Skip to content

A World Worth Protecting 676

บทที่ 676 แมลงปอนำภัยอันตราย

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลแม้จะซ่อนตัวอยู่ในหมอก ศพกลางทะเลโลหิตเป็นเหมือนปากยักษ์น่าสะพรึงกลัวที่พร้อมจะเขมือบเขาทั้งเป็น

สัมผัสในคราวนี้รุนแรงกว่าตอนที่เขาเดินทางผ่านศพในครั้งแรก ตอนนั้น         เขายังไม่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เขาหยุดลอยอยู่บนฟ้าเหนือศพ ไม่ได้รีบเคลื่อนตัวผ่านไป ระดับพลังปราณของชายหนุ่มสูงขึ้นมาก   จิตสัมผัสวิญญาณก็เฉียบคมขึ้นเช่นกัน ทำให้สามารถสัมผัสทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน

รู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรง… หวังเป่าเล่อเงียบไป เขาลังเลว่าควรจะทำตามแผนการต่อดีหรือไม่ แต่พอคิดถึงสิ่งที่รอตนอยู่ในวังลำดับสามก็ได้แต่กัดฟันแน่น

“บางทีก็จำเป็นต้องพาตัวเองไปลำบากเพื่อให้ได้รับโอกาสอันหายาก อาจจะถึงกับต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง แน่นอนว่าจะต้องมีแผนสำรองอยู่เสมอ หากว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจะได้หนีกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตา      ส่องประกายจ้า ก่อนจะเริ่มเอ่ยคาถาขึ้นในทันใด

“ตื่นเถิด…”

ทันใดที่เอ่ยคำแรกออกจากปาก พลังคุ้นเคยจากส่วนลึกสุดของจักรวาลก็ลงมาจุติ พลังวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาจากศพดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เปิดโอกาสให้     หวังเป่าเล่อได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นึกว่าจะใช้การไม่ได้แล้ว ยังใช้ได้ผลอยู่นี่… ชายหนุ่มจ้องมองฟากฟ้าและ      หยุดร่ายคาถา จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นเพื่อแยกตัวจากควัน เตรียมพร้อมจะพุ่งลงไปหาศพกลางทะเลโลหิต ทันใดนั้นศพเบื้องล่างก็สั่นไหว!

เส้นขนมากมายปรากฏขึ้นบนผิวหนัง ทั้งส่วนที่เผยให้เห็นและส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดคลุม แม้จะตายไปแล้ว แต่เส้นขนก็ไม่ได้หลุดร่วงจากร่าง ยังคงมีชีวิตอยู่ในสภาพแปลกๆ เหมือนว่าจะมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง

เส้นขนมีสีเขียวเข้ม หนาประมาณแขนมนุษย์ มันยืดยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตา ตรงปลายเส้นขนก็แยกออก เหมือนปากที่เปิดกว้าง เปลี่ยนเส้นขนเหล่านั้นให้กลายเป็นฝูงงู!

งูจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิง ดูน่าสะพรึงกลัว ฝูงงูหันไปทางหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าอันตรายร้ายแรงกำลังพุ่งเข้ามาหา เขาได้ยินเสียงระฆังเตือนดังขึ้นในหัว กล้ามเนื้อทุกส่วนสั่นระริก เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายส่งเสียงกรีดร้อง แม้แต่วิญญาณจุติยังลืมตาตื่น

ฝูงงูส่งเสียงขู่ดังลั่น จากนั้นงูนับร้อยก็ยกตัวขึ้นมา และพุ่งตรงเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็วจนทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง หมายจะเขมือบทั้งเป็น

มองดูแล้วเหมือนลูกศรนับร้อยกำลังพุ่งตรงเข้าใส่ ฝูงงูชุดใหม่ส่งเสียงร้องขู่ขึ้นตามมา ถัดไปมีงูเหลือมสีเขียวใหญ่ยักษ์หลายตัวเลื้อยออกมาจากชุดคลุมที่ขาดเป็นริ้ว ทุกตัวดูน่าพรั่นพรึง

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงวาบเมื่อภัยอันตรายพุ่งตรงเข้ามา เขาตั้งมือขวาไปด้านล่างพร้อมกับร้องคำรามขึ้น

