บทที่ 315 ข้อตกลง
ฝ่ายหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินจินตั้วหมิงพูดก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่น เขาขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดคิดว่าจินตั้วหมิงจะยอมให้อาวุธเวทระดับเก้ากับเขาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“เจ้าช่วยจริงจังกับเรื่องนี้หน่อยได้ไหม หวังเป่าเล่อ ข้าจริงจังนะ!” จินตั้วหมิงถอนใจ เขาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่แถมยังพูดร่ายยาว ทำทุกสิ่งเพื่อเน้นย้ำถึงฐานะที่ร่ำรวย ของตน บรรยากาศทั้งหมดที่ชายหนุ่มสร้างมากลับถูกเป่าสลายหายไปด้วยคำถามง่ายๆ ของหวังเป่าเล่อ
“ก็ได้ ข้าจะจริงจังเดี๋ยวนี้ สหายเต๋าจิน ถ้าหากว่าเจ้าให้อาวุธเวทระดับแปดกับข้า ข้า หวังเป่าเล่อ ขอสาบานว่าจะเลิกยุ่งกับหลี่อี้ ต่อให้นางจะหลงรักข้าหัวปักหัวปำ ท่าใดข้าก็จะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ข้าจะยอมทุบตีนางด้วยเพื่อให้นางตัดใจจากข้าได้อย่างเด็ดขาด!” หวังเป่าเล่อยกมือทุบอกครั้งหนึ่ง ขณะที่กล่าวออกไป ชายหนุ่มก็จ้องมองไปที่จินตั้วหมิงด้วยความคาดหวัง หวังเป่าเล่อพร้อมที่จะมอบบริการหลังการขายเพิ่มอีกมากมายหากอีกฝ่ายยอมตกลง
จินตั้วหมิงรู้สึกถึงสถานการณ์น่าปวดหัวที่กำลังจะตามมา เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหวังเป่าเล่อจะขอของเช่นนี้ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าหวังเป่าเล่อดูจะตื่นเต้นยินดีมากๆ ที่ได้มาต่อรองกับเขา หากว่ากันตามหลักแล้ว หวังเป่าเล่อควรจะรู้สึกกดดันจากอำนาจบารมีของจินตั้วหมิงจึงจะถูก เพื่อที่ว่าจินตั้วหมิงจะได้ทำทีเป็นยอมโอนอ่อนแล้วก็ตกลงกันได้ในที่สุด
“หวังเป่าเล่อ นี่เจ้าตั้งใจจะต่อรองกับข้าต่อไปหรือเปล่า หรือตั้งใจจะงัดข้อกับข้าเพื่อหลี่อี้กันแน่” จินตั้วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะถามอย่างจริงจัง
“สหายเต๋าจิน เจ้าอย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย หลี่อี้เป็นสตรีที่งดงามทั้งใบหน้าและเรือนร่าง แม้ว่านางอาจไม่ได้มีค่าเทียบเท่ากับอาวุธเวทระดับเก้า แต่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีค่ามากกว่าอาวุธเวทระดับแปดไม่ใช่หรือ ก็ได้ ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าขอ อาวุธเวทระดับเจ็ดได้หรือเปล่า น่าจะได้ใช่ไหม” หวังเป่าเล่อถอนใจ สีหน้าเขาดูราวกับว่ากำลังยอมรับข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรม
“หวังเป่าเล่อ เจ้าล้อข้าเล่นหรืออย่างไร อาวุธเวทระดับเจ็ดงั้นหรือ หากข้าหาอาวุธเวทระดับเจ็ดไปมอบให้นางตอนนี้ เจ้าไม่คิดหรือว่านางจะยอมตกลงมาเป็น คนรักของข้าในทันที” จินตั้วหมิงเลิกคิ้ว เขาจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่พอใจขณะที่ความรำคาญก่อตัวอยู่ภายในใจเขา เป็นความจริงที่ว่าชายหนุ่มกำลังเกี้ยวพาราสีหลี่อี้ แต่แม้กระทั่งจินตั้วหมิงเองก็ไม่เชื่อว่านางจะมีค่ามากมายไปกว่าอาวุธเวทระดับเจ็ด
สถานการณ์ขณะนี้แตกต่างจากเมื่อครั้งที่เขาอยู่บนเขตจันทราเวทอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นจินตั้วหมิงพนันกับใครบางคนเอาไว้และขาดชิ้นส่วนอีกเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น มันคือการอยู่ห่างจากเป้าหมายเพียงก้าวเดียวและการเดิมพันก็ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันขึ้น เหตุครั้งนั้นและการเกี้ยวพาราสีในครั้งนี้เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่มีใครรู้ว่าจินตั้วหมิงใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์วัด อย่างไรก็ตามเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าชายหนุ่มรู้ว่าการเอาอาวุธเวทระดับเจ็ดไปแลกกับสตรีนั้นไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าสักนิด
