Skip to content

A World Worth Protecting 297

บทที่ 297 ลางร้ายอบอวล

โดยปกติแล้วแหวนสื่อสารไม่มีเสียงร้องเตือนเมื่อได้รับข้อความหรือสายติดต่อ เนื่องจากแหวนทำงานโดยใช้พลังปราณจากร่างกายของผู้ครอบครอง แต่หากจำเป็น  ก็สามารถปรับให้ส่งเสียงเตือนได้เช่นกัน

หวังเป่าเล่อวุ่นวายอยู่กับแหวนสื่อสารของตนเมื่อครู่ ก็เพื่อเปิดเสียงเตือนของแหวนนั่นเอง ทันทีที่เสียงเตือนดังขึ้นว่ามีสายเข้า หวังเป่าเล่าก็กระแอมกระไอ รอสักครู่หนึ่ง ก่อนจะกดรับ สายตาของเขาไม่ละออกจากใบหน้าหลี่อู๋เฉินเลยแม้แต่น้อย

ทันทีที่เขากดรับสาย เสียงคล้ายชายวัยกลางคนแซ่สวีก็ดังลอดออกมา…

“ใช่ท่านหวังหรือไม่ขอรับ หวังว่าท่านจะสบายดีนะขอรับ! ข้าเป็นหัวหน้าผู้จัดการของโรงแรมขวานศึกที่มีหน้าที่ดูแลกิจการของโรงแรมให้ท่าน นามว่าสวีเจินจิง แต่เรียก  ข้าว่าสวีน้อยก็ได้ขอรับ…”

ทันทีที่พูดจบ สวีเจินจิงผู้ที่นั่งพูดลงไปในแหวนสื่อสารอยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงตนเองดังออกมาจากแหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อ ร่างกายแข็งทื่อในทันที             เขาเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้นด้วยสายตางุนงง

สวีเจินจิงไม่ใช่คนเดียวที่กำลังตะลึงตาค้าง ดวงตาของหลี่อู๋เฉินเองก็แทบถลนออกจากเบ้า สีหน้าของชายหนุ่มดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์

หวังเป่าเล่าแอบพึงพอใจกับปฏิกิริยาของทั้งคู่ ชายหนุ่มกระแอมก่อนก้มหน้าลงไปตอบใส่แหวนสื่อสารเช่นกัน

“ใช่แล้วข้าเองท่านหวัง สวีน้อย ตอนนี้ข้าค่อนข้างยุ่งอยู่ทีเดียว เจ้ามีธุระอันใดหรือ”

สวีเจินจิงสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าปอด เขาก้มลงมองแหวนสื่อสารของตนก่อนเงยหน้าขึ้นมามองหวังเป่าเล่อ หลังจากผ่านไปพักใหญ่เขาก็เรียกสติกลับเข้าร่างได้   อีกครั้ง และรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นเพื่อต้อนรับนายท่านคนใหม่ในทันที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอยากคุยผ่านแหวนสื่อสารต่อไป…

สวีเจินจิงพยายามคิดว่าตนเองทำสิ่งใดให้เจ้านายคนใหม่ไม่พอใจหรือไม่ แล้วก็นึกได้ว่าตนเองมัวแต่สนใจหลี่อู๋เฉิน จนหมางเมินเจ้านายของตน สวีเจินจิงตัวสั่นอยู่ภายในจนอยากร้องไห้ออกมา

เหตุใดนายท่านจึงไม่บอกก่อนเล่าว่าจะเข้ามาเยี่ยม…

ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ตอนนั้นทำให้สวีเจินจิงตัดสินใจตามน้ำไปก่อน เขาก้มลงหาแหวนสื่อสารและพูดตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ ชายวัยกลางคนอธิบายคำขอของหลี่อู๋เฉินอย่างรวบรัด และเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่ออย่างกระวนกระวาย

ดูเหมือนเหตุการณ์เหนือความคาดหมายตรงหน้าจะทำให้หลี่อู๋เฉินสติหลุด       ไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้เหนือจินตนาการไปมาก จนตัวเขาเองยังทำใจยอมรับ     ความจริงไม่ได้ ชายหนุ่มหัวล้านจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อเหมือน     ต้องมนต์ ขณะที่สวีเจินจิงหารือกับหัวหน้าคนใหม่ของตนเองผ่านแหวนสื่อสารต่อไป แม้จะนั่งห่างกันไม่กี่เมตร

หวังเป่าเล่อรู้สึกพึงพอใจในผลงานของตนเองเป็นอันมาก ชายหนุ่มจ้องหน้าหลี่อู๋เฉิน  ที่กำลังงุนงง ก่อนพูดตอบลงไปในแหวนสื่อสารอย่างไม่ยี่หระ

