Skip to content

A World Worth Protecting 335

บทที่ 335 ผีดิบ

เรือบินช่วยเหลือพุ่งไปในน่านฟ้าดาวอังคารด้วยความเร็วสูงราวกับจะแหวก     ผืนฟ้าออกขณะที่มันทะยานไปข้างหน้า เรือบินแล่นไปด้วยความเร็วเหนือกว่าเรือบินทั่วไป ไม่ถึงชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง

จุดหมายของพวกเขาคือดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง ผืนดินสีแดงปราศจากพืชพันธุ์ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ไม่มีสิ่งใดในดินแดนแห่งนี้ เว้นเสียแต่ถ้ำทรงกลม

มีแสงสีแดงส่องออกมาจากภายในถ้ำ ผืนดินสีแดงบนดาวอังคารแดงก่ำขึ้น      เมื่อต้องแสง ราวกับว่าโชกชุ่มไปด้วยเลือด ทุกคนต่างตัวแข็งทื่อไปเมื่อได้เห็นภาพนั้น ความรู้แปลกพิกลแล่นเข้าสู่ภายในใจ

ต้นไม้ยักษ์ในชุดคลุมสีดำจ้องไปยังปากทางเข้าถ้ำด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลันดวงตาก็ฉายแววเย็นชา เขาตรวจสอบให้แน่ใจว่าถ้ำเบื้องหน้าเป็นจุดเดียวกันกับจุดที่         วงแหวนปราณระบุ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ที่นี่แหละ!”

เขากระโดดลงจากเรือบินและพุ่งตรงเข้าไป ตามหลังมาด้วยเฉินเฟิ่งและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกสองคนจากกองทัพ พวกเขาต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะรีบตามหลังต้นไม้ยักษ์เข้าไปในถ้ำสีโลหิต

กลุ่มสุดท้ายที่ตามหลังลงมาคือหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น แม้ว่าวิสัยทัศน์สีเลือดเบื้องหน้าจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด พวกเขาก็กระโจนออกจากเรือบินมุ่งหน้าไปทางถ้ำอย่างไม่ลังเลใจ หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ท่ามกลางกลุ่มนี้ เจ้าลากลัวจนหัวหด เกาะติดชายหนุ่มไม่ห่าง

ต้นไม้ยักษ์เดินนำเฉินเฟิ่งและกลุ่มคนกว่าห้าสิบคนมุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำ ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายใน หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นสาบเลือดในอากาศที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วภายในถ้ำ

กลิ่นเหม็นสาบชวนอาเจียนให้ความรู้สึกราวกับกลิ่นซากศพและเครื่องในที่เพิ่งถูกควักออกมา ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยายได้อีก พวกเขาต่างใจเต้นถี่รัวอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อเห็นโพรงถ้ำเบื้องหน้า

โพรงถ้ำนั้นกว้างเกือบสิบเมตร ภายในดูกว้างขวาง รอบๆ ผนังมีรอยแตกเต็มไปหมด บางรอยนั้นเล็กมากเสียจนต้องเพ่งดูถึงจะเห็น บางรอยกลับใหญ่โตจนดูเหมือน    โพรงถ้ำย่อยๆ ที่เชื่อมต่อออกไปถึงใดก็ไม่มีใครทราบ แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตเทียบเท่าโพรงถ้ำหลัก

“โพรงนี้เพิ่งจะถูกขุดขึ้น…” เฉินเฟิ่งตรวจดูผนังรอบๆ และพูดขึ้นช้าๆ ต้นไม้ยักษ์และผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกสองคนก็เข้าไปตรวจผนังเช่นกัน พวกเขาหันหน้า  มองกันและกันก่อนจะพุ่งเข้าไปด้านในโพรงถ้ำ

หวังเป่าเล่อรวมกลุ่มอยู่กับเหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น ทันทีที่ก้าวเข้ามาในถ้ำ เขาก็สัมผัสได้ว่าเปลวไฟสีดำในกายได้ปะทุขึ้น ลุกโชติช่วงกว่ายามปกติ

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มคิดว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้น่าจะถูกต้อง     เขาสามารถฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดได้สำเร็จเพราะได้สูดหมอกสีโลหิตเข้าไปเล็กน้อยตอนที่ติดอยู่ในถ้ำใต้ดิน สมมติฐานทั้งหมดของเขานั้นถูกต้อง

หมอกสีโลหิตคืออะไรกันแน่…เห็นว่าถ้ำนี้ไม่ได้ไกลจากจุดที่คาดว่าน่าจะมีอาวุธเทพอยู่ หรือว่าหมอกสีโลหิตจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับอาวุธเทพกัน หวังเป่าเล่อหัวแล่นไปด้วยความคิดมากมาย เขาจะประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเนื่องจากพื้นที่แห่งนี้เป็นเขตอันตราย แถมผู้นำกลุ่มยังเป็นต้นไม้ยักษ์อีก

