บทที่ 54 หัวหน้าศิษย์สามโถง!
หลังจากเซี่ยไห่หยางกลับไป หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นจนลืมความเหน็ดเหนื่อยที่มี เขาหยิบหมวกนักรบสีแดงชาดขึ้นมาดูในทันที เมื่อเขาเห็นเครื่องหมายที่จำได้อย่างคลับคล้ายคลับคลา เขาก็ตาเบิกโต
สามเครื่องหมายยุทธภัณฑ์งั้นหรือ หวังเป่าเล่อตื่นใจ รีบเปิดตำราวิชาค้ำจุนปราณ เล่มสอง และพลิกไปยังหน้าที่อธิบายเรื่องอาวุธเวทอย่างรวดเร็ว หลังจากเทียบเครื่องหมายดูแล้ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
สมบัติเวทนี่!
ตำราวิชาค้ำจุนปราณเล่มสองอธิบายไว้ว่า เครื่องหมายดังกล่าวคือเครื่องหมายยุทธภัณฑ์ วัตถุเวทระดับหนึ่งและสองจะไม่มีเครื่องหมายนี้ มีเพียงวัตถุเวทระดับสามที่กลายเป็นสมบัติเวทเท่านั้นที่จะมีเครื่องหมายนี้ตีตราไว้
พอรู้ว่าเขาถือสมบัติเวทไว้ในมือ หวังเป่าเล่อก็มั่นใจมากขึ้นว่าจะช่วยลดน้ำหนักได้จริง เขาอ่านคำอธิบายการใช้งานก่อนจะสวมหมวกที่หัว
สมบัติเวทชิ้นนี้น่าจะช่วยได้…หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา เขาทุ่มไปมากเพื่อยืมหมวกนักรบมา อีกทั้งหมวกใบนี้ยังเป็นความหวังสุดท้ายของเขาแล้ว ชายหนุ่มใจ เต้นระรัว ในหัวเต็มไปด้วยความกังวล
เขาสูดหายใจลึก กัดฟันแน่น ปล่อยพลังวิญญาณไหลเวียนทั่วกายจนไหลซึมเข้าไปยังหมวกบนหัว ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกราวกับหัวได้ระเบิดออก ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว ได้ยินเสียงก้องข้างหู แต่ก็จับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไร
หวังเป่าเล่อทำตามขั้นต่อไปตามคำอธิบายการใช้งาน นั่นคือป้อนคำสั่งเพื่อ หลอกสมองในตอนนี้
“ข้าไม่ได้กินอะไรมาสามเดือนแล้ว!” หวังเป่าเล่อป้อนคำสั่งเพื่อลวงสมองตนเองอย่างรวดเร็ว เมื่อสิ้นคำสั่ง ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนหัวเขาได้ระเบิดออกอีกครั้ง ตาเขาเบิกโพลง ร่างกายชักกระตุก หายใจถี่รัว
“หิว ข้าหิวใจจะขาด หิวจนจะตายอยู่แล้ว!”
แม้ว่าท้องของเขาจะไม่ได้หิว แต่ความหิวก็เข้าถาโถมจิตสำนึกราวกับคลื่นยักษ์ รู้สึกได้ถึงร่างกายที่ชักกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
นัยน์ตาฉายสีเขียวในทันที เขากระโดดขึ้นยืน กรีดร้องอย่างอ่อนกำลัง
“ทนไม่ไหวแล้ว ข้าต้องกินอะไรสักอย่าง!”
ความหิวเข้าครอบงำจนชายหนุ่มเสียสติ หวังเป่าเล่อหยิบขนมจากกำไลคลังเวทออกมากินมูมมาม เมื่อขนมหมด เขาก็ยังรู้สึกหิวเกินจะต้านอยู่เหมือนเดิม จึงหยิบน้ำขึ้นดื่มพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง
แม้ว่าจะทั้งกินทั้งดื่ม ความหิวก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เขากลับหิวมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ได้ ข้าต้องอดทน!
หวังเป่าเล่อกรีดร้องจนเสียงอ่อน หิวเสียจนเอามือขูดผนังถ้ำ เขายังพอควบคุมตนเองได้ด้วยพลังใจมากล้นที่มี ในขณะที่ร่างกายสั่นกระตุกอยู่นั้น ไขมันวิญญาณในร่างก็เริ่มสลายตัวออกอย่างรวดเร็วเนื่องจากสมองของเขาตัดสินว่าชายหนุ่มไม่ได้กินอะไรมาหลายอาทิตย์แล้ว
ผ่านไปห้านาที ความหิวก็ค่อยๆ ลดน้อยลง ชายหนุ่มล้มลงไปกองกับพื้น แขนขาอ่อนแรง ภาพเบื้องหน้ามืดดับลงขณะที่หอบหายใจ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะฟื้นตัวกลับคืน เขาดันตัวขึ้นด้วยความยากลำบาก พอได้เห็นหน้าท้องที่เล็กลงของตน หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นจนหัวเราะออกมาเสียงดัง
สำเร็จ! ใช้ได้ผลจริงๆ ด้วย!