หวังเป่าเล่อตรึกตรองอยู่ชั่วขณะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของจินตั้วหมิง ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นด้วยกับคำพูดนั้นและเริ่มรู้สึกแย่กับข้อเสนอที่เอารัดเอาเปรียบของตัวเอง ชายหนุ่มถอนใจ
“สิ่งที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ไม่คุ้มค่ากันจริงๆ…เอาอย่างนี้ ข้าไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เจ้าหรอก แต่ข้าอยากเลื่อนขั้น เจ้าพอจะช่วยข้าได้หรือไม่”
จินตั้วหมิงถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก หากหวังเป่าเล่อยังคงยืนกรานจะเอาอาวุธเวท เขาเองคงต้องยอมตัดใจจากหลี่อี้เป็นแน่ ชายหนุ่มถึงกับยิ้มออกมาได้ อย่างมั่นใจ
“ท่านเจ้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาก็ชรามากแล้ว ท่านควรจะเกษียณและกลับไปใช้ชีวิตบนโลกเสียที”
“ท่านเจ้าสำนักได้สละเวลานานนับปีเพื่อสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา ในช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ท่านได้ดูแลศิษย์พรสวรรค์หลายคนที่ได้กลายมาเป็น เสาหลักแห่งดาวอังคารและสหพันธรัฐ!” หวังเป่าเล่อพูดต่อท้ายจินตั้วหมิงทันทีราวกับจะเตือน
จินตั้วหมิงจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างประหลาดใจ สิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่เพียงหมายความว่าจะสั่งย้ายเจ้าสำนักคนเก่าโดยใช้เส้นสายของตระกูล และหลังจากนั้นเขาก็จะตั้งหวังเป่าเล่อขึ้นรับตำแหน่งเจ้าสำนักคนใหม่ จินตั้วหมิงไม่ได้ใส่ใจนักว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสำนักคนเก่า หลังจากที่เข้าใจเจตนาของหวังเป่าเล่อแล้ว ชายหนุ่มก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้าตอบ
“เจ้าสำนักแม้จะชราแต่ร่างกายก็ยังแข็งแรงและสติปัญญาก็ยังเฉียบแหลม อีกทั้งยังได้ทำคุณูปการให้สำนักศึกษาเอาไว้มากมาย หลังจากที่เขาถูกย้ายกลับไปยังโลกแล้วจะมีตำแหน่งงานสำคัญรอเขาอยู่แน่นอน!”
ทั้งหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงต่างก็รู้สึกพึงใจ พลางหันมามองหน้ากันแล้วก็ยิ้มออกมาได้ ความอึดอัดระหว่างกันเมื่อครู่นั้นขณะนี้มลายหายไปสิ้น พวกเขาถึงกับพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายอยู่พักใหญ่ จินตั้วหมิงสั่งการให้คนรับใช้นำเหล้าองุ่นมาให้และทั้งคู่ก็นั่งลงคุยกันราวกับเป็นมิตรเก่าแก่ ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะจากไป ชายหนุ่ม ยกมือขึ้นทุบอก
“ลูกพี่จินไม่ต้องห่วงไป ข้า หวังเป่าเล่อ นั้นหล่อเหลาเอาการ ทำไมข้าจะต้องยอมลดตัวไปคบกันนางหลี่อี้แล้วทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจด้วยเหล่า เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”
“ข้ายอมรับ หลี่อี้น่ะสนใจข้า แต่สำหรับสหายของข้าแล้ว ข้ายินดีสละได้ทุกสิ่ง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลสิ่งใดเลย!”
“เอาละ ข้าจะส่งข้อความไปหานางเดี๋ยวนี้เลย!” หวังเป่าเล่อทุบอกอีกครั้งก่อนจะหยิบเอาแหวนสื่อสารออกมา ชายหนุ่มส่งข้อความไปหาหลี่อี้ต่อหน้าจินตั้วหมิง
“หลี่อี้ ข้าว่าเราสองคนคงไปกันไม่ได้ ข้าได้แต่หวังว่าเจ้าจะหันไปเห็นค่าคนที่เขาอยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอด ข้าเพียงต้องการให้เราทั้งคู่มีความสุข!”
