Chapter 4
ความทรงจำอันโหดร้าย
“เจ็บ” เจ้าหญิงจันทราตอบเสียงแผ่ว
“เช่นนั้น ข้าจะเอายามาให้นะเจ้าคะ”
“อืม” เจ้าหญิงจันทราส่งเสียงคำหนึ่ง นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบลุกไปหยิบยามาให้ อีกคนก็รินน้ำจากเหยือกทองใส่แก้วทอง แล้วทั้งสองก็ช่วยกันประคับประคองเจ้านายขึ้นมากินยา เจ้าหญิงจันทราก็กัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ลุกขึ้นมากินยาดื่มน้ำ แล้วก็นอนลงไป
“เจ้าอยู่นี่นะ เดี๋ยวข้าไปยกซุปมาให้เจ้าหญิงก่อน” นางกำนัลคนหนึ่งบอกกับอีกคน
“อืม” นางกำนัลอีกคนก็พยักหน้า แล้วนางกำนัลก็เดินออกจากห้องไป แต่เมื่อเดินไปเปิดประตูก็เห็นทหารชาวสุริยะยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง 4 คน ทหารทั้ง 4 หันมามองนางเป็นตาเดียว
“จะไปไหน!?” ทหารคนหนึ่งตวาดถาม
“ขะ…ข้า…ข้าจะไป…เอาซุป…มะ…มา…ให้…จะ…เจ้าหญิง” นางกำนัลตอบตะกุกตะกักอย่างหวาดกลัว
“ราชามีคำสั่ง ไม่ให้ใครเข้าออก” ทหารตวาดใส่ “ถึงเวลาจะมีคนยกอาหารมาให้พวกเจ้าเอง กลับเข้าไปซะ!”
นางกำนัลรีบถอยกลับ ปิดประตูมือสั่นเทา คนชั่วช้าพวกนี้น่ากลัวนัก!
นางรีบกลับไปหาเจ้าหญิงทันที นางกำนัลอีกคนเห็นเพื่อนเดินหน้าตาตื่นกลัวก็ถามว่า “เกิดอะไร?”
“พะ…พวกมัน…เฝ้าอยู่หน้าห้อง มะ…ไม่ให้พวกเราออกไป” นางกำนัลตอบตะกุกตะกักตัวสั่นๆอย่างหวั่นกลัว
“นี่พวกมันคิดจะขังพวกเราไว้อย่างนั้นรึ!?” นางกำนัลเดินเข้าไปกุมมือเพื่อนนางกำนัลแล้วโอบไหล่ปลอบประโลม
เจ้าหญิงจันทราเอียงหน้ามองนางกำนัลทั้งสองแล้วก็กัดริมฝีปากอย่างแค้นใจ หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อถูกพวกมันจับตัวเอาไว้ นางคงสู้กับพวกมันจนถึงที่สุด ไหนเลยจะยอมให้มันจับกุมเฆี่ยนตีเช่นนี้ได้ แล้วนางก็ครุ่นคิด สองดินแดนต่างคนต่างอยู่มานานแล้วนับตั้งแต่สงครามครั้งใหญ่เมื่อหลายร้อยปีก่อน เหตุใดวันนี้คนจากดินแดนสุริยะจึงได้บุกมาทำศึกเล่า?
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงตะโกนบอกว่า “อาหารของพวกเจ้ามาแล้ว รีบมาเอาไปซะ!”
นางกำนัลทั้งสองสะดุ้งสุดตัว มองหน้ากันเอง แล้วก็พากันค่อยๆย่องไปเปิดประตูดู เห็นอาหารจานหนึ่งวางอยู่หน้าประตู มีเพียงขนมปัง 3 ก้อนวางอยู่ในจาน พอนางจะเอ่ยปากถาม ทหารที่ยืนเฝ้าก็ตวาดว่า “ยังไม่รีบเอาไปอีก! ถ้าไม่เอาข้าจะได้เอาไปให้คนอื่น”
นางกำนัลจึงยื่นมือออกไปดึงจานใส่ขนมปังเข้ามาแล้วก็รีบปิดประตู
“เจ้าหญิงเจ้าคะ พวกมันให้เราแค่ขนมปังชั้นเลวเพียงเท่านี้เองเจ้าค่ะ” นางกำนัลถือจานขนมปังไปข้างเตียง น้ำตาคลอในดวงตา
“พวกมันน่าตายนัก!” เจ้าหญิงจันทราขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำมือแน่นอย่างแค้นใจ พวกมันบุกเข้ามา ทำเหมือนชาวจันทราคือนักโทษที่พวกมันจะข่มเหงอย่างไรก็ได้ คอยดูเถอะ หากข้ากระชากเจ้าเชือกสะกดนี่ออกได้เมื่อไหร่ข้าจะขับไล่พวกเจ้าออกไปให้หมด!
“เจ้าช่วยป้อนให้ข้าที” เจ้าหญิงสั่ง ดวงตาดุวาว นางต้องกินให้มีแรงมีกำลังจึงจะสามารถสู้กับพวกมันได้!
“เจ้าค่ะ” นางกำนัลรับคำแล้วก็หยิบขนมปังแข็งโป๊กมาบิทีละนิดแล้วค่อยๆป้อนเจ้าหญิง
เจ้าหญิงจันทราก็พยายามกล้ำกลืนฝืนกินขนมปังลงไป ทั้งแข็งทั้งจืดชืดจนแทบอยากถ่มทิ้ง แต่ก็ยังฝืนกินจนหมด หลังจากนั้นนางกำนัลทั้งสองก็พยายามฝืนกินขนมปังลงไป พวกนางก็ไม่ได้โง่ ต้องกินต้องมีแรง จึงจะสู้กับพวกมันได้ อย่างน้อยพลังไม่มีแต่กำลังกายยังมี
เวลาผ่านไปนานอีกเท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ พลันประตูห้องก็ถูกถีบเปิดออก “ตึง!”
นางกำนัลทั้งสองสะดุ้งผวาเฮือก! ขยับจับมือกันแน่น แล้วมองไปทางต้นเสียง
ราชาภากรเดินเข้าไปในห้อง กวาดตามองไปรอบๆห้องรับแขกรอบหนึ่งแล้วก็เดินตรงไปยังห้องนอน เมื่อก้าวเข้าไปก็เห็นเจ้าหญิงคนงามนอนคว่ำอยู่บนเตียง มีนางกำนัล 2 คนยืนอยู่ข้างเตียง เขาเดินไปที่เตียงด้วยสายตามุ่งร้าย นางกำนัล 2 คนนั่นก็ปราดเข้ามาขวางหน้า เอ่ยปากไล่ตะกุกตะกักว่า “อะ…ออกไป…”
“เจ้าอยากตาย ข้าก็จะช่วยสงเคราะห์ให้” ราชาภากรกล่าวเย็นเยียบเหี้ยมโหด ยื่นมือคว้าหมับไปที่คอเล็กๆของนางกำนัลทั้งสอง
นางกำนัลทั้งสองขยับถอยกรูด “ยะ…อย่า…” ราชาภากรก้าวพรวดเดียวก็ถึงตัวพวกนางแล้ว เขาคว้าลำคอพวกนางหมับ! แล้วออกแรงบีบ
“อ๊อกๆ” นางกำนัลทั้งสองพยายามแกะมือใหญ่ออกจากลำคอตัวเอง ทั้งทุบทั้งตีแขนเจ้าคนโหดเหี้ยมพัลวัน เท้าก็ยกถีบสุดแรง
เจ้าหญิงจันทราขยับลุกขึ้น เพียงแค่ขยับตัว ความเจ็บปวดก็แล่นปราดจนต้องล้มตัวลงไปดังเดิม “โอย…” ดวงตาคู่งามมองจ้องชายผู้โหดร้าย ตวาดว่า “ปล่อยพวกนาง!”
ราชาภากรเบนหน้าไปมองเจ้าหญิงคนงามด้วยสายตาเย้ยหยัน มือก็ออกแรงบีบเพิ่มขึ้น จนนางกำนัลทั้งสองหน้าเขียวตาเหลือก มือที่ทุบตี ค่อยๆอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ตกห้อยลง พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่ปลิดปลิว
“ไม่!—–” เจ้าหญิงจันทรากรีดร้องเสียงหลง ตาเบิกโต ราชาภากรก็โยนศพนางกำนัลทั้งสองไปด้านข้าง สั่งทหารว่า “ลากพวกมันออกไป”
“ขอรับ” ทหารรีบกรูกันเข้าไปลากศพนางกำนัลทั้งสองออกไป
“เจ้ามันไม่ใช่คน! เจ้าคือปีศาจร้าย!” เจ้าหญิงจันทราชี้นิ้วด่า ราชาภากรก็แบมือขึ้น แส้ปรากฏบนฝ่ามือ แล้วเขาก็ฟาดแส้ใส่นางอีกครั้ง “ขวับ!”
“โอ๊ย!” เจ้าหญิงจันทราร้องลั่น แผลเดิมยังไม่ทันบรรเทา ก็ถูกแส้ฟาดอีกแล้ว นางเจ็บปวดแทบขาดใจ ยิ่งได้ยินเสียงนางร้อง ราชาภากรก็ยิ่งกระหน่ำฟาดลงไป “ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!——”
“โอ๊ยยยยย—–” เจ้าหญิงจันทราร้องลั่น เจ็บจนน้ำตาร่วง เสียงร้องของนางดังไกลออกไป ดังไปจนถึงหอคอย ราชาอนธการได้ยินเสียงลูกสาวร้องก็โผพุ่งไปพยายามแหกทำลายกรง “จันทรา—– จันทราลูกข้า—–โอ๊ยยยยย—–”
มือของราชาอนธการถูกกรงไฟเผาจนผิวเนื้อบวมพอง แต่เขาก็ยังไม่หยุดแหกกรง
“ร้องเข้าไป ร้องดังๆ ร้องอีก!” ราชาภากรตะคอกสั่งพลางฟาดแส้กระหน่ำลงไป จนเสื้อบนแผ่นหลังบอบบางฉีกขาดอีกครั้ง เลือดซึมออกมาจนผ้าที่ใช้พันปิดแผลแดงฉาน
“เจ้าคนอำมหิต เจ้าปีศาจร้าย! โอ๊ยยยย—–” เจ้าหญิงจันทราจ้องอย่างกินเลือดกินเนื้อ นางร้องจนสลบไป ราชาภากรจึงได้หยุดมือ เขาได้ยินเสียงร้องของราชาอนธการดังลอยมาก็ยิ้มอย่างสะใจ แล้วเดินออกจากห้องไป สั่งทหารว่า “เลือกคนมาอยู่รับใช้นางใหม่ จัดยาจัดอาหารให้นางกินด้วย ข้าไม่ต้องการให้นางตายเร็วนัก”
“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็รีบแบ่งคนให้ไปทำตามคำสั่งเจ้านาย ทหารคนหนึ่งก็รีบแยกตัวไป แล้วราชาภากรก็เดินไปนอนในห้องนอนห้องหนึ่ง ก่อนมาทำศึกเขาก็สั่งพวกทหารแล้วว่าให้กดขี่ข่มเหงผู้คนอย่างไรก็ได้ ยิ่งทำให้ชาวจันทราทนทุกข์มากเท่าไหร่ยิ่งดี! พวกทหารจึงคิดแผนการที่จะกดขี่ข่มเหงชาวนครจันทราไม่หยุดไม่หย่อน ทั้งแย่งเสบียง ทั้งย่ำยีสตรีชาวจันทรา หากมีคนไหนลุกขึ้นสู้ก็ฆ่าทิ้ง
การบุกยึดดินแดนของราชาภากรครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นให้ชาวจันทราไม่น้อย แต่พวกเขาถูกผนึกพลังเอาไว้ ไหนเลยจะสู้กับกองทหารที่ถูกฝึกมาได้ ขนาดตอนมีพลังยังไม่อาจสู้ได้ คนที่ถูกฆ่าตายก็มีไม่น้อย คนที่เหลือรอดอยู่ก็ได้แต่ก้มหน้าทนรับไป
เจ้าหญิงจันทราฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ภายในห้องมีแสงเพียงรางๆ มองออกไปด้านนอกก็พบว่าเป็นเวลากลางคืนแล้ว เพียงขยับตัวเบาๆ ก็เจ็บจนร้อง “โอย…”
“เจ้าหญิง” เสียงเรียกพร้อมกับเงาร่างผอมบางขยับมาถึงข้างเตียง เจ้าหญิงจันทราเอียงหน้ามองดู ก็เห็นว่าเป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้ในวัง แต่ไม่เคยได้มารับใช้ใกล้ชิด
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” นางกำนัลถามอย่างเป็นห่วง ในดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาคลออยู่
“เจ็บ” เจ้าหญิงจันทราตอบคำเดียวอย่างอ่อนแรง นางเจ็บจนไม่อยากขยับตัวสักนิด
“เช่นนั้น กินยาก่อนนะเจ้าคะ” นางกำนัลบอก แล้วก็รีบหันไปเปิดกล่องใส่เม็ดยา แล้วหยิบยาออกมาป้อนเจ้านาย เจ้าหญิงกินยาลงไปแล้วก็ดื่มน้ำอีกสองอึก แล้วก็นอนคว่ำลงกับหมอนดังเดิม
“อึก…อึก…” นางกำนัลเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าคนชั่วช้าพวกนั้นโกรธแค้นอะไรพวกเราชาวจันทรานักหนา ถึงได้ก่อสงครามใหญ่โตถึงเพียงนี้ กดขี่พวกเราราวกับพวกเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน ข้าอยากไปบวงสรวงเทพีจันทราก็ไม่อาจฝ่าคนชั่วช้าพวกนั้นไปได้”
“ไม่อาจเลยหรือ?” เจ้าหญิงถามหรี่ตาลงครุ่นคิด
“ไม่อาจเจ้าค่ะ พวกมันล้อมรอบลานจันทราไว้หนาแน่นนัก ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่ามีอยู่สองสามคนฝ่าไปได้ แต่ก็ถูกพวกมันฆ่าตายหมดเจ้าค่ะ” นางกำนัลส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง พลันก็ได้ยินเสียงท้องร้องดังออกมาจากคนบนเตียง นางจึงชะงักงัน “เอ่อ…ท่านหิวแล้ว เช่นนั้นท่านกินซุปเห็ดก่อนนะเจ้าคะ”
“อืม” เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า ขยับศีรษะชันขึ้น นางกำนัลก็หยิบซุปเห็ดเย็นชืดค่อนข้างใสราวน้ำมาตักป้อนให้เจ้านาย เจ้าหญิงก็ฝืนกลืนซุปลงไป นางกำนัลก็ค่อยๆตักป้อนทีละคำอย่างใส่ใจ สงสารเจ้าหญิงเหลือเกินต้องถูกเจ้าคนชั่วช้านั้นข่มเหงรังแกถึงเพียงนี้
ครั้นกินหมดแล้ว เจ้าหญิงก็นอนคว่ำลงไปอีกครั้ง เจ็บแผ่นหลังจนน้ำตาร่วง แต่นางก็พยายามฝืนเอาไว้ นางกำนัลก็ยกชามไปเก็บ
ประตูห้องเปิดดังตึง! นางกำนัลสะดุ้งเฮือก หันไปมองที่ประตูก็เห็นราชาภากรเดินเข้ามา เจ้าหญิงจันทราชันศีรษะขึ้นหันไปมองด้วยสายตาโกรธแค้นอย่างกินเลือดกินเนื้อ ด่าว่า “เจ้าสารเลว เข้ามาทำไมอีก? ยังทำร้ายข้าไม่พอหรือ? เจ้าฆ่าข้าเสียเลยซิ!”
ราชาภากรเดินเข้าไปทีละก้าว…ทีละก้าว นางกำนัลก็รีบปราดไปขวางเสียงสั่นเทา “อะ…อย่า…ได้…โปรด…”
นางพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกราชาภากรปล่อยพลังกะแทกใส่จนกระเด็นไปกระแทกกับผนังแล้ว “พลั่ก!”