“ตื่นเถิด…”

พลังแกร่งกล้าจุติลงมาจากห้วงอวกาศ เข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง ฝูงงูเขียวรีบถอยกลับไปทันใด พวกมันตัวสั่นเทิ้ม นอนขดอยู่กับพื้น ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่นิด

หวังเป่าเล่อใจชื้นเมื่อเห็นว่าคาถาใช้ได้ผล เขารีบพุ่งแหวกอากาศเข้าไปหยุดอยู่เหนือศพตรงตราประจำตัวพอดี เขาตะโกนขึ้นอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย

“ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์…”

ระเบิดไร้เสียงเหมือนจะปะทุขึ้นในหัวของฝูงงู หลายตัวสั่นเทิ้มและตายไป       อีกส่วนเริ่มน้ำลายฟูมปาก แม้แต่งูเหลือมตัวใหญ่ที่อยู่ถัดไปก็ขดตัวหนี ส่วนฝูงที่    รายล้อมหวังเป่าเล่อต่างหนีหายไป ทิ้งเขาให้อยู่ตัวคนเดียว

ชายหนุ่มรู้ดีว่าที่แห่งนี้อันตรายเพียงใด จึงท่องคาถาต่ออย่างไม่ลังเลใจ หลังจากร่ายคาถาต่ออีกหนึ่งท่อน เขาก็คุกเข่าลงและหยิบตราประจำตัวบนศพขึ้นมา

ศพนั้นมีขนาดใหญ่ยักษ์ ตราประจำตัวจึงมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย แต่ทันทีที่    หวังเป่าเล่อเอื้อมมือไปแตะ แสงก็พลันสว่างจ้าออกมาจากตรา เหมือนว่ามันจะยอมรับเขาและยินยอมให้เก็บกลับไป แสงสว่างย่อส่วนเล็กลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ   ในพริบตา ชายหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าและยัดใส่กระเป๋าคลังเก็บโดยไม่เหลือบไปมอง

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหอบหายใจถี่ ในหัวยังส่งสัญญาณเตือนไม่หยุด ภัยอันตรายที่สัมผัสได้ยังไม่หายไปไหน แต่กลับยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้น     แม้จะร่ายคาถาจนฝูงงูเขียวขดตัวหนี หวังเป่าเล่อกำลังจะหนีออกไป แต่สายตา       ก็เหลือบไปเห็นผิวหนังของศพ เขากัดฟันแน่น

ลำบากเหลือเกินกว่าจะลงมาได้ ไหนๆ ก็ลงมาแล้ว…ข้าควรเก็บเลือดกลับไป   สักหน่อย…แค่ตราประจำตัวเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่พอ เขารู้ดีว่าสิ่งตรงหน้าคือศพ มีโอกาสน้อยมากที่จะมีเลือดหลงเหลืออยู่ แต่วัดจากสีของผิวหนังแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้สึกมีหวัง ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวขณะที่ชายหนุ่มยกสองมือขึ้น

มือซ้ายของเขาเอื้อมไปทางขอบทะเลโลหิต มือซ้ายสร้างผนึกฝ่ามือ             เกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่ยังไม่สมบูรณ์และแขนกระดูกอาวุธเทพปรากฏขึ้น          เส้นปราณของเกราะจักรพรรดิเลื้อยพันรอบแขนที่กำลังปลดปล่อยพลังของอาวุธเทพพุ่งเข้าไปเจาะผิวหนังศพ!

มือข้างซ้ายคว้าหยดน้ำขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาจากทะเลและเก็บกลับไป ขณะที่แขนอาวุธเทพตรงมือขวาพุ่งตรงเข้าใส่ศพ

ถึงหวังเป่าเล่อจะมีอาวุธเทพและเพิ่งบรรลุขั้นการฝึกตนมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่า  ยามมีชีวิตอยู่ศพตรงหน้านั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ผิวหนังของศพแข็งหนาแม้จะไร้ซึ่งชีวิต ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามเท่าใดก็ทำได้แค่สร้างรอยแผลเล็กๆ ขึ้นบนผิวหนัง ไม่มีทางเลยที่จะสูบเลือดออกมาจากรอยแผลเหล่านี้ได้