หวังเป่าเล่อตัดสัญญาณไปโดยไม่รอให้หลี่อี้ได้ตอบคำ ชายหนุ่มละสายตาจากแหวนสื่อสารมาจ้องมองที่จินตั้วหมิง อีกฝ่ายก็ถึงกับเต็มตื้นไปด้วยอารมณ์ ยิ่งเขาจ้องมองหวังเป่าเล่อมากเท่าใด เขาก็ยิ่งมองเห็นความเป็นมิตรแท้ในกายของหวังเป่าเล่อมากขึ้นตามกัน!
“เป่าเล่อ ข้าเองก็หุนหันเกินไป หากเจ้าชอบนางจริงๆ ข้าก็จะยอมถอย!”
“ลูกพี่จินอย่าพูดอย่างนั้น! ข้า หวังเป่าเล่อ ยอมสละให้มิตรสหายได้ทุกอย่าง!” หวังเป่าเล่อถึงกับเสียวสันหลังขึ้นมาวาบหนึ่ง เขาเพิ่งจะวางแผนอย่างยากลำบากเพื่อจะผลักหลี่อี้ออกไปแถมยังได้ประโยชน์กลับมา หากจินตั้วหมิงดันไม่ยอมทำตามแผน ไม่กลายเป็นว่าความพยายามของเขาสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบอกอีกครั้งอย่างภาคภูมิ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
จินตั้วหมิงยืนอยู่บนปราการพลางจ้องมองหวังเป่าเล่อเดินจากไป ใบหน้าของ ชายหนุ่มดูซาบซึ้งและเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ เขาถอนหายใจ
“นี่ล่ะที่ข้าเรียกว่ามิตรแท้!” เขากล่าว ก่อนจะขับปราการผละมาจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขามุ่งหน้ากลับไปยังสำนักศึกษาเปลววิญญาณ ทันทีที่ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในปราการ ความรู้สึกบนใบหน้าของเขาก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้เจ้าเล่ห์ใช่เล่น ถึงจะดูยิ้มแย้มและเป็นมิตรแต่เมื่อใดก็ตามที่เขามองเห็นใครเป็นศัตรู เขาก็ไม่ลังเลที่จะแทงคนๆ นั้นอย่างไร้ปรานี
ช่างเป็นคนที่อันตรายจริงๆ เหตุใดกันท่านบิดาถึงได้ขอให้ข้ามาเป็นเพื่อนกับเขาหากรู้ว่าเขาอันตรายเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงสั่งให้ข้าช่วยเหลือเขาเมื่อทำได้ หรือจะเป็นเพราะว่า…สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับงานที่ข้าถูกส่งมาทำที่ดาวอังคารเช่นนั้นหรือ จินตั้วหมิงนิ่งคิดอยู่นาน เมื่อมองดูอย่างผิวเผินจะดูเหมือนว่าจินตั้วหมิงเดินทางมายังดาวอังคารเพียงเพื่อเกี้ยวหลี่อี้เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง…มีงานที่สำคัญกว่าอีกชิ้นที่เขาจะต้องทำ
ในขณะเดียวกันหลังจากจินตั้วหมิงจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อเดินกลับเข้าไปในที่พัก รอยยิ้มบนใบหน้าเขาหายไปนานแล้ว ขณะนี้หวังเป่าเล่อกำลังหรี่ตาและเริ่มครุ่นคิด
เจ้าจินตั้วหมิงนี่แสดงได้ไม่เลวเลย เขาไม่ใช่คนโง่…ข้าไม่เชื่อว่าเขามองไม่ออกว่าข้าโกหก…แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นว่าเชื่อข้าทุกอย่าง ในที่สุดข้าก็ได้รับการเลื่อนขั้น…หวังเป่าเล่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา ชายหนุ่มวางเรื่องนี้เอาไว้ก่อนและกำลังจะถือสันโดษต่อ แต่เมื่อนั้นเขาก็นึกไปถึงปราการของจินตั้วหมิง
ตั้งแต่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวอังคาร ปราการของจินตั้วหมิงเป็นสิ่งที่ประทับใจเขามากที่สุด มันไม่เพียงหรูหรามากแต่ยังมีพลังการรบที่สูงยิ่ง
แม้จะไม่เคยเข้าไปดูด้านในจริงๆ หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกถึงรัศมีอันทรงพลังของมัน เป็นไปได้ว่าพลังรบของปราการนั้นไล่เลี่ยกันกับผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในเลยทีเดียว ปราการนั้นเป็นอาวุธเวทที่ได้รับการเพิ่มพลังขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
