Skip to content

A World Worth Protecting 73

บทที่ 73 สิ้นแสงอัสดง

ไม่สำคัญหรอกว่าการสอบเข้าระหว่างเกาะทั้งสองจะแยกกันหรือไม่ ข้า          หวังเป่าเล่อผู้นี้ ไม่มีทางลืมความแค้นอย่างแน่นอน!

พอเข้าใจพื้นเพครอบครัวของหลินเทียนหาว เขาจึงเข้าใจด้วยว่าสำนักศึกษา    เต๋าศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจทำสิ่งใดไป

หวังเป่าเล่อได้อ่านอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงของสหพันธรัฐมา      จนแจ่มแจ้ง เขารู้ดีว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไป เขาทำใจยอมรับว่าในระดับหนึ่งว่า    การกระทำของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ปลอบใจเขาได้บ้าง

ข้ายอมรับของกำนัล แต่ข้าก็ยังจะชำระแค้นอยู่ดี หวังเป่าเล่อก้มหน้าลงมอง    คันฉ่องขณะถือจี้หยกเอาไว้ในมือ

จี้หยกนี้คือ สมบัติเวทที่สามารถทำได้ทั้งจู่โจมและป้องกัน หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงพลังวิญญาณของมัน เขาตรวจดูอักขราจารึกบนจี้เพื่อวัดพลังจากนั้นเขาก็ตื่นเต้นมาก

คันฉ่องเองก็ไม่น้อยหน้าแต่อย่างใด แม้ว่าตัวคันฉ่องจะไม่สามารถจู่โจมหรือป้องกันได้โดยตรง แต่สามารถสร้างภาพลวงตาถาวรที่อาจใช้หลอกศัตรูได้ นอกจากนั้นคันฉ่องยังมีความสามารถเกี่ยวกับการต่อสู้ที่มีประโยชน์ในหลากหลายสถานการณ์

หวังเป่าเล่อพึงพอใจกับสมบัติเวททั้งสองเป็นอย่างยิ่ง เพราะในเวลานี้เหล่า     วัตถุเวทที่เขาเคยมีในครอบครองก็หายไปจนหมดแล้ว สมบัติเวททั้งสองจึงทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอยู่ชั่วระยะหนึ่งเพราะเขาไม่ได้มือเปล่าอีกต่อไป

แต่แค่สองอย่างนี้ยังไม่พอ ข้าต้องหลอมวัตถุเวทเพิ่มอีก โดยเฉพาะวัตถุเวทป้องกัน หากข้าต้องพบเจออันตรายอีกครั้งข้าจะได้ผ่านมันไปได้! หวังเป่าเล่อคิดขณะที่เขาเริ่มหมกตัวเองอยู่กับการหลอมและสลักตัวอักขระอีกครั้ง

หนึ่งเดือนแสนสงบสุขได้ผ่านไปแล้ว

หวังเป่าเล่อใช้เวลาทั้งเดือนหมดไปในถ้ำเตาหลอมวิญญาณ จำนวนวัตถุเวทที่เขาหลอมเองเพิ่มพูนขึ้นอย่างช้าๆ แค่จำพวกตราผนึกขนาดใหญ่ก็มีกว่าสิบชิ้น รวมถึงเชือกต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาตั้งใจหลอมเป็นพิเศษคือวัตถุเวทประเภทลูกประคำ

หวังเป่าเล่อใช้พลังงานไปกับวัตถุเวทประเภทลูกประคำมากที่สุด แก่นวิญญาณของวัตถุเวทประเภทนี้ทำมาจากศิลาวิญญาณรุ้งทั้งสิ้น แถมยังมีตัวอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนสลักเอาไว้ เมื่อนำมาใช้งาน ลูกประคำแผ่รัศมีปกป้องที่ดูราวกับโล่ทรงกลม     สีทอง

ชิ้นเดียวไม่พอหรอก หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาเพิ่มอีกกว่าสิบชิ้นเขาจึงพอใจ

ตอนนี้วัตถุเวทประเภทป้องกันน่าจะพอแล้ว ต่อไปข้าจะหลอมวัตถุเวทประเภทโจมตีบ้าง…หวังเป่าเล่อยกมือปาดเหงื่อ เขาเริ่มเคี้ยวขนมหลายถุงพร้อมๆ กันด้วยเสียงอันดัง หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะเพื่อดูว่าเขาสามารถหลอมอะไรได้บ้างแล้วจึงลงมือทำงานต่อ