แม้หวังเป่าเล่อจะติดต่อไปหาประมุขสำนักเพื่อรายงานสถานที่ปฏิบัติภารกิจให้อีกฝ่ายรับทราบ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ต้นไม้ยักษ์ทำร้ายตนอย่างอุกอาจ            แต่สถานที่แห่งนี้ก็เป็นอาณาเขตสุดอันตราย การจะฆ่าใครสักคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องลำบากเอาตัวเข้าไปเปื้อนเลือดเอง แค่ไม่ให้การช่วยเหลือหรือเลือกช่วยเหลือคนอื่นๆ ก่อนก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของใครคนหนึ่งได้แล้ว

นั่นเป็นเหตุผลที่ตั้งแต่เข้าถ้ำมา หวังเป่าเล่อไม่กล้าเดินนำหน้าคนอื่นไปไกล      เขาเลือกที่จะเกาะกลุ่มกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ชายหนุ่มไม่มีเวลามามัวคิดมากจึงตั้งสติเดินตามกลุ่มเข้าไปในโพรงถ้ำ ทุกคนต่างระแวดระวังตัวเป็นอย่างสูง คอยสังเกต      สิ่งต่างๆ รอบตัว ยังไม่ทันจะได้เข้าไปลึกก็มีเสียงคำรามดังลั่นมาจากปลายโพรงถ้ำ

เสียงคำรามนั้นเหมือนเสียงร้องของอสูรสุดร้ายกาจและดังขึ้นอย่างฉับพลัน ต้นไม้ยักษ์ที่เดินนำหน้าอยู่รีบยกมือขวาขึ้นจับอะไรบางอย่างในผนังถ้ำข้างตัว

เขาลงมืออย่างรวดเร็ว ทันใดที่พุ่งมือออกไป กรงเล็บสีดำสร้างขึ้นจากไม้ก็ปรากฏขึ้นรอบมือ มือของต้นไม้ยักษ์พุ่งเจาะผนังและดึงศพสภาพเน่าครึ่งท่อนออกมา!

เสื้อผ้าบนตัวศพฉีกขาดสภาพดูไม่ได้ ตามตัวมีแมลงชอนไช ส่งกลิ่นเหม็นสาบศพคละคลุ้งไปทั่ว

แม้จะมีสภาพเช่นนั้น มันก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับว่าเป็นศพที่มีชีวิต มันเอื้อมมือปัดป่ายไปข้างหน้าแม้จะถูกต้นไม้ยักษ์จับไว้พร้อมส่งเสียงร้องโหยหวนชวนขนหัวลุก

ทุกคนผงะไป รีบถอยออกห่างจากผนังโพรงถ้ำ

“นั่นมันอะไรกัน”

“ซากศพมีชีวิตหรือ”

“ผีดิบ!”

ต้นไม้ยักษ์ขมวดคิ้ว แค่นเสียงทางจมูกพร้อมกับหักมือบดขยี้กะโหลกของซากศพที่จับไว้ ร่างไร้หัวร่วงหล่นลงพื้น แต่ซากศพตนนั้นก็ยังคลานไปตามพื้นแม้จะสูญเสียหัวไปแล้ว

หวังเป่าเล่อขนลุกไปหมด คนอื่นๆ เองก็พรั่นพรึงไม่ต่าง เสียงคำรามมากมายดังขึ้นจากไกลๆ ที่พื้นและผนังรอบๆ มีเสียงอะไรบางอย่างมุดอยู่ข้างใต้

ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวก่อตัวขึ้นภายในใจเมื่อศีรษะมากมายผุดออกมาจากผนังโพรงถ้ำทั้งสี่ด้าน ผืนดินใต้เท้า และผนังด้านบน

มีเสียงฝีเท้าวิ่งและเสียงโหยหวนดังมาจากปลายโพรงถ้ำ ผืนดินส่องแสงสีเลือด และด้วยแสงนั้นเอง กลุ่มช่วยเหลือก็ได้เห็นภาพที่ทำให้ตื่นตะลึงไป เบื้องหน้าพวกเขามีร่างสามร่างก้าวออกมาจากปลายโพรงถ้ำ!

พวกมันล้วนเป็นศพ แต่มีร่องรอยการเน่าเปื่อยเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าของศพทั้งสาม   ยังมีสภาพสมบูรณ์ รอบกายแผ่พลังเหลือล้นออกมา

ต้นไม้ยักษ์ เฉินเฟิ่ง หวังเป่าเล่อและกลุ่มช่วยเหลือต่างเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ร่างทั้งสามสวมใส่อยู่!

เสื้อผ้าที่พวกมันสวมใส่แตกต่างจากการแต่งกายในสหพันธรัฐ เห็นได้ชัดว่าเป็นการแต่งกายในยุคเก่า หวังเป่าเล่อเคยเห็นศพจากกระบี่สำริดเขียวโบราณในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณมาก่อนจึงจำเสื้อผ้าที่พวกมันสวมใส่ได้ทันที…พวกมันไม่ใช่มนุษย์จากโลก หากแต่เป็น…สิ่งมีชีวิตจากกระบี่สำริดเขียวโบราณ!

ศพเหล่านี้น่าจะตกลงมาบนดาวอังคารพร้อมชิ้นส่วนต่างๆ ตอนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณพุ่งปักดวงอาทิตย์ แต่ก็ไม่มีใครทราบได้ว่าพวกมันกลายเป็นผีดิบได้อย่างไร!

เหล่าศีรษะที่ผุดออกมาจากพื้นดินและผนังรอบๆ เองก็เป็นศพกลุ่มเดียวกัน ทันใดที่พวกมันปรากฏก็ส่งเสียงร้องโหยหวนขณะพยายามดึงตัวออกจากดิน เหล่าศพพุ่งเข้าใส่กลุ่มช่วยเหลือทันทีที่พวกมันหลุดออกมาได้

ศพสามตนซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังรุนแรงที่ปลายโพรงถ้ำพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ยักษ์ เฉินเฟิ่ง และผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน

ภายในโพรงถ้ำเต็มไปด้วยความโกลาหล เกิดเสียงระเบิดเคล้าไปกับเสียงโหยหวนก้องไปทั่ว ต้นไม้ยักษ์ เฉินเฟิ่งและกลุ่มผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในรับมือกับฝูงผีดิบได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ทันใดนั้นศพพลังเทียบเท่ากันอีกสิบกว่าตนก็แผ่รังสีสังหารและพุ่งออกมาจากปลายโพรงถ้ำ

มียักษ์ขนาดเล็กตนหนึ่งสูงประมาณสามสิบเมตร มือถือคทาทำจากกระดูกเดินกระทืบเท้าจนพื้นสั่นสนั่นหวั่นไหวตรงเข้ามาหาพวกเขา

ฝูงผีดิบมีจำนวนมากเกินไป แม้กลุ่มช่วยเหลือจะสู้กลับได้ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าคงเป็นเช่นนี้ต่อไปได้ไม่นาน ต้นไม้ยักษ์และเฉินเฟิ่งพุ่งออกไปข้างหน้า ขณะที่ทั้งสองจัดการกับเหล่าผีดิบที่ขวางทางอยู่ ต้นไม้ยักษ์ก็หันมาตะโกนบอกเหล่าสมาชิกในกลุ่ม

“สลายตัว! หนีออกไปถ้าทำได้ ใครหนีไปไม่ได้ก็พยายามหาทางเอาชีวิตให้รอด! เฉินเฟิ่ง ตามข้ามา ข้าจะบุกเข้าไป อยากรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในนี้กันแน่!”

ใบหน้าของต้นไม้ยักษ์ไร้ซึ่งความหวาดกลัว เขาเคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดบนดวงจันทร์ โหดร้ายป่าเถื่อนจนแม้แต่อสูรจากท้องทะเลแห่งอสูรยังเทียบไม่ติด ความบ้าคลั่ง    เข้าครอบงำ เขาพุ่งตรงเข้าไปในโพรงถ้ำอย่างรวดเร็ว ทิ้งเพียงภาพติดตาชั่วขณะของตนเองไว้เบื้องหลัง

หวังเป่าเล่อและกลุ่มผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นมองต้นไม้ยักษ์ เฉินเฟิ่ง และผู้ฝึกตน   ขั้นกำเนิดแก่นในอีกสองคนฝ่าดงผีดิบเข้าไปในโพรงถ้ำ ก่อนจะกระจายตัวกันหาทางหลบหนีออกไป บางคนก็แทรกตัวหายเข้าไปในรอยแตกรอบผนังถ้ำ

แม้เหล่าศพจะผุดออกมาจากผนังและผืนดินรอบตัว แต่รอยแตกรอบผนังถ้ำ      ก็แคบมาก ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนสามารถแทรกกายเข้าไปหลบซ่อนได้ หากโชคดีพอ      ก็อาจจะสามารถหาทางออกไปข้างนอกได้

หวังเป่าเล่อฟาดอาวุธเวทฟันผีดิบสองตนขาดเป็นสองท่อนในครั้งเดียวอย่าง  เยือกเย็นไร้ปรานี เขาสังเกตเห็นผีดิบรอบๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นพร้อมตระหนักว่าสมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่กระจายตัวกันออกไปหมด ชายหนุ่มกัดฟันแน่นฟาดคมกระบี่ไปข้างหน้า จากนั้นก็หันหลังกลับ แทรกตัวเข้าไปในรอยแยก พุ่งทะยานลึกเข้าไป

เจ้าลายืนตัวแข็งตลอดเวลาที่ผ่านมา มันห้ามใจไม่ไหวกัดกินซากเนื้อเน่าเปื่อยไปสองสามคำ จากนั้นก็บ้วนทิ้งพร้อมทำหน้าบูดบึ้ง เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อแทรกตัวหาย  เข้าไปในรอยแยกตรงผนัง มันก็รีบตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version