Skip to content

A World Worth Protecting 331

บทที่ 331 สำนักแห่งความมืด

ขณะเดียวกันกับที่หวังเป่าเล่อเข้าไปในมิติมายาเพื่อขอคำแนะนำจากแม่นางน้อย ไกลโพ้นออกไปในอวกาศ มีมิติบิดเบี้ยวปรากฏอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวเรืองรอง

พื้นที่ภายในมิตินั้นกว้างใหญ่เทียบเท่าทางช้างเผือกลำแสงมากมายซึ่งเป็นต้นเหตุการบิดเบี้ยวของกาลอวกาศกระจายอยู่ทั่วมิติ คลื่นแสงมากมายซ้อนกันเป็นชั้นๆ ปรากฏให้เห็นภาพของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละอองหรือดวงดาวอันเงียบสงบ    ภาพเหล่านั้นทับซ้อนกันไปมา

ที่นี่วิสัยทัศน์และสัมผัสต่างๆ ถูกแทรกแซง ผู้ที่หลงเข้ามาจะรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในภาพมายา ทุกสิ่งที่เห็นดูบิดเบี้ยวไม่ชัดเจน

มิติบิดเบี้ยวนั้นกว้างใหญ่เกินพรรณนาได้ สิ่งมีชีวิตภายในมิตินี้ต่างดูบิดเบี้ยวผิดเพี้ยน เป็นตัวตนที่อยู่ระหว่างความจริงและความฝัน ทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในจักรวาลเรียกขานที่แห่งนี้กันด้วยชื่อสุดพิเศษ

ชื่อนั้นก็คือ…มิติมายาแห่งความมืด!

ในแกนกลางส่วนลึกสุดของมิติมายาแห่งความมืดเป็นพื้นที่ชั้นในที่มี            ขนาดเทียบเท่าระบบสุริยะ ไม่มีสิ่งมีชีวิตสักตนอาศัยอยู่ ถือเป็นพื้นที่แสนลึกลับที่  น้อยคนนักจะรู้จัก

พื้นที่ส่วนนี้เป็นดังเขตหวงห้ามของมิติมายาแห่งความมืด ใครที่ได้ย่างกรายเข้ามาไม่เคยมีชีวิตรอดกลับไป

ตำนานกล่าวขานกันว่าภายในเขตหวงห้ามแห่งนี้มีดวงดาวสีเทาอยู่ดวงหนึ่ง…

ไม่มีใครทราบถึงที่มาของตำนานดังกล่าว เนื่องจากใครก็ตามที่ได้ก้าวเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ล้วนไม่อาจรอดกลับไปได้ แต่ตำนานนี้ก็สืบทอดต่อกันมานานนม

ไม่มีผู้ใดกล้าพิสูจน์ความจริงของตำนานนี้

ความจริงแล้วในใจกลางของเขตหวงห้ามไม่มีดาวสักดวง มีเพียงวังวนขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายหลุมดำเท่านั้น วังวนนั้นมีสีเทา หมุนวนอย่างเงียบเชียบ มองไกลๆ จะเห็นเหมือนดวงดาวหลายล้านดวงรวมตัวกันเป็นก้นหอย

เมื่อเปลวไฟสีดำผุดขึ้นในร่างของหวังเป่าเล่อ แสงหนึ่งก็เรืองรองขึ้นภายในวังวนที่หมุนวนไม่หยุด แสงนั้นแตกต่างจากแสงอื่นใดที่เคยปรากฏขึ้นในอดีต

มันมีหลากสีสัน และเมื่อมันส่องแสงสว่างจ้า พลันโลงศพทึบทึมก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากภายในวังวนเหมือนดังว่าผุดออกมาจากความว่างเปล่า

โลงศพมีสีดำทั้งหลัง  ทำมาจากวัสดุลึกลับ มีไอเย็นแผ่ออกมาทันทีที่โลงศพปรากฏขึ้น

ไอเย็นพวยพุ่งไปทั่วพื้นที่ราวกับจะแช่แข็งทุกสิ่งในบริเวณ หากหวังเป่าเล่อได้มาสัมผัส เขาคงจะตกตะลึงเมื่อได้พบว่าไอเย็นจากโลงศพนั้นให้ความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เขาฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดสำเร็จ!

“เมื่อตอนที่สำนักแห่งความมืดของเรายังรุ่งเรือง เราได้กระจายวัตถุเวทแห่งความมืดออกไปจำนวนหนึ่ง…”

“หลายพันปีผ่านไป ผู้สืบสำนักของเราก็ค่อยๆ ลดลงจนหายไปหมดเหลือทิ้งไว้แค่เพียงตำนานเล่าขาน…วัตถุเวทแห่งความมืดต่างกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ และสูญเสียพลังไป ใครจะรู้กันเล่าว่าผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ วัตถุเวทแห่งความมืดจะตื่นพลังขึ้นอีกครั้งและนำพาทายาทคนใหม่มาให้ผองเรา…ถึงแม้จะช้าไปเสียหน่อย   แต่…ก็ถือเป็นคนของสำนักแห่งศาสตร์มืด เรายกโลงศพแห่งความมืดให้เพื่อหวังจะช่วยให้เขารอดพ้นจากต้นกำเนิดแห่งภัยพิบัติได้…” น้ำเสียงชราค่อยๆ ดังออกมาจากวังวน มันฟังดูเบาราวกับเป็นเสียงพึมพำและทอดถอนใจ อึดใจถัดมา มือยักษ์      เลือนรางขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของวังวนก็ค่อยๆ เอื้อมออกมาจากภายในวังวน