ครั้งนี้เขาลงมือหลอมกระบี่เหาะเหิน เพราะว่าการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้น      การฝึกตนโบราณเท่านั้น หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเขาไม่สามารถจะสั่งการวัตถุเวทได้คล่องแคล่วเท่าที่ต้องการและไม่อาจดึงเอาสมรรถภาพที่แท้จริงของพวกมันออกมา  ได้หมด อย่างไรก็ดี ในฐานะหัวหน้าศิษย์แห่งสาขาวิชาอาวุธเวท เขาสามารถที่จะสร้างสิ่งทดแทนขึ้นมาได้ ด้วยตัวอักขระที่ไม่มีศิษย์ของสาขาคนใดเคยเห็นมาก่อน

ข้าจะใช้พลังแม่เหล็ก!

หากใช้พลังแม่เหล็กล่ะก็ข้าจะสามารถควบคุมกระบี่พวกนี้ได้อย่างราบรื่น      และข้ายังสามารถควบคุมกระบี่ทุกเล่มได้โดยใช้กระบี่เพียงเล่มเดียวเท่านั้น!

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ขณะที่เขาเติมตัวอักขระแม่เหล็กลงไปใน      แก่นวิญญาณของกระบี่เหล่านั้น

แม้ผลลัพธ์จะยังไม่สมบูรณ์แบบ หวังเป่าเล่อก็สามารถใช้พลังแม่เหล็กในการรวมกระบี่หลายเล่มเข้าด้วยกัน ในการทดสอบเขาสามารถซัดกระบี่ออกได้ไปเจ็ดเล่มด้วยการวาดมือเพียงครั้งเดียว ความเร็วและความยืดหยุ่นในการใช้ดีกว่าที่เขาเห็น       การต่อสู้ที่ป่าฝนบ่อเมฆอยู่หลายขุมนัก

หวังเป่าเล่อยังไม่พอใจ แต่ก็รู้ดีว่าตัวเขาถึงขีดจำกัดแล้ว

ข้าต้องเพิ่มทักษะทำลายตนเองเข้าไปด้วย! เขายกมือขึ้นถูหน้าผาก

เมื่อเขาผ่านประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น เขาคิดว่าวัตถุเวททำลายตนเองได้       ช้าเกินไป แต่เขาจะสามารถหลอมวัตถุเวทที่สมบูรณ์แบบได้หากเพิ่มตัวเลือก         การทำลายตัวเองผ่านการนับถอยหลัง

เพราะฉะนั้นวัตถุเวททุกชิ้นที่ข้ามีจะต้องมีตัวอักขระทำลายตนเองอยู่ด้วย       เพื่อจะได้ระเบิดได้ตามที่ข้าต้องการ

ยังเหลือเจ้าโทรโข่งใหญ่อยู่อีก อันนั้นน่ะของดีเชียวล่ะ หลังจากหลอมมันแล้ว    ข้าจะต้องหาวิธีทำให้มันทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก

เวลาอีกครึ่งเดือนคล้อยผ่านไปขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงง่วนอยู่กับการหลอมวัตถุเวท เมื่อเขาใกล้จะหลอมเสร็จเขาก็ได้รับข้อความเสียงจากกระต่ายน้อยให้ออกจาก       ถ้ำเตาหลอมวิญญาณไปสูดอากาศข้างนอกเสียบ้าง เขาจึงเดินออกมา ชายหนุ่มจ้องมองไปบนปุยเมฆที่ลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่บนท้องฟ้าสีครามพลางลูบไล้กำไลคลังเวท     หวังเป่าเล่อรู้สึกเป็นสุข

ในกระเป๋าของข้าตอนนี้มีวัตถุเวทมากยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก หากข้าต้องเจอเหตุการณ์เหมือนในป่าฝนบ่อเมฆอีกล่ะก็ คราวนี้ข้าจัดการพวกมันได้แบบไม่ต้อง    เสียแรงเลย! หวังเป่าเล่อยิ้มกริ่มด้วยความพึงใจขณะที่เอื้อมมือไปหยิบขนมขึ้นมาเคี้ยว เขาก้าวอาดๆ มุ่งหน้าไปยังสาขาวิชาอาวุธเวท ระหว่างทางผู้คนต่างพากันทักทายเขาอย่างสุภาพ

มีศิษย์ใหม่จำนวนหนึ่งต่างพากันจ้องเขาด้วยความตื่นเต้น หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นลูบหนวดจุ๋มจิ๋มเหนือริมฝีปาก พลางถอนใจอย่างสงบ

