บทที่ 88 สรีระทองคำ
“พลังพิเศษอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ และถามออกมาทันที
คราวนี้หน้ากากนิลไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่เพียงบอกว่าเขาจะรู้ด้วยตนเองเมื่อบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้
หากเป็นเวลาอื่น หวังเป่าเล่อคงพยายามซักไซ้จนได้คำตอบที่ชัดเจนมาแล้ว แต่คราวนี้เขารู้ดีว่าถึงอย่างไรก็คงเป็นเรื่องจริงแน่นอน ที่สำคัญคือความเคียดแค้น ที่เขามีต่อเกาเฉวียนได้บดบังสติเขาจนหมดสิ้น ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้ถามต่อ ให้วุ่นวาย เพียงแต่ขบกรามแน่นเท่านั้น
“เข้าใจละ ข้าจะต้องบรรลุขั้นสรีระทองคำให้ได้ ข้าต้องทำอย่างไรบ้างแม่นางน้อย ข้าสัญญาว่าจะอดทนแม้จะต้องโดนสายฟ้าฟาดอีกครั้งก็ตาม”
ความดื้อแพ่งของหวังเป่าเล่อทำให้หน้ากากนิลกะพริบแสงและสั่นสองสามครั้ง คำตอบก็ปรากฏขึ้น เป็นรายนามวิชายุทธ์มากมายหลายอย่างที่เขาต้องฝึก รวมถึงโอสถที่ในชีวิตนี้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน บรรทัดสุดท้ายแสดงระยะเวลาที่คาดการณ์ว่าเขาจะทำสำเร็จหากทำตามวิธีการนี้ จากที่หน้ากากบอก เขาต้องใช้เวลาสามปีกว่าจะได้สรีระทองคำมาครอบครอง
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นรายนามวิชายุทธ์ที่เขาต้องฝึก ก็เริ่มรู้สึกปวดหัวแปลบขึ้นมาทันที เมื่อไล่สายตาลงไปเห็นรายชื่อโอสถที่ต้องสรรหามารับประทาน หวังเป่าเล่อก็ เริ่มใจเต้นแรง และเมื่อเห็นบรรทัดสุดท้ายที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าสามปี ลูกตาของเขาก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ชายหนุ่มเริ่มหัวเราะอย่างขมขื่น
“มันต้องมีทางอื่นอยู่สิน่า ขอละ แม่นางน้อย เลิกล้อข้าเล่นเถิดนะ ข้ายอมทำทุกอย่างไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ขอแค่เจ้าช่วยให้ข้าได้สรีระทองคำมาครอบครองภายใน หนึ่งเดือน และโค่นไอ้ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้นั่นได้ก็พอ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างตรงไปตรงมา ความอดทนของเขาได้ขาดสะบั้นลงแล้ว
ทันทีที่เขาพูดจบ หน้ากากก็กะพริบแสงวาบขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้เวลานานเหมือนเมื่อครั้งก่อนหน้าอีกต่อไป ทางลัดที่จะทำให้หวังเป่าเล่อบรรลุขั้นสรีระทองคำเขียนชัดอยู่บนหน้ากาก!
การจะได้สรีระทองคำมาครอบครองภายในหนึ่งเดือนด้วยวิธีที่ถูกทำนองคลองธรรมนั้น เป็นเรื่องยากเสียเสียยิ่งกว่ายาก เขาจะต้องยอมตรากตรำผ่านประสบการณ์เลวร้ายราวกับตกนรกทั้งเป็น เพื่อที่จะลดระดับปราณของตัวเองให้ลงไปอยู่ที่ขั้นปราณโลหิต ฝึกฝนจนบรรลุขั้นผนึกกายาและบำรุงชีพจรอีกรอบ วนไปวนมาแบบนี้เรื่อยๆ
วงจรนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายสิบหลายร้อยครั้ง คล้ายกับการที่ช่างตี เหล็กหลอมและตีเหล็กซ้ำไปซ้ำมา จนท้ายที่สุดได้ออกมาเป็นเหล็กกล้าที่แข็งแกร่ง! การทำลายพลังปราณให้ลดระดับขั้นลงไปนี้ อาจทำให้เขาบาดเจ็บปางตายได้ แม้จะอยู่ในมิติมายา
ถึงวิธีนี้จะผ่าเหล่าไปมาก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น สิ่งที่หวังเป่าเล่อ ต้องทำ คือ ทนความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้ได้ไปจนตลอดรอดฝั่งเท่านั้น!
