บทที่ 95 รากฐานวิญญาณเก้านิ้ว
การโจมตีของหวังเป่าเล่อรวดเร็วเกินไปจนทุกคนตั้งตัวไม่ทัน แม้แต่หวงกุ้ย กว่าจะรู้สึกตัวหวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าฉกนิ้วของชายร่างสูงมาหักเข้าให้เสียแล้ว ความเจ็บปวดกระจายจากนิ้วไปทั่วร่างของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
“โอ๊ย ปล่อย ปล่อยข้า!” ชายหนุ่มร้องโอดโอย เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต เสียงร้องของเขาแหลมโหยหวน ส่วนร่างกายก็บิดไปบิดมาด้วย ความทรมาน
หวังเป่าเล่อพ่นลมออกทางจมูก เขาพยายามทำตัวให้ไม่โดดเด่นจึงไม่ได้ไปเที่ยวกวนประสาท แต่เจ้าบ้านี่กลับพุ่งตรงมาหาเรื่องเขาเฉย
แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อทนไม่ได้กับการถูกรังแก ชายหนุ่มเพ่งมองเหยื่อของตนก่อนคำรามขู่ “รออะไรอยู่ ชาวบ้านเขาจะรีบเข้ามิติเวทกัน เรียกข้าว่าบิดาสิ จะได้จบเรื่องกันไปเสียที!”
สีหน้าของหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายซีดเผือดขณะพยายามดิ้นหนีให้หลุด แต่มือของ หวังเป่าเล่อกลับบีบนิ้วเขาไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก ยิ่งขยับร่างกาย แรงบิดจากข้อต่อยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม จนดิ้นหลุดออกจากพันธนาการไม่ได้
ในเวลาเดียวกันนั้น ศิษย์คนอื่นที่อยู่รายรอบก็เริ่มรู้สึกตัว ทุกคนต่างจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยตาเบิกโพลง หวังเป่าเล่อไวเกินไป ส่วนเสียงกรีดร้องโหยหวนจาก เจ้าหนุ่มนั่นก็ดูทรมานจับใจ
แม้แต่เหล่าศิษย์ที่ใกล้ถึงทางเข้ามิติเวทยังได้ยินเสียงอันน่าเวทนานั้น ทุกคนต่างหยุดและหันกลับมามองว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงพูดคุยปะทุขึ้นมาทันที
“มีคนสู้กัน!”
“จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้น นี่ขนาดยังไม่ได้เข้ามิติเวทเลยนะ”
ทุกคนเริ่มพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นศิษย์สำนักตนเองโดนข่มเหง บรรดาศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อยก็เริ่มไม่พอใจ จึงเดินดุ่มเข้ามาตะโกนใส่ หวังเป่าเล่อทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“ข้ารู้ว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร หวังเป่าเล่อจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มันจะมากเกินไปแล้ว!”
เห็นดังนั้น ศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากโดนข่มเช่นกัน จึงพากันเดินมาเขม่นกันถ้วนหน้า จลาจลขนาดย่อมๆ ปะทุขึ้นที่หน้าทางเข้ามิติเวท
“สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อยกับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะสู้กัน! ข้าหมั่นไส้พวกสำนักกวางขาวสาขาย่อยมานานแล้ว พวกนี้มันชอบทำเป็นเอาใจ เจ้าสำนัก แถมยังชอบดูถูกสำนักอื่น หวังเป่าเล่อ จัดการมันเลย!”
“ฮ่าๆ ข้าก็ได้ยินมาบ้างว่าพวกศิษย์ต่างสำนักชอบตะลุมบอนกันในมิติเวท ไม่คิดเลยว่าคราวนี้จะเล่นมันตรงหน้าทางเข้าเสียเลย ข้าว่าในมิติเวทต้องสนุกกว่านี้แน่ๆ!”
