Skip to content

A World Worth Protecting 57

บทที่ 57 ชายผู้มาเหนือ

ตู้หมินจ้องเขม็งขณะที่หน้าอกนั้นสั่นเทาอย่างฉุนเฉียว แต่มิได้ตอบโต้เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพลิกลิ้นเก่งนัก หากตอกกลับไป เขาคงขอโทษและยอมรับผิดว่าตนนั้นยังเด็ก

หวังเป่าเล่อมองอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวถูกกำราบลงด้วยประโยคง่ายๆ ของตน

“ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เต้าปินได้สูงขึ้น แล้วดูกระต่ายน้อยสิ ตอนนี้โตเป็นกระต่ายสาวแล้ว! ส่วนจื่อเหิงก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก!”

เฉินจื่อเหิงมองตาแข็ง ต่างจากกระต่ายน้อยซึ่งหน้าแดง ส่วนหลิวเต้าปินหัวเราะฝืดๆ หวังเป่าเล่อถอนหายใจอีกครั้งพลางมองดูท่าทางแปลกพิกลของผู้คนรอบข้าง

“ตัวข้าเอง…ก็อายุมากขึ้น ได้เป็นถึงหัวหน้าศิษย์แห่งโถงศิลาวิญญาณ             โถงอักขราจารึก และโถงแก่นวิญญาณของสาขาอาวุธเวท กล่าวสั้นๆ คือหัวหน้าศิษย์แห่งโถงทั้งสาม ข้ายังเป็นที่รู้จักในฐานะหัวหน้าศิษย์คนแรกที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยเป็นมาก่อน บ้างก็เรียกขานกันว่า หัวหน้าศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ของสาขาอาวุธเวท”

ท่าทางของหวังเป่าเล่อเอ่อล้นไปด้วยอารมณ์ เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของตน เขาเสยผมขึ้นขณะกล่าวย้ำฐานะตำแหน่งของตัวเองอย่างไม่รู้สึกตัวว่าน่ารำคาญ

เมื่อได้ยินคำพูดโอ้อวดถึงความสำเร็จของหนุ่มคนนี้ ผู้คนโดยรอบต่างไม่รู้ว่า    ควรหัวเราะ หรือร้องไห้ดี

ไม่ต่างจากหลิวเต้าปิน รวมทั้งศิษย์ฝ่ายวินัยคนอื่นๆ แต่กับเฉินจื่อเหิงและตู้หมินกลับหงุดหงิดและรังเกียจนัก พวกเขาสบตามองกัน พลางคิดว่าอภิสิทธิ์ของหวังเป่าเล่อในฐานะหัวหน้าศิษย์นั้นใช้ได้เฉพาะช่วงเวลาที่สำนักศึกษาเปิด ทั้งคู่กำลังวางแผนจะรวมตัวกันสั่งสอนบทเรียนแก่คนผู้นี้นอกโรงเรียนสักทีดีหรือไม่

สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดไปเมื่อนึกถึงความสามารถในการต่อสู้ของอีกฝ่าย

หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ หลังจากสังเกตเห็นทุกคนเงียบไป ก่อนหันไปหาหลิวเต้าปิน

จังหวะนั้น ชายหนุ่มรีบปรบมือทันทีเมื่อรู้ตัวว่าโดนมองอยู่

“ท่านหัวหน้าศิษย์พูดถูก! สิ่งที่ท่านพูดช่างจับใจยิ่ง! เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก…เพียงหนึ่งปี พวกเราต่างเปลี่ยนแปลงไป”

ด้วยคำพูดของหลิวเต้าปินนั้น ทำให้ตู้หมิน เฉินจื่อเหิง และศิษย์จากสาขาอื่น   ต่างรู้สึกคลื่นไส้ไปหมด หากแต่หวังเป่าเล่อกลับมีความสุขนัก ขณะที่กำลังจะ        พร่ำเพ้อต่อ กระต่ายน้อยหน้าแดงซึ่งยืนอยู่ตรงมุมก็กล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบา          “ท่านพี่เป่าเล่อพูดถูกต้องเลยเจ้าค่ะ”

ตู้หมินรีบคว้าตัวสหายรักมาเพื่อปรับทัศนคติใหม่หลังได้ยินสิ่งที่นางเอ่ย         ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกยิ้มแย้มเบิกบาน

“เสี่ยวหยามาเล่นแถวบ้านข้าบ้างก็ได้นะ! ฝืมือทำอาหารของท่านแม่นั้นเยี่ยมยอดมากเลยล่ะ”

โจวเสี่ยวหยาเขินอาย ดวงตาสุกสกาวเป็นประกาย ขณะที่นางกำลังจะตอบกลับ ตู้หมินก็จับตัวเธอลากออกไปจากตู้โดยสาร ถึงอย่างนั้นกระต่ายน้อยยังคงวิ่งกลับมายิ้มให้หวังเป่าเล่ออย่างขวยเขิน ก่อนกะพริบตาและพยักหน้าให้

ชายหนุ่มสุขใจยิ่งขึ้น รู้สึกว่าเสน่ห์ของตนนั้นเหลือร้ายนัก จากนั้นจึง        กระแอมเสียงเพื่อเตรียมจะพูด

แต่ตอนนั้นเอง ได้มีคนขัดจังหวะขึ้น “ด้านบนนี่ต้องเป็นป่าฝนบ่อเมฆแน่เลย! ดูสิ! มีผู้คนอยู่บนท้องฟ้านั่นด้วย!”