หากข้ามีของเช่นนั้นบ้าง ข้าก็คงจะไม่หมดหนทางสู้เสียทีเดียวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับต้นไม้ยักษ์ อย่างน้อยๆ ข้าก็จะต่อสู้ได้บ้าง! ในตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายวาบขึ้นมา เขาคิดไปถึงประสบการณ์ที่ตำหนักอาวุธเวท ชายหนุ่มหลอมวัตถุเวทมา ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หากเขาใส่ความคิดและความพยายามลงไปอีกสักนิด การหลอมปราการแบบเดียวกันนี้ก็อาจจะไม่ใช่งานที่ยากเกินไปนัก
ปัญหาคืออาจต้องใช้วัตถุดิบมากมายเกินไป…หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เมื่อคราวที่เขาอยู่ที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนั้น คนนอกต่างก็พากันพูดว่านักหลอมอาวุธเวทนั้นเหมือนกับศิลาวิญญาณเดินได้ ซึ่งแปลว่าพวกเขาร่ำรวยมากนั่นเอง
มาบัดนี้ เมื่อเขาบรรลุถึงขั้นรากฐานตั้งมั่นและสามารถหลอมสมบัติเวทระดับสี่และห้าได้แล้วนั้น เขากลับตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งถึงความยากลำบากของความจน วัตถุดิบที่ต้องใช้ในการหลอมวัตถุเวทนั้นมากมายเกินไป ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะสามารถหลอมศิลาวิญญาณได้เร็วเท่าใด ก็ไม่อาจเทียบกับความเร็วของการใช้วัตถุดิบใน การหลอมได้
แม้ว่าการหลอมปราการจะทำไม่ได้ในเร็ววัน ข้าก็ควรเริ่มเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อข้ามีทรัพยากรเพียงพอเมื่อใดก็จะได้เริ่มการหลอมได้ทันที! หวังเป่าเล่อคิด ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างปราการที่แข็งแกร่งและไม่มีวันพัง เขาคิดกระทั่งชื่อไว้ให้ปราการนั้นแล้วด้วย
ข้าจะตั้งชื่อให้ว่าปราการนิรันดร์! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายสดใส หลังจากทบทวนอยู่พักใหญ่ เขาก็ลงความเห็นว่าแม้ต่อให้มีพิมพ์เขียวและทรัพยากรพร้อมทุกอย่าง ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างปราการสำเร็จได้ด้วยตนเอง ชายหนุ่ม กลัดกลุ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกถึงบรรดาหุ่นเชิดขึ้นมาได้
หากข้าขาดกำลังคน ข้าก็ควรจะศึกษาวิธีทำให้หุ่นเชิดมาช่วยก่อสร้างได้ พวกมันน่าจะสามารถช่วยเหลือเบื้องต้นและทำงานก่อสร้างง่ายๆ ได้! หวังเป่าเล่อคิด ในระหว่างที่ถือสันโดษ นอกจากเขาจะฝึกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้า-ขั้นต้นและใกล้ จะบรรลุขั้นการฝึกปราณเข้าไปทุกขณะ หวังเป่าเล่อยังให้เวลากับการศึกษาวิธีหลอมหุ่นเชิดและทบทวนพิมพ์เขียวที่จะใช้สร้างปราการไปด้วย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ผ่านไปถึงหนึ่งเดือนเต็ม!
ในเวลาเที่ยงของวันหนึ่ง หวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งสมาธิอยู่จู่ๆ ก็ลืมตาโพลงขึ้น เสียงขู่คำรนระเบิดขึ้นจากในกายเขา ก่อนที่สายฟ้าหลายเส้นจะส่องประกาย แปลบปลาบออกมาจากขาข้างขวา สายฟ้าเหล่านั้นพวยพุ่งไปมาในอากาศพร้อม ส่งเสียงครั่นครืนดังสนั่น ห้องทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยกระแสไฟฟ้าในทันที สายฟ้าเหล่านั้นก่อตัวกันกลายเป็นบ่อสายฟ้าขนาดเขื่อง!
หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในบ่อนั้น พลังปราณในกายปะทุขึ้นมาในบัดดล ก่อนจะบรรลุชั้นต้นและก้าวเข้าไปสู่…ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลาง!