บทที่ 341 จั่วอี้เซียน เจ้าอยากตายหรืออย่างไร
เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์เดินเข้ามาในห้องก็ได้ยินเสียงหวังเป่าเล่อร้องโวยวาย สีหน้านางนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ฝ่ายจั่วอี้ฟานนั้นรีบหันหลังไปทักทายหัวหน้าทันที
“กลับมาแล้วหรือขอรับ เสนาธิการหลี่” จั่วอี้เซียนเมื่อได้เห็นหัวหน้าก็ยิ่งลิงโลดใจ ชายหนุ่มสืบคดีอย่างลับๆ อยู่คนเดียวมาตลอด เมื่อเขาไขคดีใหญ่นี้ได้แม้ว่าชื่อเสียงส่วนหนึ่งจะตกเป็นของหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างเสียไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วคนที่ได้หน้าที่สุด ก็คือตัวเขาเอง
จั่วอี้เซียนไม่มีความประสงค์จะเก็บเรื่องคดีนี้ไว้เป็นความลับ ก่อนที่ชายหนุ่ม จะเชิญหวังเป่าเล่อมาสอบปากคำก็ได้ส่งข้อความเสียงไปแจ้งหลี่หว่านเอ๋อร์ เรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้คาดคิดว่านางจะเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง จั่วอี้เซียนเพิ่งจะเริ่มถามคำถามไปไม่กี่ข้อเท่านั้น
นางให้ความสำคัญกับคดีนี้มากนัก ข้าจะต้องได้ปูนบำเหน็จอย่างงามแน่นอนหากไขคดีนี้ได้! ยิ่งจั่วอี้เซียนคิดเรื่องนี้มากเท่าใดเขาก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มคิดว่าการใช้เหตุผลในการวิเคราะห์คดีของเขาในคราวนี้นั้นแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง เขาเริ่มวางแผนในใจว่าจะนำเสนอตนเองต่อหน้าหัวหน้าอย่างไรดี จากนั้นจึงหันกลับมาส่งสายตาเย็นชาไปหาหวังเป่าเล่อ
“หวังเป่าเล่อ ดูเหมือนว่าเราคงต้องใช้กำลังบังคับให้เจ้ายอมพูดสินะ!”
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจ้องจั่วอี้เซียนเขม็งอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง
“ข้าคือหนึ่งในพันธุ์กล้าร้อยต้นของสหพันธรัฐ เป็นเจ้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา เป็นขุนนางระดับสี่ชั้นรอง ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งหมวดนักรบผู้ฝึกตนเมฆาเหินที่ได้รับการตั้งชื่อจากท่านเจ้านครโดยตรง ข้าช่วยชีวิตผู้คนเอาไว้อีกหลายสิบคนในถ้ำโลหิต จั่วอี้เซียน เจ้ากล้าดีอย่างไรจะมาทรมานข้า”
สีหน้าหลี่หว่านเอ๋อร์เคร่งเครียดขึ้นหลังจากที่ได้ยินหวังเป่าเล่อตะโกนโหวกเหวก หญิงสาวเริ่มรู้สึกโมโหครุกรุ่น ด้วยความที่ช่วงนี้นางต้องวุ่นวายกับภารกิจอื่นมากมาย อีกทั้งผลจากการฝึกตนของนางก็เข้าสู่จุดวิกฤต ทำให้หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้ใช้เวลาใส่ใจกรมวินัยอาณานิคมมากมายเท่าใดนัก ความเลินเล่อส่งผลให้เกิดปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้…
หลี่หว่านเอ๋อร์นั้นตั้งแต่ได้รับข้อความเสียงจากจั่วอี้เซียนก็ถึงกับนั่งไม่ติด นางรีบรุดมาที่นี่ในทันที มีโทสะร้อนดั่งไฟอยู่ภายในใจ นางจ้องมองจั่วอี้เซียนด้วยสายตาเย็นเยียบ แม้ว่านางจะยอมรับวิธีการปฏิบัติตนและการทำงานของเขา ทว่า ยิ่งเวลาผ่านไปนางก็ยิ่งรู้สึกรำคาญอีกฝ่ายมากขึ้นทุกที
หวังเป่าเล่อเฝ้าสังเกตหลี่หว่านเอ๋อร์ ในตาเขาเป็นประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง ชายหนุ่มตัดสินใจจะทำคะแนนกับนางจึงตะโกนขึ้นอีกคำรบว่า
“จั่วอี้เซียน อย่ามัวเสียเวลากับข้าเลย ข้าไม่มีทางบอกสิ่งใดกับเจ้าเป็นเด็ดขาด ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรก็ตาม ต่อให้ข้าต้องเสียแขนหรือขา เจ้าก็ไม่มีวันทำให้ข้า ยอมพูดได้เสียหรอก!”
จั่วอี้เซียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ใช่เพียงเพราะเขาไม่ได้ข้อมูลใดๆ จากหวังเป่าเล่อเลยเท่านั้น แต่เพราะหวังเป่าเล่อยังกล้าตะโกนใส่เขาต่อหน้าหัวหน้าอีกด้วย หลี่หว่านเอ๋อร์เองก็ดูไม่มีความสุขและเหมือนว่าจะไม่ชอบใจเขาสักเท่าใดนัก ทั้งหมดนี้ทำให้จั่วอี้เซียนยิ่งโกรธหนัก ชายหนุ่มวางแผนจะแสดงประสิทธิภาพของตนต่อหน้านาง เขาจึงหันกลับไปทุบโต๊ะตรงหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
เสียงดังลั่นสะท้อนไปรอบๆ ห้อง น้ำเสียงของเขาฉาบเคลือบไปด้วยความรุนแรงและโหดร้ายเมื่อเปล่งออกมา
“หวังเป่าเล่อ ข้าไม่ใส่ใจเลยสักนิดว่าเจ้าจะเป็นพันธุ์กล้าหรือขุนนางระดับสี่ชั้นรอง ต่อหน้ากองวินัยอาณานิคมเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น เจ้าต้องตอบคำถามข้า ไม่ว่าจะอยากหรือไม่…ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ…ว่าตั้งแต่ข้า จั่วอี้เซียนคนนี้ มารับตำแหน่งที่กองวินัยอาณานิคมแห่งนี้ ก็ไม่มีใครหน้าไหนที่เก็บความลับจากข้าได้แม้แต่รายเดียว!”
“เจ้าอย่าพยายามบ่ายเบี่ยงเลย ข้าไม่ได้พยายามจะปั่นหัวเจ้า เจ้าไม่ได้อยู่ใน นครดาวอังคารคืนวันที่เกิดเหตุหมอกและลมสีโลหิต ข้ามีหลักฐานมัดตัวเจ้า!”
“ข้ายังรู้อีกด้วยว่าคืนนั้นเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะหาให้พบให้ได้ว่าเจ้าไปพบใครและ ทำสิ่งใดในคืนนั้น!” คลื่นอารมณ์ในทุกถ้อยคำของจั่วอี้เซียนรุนแรงขึ้นทุกขณะ แรงกดดันแผ่ออกมาถึงหวังเป่าเล่อ
“ข้าจะไม่บอกเจ้าเด็ดขาดว่าข้าทำสิ่งใด!” หวังเป่าเล่อได้ยินสิ่งที่จั่วอี้เซียนกล่าวและเห็นความไม่ชอบใจในสีหน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ชายหนุ่มพยายาม ทำตัวลุกลี้ลุกลน ราวกับว่าหัวใจของเขากำลังเต้นโครมคราม ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกและหยุดพูดไปโดยปริยาย
จั่วอี้เซียนเองก็สัมผัสถึงความไม่พอใจของหัวหน้าได้เช่นกัน แต่เขาเข้าใจเหตุผลของความไม่พอใจนั้นผิดถนัด…ชายหนุ่มเข้าใจไปว่าหัวหน้าไม่พอใจที่เขาทำให้ หวังเป่าเล่อเปิดปากพูดไม่ได้สักที จั่วอี้เซียนเริ่มตื่นตระหนก เขารู้ดีว่าการขู่ใช้กำลังเป็นเพียงลมปากเท่านั้น หากเขาไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนและคำอนุญาตอย่างเป็นทางการแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่อาจทรมานใครได้
หวังเป่าเล่อยังคงดื้อด้านและหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด จั่วอี้เซียนกัดฟัน เขารู้ดีว่าทางออกเดียวที่จะทำให้หวังเป่าพูดก็คือ ทำลายความมั่นใจและ จิตวิญญาณของอีกฝ่ายลงเสีย ชายหนุ่มจึงทุบโต๊ะอีกครั้ง
“หวังเป่าเล่อ เจ้าจะดื้อต่อไปก็ย่อมได้ แต่ขอให้รู้เอาไว้ ก่อนที่ข้าจะเข้ามาในห้องนี้ ข้าส่งคนสิบกลุ่มรวมแล้วจำนวนกว่าสามร้อยคนออกไปยังสำนักศึกษาเต๋า หมอกขุนเขา พวกเขาจะไปค้นห้องนอนของเจ้าและสำนักศึกษาทั้งหมด ข้าไม่เชื่อ หรอกว่าเจ้าจะซ่อนเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไว้ได้!”