ทุกคนในตู้โดยสาร รวมทั้งหวังเป่าตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ต่างกรูกันมายังดาดฟ้าเพื่อมองไปบนนภา

ท่ามกลางกลุ่มก้อนเมฆ ปรากฏสิ่งที่ดูคล้ายตะขาบหากแต่มีปีกใหญ่ ซึ่งกำลัง   บินหนีไปมา ลำตัวสีม่วงอมดำของมันมีขนาดเท่ากับกำปั้น มันอึดและแกร่งมาก       แม้ว่าจะมีเลือดไหลจากการถูกทำร้าย จนหายใจได้ลำบากขึ้น เสียงร้องของมัน   แหลมบาดแก้วหู

“นี่มัน…”

ศิษย์ผู้ศึกษาด้านสิ่งมีชีวิตประเภทนี้อุทานขึ้น “สัตว์ปีศาจดุร้ายระดับลมหายใจเที่ยงแท้”

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึง ระหว่างนั้นเรือบินได้เปิดใช้งานเกราะป้องกัน ตรงห้องลับของเรือฉายรังสีที่มองไม่เห็นออกมาเล็งไปยัง          สัตว์ปีศาจตนนี้

จังหวะเดียวกันนั้น หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ สังเกตเห็นจากระยะไกลว่าด้านหลังของสัตว์ปีศาจดุร้ายนั่นมีหางสายรุ้งสิบหาง โดยแต่ละหางมีกระบี่โผล่ออกมาดูน่ากลัว

ฉับพลันปรากฏชายหนุ่มในอาภรณ์แขนยาวสีขาวคนหนึ่ง เหาะอยู่บนกระบี่สำริด     ดำโบราณ ดูคล้ายเป็นลูกศิษย์อีกคน แววตาดูสดใสและแหลมคม ไม่ต่างจาก         ดวงอาทิตย์ปักกระบี่บนฟ้า

เขาควบคุมกระบี่เหาะเหินที่รายล้อมตัวทั้งสิบเล่ม ตอนนั้นเอง กระบี่ทุกเล่ม     พากันหมุนควงดั่งพายุ ผนวกกับผนึกฝ่ามืออันรวดเร็วของชายชุดขาวผู้นี้ ทำให้กระบี่ทั้งหลายกลายเป็นภาพพร่าเลือน ก่อนพุ่งตรงไปยังสัตว์ปีศาจดุร้ายนี้ราวกับ       สายฟ้าฟาด

“เจ้าอสูรร้าย แกหนีไม่พ้นแน่!”

สัตว์ปีศาจร้องทรมาน เมื่อกระบี่ได้เสียบแทงร่างของมัน แม้อยากสู้กลับเพียงใดก็ไม่อาจฝืนทนได้ เลือดสีแดงสดพุ่งออกมา ก่อนร่างจะร่วงลงไปพร้อมกระบี่ที่ปักอยู่ แล้วเสียงกระแดกพสุธาก็ดังลั่น

นั่นคือ จุดจบของสัตว์ปีศาจตัวนี้!

ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวยืนอยู่ติดกับร่างที่เพิ่งตกลงไป ใช้มือขวาเก็บซากของมัน ก่อนหรี่ตาขึ้นมามองเรือบิน

“นั่นคือ สวีหลินจากสาขาการยุทธ์ของมหาปราชญ์ชั้นสูงใช่หรือไม่”

“ถูกแล้ว!” ห้องเรือบินส่งเสียงตอบอันสุขุมและสงบทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ

เขายิ้มพลางโค้งไหว้คำนับด้วยกำปั้นเบาๆ แล้วขี่กระบี่เหาะขึ้นบนฟากฟ้าด้วยผนึกฝ่ามือ ก่อนหายลับไปในป่าฝนบ่อเมฆ

เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก ระยะเวลาตั้งแต่ชายผู้นี้เผยตัวจนลับสายตาไปนั้น ไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ จนทุกคนบนเรือบินต่างสติหลุดเพราะไม่อยากเชื่อ

สักพักใหญ่ หวังเป่าเล่อหายใจเข้าสุดปอด การปรากฏตัวและความสามารถในการต่อสู้ของชายผู้สังหารสัตว์ปีศาจดุร้ายนั่นตราตรึงใจของเขายิ่ง แม้แต่ผู้อาวุโสแห่งตำหนักอาวุธเวทเอง ยังไม่เคยทำอะไรที่ส่งผลต่อความรู้สึกของเขาได้ขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเมื่อเทียบเรื่องความสง่างามกับผู้อาวุโสแห่งตำหนักอาวุธเวทแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวนั่นชนะขาดลอยไปเลย!

ผู้อาวุโสแห่งตำหนักอาวุธเวทกับชายหนุ่มอาภรณ์ขาวราวฟ้ากับเหว!

นี่หรือ…คือผู้ฝึกตน ชายหนุ่มลดศีรษะลง และมองเรือบินขณะผ่อนลมหายใจ เสียงเยือกเย็นดังขึ้นไปทั่วเรือบิน น่าจะเป็นเสียงปรมาจารย์ที่มากับเรือบินด้วย       เพื่อคอยดูแลปกป้องลูกศิษย์

เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง…แววตาของหวังเป่าเล่อฉงนและอยากรู้

ทุกคนบนนี้ รวมถึงตัวเขาเองไม่อาจลืมภาพที่เห็นได้ แม้จะผ่านไปหลายวัน      จนเดินทางมาถึงเมืองปักษาเพลิง

เรือบินจากสำนักศึกษามาถึงตอนช่วงเย็น ดวงอาทิตย์ปักกระบี่ฉายแสงสีแดงส้มสาดไปทั่วพื้นดิน ราวกับปกคลุมเมืองปักษาเพลิงแห่งนี้ด้วยผ้าคลุมบาง

เมืองเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐ มีประชากรอยู่เพียงไม่กี่ล้านคน

ในบรรดาสหพันธรัฐทั้งหมด ยกเว้นนครหลักสิบเจ็ดแห่ง เช่น นครศักดิ์สิทธิ์      ตัวเมืองขนาดเล็กอย่างปักษาเพลิงนั้นไม่ได้อุดมสมบูรณ์เท่าไหร่ แต่ยังมีอีกหลายพันเมืองเช่นกัน

แม้ว่าจะเป็นเมืองไม่ใหญ่นัก แต่มีมาตรการอันจำเป็นในการป้องกันสัตว์ปีศาจดุร้าย โดยได้ร่วมกับนครหลวงตงหลินซึ่งอยู่ติดกัน ในประวัติศาสตร์ทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม     ก่อตั้งนั้น เมืองปักษาเพลิงเคยประสบกับเหตุอสูรหลั่งไหล เมื่อสามสิบปีก่อนเพียง   ครั้งเดียวเท่านั้น

ชีวิตประจำวันของชาวบ้านในเมืองแห่งนี้จึงมีแต่ความสงบสุขและปลอดภัย ตราบใดที่ไม่มีใครล้ำเส้นชายแดน

หลังจากเรือบินของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้จอดลง ณ ท่าอากาศยาน       เมืองปักษาเพลิงแล้ว ก็มีเรือบินอีกเจ็ดแปดลำจากสำนักศึกษาอื่นที่ส่งลูกศิษย์      กลับบ้านเช่นกัน

ศิษย์ชาวเมืองทุกคนจากต่างสำนักศึกษาตื่นเต้นและคิดถึงบ้าน เมื่อทุกคนออกจากเรือบินและได้เห็นสิ่งแวดล้อมหรือถนนอันคุ้นเคยนั้น ต่างพากันเร่งฝีเท้าเพื่อไปหาครอบครัวที่รอต้อนรับตนกลับบ้านกันอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อกำลังตั้งสติและสลัดภาพของผู้ฝึกตนที่สังหารสัตว์ปีศาจร้ายนั่นออกจากหัว ก่อนโบกมือลาหลิวเต้าปินและศิษย์คนอื่นๆ ด้วยความตื่นเต้น จากนั้นจึงวิ่งไปยังโถงต้อนรับ และแล้วก็ได้พบกับชายร่างสูงผอมซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล และกำลังมองหา  ตัวเขาเช่นกัน

“ตาแก่หวัง ข้าอยู่นี่!” ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหาท่านพ่อของตนด้วยรอยยิ้มทันทีเมื่อเจอ

แต่เสียงของเขาแผดดังเกินไป คำพูด ‘ตาแก่หวัง’ ที่เอ่ยขึ้น ทำเอาผู้ปกครองคนอื่นๆ หันมองอย่างฉงน

ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะขณะมองชายหนุ่ม

“เจ้าคนพาล! อวดพลังเสียงหรืออย่างไร” ชายร่างสูงเพรียวกล่าว

ลูกชายหัวเราะเจื่อน ก่อนโผกอดบิดาแน่น จนเจ้าตัวสัมผัสได้ว่าลูกชายคนนี้คิดถึงบ้านเพียงใด แววตาชายผอมเผยความอ่อนโยนขณะลูบหัวอีกฝ่ายอย่างอบอุ่น

“เป่าเล่อ ดูเหมือนเจ้าจะอ้วนขึ้นนะ”

“ตาแก่หวัง ท่านผอมลงต่างหาก!” หวังเป่าเล่อตอบอย่างขุ่นเคือง ทำให้บิดาต้องสบถตอบอย่างใจดี แล้วสองพ่อลูกจึงกลับบ้านกันพร้อมหัวใจอันอิ่มเอมด้วยความสุข

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version