บทที่ 44 โถงศึกษาเจ้าสำนัก
สิบวันที่แสนทุกข์ระทมผ่านไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ระหว่างสิบวันที่ผ่านมานั้น สาขาวิชาอาวุธเวทก็ยังคงตกอยู่ภายใต้อำนาจของหลินเทียนหาวและเฉาคุน มีหลายคนถูกตรวจสอบเพิ่ม แต่เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องทำการตรวจสอบ อีกทั้งทางสาขาก็เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย จึงต้องใช้เวลานานในการรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิด พวกเขาจึงได้เพียงกักขังศิษย์เหล่านั้นไว้เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม ยังไม่สามารถลงโทษอะไรหนักหนาได้
ทุกคนรู้ดีว่าถ้าเวลาล่วงเลยผ่านไปสักพัก ศิษย์เหล่านั้นจะต้องได้รับโทษร้ายแรงเป็นแน่
ด้านหวังเป่าเล่อ เขาไม่ได้ออกจากถ้ำที่พักเลยตลอดสิบวัน ชายหนุ่มใช้เวลา ส่วนใหญ่อยู่ในมิติมายา มีบ้างที่เขาเอามากินอาหารที่ตระเตรียมไว้ก่อนจะกล้ำกลืนฝืนทนกลับเข้ามิติมายาไป ในใจของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์และความขุ่นเคืองใจ
สวรรค์ทรงโปรด เมื่อใดความทุกข์นี้จะสิ้นสุดเสียที…
เขาเป็นทุกข์ทุกครั้งที่เขาคิดถึงการคิดคำนวณหาอักขราจารึก ทุกข์ทรมานราวกับเสียคนรักไป แต่พอคิดถึงเป้าหมายและหน้าที่ความรับผิดชอบของตน เขาก็กัดฟันสู้ยอมทนรับความทรมานท่ามกลางเสียงร้องลั่นของตัวเอง
ทักษะคำนวณของหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นพรวดพราดหลังจากทนทรมานโดนสายฟ้าฟาด ไม่จบสิ้น แม้ว่าจะมีบ้างที่โดนสายฟ้าลงทัณฑ์จนต้องร้องครวญคราง แต่เวลาที่เขา ใช้ในการคำนวณก็ถือว่าลดลงมาก
สายฟ้าจากหน้ากากนั้นทวีคูณความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดที่เอ่อล้นในกายทำให้ชายหนุ่มเริ่มคลุ้มคลั่ง ศักยภาพที่ซ่อนเร้นเผยออก ภายในจิตใจคิดกลัวว่า ถ้าไม่พยายามอย่างหนัก จะโดนฟ้าฟาดผ่าจนตายเสีย
ตอนนี้เขาสามารถคำนวณหาคำตอบได้ภายในไม่กี่วินาทีถ้ารูปแบบการไล่เลียงอักขระไม่ยากจนเกินไป แต่หน้ากากก็ยังไม่พอใจ คอยลดทอนเวลาที่ให้และเพิ่ม ความยากของโจทย์คำนวณไปเรื่อยๆ
หวังเป่าเล่อได้แต่ร้องสุดเสียงอย่างน่าเวทนา
อีกสิบวันผ่านไป ชายหนุ่มเริ่มสติฟั่นเฟือน ไม่รู้คืนวันผ่านไปเท่าใด ข้อความเสียงจากเจ้าสำนักดังขึ้นเรียกสติให้เขาหยุดฝึกวิชา
เหตุผลประการหนึ่งที่เหล่าหัวหน้าศิษย์ของสาขาต่างๆ ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองได้รับสมญานามว่าเป็นศิษย์แห่งเจ้าสำนักนั้น ก็เพราะว่าจะมีการเรียกรวมตัวพวกเขาจากเจ้าสำนักในบางโอกาส โดยท่านเจ้าสำนักจะเปิดโถงศึกษาส่วนตัวเพื่อถ่ายทอดความรู้ ตอบข้อสงสัยต่างๆ ให้แก่เหล่า หัวหน้าศิษย์ด้วยตนเอง ซึ่งหัวหน้าศิษย์ทุกคนจำเป็นจะต้องเข้าร่วมทุกครั้ง
ทั่วทั้งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนี้มีแค่เจ้าสำนักเพียงเท่านั้นที่จะสามารถกระทำเช่นนี้ได้ เนื่องจากท่านเป็นผู้เดียวที่มีความรู้ครอบคลุมทุกสาขาวิชาใน เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองและผ่านการฝึกฝนมาจนเชี่ยวชาญ ทำให้ท่านสามารถถ่ายทอดวิชาให้หัวหน้าศิษย์ได้ทุกคน อีกทั้งยังสามารถเชิญผู้ฝึกตนต่างๆ จาก เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงมาช่วยฝึกวิชาได้อีกด้วย
ตอนนั้นเอง มีข้อความเสียงเรียกตัวหวังเป่าเล่อให้ไปเข้าร่วมการชุมนุมครั้งแรกนี้ของเจ้าสำนัก
ชายหนุ่มออกจากมิติมายากลับสู่ถ้ำที่พักของเขาอีกครั้ง เขาเดินขาสั่นจากการโดนสายฟ้าฟาดใส่นับไม่ถ้วน ในใจเต็มไปด้วยความท้อแท้ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นัยน์ตาเหม่อลอย แม้ว่าเขาจะออกมาจากมิติมายาแล้ว เขาก็ยังคำพูดพึมพำกับตัวเองอยู่เป็นครั้งคราว
“จะสร้างอักขระว่องไวนั้น จะต้องจับคู่และคิดคำนวณอักขระพื้นฐาน 731 ชนิด จากนั้นก็ทำการตัดถอนอีกเก้าครั้ง…”
“มี 3,815 วิธีในการหลอมอักขระลมปราณ วิธีแรกที่ต้องใช้ในการคำนวณคือ…”
หวังเป่าเล่อที่ให้หัวเอาแต่คิดคำนวณอักขระเดินโซเซออกจากที่พัก เขาเดินล่องลอยไปตามทาง ในหัวก็ฝึกคำนวณไม่หยุดหย่อน ศิษย์ที่เดินผ่านต่างฉงนใจเมื่อได้เห็นสภาพของชายหนุ่ม
“หวังเป่าเล่อ สภาพเช่นนั้น…ไปทำอะไรมา”
“เขาดูเหมือนคนบ้า ดูสิ พึมพำอะไรอยู่คนเดียวก็ไม่รู้”
“ไม่จริงน่า อย่าบอกนะว่าเขารับไม่ได้ที่ต้องสูญเสียอำนาจเลยเสียสติไปหมดแล้ว”
เหล่าศิษย์สาขาอาวุธเวทต่างกระซิบกระซาบถึงสภาพชายตรงหน้า หวังเป่าเล่อที่ในหัวเต็มไปด้วยหลักคำนวณเดินไปจนถึงยอดเขาเจ้าสำนักโดยไม่ทันได้สนใจ เสียงรอบตัว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาที่ยอดเขาเจ้าสำนัก ถ้าเป็นตัวเขาก่อนหน้านี้ คงจะสนใจภาพตรงหน้ามากกว่านี้ แต่ตัวเขาในตอนนี้นั้นสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงกับต้องตั้งสติอย่างมากในการขึ้นยอดเขามาจนถึงตำหนักเจ้าสำนัก
เขามาถึงเป็นคนสุดท้ายเพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการคิดคำนวณ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาสาย แต่เขาก็พบว่าหัวกะทิจากทุกสาขาวิชาได้มานั่งพร้อมเพรียงกันในโถงกว้างรอแล้ว เจิ้งเหลียง เฉาคุน และหลินเทียนหาวก็นั่งรวมอยู่ในนั้นด้วย
ในโถงศึกษาของเจ้าสำนักนั้นห้ามมิให้ผู้ใดส่งเสียงดังรบกวน เจิ้งเหลียงที่นั่งอยู่ก่อนจึงได้แค่พยักหน้าให้ด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่เฉาคุนกำลังหัวเราะเยาะเย้ย ส่วนหลินเทียนหาวนั้นจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเบือนหน้าหนี
หัวหน้าศิษย์คนอื่นๆ รู้จักหวังเป่าเล่อดีจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่สร้างชื่อให้เขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียอำนาจในมือ แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังไม่เลือนรางหายไปไหน
ทว่าครั้นได้มาเห็นสภาพของชายหนุ่มในวันนี้ หัวหน้าศิษย์ก็ต่างรู้สึกผิดหวัง สภาพของชายหนุ่มทำให้ทุกคนเข้าใจเขาผิด คิดไปว่าเขาหมดหวังในชีวิตแล้ว