เอาอีกรอบ ครั้งนี้ ข้าไม่ได้กินอะไรมาสามปีแล้ว!
หวังเป่าเล่อพร้อมทุ่มสุดตัว ความตั้งใจในการลดน้ำหนักของเขานั้นกล้าแกร่งจนแผ่เป็นรังสีออกจากตัว เขากัดฟันแน่นระหว่างป้อนคำสั่งใหม่ ทันใดนั้น… ภาพเบื้องหน้าก็ดับมืด ความหิวเกินกว่าจะบรรยายได้เข้าถาโถมเด็กหนุ่มจนเขา กรีดร้องออกมาแล้วหมดสติไป
แม้จะสิ้นสติไปแล้ว ร่างกายเขาก็ยังคงกระตุกอยู่ ที่ปากมีน้ำลายฟูฟ่อง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นน่าตื่นตาเป็นอย่างมาก ร่างกลมใหญ่ของเขาเริ่มมีขนาดเล็กลงจากคำสั่งที่เขาป้อนเข้าไปลวงสมองให้คิดว่าเขาหิวจนแทบจะสิ้นใจแล้ว ดังนั้นสมองของเขาจึงทำงานหนักเสียจนระเบิด
สมองเข้าความคุมระบบเผาผลาญอาหาร สั่งการให้ทำงานเต็มขั้น เริ่มสลายไขมันวิญญาณทั่วร่างอย่างต่อเนื่อง เพื่อเติมเต็มพลังงานที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการ ดำรงชีพ
หวังเป่าเล่อสลบเหมือดไปทั้งคืน
วันต่อมา หวังเป่าเล่อค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขามองไปยังหน้าท้องที่ผอมลงอย่างอ่อนแรง รู้สึกว่าระดับการฝึกตนของเขาได้ก้าวข้ามขั้นผนึกกายาไปสู่ขั้นบำรุงชีพจรแล้ว แต่ก็ไม่ได้เบิกบานใจเหมือนดังที่ตนคาดไว้แต่อย่างใด ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าได้ไปทนทุกข์ทรมานในนรกมาก็ไม่ปาน
ร่างกายปวดระบบทั่วทุกที่ สมองของเขาปวดร้าวจากการทำงานอย่างหนัก สายตาฝ้าฟางจนมองเห็นภาพทับซ้อน ไร้แรงกายแม้แต่จะพยุงตัวขึ้นยืน
การลดน้ำหนักแบบนี้…ช่างน่ากลัวยิ่งนัก! หวังเป่าเล่อหน้าซีด เขานอนอยู่กับพื้นนานถึงสองชั่วโมงกว่าจะรู้สึกถึงแรงกายที่ฟื้นคืนกลับมา ชายหนุ่มพยายามดันตัวขึ้นนั่งพิงกำแพง ก้มมองหน้าท้องเล็กและเปิดภาพตอนที่เขาหล่อเหลาดูอีกครั้งจนรู้สึก ดีขึ้นมา
ถ้าข้าผอมลงกว่านี้อีก…ข้าก็ไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนักอีกต่อไป สมบัติเวทนี่… พาชีวิตข้าไปเสี่ยงตายเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อยังคงตัวสั่นเทิ้มด้วยความตื่นตระหนก เขารีบถอดหมวกนักรบออกอย่างรวดเร็วและติดต่อไปหาเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่ม คืนหมวกให้เซี่ยไห่หยางก่อนจะเก็บตัวฝึกตนอยู่ในถ้ำที่พักเป็นเวลาสามวันจนร่างกายเขาฟื้นสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง
เห็นภาพตนเองสะท้อนในกระจก หวังเป่าเล่อที่แข็งแกร่งขึ้นก็ลืมช่วงเวลาที่ ทุกข์ทรมานกับการลดน้ำหนักไปหมดสิ้น เขากลับมากระฉับกระเฉงอีกครั้ง
ลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยากหนักหนาอะไร ง่ายเกินไปสำหรับข้าเสียด้วยซ้ำ! ชายหนุ่มหัวเราะลั่น พลางตั้งท่าต่างๆ ราวกับกำลังถ่ายรูปอยู่ เห็นความหล่อเหลา ของตนเองสะท้อนในกระจก เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ หลังจากหยิบขนมออกมากินสองสามถุง หวังเป่าเล่อก็เดินออกจากถ้ำที่พักไปด้วยความอิ่มเอมใจ
ได้เวลาก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าศิษย์ผู้ไร้เทียมทานที่สุดแห่งสาขาอาวุธเวทแล้ว!
หวังเป่าเล่อวิ่งไปยังโถงแก่นวิญญาณด้วยปณิธานในใจอันกล้าแกร่ง
เมื่อศิษย์น้อยใหญ่เห็นหวังเป่าเล่อเขาไปในโถงแก่นวิญญาณและหยุดอยู่หน้า ผนังฟ้าเพื่อเตรียมเข้ารับการสอบ ทั่วทั้งสาขาอาวุธเวทก็เป็นอันพรั่นพรึง
ข่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว การสอบนั้นไม่ได้กินเวลานานเหมือนครั้งก่อน ครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงสามนาทีด้วยซ้ำ เหล่าสานุศิษย์ยังไม่ทันจะมาถึง ฆ้องหัวหน้าศิษย์ ก็ดังก้องไปทั่วสาขาอาวุธเวท
ได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น เหล่าศิษย์และคณาจารย์รวมไปถึงหัวหน้าสาขาต่างหยุดกิจกรรมต่างๆ ที่ตนทำอยู่และหันมองไปทางโถงแก่นวิญญาณ เมื่อพวกเขารู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นผู้เข้ารับการทดสอบ ความคิดต่างๆ ก็แล่นเข้าหัวอย่างรวดเร็ว
“สวรรค์ สุดยอดหัวหน้าศิษย์…คนแรกในประวัติศาสตร์สาขาอาวุธเวท!”
“หวังเป่าเล่อ…เก่งกาจราวกับเป็นเทพ!”
“นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์…หัวหน้าศิษย์แห่งโถงศิลาวิญญาณ อักขราจารึก และแก่นวิญญาณ!”
หลังจากตกตะลึงจนเงียบไปชั่วครู่ ทั่วทั้งสาขาอาวุธเวทก็ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน ในขณะเดียวกัน เสียงฆ้องกึกก้องเขย่าฟ้าดินก็ดังขึ้นบนยอดเขาของสาขาวิชาอื่นๆ ยอดเขาทั่วเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนั้นมีเสียงฆ้องดังก้องขึ้นพร้อมกัน
เสียงฆ้องเหล่านี้จะดังขึ้นเมื่อมีผู้ได้ครอบครองตำแหน่งสุดยอดหัวหน้าศิษย์ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ กฎนี้ได้ตั้งขึ้นตั้งแต่ก่อตั้งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่น้อยครั้งนักที่จะได้ยินเสียงนี้ ตั้งแต่เข้ายุคกำเนิดวิญญาณมา เสียงนี้เพิ่งจะดังขึ้นเป็นครั้งแรก!
“เกิดอะไรขึ้น!”
“ทำไมฆ้องทุกสาขาถึงดังขึ้นพร้อมกัน!”
“สวรรค์ ดูนั่น! บนท้องฟ้ามีสายรุ้งด้วย!”
หลังจากทุกสาขาตกอยู่ในความโกลาหล สานุศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เงยหน้าขึ้นมองเส้นสายรุ้งแสนงดงามที่วาดผ่านฟากฟ้า
ศิษย์สาขาอื่นๆ ค้นพบต้นเหตุความโกลาหลครั้งนี้จากเครือข่ายวิญญาณ เมื่อรู้ว่าหวังเป่าเล่อได้ขึ้นเป็นหัวหน้าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของสาขาอาวุธเวท ทุกคนก็ได้แต่ นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก
แม้แต่เจ้าสำนักเองก็ทอดสายตามองอยู่เนิ่นนาน
วันนี้จะเป็นวันที่ทุกคนในสาขาอาวุธเวทจะต้องจดจำไปชั่วชีวิต เหล่าศิษย์ ต่างไหวหวั่นเมื่อได้เห็นผู้ครองตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ทั้งสามโถงได้สำเร็จ อำนาจในมือหวังเป่าเล่อตอนนี้นั้นมีมากกว่าอาจารย์สาขาอาวุธเวทเสียอีก เกือบเทียบเคียงกับอำนาจของหัวหน้าสาขาเลยเสียด้วยซ้ำ
สำหรับสาขาอาวุธเวท อาจรวมไปถึงสาขาอื่นๆ หวังเป่าเล่อถือว่าเป็น…ผู้มีอำนาจมากทีเดียว!