“อั๊ก!” นางกำนัลร่วงลงตกพื้น กระอักเลือดออกมาจนปากคางแดงฉาน
“เจ้าหยุดทำร้ายคนของข้าเสียที!” เจ้าหญิงจันทราตวาดอย่างเหลืออด ชันตัวลุกขึ้นมา “โอย…” แต่นางก็เจ็บจนต้องล้มลงไปนอนคว่ำดังเดิม
“ข้าทำร้ายคนของเจ้าแล้วจะทำไม? เจ้าก็ลุกมาฆ่าข้าซิ มีปัญญาก็มาซิ” ราชาภากรเย้ยหยันเสียงเย็นเยียบ ยิ่งเห็นใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับราชาอนธการก็ยิ่งโกรธแค้น ภาพคืนวันนั้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“จะ…เจ้า…ยิ…หญิง…” นางกำนัลพยายามจะขยับตัวเข้าไปขวาง แต่ภาพตรงหน้าก็ค่อยๆพร่าเลือนไป แล้วก็สลบล้มลงไปนอนกองอยู่ตรงนั้น
แล้วราชาภากรก็แบมือขึ้น แส้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจ้าหญิงจันทราสะดุ้งเฮือก! ด่าว่า “เจ้าปีศาจร้าย! เจ้าคนชั่วสารเลวที่ทำเป็นแต่ข่มเหงคนไร้ทางสู้! แน่จริงเจ้าเอาเชือกผนึกออกไปซิ ข้าจะสับเจ้าให้เป็นน้ำเลย!”
“ปีศาจร้ายงั้นรึ? สารเลวงั้นรึ? พ่อเจ้าสารเลวยิ่งกว่าข้าเสียอีก เข่นฆ่าหลานตัวเองที่ยังเป็นทารกได้ลงคอ ฆ่าน้องสาวตัวเองซึ่งไม่ได้ทำความผิดอันใด เพียงเพราะแค่นางรักกับท่านพ่อข้าจนให้กำเนิดน้องสาวที่น่ารักของข้าออกมาเท่านั้น ฆ่าท่านพ่อข้า แล้วยังจะฆ่าข้าอีก ใครสารเลวกว่ากัน!?” ราชาภากรตวาดสวนกลับ แส้ในมือก็ฟาดขวับ!
“โอ๊ย!” เจ้าหญิงจันทราร้องเสียงดัง ตะโกนสวนว่า “เจ้าโกหก! ท่านพ่อข้าจะทำเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนั้นได้อย่างไร? เจ้าโกหก!”
“ข้าโกหกงั้นรึ! เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าดูด้วยตาตัวเอง!” ราชาภากรถลันเข้าไปจับแขนนางกระชากขึ้น แล้วฟาดแส้กรีดอากาศ พลัน! อากาศก็แยกออกเป็นช่องทางดำมืด แล้วเขาก็กระชากตัวนางเข้าไปในช่องทางนั้น
เมื่อเข้าไปในช่องทางดำมืดแล้ว เจ้าหญิงจันทราก็เห็นภาพตรงหน้าปรากฏขึ้น ราวกับนางกำลังยืนอยู่ในห้องๆหนึ่ง ตรงหน้านาง มีท่านพ่อยืนอยู่ กับท่านน้าจันดารา มือท่านน้ากุมด้ามดาบซึ่งปักอยู่บนอกของท่านพ่อ
พลัน! หัวของเด็กคนหนึ่งก็ตกปุ๊! กลิ้งหลุนๆมาหยุดแทบเท้านาง นางก้มมองแล้วก็ก้มลงประคองหัวเล็กๆนั่นขึ้นมาอย่างตกตะลึง! มองหัวเล็กๆในอุ้งมือ หูก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า “น้องข้า…!!!”
โดยไม่ทันรู้ตัวนางก็พุ่งเข้าใส่ท่านพ่อ หูก็ได้ยินเสียงอีกว่า “เจ้าฆ่าน้องข้า!”