ด้วนหน้าสุดของโถงมีชายชราคนหนึ่งนั่งปิดตาอยู่บนเก้าอี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของหวังเป่าเล่อ ชายชราลืมตามองก่อนที่จะตกตะลึงกับสภาพน่าเวทนาของชายหนุ่ม
หวังเป่าเล่อเรียกสติกลับมาก่อนจะคำนับทักทายชายชรา เขาเดินไปหาที่นั่ง ในใจรู้ดีว่าชายชราเป็นผู้ใดเพราะใครๆก็รู้กันทั่ว เขาเหนื่อยล้าเสียจนไม่มีแรงที่จะสนใจท่าทีของคนรอบกาย
เมื่อเขานั่งลง เขาก็กลับไปจมอยู่กับการคิดคำนวณอีกครั้ง มันติดจนกลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว หลังจากโดนสายฟ้าเล่นงานอยู่กว่ายี่สิบวัน จิตใจเขาเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก กลัวว่าถ้าคำนวณช้าเกินไปจะโดนสายฟ้าฟาดใส่อีก เขาจะรอดจากสายฟ้าได้ถ้าเขาสามารถคำนวณหาคำตอบได้ในภายในไม่กี่วินาที
ชายชราส่ายหน้าให้กับสภาพของชายหนุ่มก่อนจะเบือนหน้าหนี จากนั้นจึงเริ่มการชุมนุม ท่านเจ้าสำนักอธิบายเกี่ยวกับทุกสาขาวิชาในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาหลุมพราง สาขาวิชาหลอมโอสถ สาขาวิชาวิทยายุทธ์โบราณ สาขาวิชาอาวุธเวท ครอบคลุมไปถึงสาขาวิชาอักษรปราณ และสาขาวิชาปรัชญาเต๋า
“หลายสาขาวิชามีความสัมพันธ์กัน เช่น สาขาวิชาหลุมพรางและอาวุธเวทก็ ต่างศึกษาการหลอมวัตถุเช่นเดียวกัน ในขณะที่สาขาวิชาอักษรปราณก็มีการศึกษาเคล็ดวิชาที่คล้ายคลึงกับศาสตร์อักขราจารึก…
“สาขาวิชาการยุทธ์เองก็ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การฝึกฝนร่างกาย ถ้าพวกเจ้าได้ขึ้นไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เพราะเจ้าจะเข้าใจเอง วิถีเต๋าเป็นเส้นทางที่ยากลำบากนัก พวกเจ้าต้องร่วมมือคอยให้การสนับสนุนกันในการฝึกฝนตน
“เหล่าหัวหน้าศิษย์จากสาขาวิชาปรัชญาเต๋าก็อย่าเพิ่งท้อแท้ใจกัน ทางสหพันธรัฐเองก็เห็นพ้องต้องกันว่าการศึกษาปรัชญาเต๋าเป็นหนทางสำคัญในการมุ่งสู่วิถีเต๋า”
เจ้าสำนักอธิบายสิ่งต่างๆ จนทุกคนลืมเวลา บางทีก็อธิบายอย่างละเอียด บางที ก็กระชับเล่าถึงแก่นสำคัญ แม้ว่าทุกคนที่ฟังจะเป็นถึงหัวหน้าศิษย์มากความสามารถของแต่ละสาขาวิชา แต่การชุมนุมครั้งนี้ก็ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขาอยู่ ไม่น้อย
การจะขึ้นเป็นเจ้าสำนักของเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนั้นต้องมีความสามารถที่ ไม่ธรรมดา บางคนก็เคยได้ยินมาว่าชายชรานั้นเคยมีชื่อเสียงโด่งดังในเกาะ มหาปราชญ์ชั้นสูงมาก่อน
เขากลับมาที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนี้ก็เพราะเขาแก่ตัวลง จึงกลับมาช่วย สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ผู้มีพรสวรรค์ที่แววจะได้ขึ้นไปยัง เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
การชุมนุมกินเวลาหลายชั่วโมง เมื่อตะวันเริ่มตกดิน ชายชราก็ยกชาขึ้นดื่มและ หยุดพูด แม้ว่าเขาจะสอนเหล่าหัวหน้าศิษย์มาทั้งวัน แต่เขาก็ดูไม่อ่อนแรงลงเลย แม้แต่น้อย ชายชรายกยิ้มหลังจากวางถ้วยน้ำชาลง เขามองไปรอบๆ
“วันนี้พอแค่นี้ มีใครมีคำถามไหม”
สิ้นประโยค หัวหน้าศิษย์ทุกคนก็พร้อมใจกันยกมือขึ้น หัวหน้าศิษย์ของสาขา วิชาปรัชญาเต๋าเอ่ยถามคนแรก
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านกล่าวว่าสาขาวิชาปรัชญาเต๋านั้นเป็นหนทางสำคัญในการรู้แจ้งวิถีเต๋า การเรียนรู้ปรัชญานั้นจะนำไปสู่สารัตถะ อะไรคือสารัตถะ ขอท่านโปรดอธิบาย”
คำถามนี้ทำให้หัวหน้าศิษย์ทุกคนตกอยู่ในห้วงความคิด สาขาวิชาปรัชญาเต๋านั้นมีสถานะพิเศษในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ในสาขาวิชานี้ไม่มีการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ พวกเขาใช้เวลาส่วนมากไปกับการไตร่ตรองปริศนาจักรวาลเพื่อให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของปรัชญา การจะขึ้นเป็นหัวหน้าศิษย์สาขาวิชาปรัชญาเต๋าได้จะพิจารณาเรียงความเรื่องปรัชญาที่มีการเขียนส่งทุกเดือน
สาขาวิชาปรัชญาเต๋านี้อาจจะโดนยุบไปแล้วถ้าหากผู้นำสหพันธรัฐคนก่อนไม่ได้มาจากสาขาวิชาปรัชญาเต๋า สร้างชื่อเสียงให้กับสาขาและสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วหล้า
เจ้าสำนักยิ้มหลังจากได้ยินข้อคำถาม เขาลูบเคราก่อนที่จะตอบข้อสงสัย
“จากความรู้และระดับการฝึกตนของข้า วิถีสารัตถะนั้นเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจกระจ่าง ในชิ้นส่วนหนึ่งของกระบี่สำริดบนดวงอาทิตย์นั้นมีการระบุไว้ว่าสารัตถะนั้นอธิบายทุกสิ่งอย่างของจักรวาลนี้ หากมุ่งศึกษาวิถีสารัตถะจะสามารถช่วยเปิดทางไปสู่สวรรค์ได้”
หัวหน้าสาขาวิชาปรัชญาเต๋าพยักหน้ารับและตรึกตรองคำตอบที่ได้รับ หลังจากนั้นหัวหน้าศิษย์จากสาขาวิชาอื่นๆ ก็ซักถามข้อสงสัยหลายข้อ ชายชราตอบคำถามอย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคำตอบนั้นช่วยคลายความสับสนได้เป็นอย่างดี บ้างก็ทำให้ได้ขบคิดพิจารณาอีกครั้ง
หลังจากทุกคนถามคำถามจนหมด หวังเป่าเล่อก็ยกหน้าขึ้นมองสิ่งรอบตัว เขามีคำถามอยู่เต็มหัวเนื่องจากเขาได้พบเจอกับหลายโจทย์ปัญหาที่เขาหาคำตอบไม่ได้ตอนฝึกคิดคำนวณ
“ท่านเจ้าสำนัก ข้ามีคำถามหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องอักขราจารึก
“มีตัวอักขระนับร้อยนับพันที่ใช้ในการหลอมพลังปราณ แต่ละตัวนั้นก็ใช้ใน การหลอมปราณแทบทั้งนั้น ทำไมต้องมีมากมายหลายตัวด้วยหรือ แต่ละตัวนั้นแตกต่างกันอย่างไร”
หลังจากชายหนุ่มถามจบ เฉาคุน หัวหน้าศิษย์โถงอักขราจารึกก็หัวเราะขึ้นมาก่อนที่เจ้าสำนักจะได้ตอบคำถาม เขาลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ชายชรา
“ท่านเจ้าสำนัก นี่ช่างเป็นคำถามที่ง่ายดายเหลือเกิน ไม่ว่าศิษย์คนใดก็ตอบได้ หากเพียงพวกเขาตั้งใจร่ำเรียนวิชาอักขราจารึกไม่กี่บทเรียน ท่านเจ้าสำนัก โปรดอนุญาตให้ข้าตอบข้อสงสัยของศิษย์น้องเป่าเล่อจะได้หรือไม่”
หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าสำนัก เฉาคุนก็หันไปอีกทาง ทำให้ชายชรา ไม่สามารถเห็นใบหน้าเขาได้ชัดเจน เขามองหวังเป่าเล่ออย่างดูหมิ่นจากความ เกลียดชังที่สุมอยู่ในอก