บทที่ 289 คำสั่งโยกย้าย
หวังเป่าเล่อออกจากมิติมายาด้วยความศรัทธาในตัวแม่นางน้อย และความคาดหวังอันสูงลิ่วในเคล็ดวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืด เขาเริ่มฝึกวิชามารดังกล่าวภายในถ้ำที่พักทันที
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใดก็ไม่สามารถจับสัมผัสปราณวิญญาณมืดจากปราณวิญญาณรอบกายได้เลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มไม่คิดว่าตนจะไม่สามารถฝึก เคล็ดวิชานี้ได้ จึงตั้งใจศึกษาอย่างหนัก พร้อมกับเคล็ดฝึกวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งไปด้วย
หากไม่มีอะไรมาเทียบเคียง เขาก็คงไม่รู้ว่าวิชามารนี้ยากเพียงใด เคล็ดวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งนั้นเป็นศาสตร์เวทลึกลับ มีความซับซ้อนและท้าทายอย่างมากที่จะฝึกฝนจนสำเร็จวิชา ทางสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จึงจำกัดให้เพียงแค่ผู้ที่ใช้วัตถุเวทสมบูรณ์แบบหลอมเป็นแก่นในรากฐานวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถฝึกได้
ทว่าเมื่อเทียบกันกับวิชามารที่ได้รับมาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตระหนักทันทีว่า… วิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งนั้นง่ายดายกว่าวิชามารนี้ยิ่งนัก หลายคนคงตกใจถ้าได้ล่วงรู้ว่าแม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังรู้สึกเช่นนี้
ประสบการณ์ที่แตกต่างทำให้แต่ละคนมีมุมมองต่างกันออกไป
เวลาล่วงเลย ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งเดือน ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อได้เลื่อนระดับการฝึกตนจากระดับลมหายใจเที่ยงแท้มาอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น ระดับการฝึกตนของเขาในตอนนี้อยู่สูงเกินกว่าระดับประจำตำแหน่งรองเจ้าตำหนักอาวุธเวทด้วยซ้ำ เขาจึงไม่เหมาะที่จะดำรงตำแหน่งรองเจ้าตำหนักอีกต่อไป
ระบบการปกครองของสี่ยอดสำนักเต๋านั้นแตกต่างจากขุมอำนาจอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น หากเทียบตำแหน่งรองเจ้าตำหนักอาวุธเวทกับตำแหน่งที่ทัดเทียมกันในขุมอำนาจอื่น ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้คงจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งนั้นได้ อย่างน้อยจะต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถขึ้นไปดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ทว่าสี่ยอดสำนักเต๋านั้นแตกต่างออกไป ตามธรรมเนียมแล้ว ศิษย์ที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นจะต้องเข้าไปทำงานในสหพันธรัฐ คอยฝึกฝนพัฒนาระดับการฝึกตนต่อไปในภาคส่วนต่างๆ ของสหพันธรัฐ ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จึงสามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่งรองเจ้าตำหนักได้
ในเดือนเดียวกันนี้ เฉินอวี่ถงเองก็ออกจากตำแหน่งรองเจ้าตำหนัก เข้าไปประจำการในเมืองหลวงของสหพันธรัฐ ตำแหน่งรองเจ้าตำหนักช่วยให้เขาเลื่อนขึ้นไปอยู่ตำแหน่งที่เหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนอื่นๆ