เมื่อออกมาจากโถงแก่นวิญญาณ หวังเป่าเล่อมองศิษย์ที่อยู่รอบๆ ในฝูงชนนั้นมีทั้งศิษย์ทั่วไป และฝ่ายวินัยจากทั้งสามโถง พวกเขาต่างมองชายหนุ่มด้วยความเคารพยกย่อง
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่มีทางที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ หวังเป่าเล่อได้สร้างปาฏิหาริย์ให้บังเกิดขึ้นในสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!
หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นหลิวต้าวปินและพวกพ้องท่ามกลางฝูงชน เขาเงยหน้ามองผืนฟ้าและเมฆขาว จากนั้นจึงเลื่อนสายตาลงมาพร้อมกับยิ้มขึ้นอย่างโล่งใจ
“หลิวต้าวปิน ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นศิษย์ฝ่ายวินัยดังเดิม!” เสียงคำสั่งคืนตำแหน่งให้หลิวต้าวปินและพวกพ้องคนอื่นๆ ดังก้องไปทั่ว
หลังจากแต่งตั้งคนสนิทคืนตำแหน่งแล้ว ก็ไม่ต้องทำการเปล่าประกาศเน้นย้ำอีกแต่อย่างใด ด้วยอำนาจจากตำแหน่งของชายหนุ่มตอนนี้ เขาสามารถมั่นใจได้ว่าคำสั่งของเขาจะต้องได้รับการบังคับใช้อย่างจริงจังแน่นอน ชะตากรรมของศิษย์ทั้งสาขาอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
จากนั้น หวังเป่าเล่อก็ออกคำสั่งสุดท้าย
“ให้ไล่จางหลันและพรรคพวกออก ทุกสิ่งอย่างที่ได้ร่ำเรียนไปจะต้องเรียกคืน ให้หมด!”
เพียงแค่ประโยคสั้นๆ แต่ผู้ฟังกลับได้แต่สูดหายใจลึก ในใจสั่นกลัว การบอกว่า ‘ทุกสิ่งอย่างที่ได้ร่ำเรียนไปจะต้องเรียกคืนให้หมด’ นั้นร้ายแรงมาก การกระทำเช่นนั้นเท่ากับ…ตัดพวกนั้นออกจากการฝึกตน
หวังเป่าเล่อนั้นมีปรัชญาอีกหนึ่งอย่างที่ได้เรียนรู้จากอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูง นั่นคือ…ถอนรากถอนโคน หากมีศัตรูที่เขาไม่สามารถกลับใจได้ หวังเป่าเล่อก็ตั้งใจจะกำจัดศัตรูเหล่านั้นทิ้งโดยไม่หยิบยื่นโอกาสใดๆ ให้
หวังเป่าเล่อใช้มาตรการนี้จัดการกับเจียงหลิน เฉาคุน และพวกจางหลัน
เมื่อบอกคำสั่งออกไป ร่างของหวังเป่าเล่อก็ดูมีรัศมีเปล่งปลั่งออกมา พวกหลิวต้าวปินก้าวออกไปยืนเคียงข้างชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อประสานมือคำนับและโค้งให้ฝูงชนก่อนจะหายใจลึก จากนั้นจึงเดินออกไปด้วยความภาคภูมิใจ
ต่อไปนี้จะไม่มีใครมารังแกข้าได้อีก
เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่พัก หวังเป่าเล่อก็หัวเราะลั่น หยิบขนมมากินเสียงดังอย่างมีความสุข
ในขณะเดียวกัน หลินเทียนหาว อดีตหัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณก็มองไปทางโถงศึกษาแก่นวิญญาณเมื่อได้ยินเสียงฆ้องประกาศตำแหน่งหัวหน้าศิษย์สาขาอาวุธเวท เขาดูมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ฉุนเฉียวทำลายข้าวของเหมือนครั้งก่อน ไม่ได้สิ้นหวังเหมือนดังเช่นเฉาคุน
แต่พอได้ยินเสียงตราหัวหน้าศิษย์แตกออก เขาก็ทนเก็บความเกลียดชังที่ฝังลึกและนิสัยดิบเถื่อนของเขาไม่ได้อีกต่อไป แม้เจียงหลินและเฉาคุนจะเตือนมาก่อนแล้ว แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด เลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่าน
สักพักใหญ่ เขาก็ออกจากตำหนักหัวหน้าศิษย์กลับถ้ำที่พักไปด้วยสีหน้าไร้ ซึ่งอารมณ์ เขายกแหวนสื่อสารขึ้นมา หายใจลึก และออกคำสั่ง
“เตรียมการได้ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าหวังเป่าเล่ออีกต่อไป”