มือยักษ์เป็นเพียงเงาจางๆ ในตอนแรก แต่ไม่นานกระดูกและเลือดเนื้อก็พลันปรากฏ ก่อนจะผสานรวมเกิดเป็นมือสภาพสมบูรณ์ มือยักษ์เหยียดออกมาจากแขนเสื้อสีเทา เผยให้เห็นผิวหนังเหี่ยวย่น ปลายนิ้วมีเล็บโค้งยาว มือยักษ์เอื้อมไปแตะเบาๆ ที่โลงศพซึ่งเป็นดังแมลงตัวจ้อยเมื่อมาอยู่ตรงหน้ามือยักษ์

โลงศพพุ่งทะยานออกไปทันที เป้าหมายปลายทางของมันคือ…ดาวอังคาร!

หวังเป่าเล่อที่เพิ่งกลับออกมาจากมิติมายายังคงตื่นตกใจไม่หาย ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลที่แม่นางน้อยบอก อีกส่วนมาจากที่เขายังคลางแคลงใจว่าตนเองฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดสำเร็จได้อย่างไร

พอกลับมายังที่พัก ชายหนุ่มก็นั่งลงขัดสมาธิก่อนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด นึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยประสบพบเจอมา ทันใดนั้นร่างของเขาก็สะดุ้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์หนึ่ง

หรือว่าจะเกี่ยวกับที่ข้าสูดหายใจรับหมอกสีโลหิตเข้าไปเมื่อตอนอยู่ที่ถ้ำใต้ดิน หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวเมื่อคิดเช่นนั้น เขาตระหนักว่าก่อนที่จะไปยังถ้ำใต้ดิน ไม่ว่าจะมุ่งมั่นฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดอย่างไรก็พบเจอแต่ความล้มเหลว พอกลับจากถ้ำก็เริ่มเก็บตัวฝึกฝนแต่ไม่ได้ฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดในทันที การถือสันโดษครั้งล่าสุดถือเป็นการฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดครั้งแรกหลังจากที่เดินทางไปยังถ้ำใต้ดิน

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงกายาวิญญาณขั้วลบและใช้มันสร้างเปลวไฟสีดำได้ในครั้งแรก  ที่เริ่มฝึก

ชายหนุ่มควบคุมความรู้สึกต่างๆ ในใจไว้ไม่ได้ เริ่มคาดเดาไปว่าหมอกสีโลหิตคืออะไร แต่ก็มีข้อมูลไม่มากพอ ทำให้เขาไม่ค่อยมั่นใจในข้อสรุปของตนเอง

หมอกสีโลหิตทำให้หวังเป่าเล่อคิดถึงหลินเทียนหาว แม้ว่าเขาจะตามข่าวกับคนอื่นๆ เป็นพักๆ แต่หมอกสีโลหิตก็เป็นปรากฏการณ์แสนประหลาดทำให้ชายหนุ่มอดเป็นห่วงหลินเทียนหาวไม่ได้…

หวังเป่าเล่อรีบหยิบแหวนสื่อสารออกมา หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจส่งข้อความไปหาหลี่หว่านเอ๋อร์ เขากระแอมกระไอเมื่อได้ยินเสียงเย็นชาของหลี่หว่านเอ๋อร์ดังขึ้นจากแหวนสื่อสาร

“เสนาธิการหลี่ ข้าหวังเป่าเล่อเอง เอ่อ…นี่ก็ผ่านมาเกินหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่ทางกองทัพพาหลินเทียนหาวไปปฏิบัติภารกิจ แต่ข้าก็ยังติดต่อเขาไม่ได้…” หวังเป่าเล่อหยุดพูดเพียงเท่านี้ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

หลี่หว่านเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“กลุ่มอื่นๆ กลับมากันหมดแล้ว กลุ่มของหลินเทียนหาวส่งข้อความมาเมื่อสองวันก่อนรายงานว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่นานพวกเขาคงจะกลับมาที่ฐาน”     พูดจบหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ตัดสายไป

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจท่าทีของหลี่หว่านเอ๋อร์นัก เพราะนางได้ตอบคำถามคลายความกังวลใจให้กับเขา ชายหนุ่มเริ่มศึกษาเรื่องเปลวไฟสีดำต่อ ทันใดนั้นเขาก็ตบ  หน้าขาเสียงดัง เงยหน้าขึ้นมองออกไปด้านนอกห้อง

แย่แล้ว…เหมือนข้าจะลืม…เจ้าลาไปเสียสนิท! หวังเป่าเล่อลุกพรวดขึ้น รีบเปิดประตูออกเห็นเจ้าลานอนอยู่หน้าทางเข้า มันซูบผอมลงไปมาก ดวงตาดูว่างเปล่า

