บทที่ 326 พลังแห่งความรู้
หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ยืนเอามือไพล่หลัง หันมองไปรอบๆ เขาอยากจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง แต่ก็เหลือบไปเห็นเจ้าลาเลียเครื่องเรือนจนพื้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายก็รู้สึกอับอายขึ้นมา
ขณะที่จินตั้วหมิงกำลังเดินลงมาจากชั้นสอง หวังเป่าเล่อก็เตะเจ้าลาตอนที่จินตั้วหมิงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าพร้อมกับส่งยิ้มและพยักหน้าให้
“อืม ดูโกโรโกโสอย่างที่ว่า” หวังเป่าเล่อว่าอย่างเห็นด้วย เจ้าลาหูตั้งเมื่อถูกเตะ หันมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาใสซื่อ ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปมองโต๊ะข้างๆ
เมื่อเห็นพฤติกรรมของเจ้าลา หวังเป่าเล่อก็เหนื่อยอ่อนกับความโง่เง่าของมันจนพูดอะไรไม่ออก คงจะเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนักหากภายภาคหน้าเขาต้องพา เจ้าลาออกสู่สาธารณะ ชายหนุ่มโล่งใจพอรู้ว่าจินตั้วหมิงสนใจอยากซื้อต่อ เขาหันมายิ้มกว้างให้จินตั้วหมิง
จินตั้วหมิงที่กำลังเดินเข้าไปหาทั้งสองเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด เขาเพียงพูดถ่อมตัวไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วชายหนุ่มทุ่มทุนกับตำหนักนี้ไปไม่น้อย เสียค่าใช้จ่ายตกแต่งภายในไปมากโข โดยเฉพาะม้านั่งยาวตัวโปรดของเขา
แม้จะหงุดหงิดมากเท่าใด เขาก็เข้าใจว่าพูดกับหวังเป่าเล่อไปอย่างไรก็ไม่ได้ความ แต่ชายหนุ่มก็ยังอยากทำให้อีกฝ่ายได้รู้ซึ้ง จึงชี้นิ้วไปทางม้านั่งยาวพร้อมกับยกยิ้มขึ้น
“ใช่ มีแต่ของธรรมดาสามัญแทบทั้งนั้น แต่ม้านั่งตัวนี้โดดเด่นมาหน่อยเพราะสร้างมาจากหนังของราชันอสูรขั้นกำเนิดแก่นในหมักไว้ด้วยเลือดของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอยู่นานหลายปี โครงสร้างภายในไม่ได้ทำจากไม้แต่เป็นกระดูกของราชันอสูร จะบอกว่าม้านั่งตัวนี้แปลงมาจากราชันอสูรก็ไม่ผิด หากฝึกวิชาบนม้านั่ง ตัวนี้จะสำเร็จได้เร็วกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง!”
หลังจากอธิบายให้ฟังคร่าวๆ จินตั้วหมิงก็ยิ้มเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อตะลึงไป เขาหยุดพูดถึงที่พักของตัวเองและหันไปมองทางเจ้าลาที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่าย
มองเพียงแวบเดียว ดวงตาของจินตั้วหมิงก็เป็นประกาย ลาตัวนี้ดูดีเลยทีเดียว เป็นผลมาจากการขัดสีฉวีวรรณของหวังเป่าเล่อที่ตั้งใจจะเพิ่มมูลค่าของมัน ขนสีดำขลับเป็นประกายเมื่อต้องแสง หูตั้งตรงทำให้มันดูเปราะบาง ประกอบกับดวงตากลมโตฉายแววใสซื่อไร้เดียงสาต่อโลกส่งผลให้เจ้าลาดูน่ารักไม่หยอก
จินตั้วหมิงมองปราดเดียวก็ตระหนักว่าเจ้าลาเป็นอสูรที่ไม่ธรรมดา เริ่มรู้สึกรักใคร่เจ้าลาขึ้นมาทันใด เขาหันไปขมวดคิ้วมองหวังเป่าเล่อเมื่อเห็นว่าเจ้าลาที่กำลังสับสนถูกมัดไว้ด้วยเชือก
“สหายเต๋าหวัง ทำไมเจ้าถึงผูกมันไว้กับเชือกหรือ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว รีบปลดมันออกเสียสิ อสูรตัวนี้เหมือนจะมีพลังแฝงอยู่ อีกทั้งยังดูเด็กอยู่เลย หากไม่ดูแลให้ดีมันอาจจะมองมนุษย์เป็นศัตรูได้ นอกจากนี้อสูรในวัยนี้มักเลียนแบบพฤติกรรมของเจ้านาย ดูแล้วเจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้านายของมันสักเท่าไหร่” จินตั้วหมิงไม่ค่อยพอใจที่หวังเป่าเล่อดูแลเจ้าลาแบบผิดๆ เช่นนั้น
หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกเดือดดาลขึ้นในใจเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด แต่ก็ข่มใจไว้เมื่อคิดได้ว่าชายตรงหน้าเป็นเศรษฐี เขาคิดว่าหากไปสร้างเรื่องกับเศรษฐีผู้มั่งมีที่จะทำการค้าขายด้วยคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ชายหนุ่มกล่าวเตือนจินตั้วหมิงในฐานะพ่อค้าผู้ซื่อตรงต่อหลักการของตนเอง
“ข้าข้อบอกไว้ก่อน เจ้าลาตัวนี้ตะกละตะกลามยิ่งนัก หากข้าปล่อยเชือกออกแล้วมันไปเขมือบอะไรเข้า ข้าไม่รับผิดชอบด้วย!” หวังเป่าเล่อคิดว่าตนควรจะบอกทุกอย่างให้กระจ่างไว้ก่อน หากจินตั้วหมิงมาเรียกร้องค่าเสียหายทีหลัง เขาจะไม่มีปัญญาจ่ายเอา
เมื่อได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด จินตั้วหมิงก็หัวเราะพร้อมกับพูดอย่างใจเย็น ดวงตาดูจองหองขึ้นเล็กน้อย
“แค่อาหารไม่ใช่หรือ ถึงจินตั้วหมิงผู้นี้จะไม่ได้มั่งมี แต่ข้าก็มีโอสถและอาหารมากมาย! ถ้ามันอยากกินก็ปล่อยมันกิน ข้ารับผิดชอบเองทั้งหมด ไหนๆ ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าอยากได้ลาตัวนี้!