เมื่อบรรดาศิษย์เริ่มเขม่นและตะโกนใส่กันไปมาจนเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย เหล่าอาจารย์และผู้ฝึกตนก็เริ่มหงุดหงิด เจ้าสำนักจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้ว ก่อนตะโกนห้ามทัพ “หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าว่างกันมากหรือ รีบเข้ามิติเวทไปเสีย!”
ขณะที่ท่านเจ้าสำนักชราพูดนั้น ชายวัยกลางคนข้างๆ ท่านที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อย ก็เพ่งมองไปที่ความวุ่นวายนั้นอย่างดุดัน ก่อนร้องปรามออกมาด้วยเสียงดังราวฟ้าผ่า
“หากใครทำตัววุ่นวายอีก ข้าจะยกเลิกบททดสอบมิติเวท!”
เมื่อท่านเจ้าสำนักสองท่านขู่ติดกันด้วยความไม่พอใจ เหล่าศิษย์จึงเลิกวางมวยใส่กันแต่โดยดี หวังเป่าเล่อจ้องหน้าคู่อริจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อยเขม็ง ก่อนจะยอมปล่อยในที่สุด
กว่าจะถึงตอนนี้ หน้าผากของชายคนนั้นก็เปียกไปด้วยเม็ดเหงื่อ หน้าซีดขาว เขารีบถอยหนีทันที สายตาของชายหนุ่มคนนั้นที่มองหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความ จงเกลียดจงชัง เขาตัดสินใจแล้วว่าหากเจอหวังเป่าเล่อในมิติเวท จะไม่มีทางปล่อยโอกาสแก้แค้นให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด ชายหนุ่มคนนั้นจ้องหน้าหวังเป่าเล่อ ไม่ยอมเข้ามิติเวทเสียที จนสหายร่วมสำนักต้องมาพาตัวไป
“หน้าตากวนประสาทเป็นบ้า จะแก้แค้นเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพ่นลมเยาะ ก่อนจะเลิกสนใจและเข้ามิติเวทไป
เมื่อศิษย์สี่พันคนเข้ามิติเวทไปเรียบร้อยแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ภายนอกก็เริ่ม ปรับระดับพลังปราณ พายุค่อยๆ เบากำลังลงจนหายไปในที่สุด เหล่าผู้แก่กล้าเริ่มมองหาคนที่ตนรู้จักเพื่อพูดคุย ในขณะที่บางคนเริ่มฝึกสมาธิ
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดประตูมิติทิ้งไว้ เนื่องจากศิษย์ที่บรรลุระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้จะถูกขับออกมาเองในที่สุด เมื่อผู้บรรลุขั้นปราณส่วนใหญ่กลับมาได้เรียบร้อยแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนจึงจะรวบรวมพลังปราณเพื่อเปิดประตูมิติเวทอีกครั้ง เพื่อให้ศิษย์ผู้โชคร้ายที่ฝึกวิชาไม่สำเร็จกลับออกมาได้
ส่วนเจ้าสำนักทั้งสี่นั้นก็ยังคงนั่งอยู่ด้วยกันที่เดิม แม้จะต้อนรับขับสู้กันอย่างยิ้มแย้ม แต่ความจริงแล้วทั้งสี่กำลังแข่งขันกันอยู่
“ข้าอยากรู้นักว่าจะมีกี่คนกันที่ได้รากฐานวิญญาณแปดนิ้วมาในคราวนี้”
“พนันกันไหมเล่า กติกาเดิมนะ”
“ได้เลย สำนักใดที่มีศิษย์ที่ได้รากฐานวิญญาณแปดนิ้วมากที่สุดชนะ!”