“ข้านี่แก่ลงไปเยอะสินะ…”

หวังเป่าเล่อและเพื่อนร่วมชั้นไม่ใช่ศิษย์ใหม่อีกต่อไป พวกเขาต่างเริ่มประสบความสำเร็จในสาขาวิชาของตน ขณะนี้เมื่อหวังเป่าเล่อมองไปยังเหล่าศิษย์ใหม่ เขาอดไม่ได้ที่จะลอกเลียนกิริยาของเจ้าสำนักโดยการส่งสายตาแฝงด้วยกำลังใจไปให้    พลางผงกหัวรับการทักทายอย่างสุภาพ

กำลังใจจากเขาคือแรงสนับสนุนอันยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาศิษย์ใหม่ พวกเขา     ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นยินดี เสียงทักทายไหลบ่ามาหาหวังเป่าเล่ออย่างไม่หยุดหย่อน

ด้วยความพึงพอใจในสิทธิ์ที่เขาได้รับจากชื่อเสียงและสถานะ หวังเป่าเล่อเชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการเข้าร่วมสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นี่เอง

ข้า หวังเป่าเล่อ ฟ้าลิขิตมาให้ข้าเป็นใหญ่ ช่วงเวลาหลายปีที่ข้าอยู่ในเมืองปักษาเพลิงอย่างเจียมตัวนั้นก็เพื่อรอวันมาโด่งดังที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ หวังเป่าเล่อ  นึกย้อนไปอย่างซาบซึ้งใจขณะเดินดุ่มๆ ลงจากยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวท

เวลาเย็นวันนั้น แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ฉาบทาท้องฟ้าเป็นสีส้มงดงามยิ่ง หวังเป่าเล่อยืนชื่มชนอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งพร้อมกับกินขนมไปด้วย เขามองเห็น      กระต่ายน้อยกำลังเดินขึ้นมา

กระต่ายน้อยที่เห็นหวังเป่าเล่อยืนคอยอยู่เกิดหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่ของนางขยายกว้างขึ้นด้วยความพึงใจ นางเร่งฝีเท้าขึ้นเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ”

สุ้มเสียงอ่อนหวานของนางทำเอานัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชน ฉากที่กระต่ายน้อยวิ่งเข้ามาหาเขานั้นเหมือนในจินตนาการ หวังเป่าเล่อเล่นฉากนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว เขากระแอมกระไอก่อนจะปั้นหน้าหล่อและยิ้มให้นางอย่างเขินๆ

กระต่ายน้อยเดินเข้ามาถึงตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว หน้าของนางยังคงแดงก่ำด้วยความเขินอาย นางอยากจะพูดบางอย่าง แต่เมื่อนางมองตาหวังเป่าเล่อนางก็ลืมเรื่องที่จะพูดไปเสียสิ้นด้วยความประหม่า หัวนางเต้นระรัว นางหยิบหีบโอสถออกมายื่นให้เขา

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าหลอมโอสถบำรุงอยู่ด้วยตัวเองมาสักพัก ส่วนนี้ข้าแบ่งมาให้ท่าน” นางกล่าวอย่างเอียงอาย ใบหน้าของนางแดงก่ำไปถึงหูเมื่อยื่นหีบโอสถให้หวังเป่าเล่อ

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะพยายามหลอมโอสถให้มากกว่านี้อีกในอนาคต เผื่อเกิดว่าท่านพบเจอกับอันตรายอีก ก็ขอให้โอสถของข้าได้มีโอกาสช่วยท่านบ้าง”        กระต่ายน้อยพูดอย่างจริงจัง หน้าที่แดงก่ำจนจะถึงขีดสุดของนางยังแดงขึ้นไปอีก   นางหันหลังจะเดินกลับไปแต่ก็หันกลับมาด้วยความรวดเร็วและยื่นหีบโอสถอีก         หีบหนึ่งให้เขา

“ขะ…ข้าหยิบผิดหีบ หีบนี้ของท่านเจ้าค่ะ” หน้าของนางแดงประหนึ่งผลไม้สุกปลั่ง นางหันหลังกลับทันทีและเดินจากไป

กระต่ายน้อยขี้อายเป็นที่สุด จริงๆ แล้วนางมีเรื่องที่จะพูดเยอะกว่านั้นมาก แต่ว่าเมื่อนางมองเห็นหวังเป่าเล่อหัวใจของนางก็เต้นระรัว ความคิดก็พลันสับสนไปหมด พาลให้ลืมเรื่องที่เตรียมจะพูดไปเสียสิ้น