“เดี๋ยวค่อยตกลงราคากันทีหลัง ไม่ต้องห่วง จินตั้วหมิงผู้นี้พูดอะไรไปแล้วไม่มีทางกลับคำ ส่วนราคาเจ้าลา…เจ้าจะต้องพอใจแน่นอน” ดวงตาของจินตั้วหมิงจับจ้องไปที่เจ้าลาขณะที่พูด ยิ่งมองก็ยิ่งตกหลุมรักมันมากขึ้น
หวังเป่าเล่อโล่งใจเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายบอก เขารีบแกะเชือกที่ผูกเจ้าลาออก ก่อนจะพูดขึ้นอย่างสุขใจหลังจากลูบหัวมันอยู่หลายครั้ง
“เอาละ ตั้งแต่วันนี้ไปที่นี่คือบ้านใหม่ของเจ้า”
เจ้าลาดูจะเกรงกลัวเล็กน้อยหลังถูกปล่อยออกจากเชือก มันมองหวังเป่าเล่อสลับกับจินตั้วหมิงขณะเดินถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยใบหน้าหวาดหวั่น จินตั้วหมิงเห็นท่าทีเจ้าลาก็รู้สึกเจ็บปวดในใจก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่อด้วยความไม่พอใจ
หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ เตรียมต่อรองราคาเจ้าลากับจินตั้วหมิง ทันใดนั้นดวงตาของเจ้าลาก็ลุกโชติช่วงเมื่อมันเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า มันใจกล้าหน้าด้านขึ้นมา ถอยหลังเดินเข้าไปหาโอสถที่ตั้งอยู่บนชั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย มันอ้าปากออก ทำลายเครื่องป้องกันชั้นโอสถด้วยฟันของมัน ก่อนจะเขมือบขวดยาทั้งขวดลงคอไปพร้อมเครื่องป้องกัน
หวังเป่าเล่ออยากจะดุเจ้าลาเมื่อเห็นพฤติกรรมของมัน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร จินตั้วหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยชมเจ้าลาน้อยขึ้นมา
“อสูรน้อยตัวนี้ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง! เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และไม่สนใจ เครื่องป้องกันแม้แต่น้อย! เอาเลย อยากกินอะไรในนี้ก็เชิญตามสบาย!” จินตั้วหมิง มีท่าทีราวกับค้นพบขุมสมบัติแสนล้ำค่า เขาปลดเครื่องป้องกันของชั้นออกหมด เผยให้เห็นขวดโอสถตั้งเรียงราย เจ้าลามองขวดโอสถมากมายสลับกับจินตั้วหมิง อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง มันคึกหนัก ตั้งแต่เกิดมา กินอะไรเข้าไปก็มีแต่โดนทุบตีไปเสียทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับสามารถกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ
เจ้าลาแสนสุขใจ รีบพุ่งไปหน้าชั้นวาง เริ่มเขมือบโอสถเสียงดังเข้าไปอีกขวด หวังเป่าเล่อตั้งใจจะกล่าวเตือนจินตั้วหมิงเมื่อเขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“มันกินได้ไม่หยุด…”
จินตั้วหมิงได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะยกยิ้มขึ้นด้วยท่าทีโอหัง
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันกินเข้าไป!”