ทางออกที่หน้ากากนิลเสนอให้เขานั้น ทำให้หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระส่ำ ชายหนุ่มหายใจลึก ก่อนมองไปที่หน้ากากด้วยความระแวง
“บาดเจ็บปางตายอย่างนั้นหรือ แม่นางน้อย เราไม่ได้เป็นศัตรูกันใช่ไหมนี่ ข้าเพียงแต่อยากแก้แค้นไอ้หมอนั่นเท่านั้น แต่วิธีการของเจ้า…ไม่อันตรายไป อย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อเอ่ยดังนั้น หน้ากากก็กะพริบอีกครั้ง กระแสสายฟ้านับ ไม่ถ้วนที่ดูราวใกล้ระเบิดออกมาปรากฏขึ้นบนหน้ากาก เหมือนใครก็ตามที่อยู่ข้างในกำลังบันดาลโทสะเป็นอย่างมาก หวังเป่าเล่อถอยหลังหนีด้วยความกลัว และรีบออกจากมิติมายาในทันที
หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ในถ้ำที่พักด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ ใจหนึ่งก็อยากแก้แค้น แต่อีก ใจหนึ่งก็คิดว่าทางออกที่หน้ากากให้นั้นอาจเสี่ยงไม่คุ้มเสีย ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็คงจะแย่อยู่ดี
ชายหนุ่มเปลี่ยนไปท่องเครือข่ายวิญญาณแทน ด้วยหวังว่าความขุ่นเคืองใจจะลดลงบ้าง แต่ยิ่งเห็นศิษย์ทั่วเกาะคุยกันเรื่องที่เขาโดนถอดออกจากรายชื่อ ก็ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม
หวังเป่าเล่อหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาส่งข้อความไปหารองเจ้าสำนักเกาเฉวียน โดยไม่ทันได้คิด
“รองเจ้าสำนักเกาเฉวียน ที่ท่านพยายามไล่ข้าออกจากสำนัก และร่วมมือกับหลินเทียนหาวพยายามฆ่าข้า ข้าพอทนได้ แต่คราวนี้ข้าต้องการคำอธิบาย!”
ก่อนหน้านี้รองเจ้าสำนักดูแลฝ่ายวินัยสำนักของทั้งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แปลว่าหวังเป่าเล่อที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องมีช่องทางการติดต่อเกาเฉวียนโดยตรงอยู่แล้ว
เมื่อส่งข้อความไปเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็จ้องแหวนสื่อสารของตนเพื่อรอคำตอบ แต่หนึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไร้วี่แวว หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่นนัยน์ตาขวาง
ช่างหัวมันปะไร ถ้าเจ้าไม่ให้คำตอบข้า ข้าก็จะอัดเจ้าให้น่วมจนกว่าจะยอม เปิดปากพูด!
สีหน้าของหวังเป่าเล่อไร้ซึ่งแววแห่งความเมตตา ขณะยกแหวนสื่อสารขึ้นมา ส่งข้อความไปหาเซี่ยไห่หยาง เพื่อขอยืมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่เอาไว้ลวงจิตใจอีกครั้ง!
คราวนี้การยืมไม่ได้ยากลำบากเหมือนคราวที่แล้ว ไม่นานนักเซี่ยไห่หยางก็นำของมาส่ง เมื่อเห็นสีหน้าขอหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางก็ไม่กล้าถามอีกไรอีกว่าจะนำสมบัตินี้ไปทำอะไร แต่กลับออกมาหลังจากพูดปลอบใจสองสามคำเท่านั้น
เมื่อเซี่ยไห่หยางไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็นั่งขัดสมาธิเงียบอยู่ในถ้ำที่พัก เขาหลับตาลงและนึกถึงทางแก้ที่หน้ากากบอก ครู่เดียวเขาก็ลืมตาขึ้นและหยิบเอา ศิลาวิญญาณรุ้งหลายอันออกมาสลักอักขระลงไปเพื่อรวมพลังปราณ
จุดประสงค์ของการสลักอักขระนี้ ก็เพื่อให้ศิลาวิญญาณรุ้งดูดเอาพลังปราณโดยรอบมาสะสมไว้ เมื่อสลักศิลาวิญญาณเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว หวังเป่าเล่อก็วางมันลง สูดลมหายใจลึกเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนจะเข้ามิติมายาไป
“แม่นางน้อย มาเริ่มกันเถอะ!”
สิ้นสุดคำพูดของหวังเป่าเล่อ แสงสว่างประหลาดก็เรืองออกมาจากหน้ากากนิล สายฟ้าสีดำน่ากลัวฟาดลงมาใส่หวังเป่าเล่อในทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว จะหนีก็หนีไม่ทันเสียแล้ว
ทันทีที่กระแสไฟกระจายไปทั่วร่างเขา ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสอธิบายไม่ถูกกรีดแทงไปทั่วร่างกาย รุนแรงเกินกว่าที่เขาเคยประสบมาทั้งชีวิต สายฟ้าฟาดกระหน่ำลงอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนทั้งร่างกายและจิตใจของเขาให้กลายเป็นนรกบนดิน
หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความรุนแรงของกระแสไฟฟ้าในทุกส่วนของร่างกาย ฉีกกล้ามเนื้อ บดกระดูก และทำลายเส้นปราณของเขา ทันทีที่กระแสไฟสีดำไหล บ่าเข้าร่างกายเขา หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับเขาโดนทำลายจนร่างแหลกแทบไม่เหลือ ชิ้นดี ก่อนจะปั้นขึ้นมาใหม่เพื่อเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิง!