ศิษย์คนอื่นๆ ที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นมาจากภารกิจในเขตจันทราเวทต่างก็ได้รับคำสั่งโยกย้ายในช่วงเดือนเดียวกันนี้ พวกเขาแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตนในทิศทางต่างๆ หลังจากได้บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นแล้ว
ลู่จื่อหาวนั้นได้รับคำสั่งให้ย้ายไปประจำการบนดาวศุกร์ เขาตั้งใจจะส่งข้อความมาเตือนหวังเป่าเล่อว่าเขาเองก็ได้บรรลุเป็นผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นแล้ว อยากให้หวังเป่าเล่อเลิกเรียกเขาว่าไอ้ลูกชายทุกครั้งที่เจอหน้ากันเสียที
แต่พอลู่จื่อหาวนึกถึงการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อนต่างๆ บนดวงจันทร์ของ หวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงแกว่งเท้าหาเสี้ยน ด้วยกลัวจะไปทำให้ชายหนุ่มโกรธเอา การไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงก็ไม่ได้ผิดไปจากหลักการของเขาเท่าใดนัก…
จั่วอี้ฟานนั้นไม่เลือกย้ายไปประจำการที่อื่น เขาตัดสินใจประจำการอยู่ที่สำนักต่อและเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นเจ้าตำหนักการยุทธ์ แม้ว่าเขาจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นแล้ว แต่ตำหนักการยุทธ์นั้นไม่เหมือนตำหนักอื่นๆ ทางตำหนักการยุทธ์นั้นไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นขึ้นรับตำแหน่งเจ้าตำหนัก
ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงนั้น หวังเป่าเล่อคาดการณ์จากพื้นฐานครอบครัวของนางแล้ว คิดว่านางคงมีบ้านอยู่ในนครหลวงของสหพันธรัฐ จึงไม่แปลกใจเมื่อนางมากล่าวลาและแจ้งว่าจะย้ายไปประจำการในนครหลวงแทน ชายหนุ่มดึงนางมากอดแน่น นางหรี่ตาลงเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกหวังเป่าเล่อพูดขัดขึ้นก่อน
“เยี่ยเหมิง ดูแลตัวเองดีๆ ถ้ามีใครมารังแกเจ้าขอให้บอกข้ามา อย่างไรเสีย พวกเราต่างก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรร่วมสมาคมคนหน้าตาดี ขั้นเทพอีกด้วย!”
เจ้าเยี่ยเหมิงได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูดแล้ว ก็ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง นางยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะกลับออกไป
ตลอดทั้งเดือน หวังเป่าเล่อเห็นผู้คนมากมายจากไปคนแล้วคนเล่า แต่ชายหนุ่ม ก็ยังไม่ได้รับคำสั่งโยกย้ายบ้างเสียที พาให้เขารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
หรือว่าพวกเขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้ข้าย้ายไปประจำการที่ใดดี เป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าอาจจะได้ไปประจำการที่ดีๆ ก็เป็นได้! หวังเป่าเล่อคิดแล้วก็ตื่นเต้น เขาตั้งใจจะไปหาแม่นางกระต่ายน้อย แต่ก็พบว่านางยังจำศีลอยู่
เขาซึมไปเล็กน้อย ได้แต่ยืนมองตาละห้อยอยู่หน้าตำหนักหลอมโอสถพลาง ถอนหายใจ
กว่าจะจำศีลเสร็จ หวังว่ากระต่ายน้อยคงไม่กลายเป็นกระต่ายแก่ไปเสียก่อนละ…ตำหนักหลอมโอสถพยายามกีดขวางความรักของเราสองคนชัดๆ! กระต่ายน้อย มารดาของข้าบังคับให้ข้าเข้าพิธีดูตัว แต่ข้าบอกปัดไปเพื่อเจ้า!