ได้ยินประโยคนั้นจากปากของเศรษฐีหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็รู้สึกหายใจติดขัด เขามองเจ้าลาเขมือบขวดโอสถแล้วก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาแปลกๆ
เมื่อได้ยินจินตั้วหมิงให้ท้าย แถมยังเห็นหวังเป่าเล่อไม่เข้ามาห้ามเป็นครั้งแรกในชีวิต เจ้าลาก็ดีใจหนักขึ้นไปอีก มันร้องด้วยความสุขใจ เสียงร้องของมันดังก้องไปทั่วห้อง เจ้าลาเริ่มเร่งฝีเท้าเขมือบทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในตำหนักชั้นล่างของจินตั้วหมิง
มันเขมือบโอสถทุกขวด สมบัติเวทมากมายที่ห้อยอยู่บนผนังก็ไม่เว้น พอลองชิมสองสามคำแล้วติดใจ มันก็กลืนสมบัติเวทหลายชิ้นลงคอไป
แม้ว่าสมบัติเวทเหล่านั้นจะไม่ใช่ของตนเอง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกขายหน้าเมื่อเห็นพฤติกรรมของเจ้าลา เขารีบพูดขึ้น
“จินตั้วหมิง เราตกลงกันแล้วเรียบร้อย เจ้าอยากได้ลาตัวนี้ อย่ามาเสียใจทีหลังนะ”
จินตั้วหมิงมองเจ้าลากัดกินสมบัติเวทระดับสี่ด้วยความฉงนปนสุขใจ ชายหนุ่มบอกปัดไป
“ใจเย็นน่า ข้าจะให้อาวุธเวทเพื่อแลกกับเจ้าลาตัวนี้!”
หวังเป่าเล่อโล่งอกเมื่อได้ยินที่จินตั้วหมิงพูด พลางคิดในใจว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน ขณะเดียวกันจินตั้วหมิงที่หันหลังให้หวังเป่าเล่อก็มีท่าทีสุขใจจนแสดงออกทางสายตา เขาคิดว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้คุ้มค่ายิ่งนัก
หวังเป่าเล่อนั้นฉลาดเป็นกรดอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้กลับต้องเสียท่า พลังแห่งความรู้มันล้ำค่าเช่นนี้นี่เอง!
จริงๆ แล้วจินตั้วหมิงนั้นทราบดีว่าเจ้าลาตัวนี้กินทุกอย่างที่มันเห็นในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา แต่เขาก็คิดว่านั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเนื่องจากมันเป็นเรื่องธรรมดา จากข้อมูลที่ได้มาจากกลุ่มไตรจันทรา อสูรร้ายวัยเด็กนั้น ยิ่งถ้าเพิ่งเกิดแล้ว จะต้องเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านระดับการฝึกตนครั้งแรก!
เขารู้ว่าอสูรวัยแรกเกิดนั้นต้องการสารอาหารและปราณวิญญาณอย่างมากใน ช่วงสำคัญเช่นนี้ ยิ่งได้รับเข้าไปมากเท่าไหร่ ระดับการฝึกตนหลังช่วงเปลี่ยนผ่านก็จะเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น!
แต่ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน เมื่ออสูรกินจนเต็มอิ่มแล้วก็จะไม่กินอะไรอีก
เพราะเหตุนั้นจินตั้วหมิงจึงยิ้มกว้างขึ้น เจ้าลาในตอนนี้เป็นดังพายุหมุน มันดูดกลืนขวดโอสถบนชั้นโบราณเข้าไปจนหมด นอกจากนั้นยังเข้าไปเลียเครื่องเรือนราวกับอดอยากมานาน จินตั้วหมิงโบกมือ พลันกำแพงด้านขวามือก็เลื่อนลงพื้น เผยให้เห็นคลังเก็บของขนาดใหญ่ มีโอสถมากมายและสมบัติเวทหลายชิ้นอยู่ในนั้น
หวังเป่าเล่ออ้าปากค้าง เจ้าลาตัวสั่นเทิ้มด้วยความผาสุก รีบพุ่งเข้าไปในคลังเก็บของ กัดกินทุกสิ่งอย่างราวกับจะตายเอาวันพรุ่ง จินตั้วหมิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนโอหังขณะยืนเอามือไพล่หลังอยู่
“ยังมีอีกเยอะ ข้าก็อยากจะรู้ว่าเจ้ากินได้มากมายแค่ไหนกัน”
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ มองเจ้าลาที่กรีดร้องอย่างสุขใจขณะไล่เขมือบข้าวของในคลัง เขาสังหรณ์ใจว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจึงกระแอมกระไอออกมา
“ลูกพี่จิน เลิกสนใจเจ้าลาแล้วเรามาคุยกันเรื่องราคากันดีไหม”
จินตั้วหมิงหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เขามองไปทางเจ้าลาอย่างรักใคร่ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไปพร้อมหวังเป่าเล่อ พวกเขานั่งคุยต่อรองราคากันบนนั้น หวังเป่าเล่อต่อรองราคาจนมาจบอยู่ที่อาวุธเวทระดับเจ็ดหนึ่งชิ้นและวัสดุเสริม พลังปราณอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งสองพอใจกับราคาที่ตกลงกันและกำลังจะจบการต่อรอง ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นจากชั้นล่าง เหล่าคนเฝ้ายามและสาวใช้ต่างวิ่งออกมาดูก่อนจะร้องขึ้นด้วยความตื่นตะลึง
“สวรรค์!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีโจรบุกเข้ามาอย่างนั้นหรือ”