เขาคงต้องปล่อยพลังปราณเต็มขั้นซ้ำๆ และใช้เวลาสักพักถึงจะสามารถเจาะทะลุผิวหนังได้สำเร็จ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามากขนาดนั้น คลื่นบนทะเลโลหิตรอบศพ    เริ่มพัดกระเพื่อม เหมือนว่ามีบางสิ่งใต้ทะเลกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว สัญญาณอันตรายที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้เริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อตัวตนดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้ามาหา

หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นตระหนก หันมองทิวทัศน์รอบตัว จากนั้นก็หายวับไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งห่างออกไปหลายร้อยเมตร จุดที่ชายหนุ่มอยู่เป็นบริเวณหน้าอกของศพ ตรงหน้ามีบาดแผลเปิดกว้างขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการโจมตี        อันรุนแรง

ชายหนุ่มรีบคุกเข่าลงและวางมือขวาเหนือบาดแผล ดวงตาฉายแสงวาบ วิญญาณจุติเองก็ตาเป็นประกายเช่นกัน เขาสร้างผนึกฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนส่ง    แรงสูบไปยังแขนของตนเอง

แรงสูบพวยพุ่งออกจากฝ่ามือหวังเป่าเล่อ มุ่งลงไปในบาดแผลและกระจายไปทั่วศพ ไม่นาน ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงหยดเลือดเล็กๆ

ทันใดนั้นศพก็สั่นไหว ฝูงงูเขียวเริ่มลุกฮือขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคลื่นกระเพื่อมในทะเลโลหิตที่เริ่มก่อตัวเป็นระลอกคลื่น สิ่งมีชีวิตในทะเลกำลังกราดเกรี้ยว

ทะเลพุ่งกระจายขึ้นสูง ปีกสองข้างรูปทรงคล้ายปีกของจักจั่นโผล่พ้นทะเล       ปีกอีกส่วนกรีดกรายขึ้นมาจากน้ำราวกับเป็นใบเรือ ลวดลายบนปีกเหมือน        อักขระโบราณที่จองจำอสูรเอาไว้ภายใน ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวเหมือนปีศาจ    ดวงตาปูดโปนสองข้างโผล่พ้นน้ำขึ้นตรงกลางระหว่างปีก

สัญญาณอันตรายเกินบรรยายระเบิดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อทันทีที่อสูรปรากฏตัว ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เมล็ดดูดกลืนยังปลดปล่อยแรงสูบผ่านมือขวา    ไม่หยุดขณะที่เขายกมือซ้ายขึ้นชี้ไปทางทะเลโลหิต

“สรรพชีวิตย่อมต้องเผชิญภัยพิบัตินับไม่ถ้วนเป็นสรณะ!”

ตู้ม!

พลังกดดันที่จุติลงมาจากฟากฟ้าทวีความรุนแรงขึ้นจากการใช้คาถาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เขารู้ว่าตัวตนที่อัญเชิญออกมาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากร่ายคาถาต่อไปไม่หยุด ชายหนุ่มไม่เคยร่ายเกินสองวรรคเพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา       แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์คับขัน จึงต้องร่ายวรรคที่สามออกมาด้วยความลนลาน

แรงกดดันที่เหล่าอสูรได้รับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อสูรที่โผล่พ้นขึ้นมาจากทะเลโลหิตตัวสั่นเทิ้ม เหมือนว่าถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นกดทับอยู่ มันหยุดโผขึ้นจากทะเลไปชั่วขณะ ประจวบเหมาะกับที่เมล็ดดูดกลืนปฏิบัติภารกิจสำเร็จพอดี หยดเลือดสีแดงคล้ำหุ้มไปได้รอยเส้นเลือดมากมายปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของชายหนุ่ม!

หยดเลือดเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยา อสูรในทะเลโลหิตร้องคำรามลั่น         พร้อมกระโจนขึ้นจากทะเล น้ำในทะเลสาดกระเซ็น อสูรร่างยักษ์ปรากฏร่างให้เห็น

รูปลักษณ์ของมันเหมือน…แมลงปอ ต่างตรงที่มันตัวใหญ่กว่าหลายต่อหลาย    เท่า ตัวของมันเป็นสีโลหิตดูน่าพรั่นพรึง

มันจ้องหวังเป่าเล่อเขม็งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version