Skip to content

A World Worth Protecting 42

บทที่ 42 กำจัดพวกมันให้สิ้น!

เมื่อหวังเป่าเล่อเดินจากไป เหล่าศิษย์ได้แต่ยืนมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึง ช่างเป็นวันที่แปลกประหลาดเสียจริง ตอนแรกเฉาคุนประกาศไปทั่วว่าจะทำให้     หวังเป่าเล่อต้องอับอาย เสร็จแล้วก็เข้าไปประชุมหัวหน้าศิษย์กัน ยังไม่ทันได้ประกาศมติจากที่ประชุม พวกเขาก็ได้ร่วมเป็นสักขีพยานยืนดูชายหนุ่มลากเฉาคุนออกไปนอกสำนัก

จากนั้นก็…เตะผ่าหมาก

ตอนนี้ภาพตรงหน้าพวกเขาคือ เฉาคุนที่กำลังหัวเสียนั่งกุมเป้าอย่างน่าเวทนา เหล่าศิษย์รอบๆ เริ่มวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ใครจะไปคาดเดาได้ว่าหวังเป่าเล่อจะทำอะไร สุดจะหยั่งถึงจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ใครเล่าจะไปคิดว่าชายหนุ่มจะไปทำร้ายใครเข้าจริงๆ แล้วคนนั้นดันเป็นถึง       หัวหน้าศิษย์อีกเสียด้วย

ไม่ใช่แค่ศิษย์สาขาอาวุธเวทรอบๆทะเลสาบที่ตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลินเทียนหาวและเฉาคุนเองก็ได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ ซ้ำร้ายมังกรเบื้องล่างของเฉาคุนนั้นโดนทำร้ายจนเจ็บหนักเสียจนชา ใจเขาสั่นไหวด้วยความกลัวเพราะมันด้านชาเสียจนเขาไม่รู้สึกอะไรแล้ว ความโกรธแค้นในกายเขาพุ่งสูงเฉียดฟ้า

“หวังเป่าเล่อ!” เฉาคุนสบถชื่อชายหนุ่มออกมาด้วยความเดือดดาลขณะที่กำลังถูกหามไปโรงยา หลินเทียนหาวยังยืนจดจ้องแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อที่เดินจากออกไป เขามองด้วยสายตาเย็นชาอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาและเดินกลับสำนัก

เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบๆต่างถอนหายใจดังออกมาพร้อมกันเมื่อเห็นสามหัวหน้าศิษย์เดินจากไป

“เจ้าหวังเป่าเล่อมันก้าวร้าวเกินไปแล้ว!”

“ก่อเรื่องเสียขนาดนี้ คราวนี้เจ้านั่นไม่รอดแน่ กล้าดีถึงขนาดทำร้ายหัวหน้าศิษย์…”

ขณะที่ทุกคนกำลังถกกันถึงประเด็นร้อนที่เกิดขึ้น ศิษย์อาวุโสก็ได้แต่ส่ายหน้า พวกเขารู้ดีจากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าหัวหน้าศิษย์ไม่มีทางโดนลงโทษถ้าไม่ทำผิดร้ายแรงจริงๆ หรือกระทำการอันใดที่ถือว่าเป็นการทรยศต่อทางสำนักศึกษา          เต๋าศักดิ์สิทธิ์

นี่คือความเป็นจริง แม้ว่าหลินเทียนหาวจะกล่าวหาว่าความหวังเป่าเล่ออย่างใด หรือแม้นท่านรองสำนักอยากจะให้การสนับสนุนเขาเพียงใด ถ้าเกิดเรื่องแดงขึ้นมา พยายามปิดอย่างไรก็คงไม่มิด

เมื่อทุกคนได้รู้ข่าวเรื่องมติจากที่ประชุมหัวหน้าศิษย์ว่ามีการเห็นชอบให้ปลดศิษย์ฝ่ายวินัยที่มีความสนิทชิดเชื้อกับหวังเป่าเล่อออกจากตำแหน่งและเห็นชอบให้ปล่อยตัวพวกจางหลัน ทั่วทั้งสาขาอาวุธเวทก็ยิ่งตื่นตะลึงพรึงเพริด

หลังจากนั้นไม่นาน จางหลันและกลุ่มของเขาก็ได้รับการปล่อยตัว ราวกับโยนหินลงสายน้ำที่กำลังปั่นป่วนก่อเป็นคลื่นยักษ์มหึมา สิ่งที่พวกจางหลันกระทำไว้นั้น     เป็นเรื่องที่ต่ำช้ามาก การตัดสินว่าพวกเขาไม่มีความผิด อีกทั้งฝ่ายวินัยสำนักยังออกมาแถลงการณ์ว่าพวกเขาไม่มีอำนาจตัดสินการกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เรื่องทั้งสองนี้ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงใจในหมู่ศิษย์

หลังจากที่ข่าวกระจายออกไป หลายคนก็นึกถึงสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดไว้ตอนที่เขาทำร้ายเฉาคุน ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจความหมายของคำพูดพวกนั้น

“สมควรแล้ว! เจ้าเฉาคุนมันทำเกินกว่าควร!”

“แม้แต่หัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย ข่าวลือที่พวกนั้นสมคบคิดกันคงเป็นเรื่องจริงแน่ๆ!”

หลิวต้าวปินและพวกพ้องที่โดนปลดจากตำแหน่งก็เข้ามาร่วมวงด้วย พวกเขาพยายามชี้ประเด็นต่างๆ ทำให้หวังเป่าเล่อโดนตำหนิติเตียนเป็นการลงโทษแล้วก็จบไป

เจ้าอันธพาลพวกนี้มันช่างเกินจะทน! หวังเป่าเล่อกลับมาถึงที่พักด้วยความ      ขุ่นเคืองใจ แม้ว่าเขาจะได้ลงไม้ลงมือจัดการเฉาคุนไป แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ความโกรธเคืองในใจเขาหายสูญ ความโกรธนี้มาจากการถูกสองหัวหน้าศิษย์คุกคามและ     หยามเหยียดเกียรติศักดิ์ศรี ซึ่งสำหรับชายหนุ่มแล้วเป็นเรื่องยากที่จะทำใจเย็นได้

เขาฝืนทนยอมให้วาระแรกผ่านไปด้วยความยากลำบาก แต่สำหรับวาระสองของจางหลันและพวกพ้องนั้นเป็นเรื่องที่เกินจะรับได้ เขาเห็นสิ่งที่พวกมันทำและจับ     พวกนั้นได้คาหนังคาเขา แต่หลินเทียนหาวกับเฉาคุนกลับมาบิดเบือนความจริง เปลี่ยนผิดให้เป็นถูก ปล่อยให้พวกมันเป็นอิสระ

สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ หลายวันต่อมา เขาครุ่นคิดถึงวิธีที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้พร้อมทั้งสั่งให้หลิวต้าวปินไปเยี่ยมครอบครัวของซุนฉีฟางเพื่อถามไถ่ถึงแม่นางผู้รับเคราะห์

เวลาผ่านไปสักพัก หลินเทียนหาวกับเฉาคุนเริ่มสงบใจลง จึงเริ่มเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับประเด็นร้อนนี้ ด้วยอำนาจของทั้งสองรวมกันจึงมีอิทธิพลมากกว่าหวังเป่าเล่อที่  ตัวคนเดียว เพียงไม่นานก็เริ่มมีเสียงเห็นต่างเกิดขึ้นภายในสาขาวิชาอาวุธเวทและ    ในโลกเครือข่ายวิญญาณ

“หวังเป่าเล่อไม่ได้มีอำนาจอีกต่อไปแล้ว เจ้านั่นกระทำความผิด ทำร้ายคนราวกับหมาจนตรอกที่น่าสังเวช!”

“เจ้าหวังเป่าเล่อเป็นถึงหัวหน้าศิษย์แท้ๆ ทำไมมันถึงได้กล้าทำร้ายคนอื่นกัน”

“พวกเราไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ของมันก็เป็นแค่ชื่อ ต่อแต่นี้มันไม่มีอำนาจใดๆ อีกต่อไป!”

เสียงเห็นต่างเหล่านี้กลายเป็นเสียงหมู่มากในเวลาไม่นาน ในขณะเดียวกัน หลิวต้าวปินและเหล่าผู้ที่โดนปลดตำแหน่งกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวรร้ายจากการที่ทางฝ่ายวินัยของโถงแก่นวิญญาณและโถงอักขราจารึกนั้นได้เริ่มตรวจสอบพวกเขาหลังจากถูกปลดจากตำแหน่ง เนื่องจากฝ่ายวินัยโถงศิลาวิญญาณสูญเสียอำนาจเพราะหวังเป่าเล่อ ทำให้พวกที่ไม่ถูกปลดแปรพักตร์เข้าช่วยเหลือการตรวจสอบไปด้วย

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเดือดเป็นไฟ นัยน์ตาของเขาฉายแววความมุ่งมั่นและความบ้าคลั่ง

ระยำเอ๊ย ข้าชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ต่ำช้าเสียจริง จะแก้ปัญหานี้ได้…              คงมีทางเดียวเท่านั้น!

กำจัดเฉาคุน หัวหน้าศิษย์โถงอักขราจารึกทิ้งซะ!

ถ้าข้าขึ้นแทนที่มันได้ ข้าก็จะเป็นทั้งหัวหน้าศิษย์ประจำโถงศิลาวิญญาณและ   โถงอักขราจารึก ข้าก็จะมีสองเสียง กุมอำนาจทั้งหมดในการประชุมหัวหน้าศิษย์ได้!

แม้ว่านี่จะเป็นแผนการที่ดี แต่ก็ไม่สามารถดับไฟโกรธในตัวชายหนุ่มได้แต่อย่างใด   เขาเริ่มขบฟันอีกครั้ง

กำจัดแค่คนเดียวมันไม่สาแก่ใจข้า ต้องกำจัดออกไปให้สิ้นซาก ข้าจะได้ครอง         สามตำแหน่งหัวหน้าศิษย์แห่งสาขาวิชาอาวุธเวท เมื่อมีแค่ข้าเป็นหัวหน้าศิษย์เพียง  คนเดียวของสาขาวิชา คำตัดสินของข้าก็จะถือเป็นที่สิ้นสุดโดยปราศจากการ       โต้แย้งใดๆ!

ถ้าข้าทำสำเร็จ การประชุมหัวหน้าศิษย์ก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป ข้าจะเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดในฝ่ายวินัยอีกด้วย! หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาของเขาโชติช่วงไปด้วยความตั้งมั่น แผนการที่เขาคิดขึ้นนี้จะคลี่คลายปัญหาทุกอย่างจนหมดสิ้น

แม้ว่าจะยากมาก แต่จากการไตร่ตรองมาอย่างยาวนาน แผนการนี้เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะกำจัดภัยอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเขา ลงโทษพวกจางหลัน ช่วยหลิวต้าวปินกับเพื่อนๆ และทำให้เขากลับมากุมอำนาจได้อีกครั้ง

ตามนี้!

หวังเป่าเล่อพร้อมทำทุกหนทาง หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ติดต่อไปยังเซี่ยไห่หยางเพื่อสั่งให้เขาทำทุกวิถีทางเพื่อจัดหาโอสถช่วยจำมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในเวลาเดียวกันเขาก็ออกจากถ้ำที่พักเพื่อไปซื้ออาหารจำนวนมากมาเตรียมไว้สำหรับการเก็บตัวของเขา

ถ้าข้าทำสำเร็จ ข้า หวังเป่าเล่อ จะกุมอำนาจในสาขาอาวุธเวทได้ แต่ถ้าข้าทำ     ไม่สำเร็จ…บ้าจริง ข้าก็ต้องคิดหาวิธีช่วยหลิวต้าวปินกับคนอื่นๆอยู่ดี

หวังเป่าเล่อที่อารมณ์เบิกบานอยู่เสมอก็ได้สัมผัสถึงความหดหู่ใจเป็นครั้งแรก         สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ทน ไม่มีศิษย์คนใดทักทายเขาเลยระหว่างที่เขาเดินไปซื้ออาหาร พวกเขาคงเป็นกังวลว่าจะโดนฝ่ายวินัยตรวจสอบถ้าหากทำตัว    สนิทสนมกับชายหนุ่ม

ถึงกระนั้นก็ยังมีศิษย์บางส่วนที่ยังแสดงความเคารพต่อเขา เขาจำศิษย์พวกนั้นได้ดี หลังจากพยักหน้ารับแล้ว เขาก็ไปซื้ออาหารจำนวนมากและรีบรุดกลับถ้ำที่พัก

แต่จะเดินไปทางไหนก็มาบรรจบพบเจอกับศัตรู ระหว่างทางกลับถ้ำที่พัก        เขาหยุดเดินทันควันเมื่อพบศิษย์เจ็ดถึงแปดคนกำลังหัวเราะพูดคุยกันอยู่เบื้องหน้า     สี่คนในกลุ่มนั้นคือจางหลันและเพื่อนๆของมัน

เมื่อเห็นจางหลันและเพื่อนยิ้มหัวเราะอย่างสบายใจ สีหน้าของชายหนุ่มก็ดู      ตึงเครียดขึ้น หากแต่เขาไม่มีอารมณ์มาต่อกรกับเจ้าพวกนี้จึงเดินต่อเพื่อรีบกลับไปเตรียมเก็บตัว

