Skip to content

A World Worth Protecting 60

บทที่ 60 กลับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์โดยด่วน!

หวังเป่าเล่อตกเป็นจุดสนใจของทุกคน ทำให้เจ้าตัวนั้นสะใจมาก การไต่อันดับให้สูงขึ้นในอนาคตดูง่ายดายมากกว่าเดิม เมื่อพ่อของหลิวเต้าปินจำเขาได้ ชายหนุ่มมองสหายร่วมชั้นเรียนอย่างยินดี ขณะกำลังคิดหาคำพูดอยู่นั้น หวงกุ้ยหัวเราะเบาๆ แทรกขึ้นมา

“ว้าว เป่าเล่อ ข้าดูถูกเจ้าไปหน่อย จริงๆ เจ้าเองฝีมือไม่เบาเลย ถึงขนาดจัดแจงเลือกคนเข้าไปเป็นฝ่ายวินัยสำนักได้ ข้าเข้าใจดีเพราะมีประสบการณ์คล้ายกัน      ด้วยตำแหน่งของหัวหน้าศิษย์ จึงต้องดูแลฝ่ายวินัยสำนักประจำสำนักศึกษาด้วย       จึงมักมีผู้เข้ามาขอให้ข้าช่วยรับคนเข้าทำงานที่ฝ่ายนี้เสมอ ช่างเป็นเรื่องยากในการปฏิเสธพวกเขาอยู่เหมือนกัน” หวงกุ้ยกล่าวอย่างใจเย็น พลางถอนหายใจยาว        ราวกับมีเรื่องลำบากใจจะพูด

“แต่เป่าเล่อ ครั้งหน้าเจ้าไม่ควรไปขอร้องหัวหน้าศิษย์ของเจ้าอีก ได้ยินว่า        ทุกสำนักศึกษากำลังปรับปรุงระบบหัวหน้าศิษย์เป็นการลงคะแนน ข้าเองยังคิดอยู่ว่าจะเจรจากับหัวหน้าศิษย์อีกสองคนอย่างไรดี หากว่าเจ้ายื่นเรื่องขอร้องเยอะเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหัวหน้าศิษย์ที่สนิทคนนั้น อาจสั่นคลอนได้นะ”

หวงกุ้ยพูดแบบคนอาบน้ำร้อนมาก่อน เมื่อจบประโยค ความตึงเครียดของเพื่อนพ้องรอบโต๊ะ ตอนที่รองเจ้าเมืองเข้ามานั้นจึงลดลง

และทุกคนก็คึกคักอีกครั้ง แม้จะไม่แสดงตัวมากนัก แต่ดูเหมือนพวกเขาปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะคำอธิบายชัดเจนจากคำพูดของหวงกุ้ย

หวังเป่าเล่อกระแอมไอ และต้องการประกาศว่าตนคือหัวหน้าศิษย์                    ผู้ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใคร อีกทั้งความเป็นอยู่ของลูกศิษย์ในสาขาวิชานั้น อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหวังเป่าเล่อเพียงผู้เดียว จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการเจรจากับหัวหน้าศิษย์คนอื่นๆ เลย

แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่า ถ้าตัวเขาต้องเป็นคนพูดเองนั้น จะทำให้ความภาคภูมิในเกียรติยศด้อยลง จึงไตร่ตรองว่าจะเปิดเผยอย่างไรให้ดูดี ก่อนจะมีบางคนอุทานมา  แต่ไกล

เสียงดังเล็ดลอดจากโถงงานเลี้ยงของโรงแรม จนทุกคนหันไปดู ก่อนสังเกตเห็นชายร่างกำยำจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นปุบปับตรงห้องพักผ่อนของแขกคนสำคัญ หลังจากชายกลุ่มนั้นได้ยึดพื้นที่หลักของโรงแรม ก็มีชายรูปร่างสง่าผู้หนึ่งเผยตัวขึ้นพร้อมกับคนรับใช้อีกเป็นสิบ

ชายกล้ามโตคนนี้สวมอาภรณ์คลุมสีม่วง มีบิดาของหลิวเต้าปินยืนอยู่ด้านหลังอย่างนอบน้อมและระมัดระวังท่าที แม้แต่เจ้าของโรงแรมเองยังเดินตามเขาไปด้วยความสุขุม ตรงมายังโต๊ะของหวังเป่าเล่อและสหาย

แม้ยังมาไม่ถึงโต๊ะ แต่เสียงหัวเราะของชายผู้นี้กลับดังก้องจนได้ยินชัด

เฉินปิงตื่นตัวทันที สมองรีบสั่งให้เขาลุกขึ้นยืนจนเกือบเซล้ม เขากล่าวเสียงดังฟังชัด น้ำเสียงแสดงความเลื่อมใสแบบไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ทำความเคารพขอรับ ท่านเจ้าเมือง!”