ความเจ็บปวดนี้รุนแรงจนเกินรับไหว ชายหนุ่มกรีดร้องทุรนทุรายด้วยความ ทุกข์ทรมาน กระอักเลือดสีแดงสดออกมา ก่อนจะทรุดลงกองกับพื้นและชักกระตุกอยู่บนธารน้ำแข็งสีขาวตรงนั้น สายฟ้ากดปราณโลหิตและระดับพลังปราณของเขาไว้ พลังปราณขั้นบำรุงชีพจรของหวังเป่าเล่อถูกกดไว้โดยสิ้นเชิง ปราณโลหิตของเขาอัดแน่นจนกลายเป็นของแข็ง ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อเริ่มลดลงจากขั้นบำรุงชีพจร จนกลายเป็นขั้นผนึกกายา!
วงจรนี้ดำเนินไปอีกหนึ่งชั่วโมงเต็ม เสียงร้องของหวังเป่าเล่อค่อยๆ แผ่วลง แต่ตัวเขาก็ไม่หมดสติเสียที หลังจากที่กระบวนการกดพลังปราณสิ้นสุดลงแล้ว หวังเป่าเล่อที่อ่อนเปลี้ยใกล้หมดแรง ลุกขึ้นยืนด้วยร่างอันสั่นเทา เหงื่อโทรมกาย ชายหนุ่มออกจากมิติมายาด้วยความตั้งใจว่าจะไม่ยอมล้มลงเด็ดขาด
ในถ้ำที่พัก หวังเป่าเล่อหน้าซีดเผือดไร้สี แต่ดวงตากลับฉายแววเหี้ยม เขาเริ่มหลอมศิลาวิญญาณทันที แต่หาใช่เพราะต้องการศิลาเพิ่ม เป้าหมายของเขาคือการสะสมไขมันวิญญาณต่างหาก!
ชายหนุ่มต้องการสะสมไขมันวิญญาณให้มากที่สุดในระยะเวลาอันสั้น เพื่ออัดพลังปราณของตนให้กลับไปบรรลุขั้นบำรุงชีพจรอีกครั้ง ศิลาวิญญาณรุ้งที่เต็มไปด้วยอักขระข้างกายเขา ทำหน้าที่ดูดพลังปราณจำนวนมหาศาลมาไว้โดยรอบ เพื่อเสริมให้เมล็ดแห่งการดูดกลืนในกาย ดูดพลังปราณเข้าร่างให้เร็วขึ้นจนควบคุม ไม่ทัน และสะสมกลายเป็นไขมันในที่สุด!
“เกาเฉวียน รอข้าก่อนเถอะ!” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธ เมล็ดแห่งการดูดกลืนในร่างระเบิดออกเป็นครั้งแรก หมดสิ้นซึ่งการควบคุม และเริ่มดูดเอาพลังปราณจากทุกทิศทางเข้ามาไว้ในร่าง ราวกับกำลังทรมานตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น ศิลาวิญญาณรุ้งรอบกายเขาพลันเรืองแสง ขณะดูดเอากระแสปราณเข้ามารวมไว้ในจุดนั้น ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ เหมือนคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้าฝั่งไม่มีวันจบสิ้น ร่างของหวังเป่าเล่อกลายสภาพเป็นหลุมดำที่หมายมั่นจะสะสมพลังปราณทั้งหมดเข้ามาไว้ในตัว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หากมีใครเฝ้าดูเหตุการณ์นี้อยู่ คงเห็นเพียงร่างของ หวังเป่าเล่อที่ขยายออกอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ศิลาวิญญาณที่รายล้อมร่างของหวังเป่าเล่ออยู่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนร่างของเขาก็ขยายจนใหญ่เกินครึ่งห้อง
แม้แต่การลืมตายังกลายเป็นเรื่องยากสำหรับหวังเป่าเล่อ เขาขนฟันแน่นและ ใช้พลังทั้งหมดเอื้อมไปหยิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์ออกมา เขาจัดท่าให้เข้าที่เข้าทางสักพัก ก่อนส่งคำสั่งไปยังสมองเพื่อหลอกจิตใจตนเองให้น้ำหนักลด
หวังเป่าเล่อบอกตนเองว่า เขาวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอย่างไม่ได้หยุดหย่อนมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว
ทันทีที่คำสั่งนี้ส่งไปถึงสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของเขาก็เบิกโพลง จิตใจว้าวุ่นจนแทบระเบิด ร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นของเขาสั่นเทาอย่างคุมไม่อยู่ และ ไขมันวิญญาณก็เริ่มสลายตัวลงอย่างรวดเร็ว ไขมันนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังปราณที่ร่างของเขานำมาหล่อเลี้ยงตนเอง ส่งผลให้ปราณโลหิตของเขาพุ่งพรวดขึ้น
