บทที่ 918 คว้าสิทธิ์ได้แล้ว
นับแต่ที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว และศิษย์แห่งเต๋าระดับดารานิรันดร์หลินไห่ผู้นั้นยื่นมือเข้ายับยั้ง คนเรือกระดาษยกไม้พายขึ้นโบก จนกระทั่งหวังเป่าเล่ออาศัย คลื่นยักษ์สีขาวหนุนจนรุดถึงตัวเรือได้ แล้วปะทะเข้ากับมหาศิษย์แห่งเต๋าซิงหลิง จากอารยธรรมครามทองคำผู้นั้น กระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นราวกับใช้เวลาเพียง ชั่วลัดนิ้วมือ
ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วจนผู้คนไม่ทันตั้งตัว ราวกับว่าฉากนี้ผ่านการฝึกซ้อมมาแล้วหลายครั้ง ระยะเวลาชั่วฟ้าผ่า จังหวะที่มหาศิษย์แห่งเต๋ารายอื่นบนเรือกำลังโห่ร้องตื่นเต้น และศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ซึ่งอยู่นอกเรือคำรามอยู่นั้น หวังเป่าเล่อเคลื่อนกายดุจกระแสไฟฟ้า สวมเกราะมหาจักรพรรดิ หิ้วอาวุธเทพทะยานเป็นเส้นโค้งพาดผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดารา ทะยานเข้าใส่มหาศิษย์แห่งเต๋าจากอารยธรรมครามทองคำ!
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ผู้อื่น เมื่อพบ การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะโต้กลับหรือหลบให้ทัน เกรงว่าแม้กระทั่งคิดพิจารณา ณ วินาทีนั้นยังยากจะทำได้ คงถูกหวังเป่าเล่อพิฆาตไปในพริบตาที่ตั้งตัวไม่ติดนี้เอง
เค่อซิงหลิงนั้นเป็นถึงผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำซึ่งถูกเลือกเพียงผู้เดียวในบรรดาศาย์แห่งเต๋ารุ่นนี้ แม้พลังระดับนั้นจะไม่ได้อยู่ในสายตาของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ถือเป็นผู้กุมชะตาของจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝั่งซ้ายลำดับที่สิบเก้า ถือครองทรัพยากรอันอุดมยิ่งกว่าอาณาจักรหรือพระเจ้าองค์ใด ทั้งคุ้นชินกับ สารพัดศึกระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกัน ดังนั้นแล้ว หากกล่าวถึงทรัพยากรอันน่าตื่นตะลึงหรือประสบการณ์ต่อสู้นั้น แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้จะทั้งอันตราย กะทันหัน และรุนแรง เค่อซิงหลิงก็รักษาท่าทีปกติได้อยู่
หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขากลับไม่หลบ แต่ใช้สัญชาตญาณเผาพลังปราณของตนโดยตรง ผลาญ!
ไม่เพียงแต่ผลาญพลังปราณ ทว่าในพริบตานั้นเขาคล้ายระเบิดพลังชีวิตไปด้วย ระหว่างที่เขาเริ่มตั้งตัวได้ ร่างก็เหมือนเปลี่ยนเป็นลูกบอลเพลิงลูกหนึ่ง เสียงคำรามต่ำดังตามติด ลูกบอลกลายสภาวะเป็นพยัคฆ์สีชาดตัวหนึ่ง พุ่งเข้าใส่ หวังเป่าเล่อ หมายมาดจะโจมตี