ท่านพ่อตวัดดาบฉับ! เลือดสาดพุ่งกระจายพร้อมกับหัวของท่านน้าจันดาราขาดจากตัวห้อยร่องแร่ง เพราะนางถลันเข้ามาเอาตัวบังนางเอาไว้
“จันดารา!” ท่านพ่อของนางตะลึงงัน!
นางก็ตะลึงเช่นกัน หูได้ยินเสียงว่า “ท่านแม่—–”
แล้วนางก็พุ่งเข้าใส่ท่านพ่อ หูก็ได้ยินเสียงว่า “เจ้า!”
ท่านพ่อตวัดดาบฉับ! หัวขาดกระเด็นเลือดพุ่งกระฉูด แต่ไม่ใช่หัวของนาง กลับกลายเป็นหัวชายคนหนึ่งซึ่งถลันเข้ามาปกป้องนาง
“ท่านพ่อ!—–” นางตะลึงงัน! หูก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดใจเสียงนั้นอีกแล้ว
วินาทีที่คมดาบตัดคอชายผู้นั้น นางก็ได้ยินเขาก็ร้องขอต่อเทพสุริยะว่า “เทพสุริยะจงปกป้องลูกข้าด้วย ข้าขอบูชายันด้วยเลือดของข้า ณ บัดนี้—–”
เลือดของชายคนนั้นไม่ได้กระจายตกพื้นแต่กลับพุ่งกระฉูดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน แล้วก็กลายเป็นลูกบอลเลือดสีแดงฉาน พร้อมกับเทพสุริยะในร่างสิงโตจำแลงปรากฏตัวขึ้น
ท่านพ่อเห็นเทพสุริยะก็รีบหนีไป แล้วภาพต่างๆก็หายวับไป
ราชาภากรก็กระชากนางออกจากสถานที่เวิ้งว้างมืดมิด นางกลับมาอยู่ในห้องนอนตัวเองอีกครั้ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อในภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นนางรู้ดีว่ามันคือการเปิดภาพจากความทรงจำออกมา แล้วนางก็หวนคิดไปถึงในอดีตที่นางเห็นท่านพ่อบาดเจ็บกลับมา นอนรักษาตัวอยู่หลายวัน หลังจากนั้นก็ไม่เคยออกไปตามหาท่านน้าจันดาราอีกเลย นางส่ายหน้า “ไม่จริง! ไม่จริงใช่ไหม!”
ราชาภากรปล่อยแขนนาง เจ้าหญิงจันทราก็รูดลงไปนั่งแปะกับพื้น หน้าตายังไม่อยากจะเชื่อกับภาพความทรงจำที่เห็น นางส่ายหน้าไปมา พร่ำตะโกนซ้ำๆว่า “ไม่จริง! ไม่จริงใช่ไหม!”
“มัน…คือ…ความ…จริง” ราชาภากรกล่าวช้าๆชัดๆทีละคำ
เสียงนั้นราวกับเสียงปีศาจร้ายที่ทำลายภาพดีงามของท่านพ่อในใจเจ้าหญิงจันทราลงไป พังทลายลงไปอย่างไม่เหลือชิ้นดี
“ไม่!—–” เจ้าหญิงจันทราตะโกนลั่นแล้วก็สลบไป
ราชาภากรมองด้วยสายตาเย็นชา แส้ในมือก็หายวับไป แล้วเขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของราชาอนธการดังลอยมา “เจ้าอย่าทำอะไรลูกข้านะ! เจ้ามาฆ่าข้า ฆ่าข้า! ปล่อยลูกข้าไป อ๊ากกกก!—–”
แล้วราชาภากรก็เดินออกจากห้องไปอย่างสะใจ
เจ้าหญิงจันทราลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนคว่ำอยู่บนเตียงแล้ว ข้างเตียงมีนางกำนัลคนเดิมนั่งเฝ้าอยู่ พอนางขยับตัวก็เจ็บแผ่นหลังจนร้อง “โอย…”
“เจ้าหญิง” นางกำนัลก็ขยับเข้ามาจนชิด เรียกอย่างดีใจ ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ?”