เจ้าลาผู้อ่อนแอและหิวโซสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อ มันมองชายหนุ่มอย่างขุ่นเคืองใจราวกับจะถามว่าทำไมสิบวันที่เขาว่ามันช่าง…เนิ่นนานถึงเพียงนี้

หวังเป่าเล่อหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เขารีบปลดคำสั่งออก พอปากที่ปิดแน่นกว่าสองสัปดาห์ถูกคลายออก เจ้าลาก็ส่งเสียงออกมา

“ลูกข้า…”

เสียงของมันฟังดูอ่อนแรง ราวกับว่าอยากจะร้องไห้ออกมา หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงหยิบขนมหลายถุงโยนไปให้

“จำไว้ว่าต่อไปต้องปฏิบัติตัวอย่างไร!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอขึ้นหลังจากโยนถุงขนมไปให้เจ้าลา เขาดุมันต่ออีกเล็กน้อย ขณะมองมันเขมือบขนมตรงหน้า    ราวหมาป่ากระหายเลือด ภาพตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มใจอ่อน หยิบขนมโยนไปให้เพิ่มอีกสองสามถุง

เจ้าลามองขนมตรงหน้าด้วยความตื้นตันใจ ดวงตาของมันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา มันหันมองหวังเป่าเล่อด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ

“เยี่ยมมาก ต้องอย่างนี้เจ้าเด็กดี!” หวังเป่าเล่อปลื้มใจกับผลลัพธ์จากการลงโทษครั้งนี้ สี่วันต่อมา ชายหนุ่มศึกษาเรื่องเปลวไฟสีดำไปพร้อมๆ กับเขียนพิมพ์เขียวปราการจนเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังหลอมหุ่นเชิดก่อสร้างขึ้นอีกหลายตัว การลงโทษโดยสั่งให้ปิดปากเงียบอยู่นานเหมือนจะฝังลึกเข้าไปในสมองของเจ้าลา แม้ว่ามันจะกลับมามีพลังงานเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรอุกอาจ ยิ่งอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อยิ่งเชื่องเป็นพิเศษ

หวังเป่าเล่อพึงพอใจมากกับผลลัพธ์ที่ได้ คิดว่าไหนๆ เจ้าลาก็เชื่องแล้ว คงต้องซื้อกระเป๋าอสูรมาใช้ คิดดังนั้นเขาก็ตัดสินใจจะออกไปข้างนอก ทว่าตอนนั้นเองชายหนุ่มก็ได้รับคำเชิญจากทางกองทัพผ่านแหวนสื่อสาร!

กองทัพประจำการดาวอังคารเชิญหวังเป่าเล่อเพื่อไปแนะนำการประกอบ        ปืนใหญ่เป่าเล่อ!

ปืนใหญ่เป่าเล่อมีการใช้งานอย่างแพร่หลายภายในกองทัพบนโลก ทางกองทัพ  ฝั่งดาวอังคารก็ได้รับปันส่วนปืนใหญ่มาจำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน แต่ด้วยปัญหาด้านการจัดส่งและข้อจำกัดด้านทรัพยากรทำให้ทางกองทัพได้รับปืนใหญ่มาในสภาพ         แยกชิ้นส่วน ต้องทำการประกอบขึ้นเอง

ตามปกติแล้วจะมีที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำและควบคุมการประกอบ เนื่องจากหวังเป่าเล่อติดตั้งรหัสลับไว้ในตัวปืนใหญ่ เขาได้ส่งรหัสลับให้ทางกองทัพหลังจากที่ขายออกไป แต่รหัสลับนั้นถือเป็นความลับสูงสุดของทางกองทัพ

ทว่า…ในเมื่อผู้สรรค์สร้างปืนใหญ่เป่าเล่ออยู่บนดาวอังคาร จึงไม่มีที่ปรึกษาคนใดจะเข้าใจปืนใหญ่ได้ดีเท่าหวังเป่าเล่อ ดังนั้นทางกองทัพจึงเชื้อเชิญชายหนุ่มไปช่วยดูแลกระบวนการประกอบ

หวังเป่าเล่อตอบรับคำเชิญอย่างเต็มใจ แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเจ้าสำนักศึกษา  เต๋าหมอกขุนเขา มีชื่อเสียงและเส้นสายมากมายบนดาวอังคาร แต่ถ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพประจำดาวอังคารได้ ก็จะทำให้ชีวิตของเขาดำเนินไปได้อย่างปลอดภัยหายห่วง

เมื่อหวังเป่าเล่อตอบตกลง ทางกองทัพจึงส่งเรือบินมารับ หวังเป่าเล่อมองไปทางเจ้าลา รู้สึกไม่มั่นใจที่จะปล่อยมันทิ้งไว้ตัวเดียวจึงนำมันขึ้นเรือบินไปด้วย             ก่อนพวกเขาจะออกทะยานมุ่งหน้าสู่ฐานของกองทัพประจำดาวอังคาร!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version