ขณะที่ทั้งสี่เจ้าสำนักพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่ละคนก็หยิบเอาของวางเดิมพันออกมาวางรวมกันไว้ ในกองนั้นมีทั้งโอสถ วัตถุดิบ และวัตถุเวทต่างๆ แต่ละชิ้นล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตน และมีมูลค่ามหาศาล
แม้สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวจะชนะเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่คราวนี้เจ้าสำนักชราของหวังเป่าเล่อ และเจ้าสำนักวัยกลางคนจากสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์ก็ดูมั่นใจเช่นกัน ไม่นานนั้นทั้งสี่ก็เริ่มวางเดิมพันกัน
ขณะที่กลุ่มผู้ฝึกตนในจัตุรัสเริ่มฆ่าเวลากันนั้นเอง ศิษย์สี่พันคนในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณต่างก็กำลังตกใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบอยู่
ท้องฟ้าในมิติเวทแตกต่างจากภายนอก เพราะแต่งแต้มไปด้วยสีสันสวยสด ราวกับมีสายรุ้งนับไม่ถ้วนลอยวนอยู่เบื้องบน จนทำให้ทั้งผืนฟ้าส่องสว่างเป็นกระกาย
พื้นดินก็เช่นกัน พื้นดินในมิติเวทไม่ได้เป็นทะเลทรายแบบภายนอก หากแต่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์นานาชนิด มองไปไกลๆ ก็ยังเห็นเทือกเขา แม่น้ำ และ ป่าเขาเขียวขจีด้วย
ที่ใจกลางนั้นมีภูเขาลูกใหญ่ตั้งอยู่ แต่เค้าโครงนั้นกลับมองเห็นไม่ชัดนัก ภูเขานั้นไม่ได้เป็นหินดินทรายแบบภูเขาทั่วไป หากแต่เป็นซากปรักหักพังจากกระบี่ สำริดโบราณ!
“เอาล่ะ หมู่บ้านลมปราณวิญญาณ ข้าจะต้องนำรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว มาครอบครองให้ได้!”
“ข้าจะเข้าเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงไปตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วก็ได้ แต่ข้าก็เฝ้ารอโอกาสนี้มาตลอด เพื่อที่จะได้รากฐานวิญญาณแปดนิ้ว!”
ทุกคนเต็มไปด้วยแรงใจฮึดสู้ เพราะรู้ดีว่าโอกาสทองนี้ไม่ได้ผ่านเข้ามาง่ายๆ หากพวกเขาเก็บเกี่ยวจากประสบการณ์นี้ไว้ให้ดี หนทางแห่งการเป็นผู้ฝึกตนก็จะมั่นคงขึ้นไปอีกขั้น
หวังเป่าเล่อเองก็เลือดเดือดพล่านด้วยพลังใจเช่นกัน หลังจากดูสถานการณ์รอบตัวเรียบร้อย เขาสังเกตเห็นว่าหลายคนเริ่มเดินตรงไปข้างหน้า บางคนก็ไป คนเดียว บางคนก็ไปกันเป็นกลุ่มประมาณสามถึงห้าคน หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็เริ่มก้าวเท้าออกเดินทาง
ทันใดนั้น ผู้คนรอบตัวเขาก็เริ่มแสดงอาการตกใจ
“ดูที่ท้องฟ้าสิ!”
“นั่นมัน…”
เสียงอุทานเริ่มแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อจึงเงยหน้าขึ้นมองตาม บนฟ้านั้นมีร่างไร้ใบหน้า กำลังก้าวเท้าเดินอยู่บนอากาศ!
แม้ร่างนั้นจะไม่มีใบหน้า แต่จากร่างกายก็สามารถบอกได้ว่าเป็นเพศชาย ร่างของเขาไม่คมชัด แต่ก็พอเห็นได้ว่ามีสิ่งที่เหมือนรากงอกออกมาจากเรือนกาย!
รากนั้นยาวมาก ราวประมาณเก้านิ้วได้!
แรงกดดันที่ร่างนั้นปล่อยออกมาทำให้ทุกคนสะพรึงไปตามๆ กัน มันเดินช้าๆ ด้วยท่าทีสงบ ราวกับกษัตริย์ที่กำลังเดินสำรวจสวนอันสวยงามของตนเอง ท่าทีนี้ บวกกับแรงกดดันมหาศาลทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างจ้องกันเป็นสายตาเดียว
เจ้ารากฐานวิญญาณนี้กำลังวางมาดยิ่งใหญ่ให้ทุกคนดูอยู่!
“เก้านิ้ว…นี่มันรากฐานวิญญาณเก้านิ้วนี่!”
“สวรรค์เป็นพยาน เข้ามาไม่กี่นาที ข้าก็ได้เห็นรากฐานวิญญาณเก้านิ้วในตำนานกับตาตนเองแล้วหรือนี่!”
“ไม่เคยมีใครได้จับคู่กับเจ้านี่เลย ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก มีหลายคนที่พยายามนำรากฐานวิญญาณเก้านิ้วมาครอบครอง แต่สุดท้ายก็พังไม่เป็นท่า”
สายตาของทุกคนพุ่งไปที่จุดเดียวคือ รากฐานวิญญาณเก้านิ้ว ทุกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกหมดหวัง พวกเขาจ้องจนกระทั่งรากนั้นไกลลับสายตาไป แรงกดดันก็หายตามไปด้วย
หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระส่ำ จนหายใจหอบถี่ตาม แต่เขาเข้าใจดีว่าขีดจำกัดที่ร่างกายมนุษย์รับได้คือแปดนิ้วเท่านั้น รากฐานวิญญาณเก้านิ้วนี้…ทำได้แค่ดู แต่ครอบครองไม่ได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกคนได้เห็นรากฐานวิญญาณเก้านิ้วทันทีที่เข้ามิติมาหรืออย่างไร แต่เหล่าศิษย์ต่างดูตื่นตัวมากขึ้น ไม่นานนักสานุศิษย์จากสี่สำนัก ก็พากัน แยกย้ายไปตามหาโชคชะตาของตนเองในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ
จั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง เฉินจื่อเหิง และคนอื่นๆ ต่างเลือกที่จะฉายเดี่ยว ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อตั้งใจจะถามตู้หมินว่าอยากไปด้วยกันหรือไม่ แต่นางก็หายไปคนเดียว เสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าทุกคนเลือกเส้นทางสันโดษ หวังเป่าเล่อก็เลือกทางนั้นบ้าง และมุ่งหน้าไปยังทิศหนึ่งในทันที
หมู่บ้านลมปราณวิญญาณนั้นกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะมีคนอยู่ถึงสี่พันคนจากทั้ง สี่สำนัก แต่หลักจากแยกกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่เจอใครตามทางอีกเลย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนครบหนึ่งวัน
ในวันแรกนี้ มีผู้โชคดีบางคนที่ได้เจอกับรากฐานวิญญาณหนึ่งนิ้วที่ตนตามหา แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครโชคดีขนาดนั้น แม้บางคนจะเจอรากฐานวิญญาณที่จับคู่ กับตนเอง แต่ก็ไม่ใช่หนึ่งนิ้วจึงไม่เป็นประโยชน์อันใด และแม้จะเจอรากฐานวิญญาณหนึ่งนิ้ว แต่หากไม่ใช่ของตนเอง ก็ทำอะไรไม่ได้
“รากฐานวิญญาณหนึ่งนิ้วของข้า อยู่ไหนกันนะ” ขณะนี้หวังเป่าเล่ออยู่ที่มุมหนึ่งของหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ เคี้ยวขนมอยู่กร้วมๆ พลางประเมินสถานการณ์อย่างหมดกำลังใจ
ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงอับโชคขนาดยังไม่เจอ รากฐานวิญญาณหนึ่งนิ้วเลยแม้แต่ตนเดียว แผนการสุดท้ายของเขาคือค่อยๆ หาจากรอบนอก วนเข้าไปที่ใจกลางหมู่บ้าน
หวังเป่าเล่อเดินดุ่มๆ อยู่ในป่าอีกหนึ่งชั่วโมงด้วยความหดหู่ใจ ขณะที่กำลังหัวเสียอยู่นั้น เขาก็หยุดกึก ตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เมื่อเห็นร่างไร้ใบหน้าลอยนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ที่มันไม่ขยับนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ว่า…กลับมีเสียงหัวเราะประหลาดลอยออกมาด้วยนี่สิ