส่งแอ่งโคลนบนพื้นกระจายไปทั่ว ต้นไม้ที่ต้องคมกระบี่กระเด็นขึ้นลอยละล่องอยู่ในอากาศ พายุหมุนสีดำกระจายตัวออกครอบคลุมพื้นที่ จนทั่ว สร้างความโกลาหลให้กับทุกคนโดยรอบ
ในความโกลาหลนั้นเอง ร่างของหวังเป่าเล่อที่ประคองกระบี่อยู่ในมือ ก็ปรากฏขึ้นราวกับสายฟ้าฟาด เขาไม่ต้องการจะลอบสังหาร แต่อาศัยชั่วขณะที่ต้นไม้ยังลอยอยู่บนอากาศเปิดฉากโจมตีซึ่งๆ หน้า
วิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบสมรรถภาพร่างกายของข้า ก็คือดูว่าจะใช้กระบี่ได้กี่ครั้งก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับ! แววตาเยือกเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ หวังเป่าเล่อ เมื่อเขาเข้าประชิดตัวผู้ฝึกตนคนหนึ่งในทันที เขายกกระบี่อาวุธเวทขึ้นและออกแรงฟันลงไป
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น ผู้ฝึกตนเคราะห์ร้ายคนนั้นไม่มีเวลาแม้จะส่งเสียงร้อง ก่อนที่ทั้งร่างของเขาจะสั่นเทา โลหิตพุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
ขณะที่ผู้ฝึกตนคนอื่นยังคงชะงักด้วยความตื่นตะลึง หวังเป่าเล่อกลับเคลื่อนที่ผ่านทะลุม่านหมอกโลหิตมาโผล่อยู่ข้างกายผู้ฝึกตนอีกคน ก่อนจะลงมือฟาดกระบี่อีกครั้ง คราวนี้ผู้ฝึกตนคนนั้นตั้งรับเอาไว้ได้
“ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลางหรือ ตายเสียเถอะ!” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วก่อนถ่ายเทพลังวิญญาณเพิ่มเข้าไป ทำให้กระบี่ของเขาทรงพลังอย่างไม่อาจทัดทานได้ และสับร่างผู้ฝึกตนคนนั้นขาดเป็นสองซีกอีกครั้ง!
หวังเป่าเล่อก็จัดการผู้ฝึกตนคนแล้วคนเล่าด้วยวิธีการเช่นนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงร่ายคาถาเวทรอบตัวเขาดังระงมขึ้น ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทุกคนหวาดกลัวจนต้องเรียกเคล็ดวิชาลับสุดยอดของตนออกมาใช้ในทันที
แม้ว่าเคล็ดวิชาลับสุดยอดของทุกคนจะแข็งแกร่งเพียงใด หวังเป่าเล่อก็รวดเร็วกว่า ทั้งกระบี่ของเขาก็ทรงพลังเสียจนผู้ฝึกตนทุกคนที่ตกเป็นเป้าโจมตีแล้ว ไม่มีทางเอาชีวิตรอดได้เป็นอันขาด นรกแห่งเลือดเนื้อที่สาดกระจายอยู่นั้นสร้างความตึงเครียด อันใหญ่หลวงให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ไม่นานก็มีศพ ผู้ฝึกตนนอนเกลื่อนพื้นอยู่ถึงหกร่าง ผู้ฝึกตนอีกหกคนเตลิดหนีกันไปคนละทิศละทางอย่างรวดเร็ว แต่หวังเป่าเล่อขณะนี้ราวกับเป็นยมฑูต ไล่ตามติดผู้ฝึกตนคนที่เจ็ดไปติดๆ แววตาเยือกเย็นนั้นหมายมั่นจะปลิดชีวิตคนตรงหน้าเสียให้ได้
ทว่าตอนนั้นเอง เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดก็ดังสนั่นลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนเสียก่อน
“เจ้ากล้าดีอย่างไร” แรงกดดันอันรุนแรงแต่คุ้นเคยพุ่งเข้ามาจากฟากหนึ่ง บนท้องฟ้า เจ้าของมวลพลังนั้นยังไม่ปรากฏตัวด้วยซ้ำ แต่แรงกดดันกลับรุนแรงราวกับพลังจากสรวงสวรรค์ที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืนป่า ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งหลายตัวสั่นด้วยความกลัว เพราะพลังปราณของพวกเขาถูกกดทับเอาไว้ด้วยการมาถึงของพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า ทว่าแม้พวกเขาส่วนใหญ่จะตื่นตกใจ แต่บางคนกลับเริ่มรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาบ้าง
“ท่านผู้อาวุโสมาถึงแล้ว!”
“หวังเป่าเล่อ นี่คือวันตายของเจ้า!”
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง ชายหนุ่มยังคงลงมือฟาดฟันต่อไป เขาตัดศีรษะผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนหนึ่งที่มัวแต่ตื่นเต้นดีใจจนไม่ทันระวังตัว
“หวังเป่าเล่อ ไอ้คนระยำ!” หญิงชราคำรามลั่นอย่างมีโทสะ พลางเร่งความเร็วเข้ามา
หวังเป่าเล่อสังหารคนเป็นผักปลาราวกับใช้กระบี่เฉือนก้อนเนยก็ไม่ปาน ชายหนุ่มไม่หยุดพักแม้สักวินาที หลังจากที่เขาสังหารผู้ฝึกตนคนที่เจ็ดลงได้ ก็หันหน้ามาทางหญิงชราและยกมือขวาขึ้นทันที ประคำสามลูกปรากฏขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่ร่างของหญิงชราที่กำลังมุ่งตรงเข้าหาเขาด้วยแรงโทสะและจิตสังหารที่พลุ่งพล่าน!
“ไสหัวไป!” แม้จะอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน หวังเป่าเล่อก็ยังคงไร้ซึ่งความกลัว เขาหรี่ตายิ้มเยาะพร้อมๆ กับที่ซัดลูกประคำออกไปนั่นเอง
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ประคำทั้งสามก็ระเบิดตัวเอง ก่อให้เกิดหมอกหนาทึบขวางทางที่หญิงชรากำลังพุ่งเข้ามา
หญิงชรามีสีหน้าเฉยเมย การโจมตีของหวังเป่าเล่อไม่ส่งผลต่อนางเลยแม้แต่น้อย นางมั่นใจว่าไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่เข้มแข็งสักเพียงใด ก็ไม่มีทางต่อกรพลังของขั้นกำเนิดแก่นในอย่างนางได้เป็นแน่
นางสะบัดแขนเสื้อคลุม หมายจะสลายหมอกที่ออกมาจากประคำระเบิดนั้น ทว่าตอนนั้นเอง นัยน์ตาของนางกลับต้องเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง
“นี่…นี่มัน…หมอกเวทเคลื่อนย้าย…” นางใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายอ้าปากร้องตะโกนโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดจนจบประโยค หมอกเวทเคลื่อนย้ายก็เข้าห้อมล้อมตัวนางและเคลื่อนย้ายนางไปที่อื่นเสียแล้ว!