หวังเป่าเล่อเองก็เบิกตาโพลงคราหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้วัดฝีมือกับ ขุมพลังของมหาศิษย์แห่งเต๋า ในพริบตานั้นเขาเองก็รู้สึกทุกข์ใจไม่น้อย เป็นที่ ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ในระหว่างการต่อสู้นั้น ฝีมือของมหาศิษย์แห่งเต๋าผู้นี้เหนือกว่าผู้ฝึกตนอื่นๆ มากนัก ไม่เพียงแต่ด้านพลังยุทธ์ในการต่อสู้ แต่ประสาทสัมผัสในการศึกก็แตกต่างเช่นกัน
เพียงแต่ แผนเดิมของหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้หวังจะสังหารอีกฝ่ายให้ตาย ทว่า คู่ต่อสู้ที่กระตือรือร้นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ไร้หนทางจะควบคุมผลลัพธ์ ไม่รู้จะเหลือทางรอดให้ตัวเขาเองหรือไม่
“ตอบโต้รวดเร็วก็จริง แต่กลับตามสถานการณ์ไม่ทัน เช่นนี้ก็หาเรื่องใส่ตัวแล้ว” ความคิดแล่นวาบมาในสมองหวังเป่าเล่อ เงาร่างของทั้งสองคนบนเรือเริ่มปะทะพัวพัน
เสียงคำรามก้องฟ้าสะท้อนธาราพลันดังขึ้น ในเวลาเดียวกันก็แผ่ขยายไปสี่ทิศ หากมองจากระยะไกล ก็ยังเห็นชัดเจนว่าหวังเป่าเล่อใช้อาวุธเทพ กระแทกลงบนศีรษะของพยัคฆ์สีชาด ในจังหวะเดียวกับที่เสียงดังกัมปนาทนั้นดังขึ้น พริบตานั้นเองเขาก็ฉีกกระชากอีกฝ่ายออกเป็นสองท่อน ฝ่ายนั้นพลันไม่เหลือเรี่ยวแรงสู้ต่อ ร่างระเบิดเป็นแรงโจมตีขุมหนึ่ง มันไม่ได้ผลักพุ่งมายังหวังเป่าเล่อแต่กลับส่งแรงดีดไปด้านหลัง ซิงหลิงซึ่งผลาญพลังยุทธ์อยู่พลันถอยอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าวางแผน เว้นระยะห่างไว้อย่างดี คิดล่าถอยเผื่อไว้ตั้งแต่ที่เริ่มส่งแรงดีดแล้ว
การต่อสู้ที่พลังปราณใกล้เคียงกัน ทักษะการยุทธ์ระดับเดียวกันนั้น จริงๆ แล้วคือการต่อสู้เพื่อช่วงชิงจังหวะชั้นเชิง หากในพริบตานั้นถูกอีกฝ่ายคุมจังหวะโจมตีเอาไว้ได้ ก็แปลว่าได้เสียความได้เปรียบไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่รวดเร็วนี้ส่งผลถึง ชัยชนะ กระทั่งเพียงแค่เสี้ยวลมหายใจก็อาจหมายถึงความพ่ายแพ้
ตอนที่มหาศิษย์แห่งเต๋าจากอารยธรรมครามทองคำซิงหลิงลงมือนั้น มหาศิษย์แห่งเต๋ารายอื่นก็ได้ถอยห่างไปแล้ว แม้ยากจะปกปิดแววตาแปลกประหลาด แต่เมื่อเห็นซิงหลิงตัดสินใจระเบิดพลังปราณและพลังชีพในพริบตาอย่างไม่เสียดาย ก็เห็นชัดว่าหลายคนเป็นอันยอมรับในตัวเขา
ประสบการณ์ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อโชกโชนไม่แพ้กัน อีกทั้งเขายังรู้จักชิงโอกาสรุกก่อนตั้งแต่แรก ในเวลานี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายหวังล่าถอย เขาจะยอมได้เช่นไร โดยเฉพาะในการต่อสู้ที่เขาไม่อยากประวิงเวลา แม้ชายหนุ่มจะได้ลงเรือ ทั้งยังมีพวกกระดาษ รูปมนุษย์คอยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่เขาก็ยังไม่สามารถชิงสิทธิ์มาได้!
ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ที่อยู่ด้านนอกเปี่ยมไปด้วยโทสะ พาให้ดวงดารารอบด้าน บิดเบี้ยวไปด้วย ตัวเขาเองต้องได้ตราประทับให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้น หากว่าถูกไล่ออกจากเรือไปก่อน คงไม่แคล้วต้องสิ้นชีพ
จริงๆ แล้วเรื่องก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว ทะยานขึ้นเรือ แล้วลงมือกับมหาศิษย์แห่งเต๋าของอารยธรรมเขา สถานการณ์ก็เคร่งเครียด เปลี่ยนแปลงกะทันหันนัก ความเดือดดาลในใจของหลินไห่นั้น มากเพียงพอจะเผาเหล่าผู้ฝึกตนด้วยซ้ำ ในพริบตาที่เขาถูกฉีกหน้า พลังปราณของเขาก็ระเบิดบ้าคลั่ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของอารยธรรมตนต้องผลาญพลังปราณไปอย่าง ไร้ค่า เขาก็เดือดดาลจนคิดสังหารหวังเป่าเล่อแล้ว นับเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขาจริงๆ
“ไอ้สวะ หาที่ตาย!” หลินไห่สติหลุด ส่งเสียงคำรามต่ำ กระทั่งว่าด้านหลังเขาถึงขั้นปรากฏภาพเงาดาราขนาดยักษ์ ลูกบอลเพลิงขนาดมหึมานั้น แผ่ขยายพลังคุกคามและอุณหภูมิสูงจนเกินจะบรรยาย เขาพุ่งเข้ามาหาเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้ คิดฝืนใช้กำลังขึ้นเรือ
ทว่าเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไหนเลยจะยอมให้เขาขึ้นโดยง่าย มันคือนาวาที่มาจากสุสานดวงดารา หากว่าอ่อนแอปานนั้น เกรงว่าความลับในแดนดาราร่วงหล่นเอง ก็คงจะถูกตระกูลคงกระพันล่วงรู้ไปนานแล้ว มันย่อมไม่กลายเป็นตำนานเล่าลือ แต่เป็นได้เพียงสมบัติของตระกูลคงกระพันเป็นแน่
ฉะนั้นทุกสิ่งที่หลินไห่กระทำไปนั้นจึงไร้ความหมายนัก แม้ว่าหลินไห่จะเป็นถึงระดับดารานิรันด์ แต่ว่าเบื้องหน้าเขานั้น เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับเหมือนล่องหนคล้ายไม่เคยปรากฏมาก่อน อาศัยการโจมตีของเขาเช่นนี้ ต่อให้ใช้พลังเวทก็ได้แค่ ผ่านเลยไป ทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้สักนิด
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็เลือกจะไม่สนใจ แต่ลางสังหรณ์ในใจ ยังคงกรีดร้องรุนแรง ในพริบตาที่ซิงหลิง มหาศิษย์แห่งเต๋า ผู้ฝึกตนจากอาณาจักรครามทองคำเริ่มมีจิตสังหาร พลังโทสะในใจพวยพุ่งขึ้นฟ้า หวังเป่าเล่ออาศัยจังหวะที่พยัคฆ์สีชาดล้มลงล่าถอยไป แววตาของเขาทอประกายเย็นเยียบ ชายหนุ่ม ยกมือขวาขึ้น จากนั้นก็หยิบโทรโข่งยักษ์ที่ปรับแต่งแล้วออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ
หลังจากโทรโข่งถูกปรับแต่ง ระดับของมันก็สูงขึ้นเป็นระดับเก้า แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นเป็นอาวุธชั้นเทพ แต่ก็เป็นระดับที่สั่นคลอนผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ โดยเฉพาะในช่วงที่หวังเป่าเล่อเจอวิกฤติ เขาก็ไม่สนว่าโทรโข่งจะเสียหายเพียงใด ในชั่วขณะที่คว้าโทรโข่งออกมาได้ เขาก็รีบยกมันขึ้นมาเบื้องหน้า จากนั้นก็ใช้ พลังทั้งหมดตะโกนเข้าไป
โฮก!
เสียงแผดร้องนั้นฟังเหมือนอสนีบาตระเบิดสะท้านก้อง ในพริบตานั้นเอง พลังอำนาจทั้งมวลก็ถูกโทรโข่งยักษ์สูบเข้าหนุนนำ จากนั้นก็ระเบิดออกมารุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า พริบตานั้นมันก็กลายเป็นกระแสพลังโจมตีของคลื่นเสียงบ้าคลั่ง ซึ่งมนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
และยิ่งกว่านั้นระหว่างที่กระแสพลังระเบิด ในโทรโข่งก็มีเสียงแตกหักปริร้าวเจือขึ้นมา เห็นชัดว่าหวังเป่าเล่อคุมพลังไม่อยู่ จนโทรโข่งถูกใช้งานเกินกำลังไปมาก
ระลอกคลื่นเสียงรวดเร็วเกินไป พริบตาถัดมาก็แผ่คลุมไปถึงซิงหลิงที่วางแผน จะล่าถอย คลื่นเสียงที่ว่านี้ยากจะบรรยาย สามารถทำให้ผู้ที่ได้สดับมันถึงขั้นแก้วหูสะเทือนสูญเสียสติในชั่วแล่น และมีผลโจมตีสภาวะจิต พาให้สติมึนงง เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งสี่นั้นเหมือนห้วงจิตระเบิดพลัน สีหน้าพวกเขาเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เผยสีหน้าแตกตื่นและหวาดผวา
ขนาดพวกเขายังเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ต้องกล่าวถึงซิงหลิงที่ได้ผลาญพลังปราณไปและบาดเจ็บอยู่ ในพริบตาที่ระลอกคลื่นเสียงแผ่คลุมร่างของเขา ก็เหมือนถูก แรงปะทะขุมใหญ่ฟาดเข้าใส่ ร่างกายสะท้านเอนถึงขั้นไม่อาจปกปิดเสียงกรีดร้องทรมานได้ เขาสูญเสียการได้ยินทันที ดวงตาพร่าเลือน สิ้นสติอย่างไม่อาจคุม ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
แม้ใจจะต่อต้าน ทว่าหวังเป่าเล่อมีหรือจะปล่อยโอกาสนี้ไป ในพริบตาที่คู่ต่อสู้ทำอะไรไม่ได้แล้ว หวังเป่าเล่อก็เคลื่อนเข้าใกล้ทันที
หลินไห่เห็นภาพนี้แล้ว เหมือนความหวังของตนสิ้นสลาย เขาคำรามต่ำ
“ไอ้สวะ! เจ้ากล้าฉวยโอกาสรังแกคน ผู้เฒ่าอย่างข้าขอสาบานจะทำลาย อารยธรรมดวงเนตรสววรค์ของเจ้าให้สิ้น”
“ขู่ข้าหรือ” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงเย็น จากนั้นด้วยความเร็วชนิดไม่คิดจะหยุด พริบตาชายหนุ่มก็เข้าใกล้ซิงหลิงแล้วใช้มือขวาคว้ากระดาษที่อยู่ในมืออีกฝ่าย ชิงมันมาทันที
ในส่วนของซิงหลิงนั้น หวังเป่าเล่อย่อมไม่คิดจะสังหารง่ายๆ เขาใช้มือขว าสร้างผนึกฝ่ามือ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือทาบบนหน้าผากอีกฝ่าย ดูดกลืนพลังนั้นเข้าสู่กระเป๋าคลังเก็บ พลันหันกายไปดูนอกลำเรือ จ้องไปยังหลินไห่ซึ่งดวงตาฉายแววสังหารสีแดงก่ำ
“รอข้ากลับมา วันใดที่ที่นี่สงบสุข วันนั้นคือวันชำระความกับพวกเจ้า มหาศิษย์แห่งเต๋า”
กล่าวจบ เขาก็ไม่สนใจไยดีผู้เฒ่าหลินไห่ที่ทำหน้าปั้นยากอีก แต่ยกไพ่กระดาษขึ้นชู ในช่วงที่สี่คนรอบตัวกำลังเหม่อลอยนั้น ชายหนุ่มก็หันไปเอ่ยกับกระดาษรูปมนุษย์
“ขอบคุณผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าได้สิทธิ์มาแล้ว”
กระดาษรูปมนุษย์มองจ้องหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วยกมือขึ้นจ้วง ไม้พายต่อไป พริบตานั้นลำเรือก็สั่นสะเทือนพลางตั้งทิศทางใหม่ มุ่งไปยังจุดหมายห่างไกลช้าๆ
มหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรือทั้งหมดเผยแววตาสับสน ต่างก็มองหวังเป่าเล่อที่ยืน อยู่ตรงนั้นและเปล่งประกายเหนือกว่าพวกเขาทุกคน แล้วค่อยๆ จมดิ่งไปกับความคิด
ศึกครานี้ หวังเป่าเล่อไม่เพียงชิงสิทธิ์มาได้ แต่ยังสามารถทำให้พวกเขายอมรับในพลังของชายหนุ่มได้อีกด้วย