ได้ยินดังนั้น ทุกคนซึ่งกำลังนั่งอยู่อย่างประหลาดใจ รีบลุกขึ้นยืน

มีความแตกต่างระหว่างเจ้าเมืองและรองเจ้าเมืองอยู่บ้าง สมัยยุคกำเนิดวิญญาณ แม้ในเมืองเล็กๆ นั้น ผู้รับตำแหน่งเจ้าเมือง จะต้องมีความพิเศษ เป็นคนหมั่นเพียรเรียนรู้อย่างหนัก และมีภูมิหลังอันโดดเด่น รวมถึงทักษะต้องไม่ธรรมดา จึงจะสมกับตำแหน่งผู้ดูแลเมืองในยุคกำเนิดวิญญาณซึ่งเป็นช่วงหลังจากเกิดสงครามอสูร

แม้ทุกคนแปลกใจกับการเข้ามาของรองเจ้าเมือง อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของท่านเจ้าเมืองทำให้เกิดความรู้สึกสับสนอลหม่าน ความน่าเกรงขามนั้นทำเอา    ทุกคนต่างประหลาดใจ ทั้งยังขลาดกลัวเล็กน้อย

“พวกเจ้าทุกคนคืออนาคตของสหพันธรัฐ ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นยืนหรอก           ข้าขัดจังหวะการสังสรรค์ของพวกเจ้า โปรดนั่งลงกันเถิด” เจ้าเมืองแห่งเมือง      ปักษาเพลิงยิ้มขณะเดินเข้ามา ราวกับอำนาจได้แผ่กระแสขณะโบกมือ ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่นั้น รีบนั่งเก้าอี้โดยไว

“หวังเป่าเล่อ” เมื่อทุกคนนั่งแล้ว เจ้าเมืองปักษาเพลิงได้มองไปยังชายหนุ่ม    อย่างเป็นมิตร แม้เขาไม่ใช่คนเสียงดัง แต่คำของเขาฟังดูมีพลังหนักแน่น

เมื่อได้พบกับท่านเจ้าเมืองและกิริยาท่าทางเหล่านี้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่า        เขาช่างมีความคล้ายคลึงกับผู้ฝึกตน คนเดียวกับที่สังหารสัตว์ปีศาจดุร้ายระหว่างที่  เขากำลังเดินทางกลับบ้าน

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับท่านเจ้าเมือง ข้าชื่อหวังเป่าเล่อจากสำนักศึกษา      เต๋าศักดิ์สิทธิ์ขอรับ!” ชายหนุ่มลุกขึ้น ก่อนประสานมือคำนับทักทายผู้เป็นเจ้าเมือง โดยมิได้มีท่าทีของความเย่อหยิ่งหรือประจบสอพลอ

“ช่างเป็นชายหนุ่มผู้โดดเด่นนัก!” เจ้าเมืองปักษาเพลิงหัวเราะลั่น พลางชื่นชม

“ตาแก่หลิวบอกข้าว่าเจ้าอยู่นี่ หวังเป่าเล่อ ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปเยี่ยมเยียนเจ้าที่บ้าน แต่เจ้าไม่อยู่ เจ้าคือความภาคภูมิใจของเมืองปักษาเพลิงแห่งนี้!” เจ้าเมืองกล่าวขณะมองไปยังผู้คนรอบข้าง

“ทุกท่านเอ๋ย จงทำความรู้จักกับชายหนุ่มผู้ยอดเยี่ยมคนนี้ นี่คือหวังเป่าเล่อ    ศิษย์ผู้สอบเข้าหนึ่งในสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าได้ ชายหนุ่มผู้นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นความสามารถของตัวเองจนเป็นที่ประจักษ์ หนำซ้ำได้เข้าเรียนในสาขาอาวุธเวท       ซึ่งเป็นสาขาที่โดดเด่นยิ่งนัก ท่ามกลางศิษย์ดีเด่นคนอื่นในสาขา เขายังเป็นถึง   หัวหน้าศิษย์อีกด้วย นี่สิคือ หัวกะทิที่แท้จริง!

“ไม่เพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังเป็นคนแรกที่ได้เป็นหัวหน้าศิษย์แห่งโถงทั้งสามของสาขาอาวุธเวทประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ อย่างไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน!”

ท่านเจ้าเมืองแนะนำหวังเป่าเล่อแก่ทุกคนด้วยเสียงดังฟังชัด

เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าเมือง ผู้ติดตามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในเมืองปักษาเพลิง ต่างประหลาดใจ และชื่นชมหวังเป่าเล่อทันที

ขณะเดียวกัน สหายร่วมชั้นบนโต๊ะต่างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงและอยู่ในภวังค์ ส่วนหวงกุ้ยนั้นหายใจถี่เร็ว สีหน้าดูไม่อยากเชื่อ รู้ดีว่าการที่ใครสักคนได้เป็น     หัวหน้าศิษย์หมายความว่าอย่างไร แต่ไม่อาจยอมรับความจริงได้ว่าหวังเป่าเล่อจะได้รับตำแหน่งนี้

ทันใดนั้น ท่านเจ้าเมืองก็ยกจอกขึ้นดื่มอวยพรแก่หวังเป่าเล่อ ทุกคนต่างทำตามทันที และแล้วความสนใจจากทุกคนในโรงแรมจึงตกไปอยู่ที่ชายผู้นี้

ชายหนุ่มรู้สึกยินดีปรีดา โชคเข้าข้างที่เคยได้อ่านอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูง และรู้ว่าควรทำตัวเช่นไรในฐานะหัวหน้าศิษย์ การวางตัวอันเหมาะสมทำให้คนส่วนมากในเมืองปักษาเพลิงยอมรับในตัวเขานั้น

พ่อของหลิวเต้าปินมีบทบาทสำคัญเช่นกัน ในการแนะนำให้เจ้าพนักงานชั้นสูงทั้งหลายได้รู้จักกับหวังเป่าเล่อ แม้จะเป็นการพบปะแบบสั้นๆ แต่สร้างความประทับใจระยะยาว

ในที่สุด เจ้าเมืองได้ตบไหล่หลังเป่าเล่อพร้อมพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะจากไป

“เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าความสามารถในการหลอมศิลาวิญญาณรุ้งของเจ้าเยี่ยมยอดมาก เจ้าจงอย่าลืมหลอมอีกหนึ่งก้อนเพื่อบ้านเกิดของเจ้า เราจะจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เพื่อเตือนใจคนรุ่นหลังให้ดูเจ้าเป็นแบบอย่าง”

หลังจบประโยค ทุกคนบนโต๊ะต่างอิจฉาตาร้อน ความโดดเด่นนี้รุ่งโรจน์กว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ หลังจากเจ้าเมืองและผู้ติดตามได้จากไปแล้ว แต่ทุกคนตรงนั้นยังคงจับจ้องไปยังหวังเป่าเล่อโดยพูดอะไรไม่ออก

หวงกุ้ยไม่อาจกลั้นความสงสัยได้ จึงเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เจ้า…เจ้าเป็นหัวหน้าศิษย์แห่งโถงทั้งสามหรือ”

แม้คนอื่นๆ อาจไม่เข้าใจถึงความหมายและความยากลำบากกว่าจะได้มาซึ่งตำแหน่งหัวหน้าศิษย์แห่งโถงทั้งสาม แต่ในฐานะของหัวหน้าศิษย์โถงพฤกษศาสตร์ประจำสำนักศึกษาเต๋าธารศักดิ์สิทธิ์นั้น กลับรู้ดีถึงความสำคัญและอำนาจของมัน    จนตัวเขาต้องตกตะลึง

เรื่องนี้คือการค้นพบครั้งใหม่ สมัยยุคกำเนิดวิญญาณช่วงแรก ที่สำนักศึกษา     เต๋าธารศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่เคยมีผู้ใดได้รับตำแหน่งหัวหน้าศิษย์มาก่อน และในยุคนั้นเอง ผู้ครองตำแหน่งหัวหน้าศิษย์แห่งโถงทั้งสามในสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่แห่ง มีเพียงห้าคนเท่านั้น

เนื่องจากตำแหน่งนี้ยากเกินกว่าใครจะได้เป็น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะตกตะลึงและประหลาดใจ

เฉินปิงเองนั้นก็งุนงงไม่ต่างกัน แม้จะไม่เข้าใจแจ่มแจ้งเกี่ยวกับหัวหน้าศิษย์ระดับสูง แต่เขาทราบดีถึงความกระตือรือร้นที่เจ้าเมืองแสดงออกมา…เส้นทางอนาคตอันสดใสของหวังเป่าเล่อได้ถูกปูทางขึ้นแล้ว

ส่วนสหายร่วมชั้นคนอื่นๆ ยังชะงักงัน ภาพเหตุการณ์นั้น ทำให้ทุกคนงุนงงและต้องจำฝังใจไปตลอด

หวังเป่าเล่อหัวเราะมีความสุข หลังจากเห็นปฏิกิริยาของทุกคน เขาไม่มีเจตนาจะโอ้อวดตั้งแต่แรก แถมยังไม่ตั้งใจจะโดดเด่น แต่สุดท้ายกลับได้เป็นผู้ที่น่าจดจำ โชคชะตาช่างเข้าข้างเขาเสียจริง

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังต้องรักษาความสัมพันธ์ฉันท์สหายร่วมชั้นเรียนกับหวงกุ้ย แม้ว่าชายผู้นั้นจะน่ารังเกียจก็ตาม หวังเป่าเล่อเลือกที่จะไม่ยกตนข่มท่าน หากแต่ตอบกลับไปอย่างถ่อมตัว

“จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ข้าเพิ่งได้เป็นหัวหน้าศิษย์แห่งศิลาวิญญาณ และมีปัญหาเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบหัวหน้าศิษย์ดังเจ้าว่า แต่ข้าเป็นคนดื้อรั้น ทั้งยัง    ขี้เกียจไปคุยเจรจากับหัวหน้าศิษย์อีกสองคน ดังนั้น ข้าจึงเลือกทำสิ่งที่ง่ายที่สุด คือการเป็นหัวหน้าศิษย์แห่งโถงอักขราจารึกและห้องโถงแก่นวิญญาณด้วยเสียเลย       ทุกสิ่งจึงสะดวกขึ้น เพราะไม่ว่าจะมีเรื่องใดๆ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปปรึกษาเจรจา     กับใคร นอกจากตัวเองเท่านั้น”

เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อพอใจกับความอ่อนน้อมของตน และผู้คนรอบตัวต่าง   ซวนเซไปกับคำพูดเหล่านี้ ต่างจากตู้หมิน หญิงสาวโกรธจัด เพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเชิดหน้าชนะไปได้ในครั้งนี้ หวงกุ้ยที่อยู่ข้างๆ เงียบลงและมองอีกฝ่าย               ด้วยความรู้สึกมากมาย พลางยิ้มขมขื่น

หวังเป่าเล่อร่าเริงและมีความสุข และแล้วงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าก็จบลง เขาลุกขึ้นยืนอย่างเต็มภาคภูมิ ก่อนออกจากโรงแรมไป โดยมีสายตาของหวงกุ้ยจ้องมอง

วันหยุดปิดภาคเรียนผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เหลือเพียงไม่กี่วันก่อนปีการศึกษาใหม่จะเริ่ม และในช่วงเดือนนี้ หวังเป่าเล่อได้ชวนกระต่ายน้อยมาที่บ้าน จนกลายเป็น     คนโปรดคนใหม่ของท่านแม่

หลิวเต้าปินมาแวะเวียนเป็นประจำเช่นกัน พร้อมทั้งนำของขวัญมาให้มากมาย รวมถึงเป็นสหายเที่ยวรอบเมืองปักษาเพลิง ชายหนุ่มคิดว่าสองสามวันสุดท้ายของ  ช่วงวันหยุดนั้นจะเป็นเวลาอิสระไร้กังวล แต่แล้วเขากลับได้รับการติดต่อฉุกเฉินจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“หวังเป่าเล่อ กลับมาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์โดยด่วน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version