หวังเป่าเล่อที่กำลังซึมเศร้าอยู่พลันคิดถึงตู้หมินขึ้นมาบ้าง เขาทราบมาว่า ตู้หมินได้ออกจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไปปฏิบัติภารกิจพร้อมกับเหล่าศิษย์ ตำหนักการยุทธ์คนอื่นๆ แล้ว
ชายหนุ่มชักเบื่อขึ้นมา ไม่รู้จะทำอะไรดี จึงกลับไปฝึกตนต่อ เขาหลอมสมบัติเวทต่างๆ มาชดเชยที่ใช้ไปบนเขตจันทราเวท ส่วนเวลาที่เหลือก็ใช้ไปกับการเก็บตัวฝึกฝน เคล็ดวิชาทั้งสอง
ชายหนุ่มวางแผนไว้เสร็จสรรพ เคล็ดวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งจะทำให้เขาสร้างสายฟ้าเส้นแรกขึ้นภายในกาย ส่วนวิชามารจะสร้างเปลวไฟสีดำให้เขาหลังจากสำเร็จวิชา
ทั้งสองเคล็ดวิชานี้จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการต่อสู้ให้กับหวังเป่าเล่อที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น อีกทั้งยังมีดอกบัวสีเขียวช่วยเสริมพลังกาย ทำให้ชายหนุ่มคิดว่าตนน่าจะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมทีเดียว
เวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งเดือน หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ได้รับคำสั่งโยกย้ายอยู่ดี เขาเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา ครุ่นคิดอยู่นานก็ตัดสินใจว่าจะทนรอต่ออีกหนึ่งเดือน ถ้ายังไม่ได้รับคำสั่งโยกย้าย ก็ตั้งใจจะไปถามไถ่จากท่านประมุขสำนักโดยตรง
คนที่เขารู้จักจากต่างตำหนักโยกย้ายกันไปเกือบหมดแล้ว แม้ศิษย์หลายคนในตำหนักอาวุธเวทจะปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพดังเดิม แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่างเปล่า
โชคดีที่ยังมีหลิวต้าวปินอยู่เคียงข้าง ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง พอคิดว่าอีกไม่นานตนก็จะต้องย้ายออกไป ชายหนุ่มจึงใช้เวลาช่วงที่รอคำสั่งโยกย้าย จัดการตระเตรียมลำดับการเลื่อนขั้นต่างๆ
หวังเป่าเล่อจัดสรรตำแหน่งให้หลิวต้าวปินและพวกพ้องที่ติดตามเขามาตั้งแต่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง หลิวต้าวปินนั้นเพิ่งผ่านการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทพอดี ตอนที่หวังเป่าเล่อยังอยู่บนเขตจันทราเวท ชายหนุ่มจึงแต่งตั้งหลิวต้าวปินให้เป็นผู้ดูแลฝ่ายปกครองสำนัก
ส่วนศิษย์คนอื่นก็ได้รับแต่งตั้งให้ไปประจำการตามฝ่ายต่างๆ พวกเขาจะได้ทำงานใกล้ชิดกับศิษย์ในการดูแลของเฉินอวี่ถง เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าตำหนักอาวุธเวทจะได้รับการบริหารอย่างดีแม้ว่าเฉินอวี่ถงและหวังเป่าเล่อจะย้ายออกไปแล้ว
นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปยังเขตอัสนี และทนรับแรงสายฟ้าฟาดจนผ่านเข้าไปถึงสายฟ้าสองเส้นสุดท้ายได้ ชายหนุ่มได้รับสองกระบวนเวทสุดท้ายมาในที่สุด บัดนี้พอเขาได้รับกระบวนเวททั้งหมดของเขตอัสนีมาแล้ว ทำให้เขาสามารถควบคุม…คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้!
ชายหนุ่มคิดว่าถ้าหากเขาฝึกเคล็ดวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งใน เขตอัสนีคงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกวิชาอยู่ที่นี่
ในที่สุดเขาก็ได้สัญลักษณ์อัสนีชิ้นแรกมา เขาจารึกสัญลักษณ์อัสนีไว้ที่ขาข้างขวา รู้สึกได้ถึงพลังของสายฟ้าที่สถิตอยู่ภายใน ขณะที่การฝึกวิชามารนั้นยังไม่คืบหน้า ไปไหน…และแล้วคำสั่งโยกย้ายก็มาถึงในที่สุด
ประมุขสำนักเรียกหวังเป่าเล่อเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวในห้องโถงใหญ่ของ เกาะเส้นทางสวรรค์ เขาเสนอสองตัวเลือกให้กับชายหนุ่ม!
“เป่าเล่อ เจ้ารู้ธรรมเนียมของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเราเป็นอย่างดี ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ บนเขตจันทราเวท ทางสหพันธรัฐนั้นให้ความสนใจในตัวเจ้า จึงครุ่นคิดเรื่องคำสั่งโยกย้ายอย่างหนัก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจได้ แต่เจ้าจะต้องเลือกเองว่าจะเดินไปเส้นทางใด!
“ทางแรกคืออยู่ประจำการที่สำนักของเราเหมือนเดิม เจ้าจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นเจ้าตำหนักอาวุธเวทและได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางขั้นที่ห้าชั้นสูง! เจ้าตำหนักที่อยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้นั้นจะไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นตำแหน่งขุนนาง มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้นที่จะรับแต่งตั้งเป็นตำแหน่งขุนนางได้!
“อีกทางเลือกหนึ่งคือย้ายไปประจำการในอาณานิคมดาวอังคาร เจ้านครประจำอาณานิคมดาวอังคารจะแจ้งตำแหน่งที่แน่ชัดอีกทีเมื่อเจ้าไปถึง แต่ไม่ต้องกังวล เจ้าจะได้ตำแหน่งที่เหมาะสมกับฐานะขุนนางขั้นที่ห้าชั้นสูงอย่างแน่นอน!”
ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั่งมองหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องหน้าภายในห้องโถงใหญ่ พลางส่งยิ้มให้ตลอดการอธิบาย
“ขุนนางขั้นที่ห้าชั้นสูงหรือ” หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไป เริ่มหายใจถี่รัว เขาเข้าใจระบบบรรดาศักดิ์ขุนนางของสหพันธรัฐดีจากการศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง ก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น มันช่างดูเป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกิน เพราะตำแหน่งนี้จะได้รับก็ต่อเมื่อเข้าประจำการในสหพันธรัฐเท่านั้น
ประมุขสำนักยิ้มให้หวังเป่าเล่อที่กำลังตื่นเต้น เขาเคยได้ยินใครสักคนบอกว่า หวังเป่าเล่อฝันอยากขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ ชายวัยกลางคนชี้มือไปทางหวังเป่าเล่อพร้อมกับหัวเราะขึ้น
“เจ้าน่าจะรู้จักระบบบรรดาศักดิ์ของสหพันธรัฐดียิ่งกว่าใคร แต่ให้ข้าอธิบายให้เจ้าฟังอีกครั้งเพื่อเจ้าจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
“ระบบบรรดาศักดิ์ของสหพันธรัฐแบ่งออกเป็นเก้าขั้น สิบแปดระดับ ตำแหน่งสูงสุดคือขุนนางขั้นที่หนึ่งชั้นสูงส่วนตำแหน่งต่ำสุดคือ ขุนนางขั้นที่เก้าชั้นรอง ผู้นำสหพันธรัฐเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นที่หนึ่งชั้นสูง รองผู้นำสหพันธรัฐและหัวหน้าเสนาบดี รวมถึงเจ้านครประจำอาณานิคมดาวอังคารและ อาณานิคมดาวศุกร์นั้นมีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่หนึ่งชั้นรอง!
“เหล่าประมุขของสี่ยอดสำนักเต๋าเช่นข้ามีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่สองชั้นสูง! เจ้าเมืองทั้งสิบเจ็ดคนเช่นหลินโยวแห่งนครศักดิ์สิทธิ์นั้นมีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่สองชั้นรอง!
“เหล่าหัวหน้าฝ่ายหลักในสหพันธรัฐนั้นมีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่สามชั้นสูง ส่วนเหล่ารองหัวหน้าฝ่ายและรองเจ้าเมืองนั้นมีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่สามชั้นรอง!
“ตำแหน่งรองลงมาก็จะมีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่สี่ชั้นสูงและขุนนางขั้นที่สี่ชั้นรอง เหล่าผู้อาวุโสชั้นสูงของแต่ละตำหนักในสี่ยอดสำนักเต๋าจะมีตำแหน่งราวๆ นี้!
“ขุนนางขั้นที่ห้าส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าพนักงานในสหพันธรัฐ ภายในสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น ตำแหน่งขุนนางเป็นแค่ตำแหน่งในนาม ไม่ใช่ตำแหน่งจริงๆ เช่น หัวหน้าตำหนักจะถือว่ามีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้าชั้นสูง ส่วนรองเจ้าตำหนัก เช่นเจ้าจะถือว่าเป็นขุนนางขั้นที่ห้าชั้นรอง” ประมุขสำนักมองหวังเป่าเล่อหลังจาก อธิบายจบ
“เป่าเล่อ ตอบข้ามา เจ้าเลือกที่จะประจำการที่สำนักของเราต่อไป หรือจะเดินทางไปประจำการยังดาวอังคาร”