จางหลันและเพื่อนๆ ต่างกระหยิ่มยิ้มย่องที่ตัวเองรอดมาได้ นอกจากพวกเขาจะพ้นจากข้อกล่าวหาแล้ว ยังได้ขึ้นเป็นศิษย์ฝ่ายวินัยอีกต่างหาก พวกเขาเชื่อกันว่านี่คือโชคร้ายที่กลับกลายเป็นดี ทันทีที่พวกจางหลันหันมาเจอหวังเป่าเล่อ สีหน้าของ    พวกเขาก็เปลี่ยนไป พอคิดได้ว่าชายหนุ่มสูญเสียอำนาจไปแล้ว พวกเขาก็ห้าม     ความเหิมเกริมในใจไว้ไม่ได้ จึงเริ่มเย้าแหย่ชายหนุ่มตรงหน้า

“อ้าวๆ ท่านหัวหน้าศิษย์หวังมิใช่หรือนี่ หน้าตาท่านดูไม่สู้ดีเลยนะ ไปตรวจที่   โรงหมอจะดีกว่าไหม ข้ากลัวท่านจะล้มป่วยจนตายเพราะโรคร้ายน่ะ”

“ใช่ๆ ช่วงนี้ท่านก็ดูเกรี้ยวกราดตลอดเวลาเลย ท่านควรดูแลร่างกายให้ดีนะ   เป็นอะไรขึ้นมา ทั่วทั้งสำนักคงได้เศร้าโศกที่เสียท่านไป”

“แล้วก็แม่นางผู้นั้น ข้าคิดมาสักพักแล้วว่าข้าควรไปพบปะพูดคุยกับครอบครัวของนาง…”

หวังเป่าเล่อมองพวกจางหลันที่กำลังกวนประสาทด้วยสายตาเย็นชา เขาหยุดวางขนมที่ซื้อมาลงบนพื้น

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหยุดนิ่ง จางหลันและพวกพ้องที่กำลังพออกพอใจกับฝีปากของตนก็เหลือบไปเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม พวกเขาหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว           หวังเป่าเล่อไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ปริปาก ออกพุ่งตัวในทันทีจนมาหยุดอยู่ข้างหน้าจางหลัน ชายปากกล้าเบิกตาโพล่งก่อนจะโดนเตะตัดขาจนแยกออกห่าง

จางหลันกรีดร้องเสียงดัง หวังเป่าเล่อเตะผ่าหมากจนเขาตัวลอย เสียงร้องของเขาฟังดูน่าเวทนา

“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”

สีหน้าพวกเพื่อนจางหลันเปลี่ยนทันควัน หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ในขณะที่พวกนั้นยังอ้าปากค้างอยู่ เขาตวัดขาเตะอีกสามครั้งในชั่วพริบตา ส่งพวกนั้นลอยขึ้นฟ้าก่อนจะตกลงมาร้องครวญครางอยู่ที่พื้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง

“จะให้ไล่พวกเจ้าออกก็ดูจะน่าเวทนาเกิน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะเตะสั่งสอนพวกเจ้าทุกครั้งที่เจอหน้า แล้ว…ถ้าพวกเจ้ากล้าดีไปรังแกผู้อื่น ข้าจะกระทืบพวกเจ้าจนร่างแหลก จะกระทืบจนกว่าพวกเจ้าจะสิ้นลม” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาหยิบอาหารที่พื้นก่อนจะเดินจากไป

จางหลันและผองเพื่อนหน้าถอดสี พวกเขาได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูดแม้ว่าพวกเขาจะกำลังร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด พอได้ยินคำว่า ‘ร่างแหลก’ พวกเขายิ่งหน้า  ซีดหนัก เหงื่อแตกพล่านเต็มหน้าผาก แต่คำว่า ‘กระทืบจนสิ้นลม’ นั้นฟังดู       อาฆาตแค้นยิ่ง ความหวาดกลัวเข้าเกาะขั้วหัวใจ

ไม่มีทางที่พวกเขาจะกล้าคิดทำการแก้แค้น ถ้าพวกเขาอยากจะฝึกวิชาที่      สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ต่อไป พวกเขาก็ทำได้แค่ก้มหน้ายอมทน เหล่าศิษย์ฝ่ายวินัยที่ยืนอยู่ข้างพวกเขาได้แต่หัวเราะด้วยความขมขื่น พวกเขาคิดอยู่แล้วว่าพวกจางหลันนั้นควรจะคิดให้ดีก่อนจะพูดอะไรไป

“เจ้านั่นกล้าถึงขนาดทำร้ายท่านเฉาคุน ถึงแม้เขาจะเสียอำนาจไป ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะสามารถไปหยอกล้อได้เช่นนั้น!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version