“ไม่ได้เด็ดขาด ขวานศึกด้ามนั้นเป็นหน้าเป็นตาของโรงแรมเรา เราจะเปลี่ยนภาพจำของแขกของเราได้อย่างไรกัน

“ข้าต้องการให้เจ้าสร้างขวานศึกแบบเดียวกันนี้ขึ้นมาอีกสามด้าม จงนำขวานทั้งสี่ด้ามมาวางเรียงกันหน้าโรงแรมของเรา และหันคมขวานไปยังสำนักศึกษาเปลววิญญาณเสียทั้งหมด!”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ สวีเจินจิงก็สูดลมเย็นเข้าปอดลึกอีกครั้ง เขาไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอันใดออกมา ทำได้เพียงรีบตอบรับคำสั่งของหวังเป่าเล่อ          ด้วยน้ำเสียงดังกังวานเท่านั้น หลี่อู๋เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ บันดาลโทสะในทันที เส้นเลือดบนหน้าผากเขาเต้นตุบเหมือนจะระเบิดออก ราวกับมีเสียงคำรามหวีดร้องก้องอยูในหัวของตน ดวงตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่เขาตะโกนออกมาด้วยความโมโหถึงขีดสุด

“หวังเป่าเล่อ กล้าดีอย่างไร!”

สิ่งที่หวังเป่าเล่อทำถือว่ามากเกินไป แค่ขวานศึกด้ามเดียวก็พอจะจามดวงชะตารองเจ้าสำนักให้ขาดสะบั้นได้แล้ว ถ้ามีสี่ด้ามคงไม่ต้องพูดถึง หลี่อู๋เฉินโกรธจัด       ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพายุร้ายกำลังก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะเขา ลางร้ายสุดอันตราย         คืบคลานเข้ามาใกล้จนร่างกายของเขาพาลสั่นสะท้าน

หวังเป่าเล่อไม่ยี่หระกับการระเบิดอารมณ์ของหลี่อู๋เฉิน และพูดตอบคู่สนทนาที่ปลายแหวนสื่อสารต่อไปอย่างใจเย็น

“ทำไมข้าได้ยินเหมือนมีคนตะโกนชื่อข้า ถ้าเช่นนั้นอย่าสร้างมันเลยสามด้าม    เอามาสิบด้ามเลยก็แล้วกัน! ทุกครั้งที่มีคนจากฟากนั้นตะโกนชื่อข้าเพิ่ม ให้เพิ่มขวานเข้าไปอีกครั้งละสิบด้าม!

“หากรองเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณไม่พอใจกับการตัดสินใจของข้า บอกให้เขามาพูดกับข้าด้วยตัวเอง ข้ามั่นใจว่าเราคงพอตกลงกันได้ถ้าเขายอมจ่ายในราคาที่สมเหตุสมผลพอ เอาละ ข้ามีเรื่องอื่นให้ต้องทำอีก ขอวางสายก่อนก็แล้วกัน”        หวังเป่าเล่อตัดสาย ลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่ง ยืดเส้นยืดสายสักนิด ก่อนมองไปรอบๆ     อย่างยินดีปรีดา

โรงแรมแห่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว เขาถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ ก่อนหันหลังกลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังทางออก ท่ามกลางสายตาที่จ้องเขม็งจนแทบจะมอดไหม้ของ  หลี่อู๋เฉิน

ในตอนนั้นเองที่สวีเจินจิงกลับมามีสติอีกครั้ง เขาพยายามกอบกู้สถานการณ์    ด้วยการเพิกเฉยต่อหลี่อู๋เฉิน แล้วปรี่เข้าไปหาหวังเป่าเล่อ พยักหน้าและโค้งคำนับอย่างบ้าคลั่งเพื่อส่งหวังเป่าเล่อออกจากโรงแรมทันที

หลี่อู๋เฉินกำหมัดแน่น เส้นเลือดในดวงตาของเขาเป็นสีแดงฉาน ชายหนุ่มใช้เวลานานกว่าจะกลืนความโกรธลงไปได้ เขากัดฟันกรอดและพุ่งตัวออกจากโรงแรมทันที    พลางมองจ้องไปที่ขวานศึกด้ามยักษ์ด้วยลมหายใจหอบถี่

หวังเป่าเล่อ เจ้าอยากให้ข้ายอมลดตัวลงไปเจรจากับเจ้าเช่นนั้นหรือ ฝันไปเถอะ! หลี่อู๋เฉินพ่นลมดูถูก

หวังเป่าเล่อกำลังนั่งเรือบินกลับสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาด้วยความพอใจในผลงานของตน โรงแรมขวานศึกถือเป็นทรัพย์สินชั้นยอด พลังอำมหิตที่แผ่ออกมาจากขวานยักษ์หน้าโรงแรมนั้น ทำให้เขาทั้งประหลาดใจและชอบใจเป็นอย่างมาก        เมื่อคิดถึงหลี่อู๋เฉินที่มองมาด้วยสีหน้าเกลียดชังเมื่อครู่ ก่อนความถือตัวเหนือกว่าจะกลายเป็นความโกรธเกรี้ยวสุดขีด ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบสวยงามขึ้นทันตา

เจ้าหัวล้านเฉิน กล้าต่อกรกับข้าหรือ อย่างไรเราก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน       หากเจ้ายอมก้มหัวศิโรราบต่อข้า ข้าก็จะปราณีเจ้า แต่หากเจ้ายังคงดื้อดึงต่อไป     อย่ามาโทษข้าก็แล้วกันหากเกิดเหตุอาเพศขึ้นในอนาคต! หวังเป่าเล่อพ่นลมออก    ทางจมูก เขากลับสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาไปอย่างอารมณ์ดี และเริ่มหลอมยกระดับสมบัติเวทของตน

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สวีเจินจิงพยายามพิสูจน์ความสามารถตนเองให้   นายท่านคนใหม่ได้รับรู้ ด้วยการเข้าคุมงานผลิตด้ามขวานใหม่ด้วยตนเอง ไม่นานนักขวานศึกสิบด้ามก็มาส่งที่โรงแรม และแล้วขวานสิบเอ็ดด้ามก็เรียงรายประจันหน้ากับสำนักศึกษาเปลววิญญาณในทันที พวกมันแผ่รังสีอำมหิตเป็นลางร้ายออกมา คมขวานทุกด้ามพุ่งเข้าหาสำนักศึกษาเปลววิญญาณ ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษานั้นอด      ร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้

“สวรรค์ เจ้าของโรงแรมขวานศึกเป็นบ้าไปเสียแล้ว…”

“แค่ขวานด้ามเดียวก็ทำลายอนาคตของรองเจ้าสำนักคนก่อนๆ เสียป่นปี้ นี่ล่อไป    สิบเอ็ดด้าม ข้าว่ารองเจ้าสำนักคนใหม่ต้องถูกเชือดแน่ๆ…”

“เจ้าของโรงแรมคนใหม่นี่มีความแค้นอันใดกับรองเจ้าสำนักหรือเปล่า”

ความโกลาหลนี้แพร่กระจายจากสำนักศึกษาไปยังกลุ่มชาวบ้านผู้อยู่อาศัยบริเวณนั้นด้วย ทุกคนต่างพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น หลายคนถึงกับเดินทางมาดูด้วยตาตนเอง ฝูงชนพากันเทียวไปเทียวมาไม่ขาดสาย จนยอดจองโรงแรมพุ่งขึ้น        อย่างรวดเร็ว

ศิษย์หลายคนจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาและสำนักศึกษาเปลววิญญาณ     ก็รับรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน ทุกคนเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรส และพากันตื่นเต้นกับเหตุการณ์ประหลาดจนหยุดพูดถึงไม่ได้

ศิษย์จากกลุ่มไตรจันทราที่ขายโรงแรมนี้ให้กับหวังเป่าเล่อถึงกับอึ้ง โรงแรมนี้เป็นของขวัญชิ้นล่าสุดที่บิดามอบให้เขา แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารเลย ตัวเขาเองเคยได้ยินตำนานนี้มาก่อน แต่เนื่องจากตนเองเป็นศิษย์จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จนเมื่อเขาส่งต่อโรมแรมให้หวังเป่าเล่อดูแล ก็ได้ยินว่าหวังเป่าเล่อสั่งให้    สร้างขวานเพิ่มอีกสิบด้าม การตัดสินใจสุดบ้าบิ่นนี้ทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจได้ในทันทีว่าแท้จริงแล้วหวังเป่าเล่อเป็นคนห้าวหาญยิ่งใหญ่เกินใคร

“ข้าได้ยินมาว่ารองเจ้าสำนักทั้งสองท่านเคยบาดหมางกันมาก่อน…”

“รองเจ้าสำนักหวังคงพยายามกดดันฝั่งตรงข้ามให้ยอมจำนน”

ชั้นเรียนวิชาอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อดำเนินต่อไป โดยมีเสียงแสดงความคิดเห็นอย่างออกรสออกชาติของบรรดาศิษย์ดังเคล้าไปด้วย ชายหนุ่มกำลังจะเวียนกลับมาสอนศิษย์กลุ่มแรกที่เขาเคยสอนเป็นครั้งที่สอง เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียนเท่านั้น ศิษย์ทุกคนก็มองเขาด้วยความสนใจมากขึ้น แต่ความสนใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่หวังเป่าเล่อสอน แต่กลับเป็นตัวหวังเป่าเล่อเองต่างหาก

นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกคนหันมาจับจ้องรองเจ้าสำนักร่างท้วมเป็นตาเดียว…สองสามวันที่ผ่านมานี้ หุ่นเชิดที่ศิษย์หนุ่มจากกลุ่มไตรจันทราซื้อมาจากหวังเป่าเล่อนั้นโด่งดังไปทั่วสำนักศึกษา ส่วนใหญ่มาจากนิสัยชอบโอ้อวดของตัวเขาเองด้วย ไม่ว่าจะไปที่ใดเขาก็จะพกเอาหุ่นเชิดแสนสวยหน้าอกใหญ่ตัวนี้ไปด้วยเสมอ หุ่นเชิดตัวนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะมันทั้งช่วยเขาจดบันทึกและช่วยทำการบ้านให้

เรียกได้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้เปรียบเสมือนคนคนหนึ่งเลยทีเดียว เจ้าหุ่นทั้งนวดไหล่และหลังให้เขา ติดตามเขาไปทุกหนแห่งเพื่อปกป้องและดูแลทุกความต้องการ

บรรดาศิษย์ต่างมองภาพนี้ด้วยความอิจฉา พวกเขาอยากได้หุ่นเชิดเป็นของตนเองบ้าง แต่ราคาซื้อตั้งต้นของหุ่นเชิดตัวนี้สูงเกินไป ไม่ว่าจะปรารถนาเพียงใด       ก็เอื้อมไม่ถึง…

ศิษย์หนุ่มจากกลุ่มไตรจันทราใช้โรงแรมซื้อหุ่นเชิดมาพึงพอใจกับเหตุการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าตนเองจัดการเรื่องนี้ได้อย่างชาญฉลาดเหลือเกิน

ฮ่าๆ ทุกคนต่างพูดกันว่าข้าเป็นทายาทที่ชอบใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าข้าตั้งใจแลกโรงแรมกับหุ่นเชิดเพื่อปั่นราคาของมันให้สูงขึ้น ทีนี้ใครก็จะหาซื้อ     หุ่นเชิดมาครอบครองแบบข้าได้โดยยากแล้ว หมายความว่าหุ่นเชิดของข้าจะกลายเป็นรุ่นพิเศษที่ข้าจะเอาไปขายต่อเมื่อใดก็ได้เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด

ข้าเชื่อว่าหวังเป่าเล่อเองก็จะพยายามดึงราคาให้สูงไว้เช่นกัน ไม่มีทางที่เขาจะขายหุ่นเชิดออกไปในราคาถูกกว่าเดิมเป็นอันขาด

จริงดังที่ศิษย์หนุ่มคาด หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้โรงแรมแลกกับหุ่นเชิดแล้ว      เขาก็ไม่เคยขายหุ่นเชิดในราคาที่ต่ำกว่านั้นอีกเลย เขาไม่มีโอกาสได้ขายในราคาที่    ต่ำกว่านั้น เพราะเหล่าทายาทมือเติบจากทั้งกลุ่มไตรจันทราและตระกูลนภาห้าสมัยพากันเข้ามาขอซื้อหุ่นเชิดจากเขาอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน ต่างพากันเสนอสิ่งของราคาใกล้เคียงกับโรงแรมเพื่อที่จะได้หุ่นเชิดมาไว้ในครอบครอง หวังเป่าเล่อขาย     หุ่นเชิดเพิ่มอีกไม่กี่ตัว โรงแรมอีกสองแห่งและร้านค้าอีกสามร้านบนดาวอังคารก็     ตกเป็นของเขา…

หวังเป่าเล่อตกใจกับความร่ำรวยของบรรดาศิษย์ในสำนักศึกษาของตนเป็นอย่างยิ่ง

ข้าไม่เข้าใจพวกคนรวยเลยจริงๆ คิดถึงหุ่นเชิดที่ข้าใช้ทิ้งใช้ขว้างไปเมื่อก่อนแล้วก็นึกเสียดาย เงินทองทั้งนั้น! แต่ข้ามาเพื่อปกครอง ไม่ใช่มาสะสมทรัพย์…หากยังมี   การซื้อขายต่อไป กรมวินัยอาณานิคมคงได้มาเยี่ยมบ้านข้าเป็นแน่…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version