หวังเป่าเล่อมองโจวเสี่ยวหยาที่เร่งรุดกลับไปด้วยนัยน์ตาอ่อนโยน เขาไม่รู้มาก่อนว่านางมาเยี่ยมเขาด้วยธุระอันใด แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่านางเพียงมาส่ง          โอสถเท่านั้น ชายหนุ่มก้มลงมองหีบโอสถในมือ ในใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันยากจะบรรยาย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขามองเห็นโจวเสี่ยวหยาอยู่ไกลลิบๆ เสียแล้ว เขากะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะวิ่งตามนางไป

“โจวเสี่ยวหยานะ โจวเสี่ยวหยา! ทำไมเจ้าถึงเขินอายนักเล่า เจ้าเตรียมจะมาสารภาพอะไรต่อมิอะไรตั้งมากมาย แต่เจ้ากลับทำพังไปเสียหมด! เจ้าซ้อมมาตั้ง   หลายรอบไม่ใช่หรืออย่างไรกัน” โจวเสี่ยวหยาเอ่ยกับตัวเองอย่างขุ่นเคืองใจ นางไม่ได้สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่ห่างไปไม่ไกล หวังเป่าเล่อจึงได้ยินทุกอย่าง

“เอ่อ…” หวังเป่าเล่อที่ได้ยินเสียงบ่นของนางเกิดสงสัยขึ้นมา “เจ้าทำอะไรพังหรือ”

“ว๊าย!” โจวเสี่ยวหยาตกใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหวังเป่าเล่อดังขึ้น นางหันหลังกลับมาหาเขาหน้าตาตื่น

“ศิษย์พี่เป่าเล่อท่าน…ตามข้ามาทำไมกันเจ้าคะ”

เมื่อเห็นนางมีสีหน้าตลกๆ ความรู้สึกอันยากจะเข้าใจที่เขามีอยู่ก่อนหน้าเริ่มจะชัดเจนขึ้นมา หวังเป่าเล่อกะพริบตาถี่

“ข้าอยากจะเดินไปส่งเจ้าที่สาขาวิชาหลอมโอสถน่ะสิ”

“อ้อ…ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ศิษย์พี่เป่าเล่อ” นางพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำอธิบายของชายหนุ่ม เมื่อนั้นเองนางก็ไม่รู้สึกขุ่นมัวอีกต่อไป ความรู้สึกเปี่ยมสุข  เอ่อล้นขึ้นมาแทนที่

และเช่นนั้นเอง ภายใต้แสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดง หวังเป่าเล่อกับกระต่ายน้อยก็เดินเคียงคู่กันไปในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เงาของพวกเขาทอดยาวออกไปไกลลิบ

เสียงของบรรดาศิษย์ท่องตำราดังแว่วมาจากยอดเขาของสาขาวิชาต่างๆ เสียงฝีเท้าของศิษย์สาขาวิชาการยุทธ์วิ่งฝึกซ้อม และเสียงหัวเราะของศิษย์ที่เดินผ่านไปมาดูราวกับว่าจะเป็นเพียงเสียงคลอเบื้องหลังให้กับทั้งคู่ พวกเขารู้สึกราวกับว่ามีเพียงกันและกันอยู่ภายในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกระต่ายน้อย แสงสายัณห์สะท้อนอยู่ในตาของนางที่จับจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ ทุกๆ อย่างทำให้ความงามอันน่าตื่นตะลึงของนางยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก

ภาพตอนนี้ช่างสุดแสนจะสมบูรณ์แบบ ทั้งพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินและบรรยากาศโดยรอบ เว้นไว้เพียงแต่เด็กหนุ่มรูปร่างซูบผอมใส่ชุดศิษย์ที่ยืนงงอยู่ใกล้ๆ เมื่อทั้งคู่เดินผ่าน เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อและกระต่ายน้อยเขม็ง

เขาหยุดเดินอย่างกระทันหันเมื่อมองเห็นหญิงสาว นัยน์ตาของเขาลุกโชน        เขาเดินมาขวางหน้านางไว้ราวกับว่าหวังเป่าเล่อไม่มีตัวตน

“สหายเก่าข้า ข้าจำได้ว่าเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อนนะ ข้าอยากรู้จักเจ้า ข้าจะขอติดต่อเป็นมิตรกับเจ้าได้หรือไม่” เจ้าหนุ่มผอมแห้งจ้องเขม็งไปที่กระต่ายน้อยขณะที่พูดความในใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version