“ข้ารู้มาอีกว่าเจ้ามีผู้สมรู้ร่วมคิด คู่หูของเจ้าเป็นผู้ที่ช่วยลบบันทึกภาพทั้งหมดใน คืนนั้นออก หวังเป่าเล่อ คู่หูของเจ้ามีความสามารถไม่เบาทีเดียว แต่ไม่ว่าจะเก่งกาจสักเพียงใด ก็ไม่มีทางทำลายหลักฐานทั้งหมดไปได้อย่างสมบูรณ์!”
“เจ้ากับคู่หูจะต้องเกี่ยวข้องกับการปรากฏขึ้นของหมอกและลมสีโลหิต รวมทั้งหมู่บ้านประหลาดเหล่านั้นอย่างแน่นอน!” จั่วอี้เซียนยิ้มเยาะ ชายหนุ่มมองเห็นร่องรอยอารมณ์ที่ผ่านสีหน้าของหวังเป่าเล่อไปแวบหนึ่ง อีกฝ่ายดูกังวล นัยน์ตาของจั่วอี้เซียนลุกวาว ก่อนที่จะหันไปมองหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างประหม่า
อาจดูเหมือนว่าจั่วอี้เซียนกำลังพูดกับหวังเป่าเล่อก็จริง แต่แท้จริงแล้วเขาตั้งใจแสดงให้หลี่หว่านเอ๋อร์ดู ชายหนุ่มต้องการพิสูจน์ว่าเขาทำงานได้ดีเพียงใด ต้องการให้นางเห็นว่าเขาทำงานหนักขนาดไหน
จั่วอี้เซียนลอบมองหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยหางตาก็เห็นสีหน้านางไม่สู้ดีแถมยังหน้า ตึงเกร็งด้วยความโกรธ ดูราวกับว่าโทสะกำลังเอ่อท้นอยู่ในใจนางและปริ่มๆ จะปะทุขึ้นมากระนั้น…
จั่วอี้เซียนขนลุกอยู่ในใจ ชายหนุ่มสงสัยว่าหัวหน้าจะคิดว่าเขาไม่เอาถ่านเพราะแม้จะส่งคนออกไปมากมายกลับคว้าน้ำเหลวเอาเสียได้
จั่วอี้เซียนเริ่มร้อนรนในใจ เขารวบรวมหลักฐานไว้ได้เกือบสมบูรณ์แล้วและจะไม่ปล่อยคดีนี้หลุดมือเด็ดขาด ชายหนุ่มตัดสินใจว่าคงต้องออกแรงเพิ่มอีกหน่อยเพื่อทำให้หวังเป่าเล่อเปิดปากพูดให้จงได้ แต่ทันใดนั้นเองแหวนสื่อสารของเขาก็สั่นขึ้นเสียก่อน
จั่วอี้เซียนเหลือบไปมองแหวนและจู่ๆ ก็ลิงโลดใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง เขาเปิดแหวน ฟังข้อความทันที เสียงที่ดังมานั้นเป็นเสียงของชายชรา
“นายน้อยขอรับ ภารกิจที่ท่านสั่งสำเร็จลุล่วงแล้วขอรับ พวกเราส่งบันทึกภาพที่ถูกลบไปให้ท่านแล้ว”
นัยน์ตาของหลี่หว่านเอ๋อร์เบิกโพลงทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น หวังเป่าเล่อเองก็ตัวแข็งด้วยความตกตะลึงไปเช่นกัน จั่วอี้เซียนเงยหน้าขึ้นมองเพดานและหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ชายหนุ่มขณะนี้นั้นตื่นเต้นยินดีกระทั่งไม่อาจเก็บเอาไว้ในใจได้อีกต่อไป เขากดเปิดบันทึกภาพที่เพิ่งได้รับมาให้ทุกคนในห้องได้ชมในทันที
แหวนสื่อสารของจั่วอี้เซียนฉายภาพลงไปบนจอหนึ่งในห้องนั้น ภาพค่อยๆ ก่อตัวขึ้น สถานที่ในภาพคือ ถ้ำของผู้ฝึกตนนอกรีตที่ตั้งอยู่บริเวณภายนอกนคร ใบหน้าอวบอูมของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นบนจอ…
ชายหนุ่มกำลังจ้องมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
ทุกคนตั้งใจดูฉากนั้นเป็นอย่างยิ่ง พลังปราณของทุกคนเริ่มตื่นขึ้น พวกเขาพุ่งเป้าพลังไปยังหวังเป่าเล่อผู้ซึ่งขณะนั้นรู้สึกงงงวยไปหมด ทุกคนจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตก็ไม่ปาน ความโกรธเกรี้ยวนี้เกิดขึ้นเพราะชายหนุ่มปรากฏตัวในบันทึกภาพนั้นนั่นเอง
“หวังเป่าเล่อ คิดหรือว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ใดในคืนนั้น เจ้าอยู่ในถ้ำของ ผู้ฝึกตนนอกรีตที่อยู่นอกนคร แม้ว่าคู่หูของเจ้าจะลบบันทึกภาพนี้ไปได้ด้วย วิธีการบางอย่าง แต่ข้าก็ทุ่มเททุกอย่างที่มี กระทั่งใช้เส้นสายของครอบครัวเพื่อกู้คืนบันทึกภาพกลับมา เจ้าดูเสียสิ นั่นเจ้าไม่ใช่หรือ”
“หวังเป่าเล่อ เจ้าไปอยู่ในห้องลับที่เจ้าไม่สมควรรู้จัก เจ้าอยู่ที่นั่นตอนที่ หมอกและลมสีโลหิตปรากฏขึ้น เจ้าอยากจะพูดสิ่งใดตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว ข้าแน่ใจมากว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตนนอกรีตและมีส่วนเกี่ยวข้องกับทฤษฎีสมคบคิดที่ทำให้เกิดหมอกและลมสีโลหิต!”