กระบวนการนี้ดำเนินไปเป็นเวลานาน เมื่อทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ขั้นปราณของ หวังเป่าเล่อก็กลับมาอยู่ในขั้นบำรุงชีพจรอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ราวกับว่าร่างกายของเขาพัฒนาขึ้นอีกขั้น มวลพลังที่ร่างกายของเขาปล่อยออกมานั้น คล้ายกับมวลพลังอันดุร้ายที่ชายชราในป่าฝนบ่อเมฆแผ่ออกมา…มวลพลังของผู้ที่บรรลุลมหายใจเที่ยงแท้แบบไม่สมบูรณ์ดี
นี่เป็นเพราะขณะที่หน้ากากนิลปล่อยสายฟ้าสีดำออกมาทำลายขั้นปราณของเขานั้น สสารลึกลับจำนวนมหาศาลที่มาพร้อมกับสายฟ้า แทรกซึมเข้าร่างกายของเขาอย่างช้าๆ!
ได้ผลจริงด้วย! หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกตื่นเต้นเมื่อรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลง เขาสูดหายใจลึกก่อนเข้าไปยังมิติมายาอีกครั้ง เพื่อเริ่มกระบวนการสร้างสรีระทองคำ
หวังเป่าเล่อกดพลังปราณของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยสายฟ้าสีดำมฤตยูจากหน้ากากนิล พลังปราณของเขาวนเวียนเปลี่ยนระดับขั้นอยู่ไปมา ลดลงจนกลายเป็นผนึกกายา และเพิ่มขึ้นเป็นบำรุงชีพจร อยู่อย่างนี้เป็นวังวนอันไม่มีที่สิ้นสุด…
ความทุกข์ทรมานของกระบวนการนี้ทำให้หวังเป่าเล่อแทบเป็นบ้า แต่ความบ้าบิ่นของเขากลับมีมากกว่า และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นว่าวิธีการนี้ใช้ได้ผล ความสำเร็จนี้ทำให้หวังเป่าเล่อกัดฟันทนได้ แม้ว่าจะทุกข์ทรมานแสนสาหัสแค่ไหน เมื่อกายและใจเจ็บปวดถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อก็จะนึกภาพตนเองอัดเกาเฉวียนน่วมจนไม่มีชิ้นดี
สรีระทองคำที่เอาชนะได้แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้! เกาเฉวียน คราวนี้ ข้าจะขยี้กล่องดวงใจเจ้าให้แหลกเป็นผุยผง!
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เส้นตายก็เดินหน้าเข้ามาใกล้ทุกที พลังปราณของ หวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว แม้เขาจะมีสภาพกระเซอะกระเซิงบอบช้ำ แต่หากมีใครได้เห็นหวังเป่าเล่อในตอนนี้ คงต้องตกใจกับมวลพลังที่เขาปล่อยออกมา
มวลพลังนี้เกินระดับขั้นบำรุงชีพจรไปมาก การกดพลังปราณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่แน่ใจว่าปราณโลหิตของตนอยู่ในระดับใด แสงสีทองเรืองอ่อนสว่างออกมาจากผิวกายของชายหนุ่ม
แม้แต่หน้ากากนิลเองยังอึ้งกับผลลัพธ์ หากมีวิญญาณอาศัยอยู่ในหน้ากากนั้นจริง บัดนี้นางคงตกใจเป็นอันมาก ว่าหวังเป่าเล่อนั้นทนความทรมานทั้งกายและใจมาเป็นเวลานานขนาดนี้ได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยพบเจอ มาก่อน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่สายฟ้าสีดำฟาดลงใส่หวังเป่าเล่อ มีเสียงพึมพำแผ่วเบาของหญิงสาวดังออกมาจากหน้ากาก แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองมัวแต่ทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดจนไม่ได้ยิน
“อย่าบอกนะว่าสรีระทองคำอะไรนั่นมีอยู่จริง เป็นไปไม่ได้! ตาอ้วนนี่มันเป็นใครกัน ข้าแค่เห็นว่ามันเกะกะลูกตาเลยอยากแกล้งเล่นเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าตานี่ได้ สรีระทองคำมาครอบครองได้เสียนี่!”