“เจ็บหลัง” เจ้าหญิงจันทราตอบเสียงแผ่ว แล้วนางก็ผินหน้าไปอีกทางหนึ่ง น้ำตาไหลรินออกมา นางกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร่ำไห้เอาไว้ ท่านพ่อที่แสนใจดีของนาง เหตุใดจึงได้ลงมือฆ่าหลานของตัวเองได้ น้องสาวตัวน้อยๆนั่นยังอายุไม่ถึงขวบเลยด้วยซ้ำ ท่านพ่อ! ท่านทำลงไปได้อย่างไร!? เด็กคนนั้นทำความผิดอะไรหรือจึงต้องถูกฆ่าตายอย่างโหดร้ายเช่นนั้น!?
เจ้าหญิงจันทราร่ำไห้จนหลับไปอีกครั้ง
แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ปลุกให้เจ้าหญิงจันทราตื่นขึ้นมา นางมีท่าทางเฉยชาจนนางกำนัลอดที่จะเป็นห่วงเป็นกังวลไม่ได้ “เจ้าหญิงเจ้าขา ข้าจะทำแผลให้นะเจ้าคะ”
แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบงันเท่านั้น จนนางกำนัลยิ่งรู้สึกเป็นกังวล หรือว่าเจ้าหญิงจะถูกทำร้ายจนถึงขั้นคิดอยากตาย?
นางมองเจ้าหญิงอย่างเป็นห่วงแล้วก็ค่อยๆเปิดเสื้อขึ้นไป ค่อยๆเปิดผ้าพันแผลออก บาดแผลเหวอะหวะเต็มแผ่นหลังบอบบางยิ่งทำให้นางรู้สึกสงสารเจ้าหญิงมากขึ้น มือที่ค่อยๆทำแผลจึงยิ่งพยายามลงมืออย่างแผ่วเบาราวขนนก
เจ้าหญิงจันทราสะดุ้งทุกครั้งที่แผลถูกแตะต้อง แต่สีหน้าก็ยังเฉยเมยราวรูปปั้นที่ไร้ชีวิต
เมื่อทำแผลใส่ยาแล้ว นางกำนัลก็จัดแจงเช็ดตัวให้เจ้าหญิงไปด้วย หลังจากนั้นก็ปิดแผลแล้วดึงเสื้อลงมา ชายเสื้อเพิ่งจะตกลงปิดแผ่นหลัง ประตูห้องก็เปิดออกดังตึง! ราชาภากรเดินเข้ามาในห้อง นางกำนัลก็ผวาเฮือก ถอยกรูดไปจนติดผนังอย่างหวาดกลัว
เจ้าหญิงจันทรา หันไปมองคนที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเฉยเมย นางกล่าวกับเขาว่า “เจ้าจะฆ่าจะแกงข้าอย่างไรก็ทำเถอะ ข้าขออย่างเดียว ขอให้เจ้าปล่อยท่านพ่อข้าไป ข้าขอรับผิดแทนท่านพ่อเอง”
“เฮอะ!” ราชาภากรแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง แบมือออก แส้ก็อยู่ในฝ่ามือ เงื้อขึ้นฟาดขวับ!
เจ้าหญิงจันทราสะดุ้ง! แต่สีหน้าก็ยังเฉยเมยราวรูปปั้นดังเดิม ไม่มีแม้เสียงร้องสักแอะ
ราชาภากรก็ฟาดลงไปอีกสองที ขวับ! ขวับ! เจ้าหญิงจันทราก็ยังมีท่าทีเฉยเมยเช่นเดิม
“ร้องซิ! ข้าสั่งให้เจ้าร้อง!” ราชาภากรตะโกนลั่นฟาดไปอีกที ขวับ! เจ้าหญิงจันทราก็ยังมีท่าทีเฉยเมยดังเดิม ราชาภากรจึงหันแส้ไปฟาดนางกำนัลแทน ตะคอกว่า “ถ้าเจ้ายังไม่ร้องอีก ข้าจะเฆี่ยนนางให้ตาย!”
“โอ๊ย!” นางกำนัลร้องลั่น ก้มหมอบอย่างหวาดกลัว ปากก็ร้องว่า “เจ้าหญิง ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ”