บทที่ 534 ดวงเนตร
ภาพมายานั้นคงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนมลายหายไป พลังของจั่วอี้ฟานค่อยๆ เสถียร และเริ่มอัดแน่นเข้าด้วยกันอย่างมั่นคง ดูเหมือนว่าการบรรลุจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ได้ด้วย เพราะไม่นานหลังจากนั้น ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ปล่อยพลังที่รุนแรงกว่าจั่วอี้ฟานออกมา
ทันทีที่แรงกดดันแผ่ออกจากกายของหญิงสาว เสียงเหมือนอะไรแตกหักก็ดังออกมาจากร่างของนาง แก่นในวงแหวนปราณที่สร้างจากอักษรปราณมากมาย นับไม่ถ้วน กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วบนจุดตันเถียนของเจ้าเยี่ยเหมิง!
แก่นในที่กำลังก่อตัวขึ้นนั้นทำให้พลังปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงทวีความเข้มข้นขึ้น ในที่สุดหญิงสาวก็ลืมตาขึ้น พลังปราณของนางก้าวข้ามขั้นรากฐานตั้งมั่นไปเป็นขั้นกำเนิดแก่นในได้สำเร็จ ขณะเดียวกัน ภาพมายาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังนาง!
ภาพนั้นเป็นภาพของจักรวาลไพศาล ที่มีต้นไม้ยักษ์โบราณตั้งอยู่ตรงกลาง ต้นไม้นั้นสร้างมาจากอักษรปราณล้วน มันคือวิชาสืบทอดวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณที่เจ้าเยี่ยเหมิงได้รับมานั่นเอง!
ในทางตรงข้าม ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อดูเหมือนจะสะบั้นพันธนาการออกได้ด้วยพลังของสหายทั้งสองที่รายล้อมเขาอยู่ ชายหนุ่มก้าวผ่านปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ไปเป็นชั้นกลางในที่สุด แต่การบรรลุปราณชั้นกลางของเขานั้นแตกต่างจากปกติ เพราะชายหนุ่มบรรลุมากกว่าหนึ่งครั้งในคราวเดียว!
ครั้งแรกคือแก่นในอัสนี ทันทีที่แก่นในอัสนีบรรลุขั้น หวังเป่าเล่อก็บรรลุกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นต้นอย่างสมบูรณ์ เขาเพียงแค่ต้องถือสันโดษอีกสักพัก เพื่อตกผลึกและก้าวขึ้นไปยังขั้นที่สอง เพื่อสร้างร่างอสนีอวตาร!
ต่อมาหวังเป่าเล่อก็บรรลุปราณแก่นในแห่งความมืด วิชาแห่งศาสตร์มืดของ หวังเป่าเล่อมีพื้นฐานที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นวิชาที่ได้รับสืบทอดมาในนิมิตมืด ความสามารถในการควบคุมการดูดซับปราณมืด และวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ ทั้งหมดนั้นส่งให้แก่นในแห่งความมืดและแก่นในอัสนีของชายหนุ่มบรรลุขั้น และก้าวขึ้นสู่ปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางได้สำเร็จ!
แก่นสุดท้ายที่บรรลุขั้นปราณคือร่างกายของเขา ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือเหตุผลหลักที่ชายหนุ่มกินโอสถเข้าไป โอสถนั้นไม่เพียงช่วยเสริมสร้างพลังปราณ แต่ยังกระตุ้นร่างกายอีกด้วย แต่ปัจจัยที่แท้จริงที่ทำให้ร่างกายของหวังเป่าเล่อ บรรลุปราณได้ คือวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ!
แม้หวังเป่าเล่อจะยังไม่ทันได้ฝึกวิชานี้ แต่การมีวิชานี้อยู่ในจิตก็ช่วยส่งเสริมร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว การปรับสภาพให้เข้ากับกระบวนเวท เกราะจักรพรรดิทำให้ร่างกายของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น แม้การบรรลุปราณครั้งนี้จะเป็นเพียงการก้าวผ่านจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นไปเป็นชั้นกลาง แต่ความสามารถในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้น อย่างมาก ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น พลังที่ร่างกายชายหนุ่มปล่อยออกมาก็ทำให้ทั้ง จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงตื่นตกใจ
ทรงพลังเหลือเกิน! จั่วอี้ฟานประหลาดใจเป็นอันมาก จนต้องผุดลุกขึ้นยืนในทันทีและถอยหนีไปสองสามก้าว พลังปราณที่หวังเป่าเล่อส่งออกมา ทำให้หน้าผาก เหนือหว่างคิ้วของชายหนุ่มเรืองแสงสีแดง ตราสัญลักษณ์ของนักรบสงครามโลหิตปรากฏขึ้น ราวกับเป็นการป้องกันเจ้าของร่างให้พ้นจากภัยอันตรายใดๆ
เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้ถอยหนีเหมือนจั่วอี้ฟาน แต่ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน นางทำผนึกฝ่ามือเพื่อสร้างวงแหวนปราณมาคุ้มกันตนจากพลังกดดันที่แผ่ซ่าน แม้นางจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่ง แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มบรรลุขั้นปราณอยู่ตรงหน้าเจ้าเยี่ยเหมิงจึงเพิ่งเข้าใจว่าสหายของตนทรงพลังมากกว่าที่ตนเคยคิดไว้มากนัก
และด้วยความที่ตัวนางเองก็เพิ่งบรรลุปราณเช่นกัน เจ้าเยี่ยเหมิงจึงสัมผัส ทุกอย่างได้ด้วยพลังของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ซึ่งแหลมคมกว่าขั้นรากฐานตั้งมั่นมากนัก นางสัมผัสได้ว่าแม้การบรรลุปราณของหวังเป่าเล่อจะดูเหมือนราบรื่น แต่ก็มีกระบวนการที่ไม่ธรรมดาอยู่เบื้องหลัง!
โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนปรากฏขึ้นทั่วร่างของชายหนุ่ม ทั้งจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงปั่นต่างก็รู้สึกได้ว่าปราณโลหิตในกายของหัวงเป่าเล่อปั่นป่วนบ้าคลั่ง ราวกับว่าเพียงแค่ร่างกายของหวังเป่าเล่ออย่างเดียวก็มีอำนาจ สะกดทุกอย่างไว้ให้สยบแทบเท้าได้ เปลวไฟสีดำแผดเผาอยู่ในดวงตาซ้ายของเขา ส่งความเย็นเยือกเข้าปกคลุม สายฟ้าพิโรธก่อตัวขึ้นในดวงตาขวา แผ่กระจายอำนาจทำลายล้างออกไปทั่วบริเวณเช่นกัน พลังทั้งสองนี้เมื่อรวมเข้ากับร่างกายที่แข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อ ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของชายหนุ่มพัฒนาขึ้นอย่าง ก้าวกระโดด!
เมื่อชายหนุ่มลุกขึ้นยืน พลังที่ร่างกายของเขาส่งออกมายังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไร้ขีดจำกัด แม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็ยังไม่มีทางเลือกนอกจากต้อง ล่าถอยในที่สุด วงแหวนปราณที่ป้องกันตัวนางไว้ก่อนหน้านี้แตกสลาย
แม้แต่เจ้าลายังตกใจตัวแข็งทื่อ ก่อนล้มเลิกความคิดที่จะเปลี่ยนตัวผู้เป็นบิดา ไปทันที เพราะเมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ต่อให้มันกลายสภาพไปเป็นงูเหลือมยักษ์ พลังของมันก็ยังอ่อนกว่าบิดามากนัก
ด้วยเหตุนี้เจ้าลาจึงทำได้เพียงถอนหายใจ และยอมรับชะตากรรมของตนเอง ในที่สุด มันรีบทำสีหน้าพึงพอใจ กระดิกหางอย่างกระตือรือร้น และกระโดดดึ๋งๆ ไปทั่วบริเวณในทันที
ทรงพลังเกินไปแล้ว! เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่น กลั้นหายใจ ก่อนหันไปมองจั่วอี้ฟานที่กำลังมองนางอยู่เช่นกัน ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตกใจ
ในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ยืนขึ้นและหลับตาลงอีกครั้ง เขาค่อยๆ สยบพลัง ของตนเองให้นิ่งลง หลายนาทีต่อมา เมื่อพลังของหวังเป่าเล่อสลายไปหมด ชายหนุ่ม ก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างไม่ได้มีสายฟ้าหรือเปลวไฟสีดำอีกต่อไป แต่หลังจากที่เห็นสีหน้าของจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว ชายหนุ่มก็กะพริบตาปริบ ก่อนตัดสินใจกู้สถานการณ์ด้วยการเชิดคางขึ้น ยื่นพุงออกมาข้างหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“เจ้าเยี่ยเหมิง บอกความจริงแก่ข้ามา เจ้าแอบรักข้าใช่หรือไม่”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ จั่วอี้ฟานที่แม้จะยังยืนตัวตรงอกผายไหล่ผึ่ง ก็ยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเอง พลางอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดสหายของเขาคนนี้ จึงมีนิสัยชอบ ถือโอกาสทำตามใจตนเองโดยไม่คิดถึงจิตใจคนอื่น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร…
เจ้าเยี่ยเหมิงที่ตกใจกับพลังของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ ทำสีหน้าบอกบุญไม่รับทันทีที่ได้ยิน
หวังเป่าเล่อหัวเราะหึๆ ก่อนมองหน้าสหายทั้งสองและรีบสลายพลังของตนเองลงทันที เขาตบพุงพลางประกาศอย่างมั่นใจ
“เป็นอย่างไรเล่า รู้แล้วใช่ไหมว่าประธานของสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพคนนี้แข็งแกร่งไร้เทียมทานถึงเพียงใด”
เจ้าเยี่ยเหมิงแค่นเสียงทางจมูก ในขณะที่จั่วอี้ฟานหัวเราะฝืดๆ แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกได้ว่าหวังเป่าเล่อคนนี้คือคนเดิมที่เขารู้จัก ความรู้สึกผิดแผกเหมือนคน แปลกหน้าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้สลายหายไปพร้อมพลังกดดันของหวังเป่าเล่อ และ ถูกแทนที่ด้วยนิสัยไร้ยางอายของเจ้าของพลังแทน หลังจากปรึกษากันสักพัก ทั้งสาม ก็ตัดสินใจเดินทางกลับในที่สุด
“ต่อให้พวกเราทั้งสามบรรลุปราณแล้ว ทางกลับก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย จึงควรระวังตัวกันเอาไว้” หวังเป่าเล่อกล่าวเตือนสหายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ทั้งสามคนหายใจเข้าลึกก่อนระเบิดความเร็วขึ้น ส่วนเจ้าลาก็กลับไปอยู่ในกระเป๋าของหวังเป่าเล่อเรียบร้อยตามเดิม
พวกเขาอยู่ที่ชายแดนของดินแดนแห่งการสืบทอดอยู่แล้ว จึงมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณรอยต่อที่นำไปสู่ทะเลเพลิงในทันที ทั้งสามพุ่งข้ามเส้นแบ่งเขตไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทันทีที่ก้าวผ่านเส้นนั้นมา ไอร้อนระอุก็พุ่งเข้าปะทะร่าง น้ำในกายที่เริ่มระเหยแห้ง ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างดินแดนแห่งการสืบทอดและโลกภายนอกได้ในทันที
แม้กระทั่งท้องฟ้าก็ไม่เหมือนกัน ท้องฟ้าของดินแดนแห่งการสืบทอดนั้นเป็นสีดำสนิท มีเพียงรอยแตกสามรอยเท่านั้นที่ทำให้แสงสว่างส่องเข้ามาภายในได้ ฉากสีดำจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมดินแดนแห่งนั้นเป็นครั้งคราว ทำให้ทั่วบริเวณตกอยู่ใน ความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ท้องฟ้าบริเวณที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นสีแดงเข้ม ด้วยพลังปราณในตอนนี้ หวังเป่าเล่อจึงสามารถมองเห็นเปลวไฟประลัยกัลป์ที่กำลังแผดเผาอยู่เบื้องหลังท้องฟ้าสีแดงได้ มันดูราวกับเป็นมวลของของเหลวและแก๊สในเวลาเดียวกันจึงทำให้ยากที่จะอธิบาย
ดูเหมือนว่าเราจะเข้ามาในส่วนลึกของตัวกระบี่เสียแล้ว… หวังเป่าเล่อระวังตนถึงขีดสุดขณะมองไปรอบกาย ชายหนุ่มร้องเรียกแม่นางน้อยไปด้วยในใจ เขาต้องการทราบว่าตนเองต้องมุ่งหน้าไปทางทิศใด เพื่อที่จะกลับไปยังบริเวณด้ามจับดังเดิม
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเรียกแม่นางน้อยอยู่นั้น ทั้งสามก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง จึงหันกลับไปมองทีละคน พวกเขาเห็นฉากสีดำกำลังเข้าปกคลุมดินแดนที่พวกเขาเพิ่งจากมา เมื่อมองจากภายนอกจึงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน พวกเขารู้แล้วว่าฉากสีดำไม่ได้กระจายตัวออกปกคลุมท้องฟ้า หากแต่ค่อยๆ เคลื่อนตัวจากฟากหนึ่งของดินแดน ด้วยรูปทรงคล้ายจันทร์เสี้ยว
ก่อนไปบรรจบยังฝั่งตรงข้าม ปิดตายดินแดนแห่งการสืบทอดจนมืดมิด ฉากสีดำนั้น ดูเหมือนครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น!
ภาพนี้ทั้งน่าตกใจและดูคุ้นเคยไปในเวลาเดียวกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเป็นคนแรก ที่มีปฏิกิริยา นางรีบพูดในทันที
“พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าดินแดนแห่งการสืบทอดนี้เหมือน… ดวงตา
“บริเวณตรงกลางที่เป็นสีดำคือนัยน์ตาดำ บริเวณสีขาวที่รายรอบคือตาขาว ส่วนฉากสีดำที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว ก็เหมือนเปลือกตาที่เปิดปิดเวลากะพริบตาไม่มีผิด!”