“คู่หูของเจ้า…จะต้องปรากฏตัวขึ้นในบันทึกภาพนี้เช่นกัน นั่นยังไง คู่หูของเจ้า ข้าอยากจะรู้นักว่ามันเป็นใคร…” จั่วอี้เซียนพูดอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหัวเราะอย่าง บ้าคลั่งออกมาอีกครั้ง ใบหน้าที่ตื่นตะลึงของหวังเป่าเล่อแสดงอารมณ์นับไม่ถ้วนออกมาในช่วงเวลาเสี้ยววินาที นัยน์ตาของหลี่หว่านเอ๋อร์ร้อนผ่าว ดูราวกับว่า นางกำลังจะยิงลำแสงออกมาจากดวงตาก็ไม่ปาน…ขณะนั้นเองเป็นเวลาเดียวกับที่ เงาของสตรีรูปร่างยั่วยวนปรากฏขึ้นบนจอข้างกายหวังเป่าเล่อ
แต่ก่อนที่ร่างนั้นจะปรากฏขึ้นมาอย่างเต็มสัดส่วน โทสะในใจหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ถึงจุดสูงสุดและระเบิดออกมา นางไม่ได้ทำสิ่งใดก่อนหน้านี้เพราะต้องการจะรู้ว่า จั่วอี้เซียนรู้มากเพียงใด ตอนนี้นางเห็นแล้วว่าจั่วอี้เซียนยอมทุ่มเทไม่น้อยเพื่อจะกู้เอาบันทึกภาพนี้มาและไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป นางพุ่งตัวออกไปขวางหน้าจั่วอี้เซียน เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นเมื่อนางสะบัดนิ้วเพียงครั้งเดียว ภาพจากแหวนสื่อสารของจั่วอี้เซียนหายวับไปในทันใด เมื่อภาพนั้นกลายเป็นผงไปแล้ว นางจึงหันกลับมาหา จั่วอี้เซียนที่ยืนตกตะลึงอยู่และส่งสายตาเย็นชาน่ากลัวไปทางเขา
“พอแล้ว! ปล่อยตัวหวังเล่อไป คดีนี้จบลงแต่เพียงเท่านี้ อีกอย่างหนึ่ง จั่วอี้เซียน…เจ้าอยากตายนักหรือ”
หลี่หว่านเอ๋อร์ต้องพูดลอดไรฟันออกมาเพราะนางกัดกรามแน่น ทุกๆ คำพูดของนางส่งให้อุณหภูมิของห้องลดต่ำลง ความตึงเครียดในห้องเพิ่มพูนขึ้น เมื่อสิ้นเสียงนาง ทุกๆ คนในห้องเว้นไว้เพียงหวังเป่าเล่อ ก็เริ่มเหงื่อแตกพลั่ก หัวใจเต้นโครมคราม
พวกเขาเหมือนกำลังคิดเชื่อมโยงเงารูปทรวดทรงสวยในบันทึกภาพนั้นกับความโกรธเกรี้ยวที่ระเบิดออกมาของหลี่หว่านเอ๋อร์ และตระหนักได้ว่าความคิดเชื่อมโยงนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังถูกคลื่นยักษ์กวาดและดูดลงไปสู่ห้วงสมุทร สีหน้าของคนทั้งหมดเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาหันไปจ้องมองหวังเป่าเล่อ อย่างหวาดกลัว ราวกับว่ากำลังมองจอมปีศาจก็ไม่ปาน จิตใจของพวกเขาทุกคน พร่าเลือนราวกับมีผืนผ้าสีขาวมาปกคลุมความคิดเอาไว้…