Skip to content

A World Worth Protecting 40

บทที่ 40 ปรับปรุงระบบหัวหน้าศิษย์

เวลาล่วงเลยไปอีกสามวัน

ในช่วงเวลาสามวันนั้น หวังเป่าเล่อง่วนอยู่กับการท่องจำอักขราจารึกด้วยโอสถที่เอาทรายเงินลึกลับไปแลกมาจากตลาดมืด

โอสถคุณภาพสูงช่วยให้หวังเป่าเล่อท่องตัวอักขราจารึกได้ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตัว!

แต่เขารู้สึกใกล้ตายแล้ว…

มาถึงจุดนี้ ขนาดตอนเกาหัวบวมเป่ง หยิบขนมออกมากิน ยังมองเห็นตัวอักขราจารึกปกคลุมทั่วถุงขนมที่หยิบขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ภาพหลอนตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มถึงกับมึนงง

เกิดอะไรขึ้นนะ หวังเป่าเล่อกะพริบตาถี่ๆ พยายามไล่ภาพเลือนรางตรงหน้าออกไป แล้วถุงขนมก็คืนสภาพเดิมอีกครั้ง

หวังเป่าเล่องงงัน เขาหยิบมันฝรั่งแผ่นออกมา แต่พอมองไปก็ต้องตาโต

มีอักขราจารึกขึ้นบนแผ่นมันฝรั่งด้วยได้อย่างไรกัน ข้ามีพลังเหนือธรรมชาติรึ    หวังเป่าเล่อชักกลัว เขาสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะเขาเห็นอักขราจารึกขึ้นกระทั่งบนชิ้นขนม

เขาแตกตื่นหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณมากระดกให้ใจสงบ แต่กระทั่งตัวขวดน้ำก็ยังมีอักขราจารึกนับไม่ถ้วนแหวกว่ายบนผิวขวด

ภาพตรงหน้าทำหวังเป่าเล่อตกใจขวัญหาย เขาลุกพรวดขึ้นยืนแล้วมึนไปหมด   ในสายตาเขา มีตัวอักขราจารึกตั้งแต่บนกำแพงไปจนถึงระเบียง พอมองไปรอบๆ ตัวอักขราจารึกก็อยู่ทั้งบนฟ้า บนพื้น ตามใบหญ้า ต้นไม้ และอากาศ

เมื่อเห็นทั้งหมดนี้ หวังเป่าเล่อพลันเข้าใจแจ่มกระจ่างว่าตนไม่ได้มีพลังพิเศษ     แต่เพราะเขาท่องจำอักขราจารึกและกินโอสถมากเกินไป จนเริ่มเกิดผลข้างเคียง   ด้านลบตามที่วิชาค้ำจุนปราณครึ่งหลังอธิบายเอาไว้ เขากำลังเห็นภาพหลอน

สวรรค์โปรด ตัวอักขระพวกนี้จะทำข้าเป็นบ้า!

หัวเขาหมุนติ้ว หวังเป่าเล่อเพิ่งรู้ตัวว่าตลอดสามวันมานี้ นอกจากออกไปข้างนอกไม่กี่ครั้ง เขาใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดส่วนใหญ่กินโอสถกับท่องจำ เพราะต้องท่องจำ   อักขราจารึกถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตัว เขาจึงพึ่งพลังจากโอสถที่สะสมอยู่เต็มสมอง     เป็นหลัก ตอนนี้ฤทธิ์โอสถเลยเล่นงานจิตใจทำให้เริ่มเห็นภาพหลอน

ในยุคกำเนิดวิญญาณ ศิษย์สาขาอาวุธเวทเสียสติขณะท่องจำอักขราจารึกถือเป็นเรื่องปกติ

อย่างไรการท่องจำปริมาณมหาศาลเช่นนั้นก็โหดร้ายเกินไป ต่อให้จับมารวมกันเป็นคำแล้ว ตัวอักขระที่ใช้กันเป็นประจำก็เพียงไม่กี่พันตัวเท่านั้น

จำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนั้นมากโขประหนึ่งท่องจำคำจากภาษาต่างๆ มากมายรวมกัน หากเป็นเมื่อพันปีก่อน การกระทำแบบนี้คงไม่มีวันเป็นไปได้ แต่ด้วย          ยุคกำเนิดวิญญาณมาถึงและมีการใช้วิชาค้ำจุนปราณทุกหนแห่ง ร่างกายกับ        จิตใจมนุษย์ผ่านการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้จึงเป็นไปได้ขึ้นมา

กระนั้นแล้ว อักขราจารึกและคำแต่ละคำก็ล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ถึงจะต่างกัน ถ้าไม่มองอย่างระวังก็ยากจะแยกให้ออกได้ การท่องจำจึงยิ่งยากหาใดเปรียบ โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าใจความหมายที่ต่างกันออกไปด้วย แต่ละอักขราจารึกมีผลต่างกัน หวังเป่าเล่อจึงรู้สึกจวนเสียสติจากการท่องจำอักขราจารึก

ชายหนุ่มยังไม่ถึงขั้นจับคู่ตัวอักขราจารึกเลยด้วยซ้ำ เพราะขั้นตอนนั้นต้องศึกษาแก่นวิญญาณ หาไม่แล้วจะยิ่งยากไปอีกระดับ

หวังเป่าเล่อไม่กล้ากินโอสถเพิ่มเพราะกลัวภาพหลอน เขากังวลว่าถ้าใช้วิธีเดิมท่องจำต่อ เขาอาจจะเป็นบ้าเอาได้

เขาระลึกว่าตนยังไม่ได้เป็นผู้นำของสหพันธรัฐ ดังนั้นจะต้องรักษาสติของตัวเองเอาไว้ให้มั่น และอีกด้านหนึ่งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าน้ำหนักตัวเองจะเป็นอย่างไร          ถ้าตนเป็นบ้าจนไม่อาจควบคุมได้ หากลงเอยเช่นนั้นเขาคงจะได้ไปเข้าเฝ้า          บรรพบุรุษจ้ำม่ำก่อนวัยอันควรแน่แท้

เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เขาก็เห็นภาพตัวเองนั่งน้ำลายยืด ท่องจำอักขราจารึกอยู่กับบรรพบุรุษจ้ำม่ำทันที

หยุดคิดเสีย! หวังเป่าเล่อขนลุก เขาถอนหายใจอย่างรู้ว่าตนไม่อาจใช้ทางนี้ต่อได้ จึงหยุดสักครู่หนึ่ง แล้วพลิกดูวิชาค้ำจุนปราณครึ่งหลัง

จำอักขราจารึกให้ได้แสนห้าหมื่นตัวเป็นเงื่อนไขพื้นฐานสำหรับโถงอักขราจารึกก็จริง แต่ข้าควรหยุดก่อนแล้วเริ่มศึกษาแก่นวิญญาณ พอลองมาจับคู่กัน ผลน่าจะออกมาดียิ่งขึ้นไม่ใช่รึ หวังเป่าเล่อคิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดี เขาจึงเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับ        แก่นวิญญาณทันที

เคล็ดวิชาแก่นวิญญาณคือกรรมวิธีจารึกตัวอักขระลงบนศิลาวิญญาณ ผู้ฝึกวิชานี้จำเป็นต้องฝึกซ้อมให้ดีจนชำนาญ และต้องจดจำตัวเลขมหาศาลของหลักคำนวณ   แก่นวิญญาณไปพร้อมกันด้วย

หลักคำนวณแก่นวิญญาณเหล่านี้อธิบายวิธีการจับคู่ตัวอักขราจารึกทั้งหลาย   เมื่อฝึกฝนจับคู่ตัวอักขระและเรียนรู้กรรมวิธีจารึกได้ ก็จะหลอมแก่นวิญญาณสำเร็จ  ในที่สุด

อาจฟังดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วเรียนรู้ได้ยากเย็นนัก

ทว่าหวังเป่าเล่อยอมทำทุกอย่างขอเพียงแค่ไม่ต้องท่องจำตัวอักขราจารึกอีกต่อไป   เขาหยิบเอาศิลาวิญญาณออกมาฝึกกรรมวิธีจารึกตามที่ค้นคว้าข้อมูลมาทันที

แล้วหลายวันก็ผ่านไปทั้งอย่างนั้น หวังเป่าเล่อจมจ่อมอยู่กับการเรียนอันแสนทรมาน เขายังคงหาหนทางอื่น แต่ผลลัพธ์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ช่วงที่เขาจวนเจียนจะสิ้นหวังถึงขีดสุด จนอยากจะฉีกวิชาค้ำจุนปราณเป็น       ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็เริ่มมีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน

ข่าวลือนั้นเกี่ยวกับตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ทั้งหลาย ว่ากันว่าสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋ากำลังจะเปลี่ยนแปลงระบบหัวหน้าศิษย์กันเป็นสิ่งต่อไป เนื่องจากกฎระเบียบเดิมให้อำนาจแก่หัวหน้าศิษย์มากเกินไปจนน่ากังวล หัวหน้าศิษย์ทุกคนต่างมีอำนาจจัดการเบ็ดเสร็จ ทำให้แต่ละสาขาปกครองแยกจากกัน จนไม่อาจรวมกันเป็นหนึ่งได้           จึงจำเป็นต้องมีการรื้อระบบใหม่โดยสมบูรณ์

กล่าวโดยง่ายคือ การเปลี่ยนระบบครั้งนี้มุ่งหมายให้หัวหน้าศิษย์แต่ละสาขารวมตัวเข้าหากัน แต่ละคนมีอำนาจลงคะแนนเสียงได้หนึ่งคะแนน เสียงข้างมากจะตัดสินคดีความของฝ่ายวินัยสำนัก

ในบรรดาสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวได้เริ่มใช้กฎระเบียบใหม่แล้ว ส่วนอีกสามแห่ง สำนักศึกษากวางขาวสาขาย่อย สำนักศึกษาเต๋าธาราสวรรค์        และสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ จะเริ่มทดลองกับสาขาเดียวก่อน

เมื่อสำเร็จผล ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ใช้ปฏิบัติจริงกันทั้งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง

ข่าวลือแพร่อย่างรวดเร็ว จุดประเด็นความเห็นจำนวนมาก ถึงแม้จะเป็นเพียง  การปรับปรุงระบบหัวหน้าศิษย์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนเหล่านี้จะส่งผลกระทบ  ต่อคนอีกกลุ่มใหญ่ วินาทีที่อำนาจของหัวหน้าศิษย์เปลี่ยนไป ผลจะส่งถึงฝ่าย        วินัยสำนักและศิษย์ทุกคนทันที

ท่ามกลางการถกเถียงมากมาย หัวหน้าศิษย์แต่ละสาขาต่างอยู่ไม่สุข พวกเขาใช้เครือข่ายตัวเองหาข่าว แม้หวังเป่าเล่อจะเก็บตัวท่องจำอักขราจารึก หลินต้าวปินและคนอื่นก็นึกกังวลแล้วมาหาเขาเพื่อหารือเพิ่มเติม

หวังเป่าเล่อได้ยินสถานการณ์ปัจจุบันก็นิ่งค้างไป เขานวดตรงหว่างคิ้ว ถามเจิ้งเหลียงถึงข่าวลือนี้ เจิ้งเหลียงนั้นอาจมีไหวพริบ แต่เขาไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องนี้มากไป     กว่ากัน

หวังเป่าเล่อกำลังคิดจะให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ขณะที่หัวหน้าศิษย์ทุกสาขาต่างกังวลกันไปคนละประเด็น เจ้าสำนักเองก็ประกาศให้รู้โดยทั่วกันทั้งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ยืนยันว่าจะมีการปรับปรุงระบบหัวหน้าศิษย์จริง!

“ระบบหัวหน้าศิษย์ดั้งเดิมจะถูกยกเลิก และจะเปลี่ยนเป็นระบบการลงคะแนนในชุมนุมหัวหน้าศิษย์ โดยระบบใหม่นี้จะเริ่มที่สาขาอาวุธเวทก่อน!”

เมื่อประกาศแจ้ง ศิษย์จากสาขาอื่นต่างถอนหายใจโล่งอก ส่วนทางด้านศิษย์สาขาอาวุธเวทต่างพากันสั่นสะท้าน ผู้ที่หูตาว่องไวจะรู้ได้ทันทีว่าสาขาอาวุธเวทต้องตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างแน่นอน

หลิวต้าวปินและคนอื่นกังวลเช่นกันครั้นได้ยินเสียงประกาศแจ้ง สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ระบบเช่นนี้ทำให้เขาเสียเปรียบอย่างมาก!

ข่าวถึงหูหวังเป่าเล่อทันที ในเวลาเดียวกันนั้น เจิ้งเหลียงที่ได้ยินคนพูดกันปากต่อปาก ก็ส่งข้อความเสียงมาหา

“ศิษย์น้องเป่าเล่อ เจ้าจะต้องระวังเข้าไว้ ข้าได้ยินว่าเดิมทีระบบนี้ตั้งใจจะใช้กับสาขาหลุมพรางก่อน แต่เพราะหลินเทียนหาว หัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณยื่นขอ แล้วมีรองเจ้าสำนักสนับสนุน แผนจึงเปลี่ยนมาเป็นสาขาอาวุธเวทแทน!”

สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปครั้นได้ฟังเจิ้งเหลียงเล่า ความเปลี่ยนแปลงหนนี้กะทันหันเกินไป ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันคิดหาทางโต้ตอบกลับได้ ก็มีเสียงแปลกหูส่งมาทางแหวนสื่อสารของเขาเสียก่อน!

“หัวหน้าศิษย์ศิลาวิญญาณหวังเป่าเล่อ! ข้าคือหัวหน้าศิษย์ของโถงแก่นวิญญาณ หลินเทียนหาว กรุณาปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าสำนัก ให้มาที่ตำหนักหัวหน้าศิษย์    แก่นวิญญาณพรุ่งนี้เช้า สำหรับการประชุมชุมนุมหัวหน้าศิษย์ครั้งแรก!”

นี่คือ ครั้งแรกที่หลินเทียนหาวพูดกับหวังเป่าเล่อ เสียงเขาสงบนิ่งไร้อารมณ์       แต่มีพลังแฝงอยู่อย่างน่าประหลาด ดั่งว่าได้พุ่งออกมาจากแหวนสื่อสารแล้วสะท้อนก้องไปทั่วทั้งถ้ำที่พักแห่งนั้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version