Skip to content

Ebook บุพเพรักข้ามกาล เล่ม 1

20 กรกฏาคม 2558

Ebook บุพเพรักข้ามกาล เล่ม 1

Chapter 1

ข้ามกาล

ภายในห้องรับแขก รุ้งมณีหยิบรูปคุณยายแก้วขึ้นมา นิ้วเรียวไล้วงหน้าในภาพด้วยความคิดถึง จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้วที่คุณยายจากไปด้วยโรคชรา รุ้งมณีอยู่กับยายเพียง 2 คน พ่อแม่ของหล่อนเสียชีวิตไปตั้งแต่หล่อนยังเด็ก ญาติพี่น้องก็ไม่มี ครั้นพอสิ้นยายแล้วหล่อนจึงเปรียบเสมือนตัวคนเดียว

“คุณยายขา รุ้งคิดถึงคุณยายมากค่ะ” เธอมองรูปน้ำตาคลอ

ด้านนอกฝนตกพรำๆ ฉับพลัน! ฟ้าก็ผ่าลงมา เปรี๊ยง!

“อุ๊ย!” เธอสะดุ้ง! เกือบทำรูปตก วงหน้าสวยหันไปมองช่องหน้าต่าง สายตาพร่าจากแสงฟ้าผ่า ดวงตากลมโตกะพริบตาปรับโฟกัส ครั้นพอปรับโฟกัสได้หล่อนก็เห็นแสงไฟและได้กลิ่นควันไฟโชยเข้าจมูก

“เอ๊ะ! กลิ่นอะไรไหม้” เธอวางรูปคุณยายไว้ที่เดิม แล้วก็รีบเดินไปชะเง้อดูที่หน้าต่าง เบื้องนอกต้นมะม่วงถูกฟ้าผ่าไฟไหม้ กิ่งมะม่วงไหม้ไฟหักพาดหลังคาบ้านอยู่

“อ่ะ! ไฟไหม้!” เธอตกใจ รีบวิ่งออกไปเปิดก็อกน้ำแล้วก็ลากสายยางไปฉีดน้ำดับไฟ เพียงครู่เดียวไฟก็ดับหมด “เฮ้อ” หล่อนถอนหายใจโล่งอก ยกมือปาดละอองน้ำฝนออกจากใบหน้า ฉับพลัน! ฟ้าก็แล๊บแปร๊บ! ผ่าเปรี้ยง!

ร่างบางสะดุ้ง! ตาพร่า! เผลอปล่อยสายยางร่วงลงพื้น

เสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่น “ไฟไหม้!ๆๆ”

“แหมไฟดับไปแล้ว เพิ่งจะรู้กันเหรอ” เธอนึกขำเพื่อนบ้าน พอลืมตาขึ้นก็ตะลึงงัน! เบื้องหน้า ไฟกำลังลุกไหม้โหมบ้านหลังหนึ่ง ผู้คนวิ่งขวักไขว่วุ่นวาย บ้างก็ขนของหนี บ้างก็ช่วยกันตักน้ำดับไฟ แต่ที่น่าตกใจก็คือคน 2 กลุ่มกำลังต่อสู้กัน ต่างฝ่ายต่างฟาดฟันดาบห้ำหั่นกันจนเลือดสาดกระเซ็น เสียงโหวกเหวกร้องตะโกนเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ รุ้งมณีได้แต่ยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเธอถูกฉุดกระชากอย่างแรง “ว๊าย!”

“มานี่!” ชายคนหนึ่งฉุดกระชากข้อมือเธอไว้มือหนึ่ง อีกมือก็ถือดาบเงื้อง่า รุ้งมณีมองอย่างตื่นตะลึงงุนงง ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาหื่นกระหายจนเธอนึกกลัว

“ปล่อย!” เธอตวาดพร้อมกับสะบัดแขนสุดแรงจนหลุดจากอุ้งมือหยาบใหญ่

“หนอยแน่ะ! อีนี่!” ชายคนนั้นตวาดอย่างโกรธจัด แล้วก็เงื้อดาบฟันสตรีนางนั้น

“ตายเสียเถอะ!” เสียงตะโกนจากข้างหลังชายคนนั้น พร้อมกับปลายดาบเสือกพรวด! ทะลุอก “อั๊ก!”

รุ้งมณีตกตะลึง! ปลายดาบอาบด้วยเลือดห่างจากตัวเธอแค่คืบ กลิ่นคาวเลือดคลุ้งอวนขึ้นจมูก

“กรี๊ดดดด…” เธอกรีดร้องลั่นแล้วก็สิ้นสติไป

เปลือกตาคู่งามค่อยๆลืมตาขึ้น

“นังหนูๆ” เสียงเรียกดังอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับความรู้สึกว่าถูกตบแก้มเบาๆ

“อือ” เสียงหวานครางรับอย่างสะลึมสะลือ แล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรนุ่มๆเย็นๆมาเช็ดหน้า

“นังหนูเอ็งฟื้นแล้ว” เสียงเดิมพูด

รุ้งมณีลืมตาอย่างงุนงง เธอหันไปมองเจ้าของเสียงซึ่งกำลังเช็ดหน้าให้ เจ้าของเสียงเป็นหญิงวัยกลางคนอายุราว 40 ต้นๆ

“ป้าเป็นใครคะ?” รุ้งมณีถามพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

“ข้าชื่อนาก” นากบอกแล้วก็ถามว่า “แล้วเอ็งล่ะนังหนู?”

รุ้งมณีมองนากแล้วก็ตอบว่า “หนูชื่อรุ้งมณีค่ะ”

เธอหันไปมองรอบๆตัว เห็นว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่มุงด้วยหญ้าคา เธอมองอย่างงงๆ แล้วก็ถามว่า “ที่นี่ที่ไหนคะ? แล้วหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”

“ที่นี่เรือนข้าเอง” นากตอบแล้วก็พูดว่า “เจ้าพูดจาประหลาดพิกล นุ่งห่มก็ผิดแผกมิเหมือนข้า เอ็งมาจากเมืองใดรึนังหนู?”

รุ้งมณีหันกลับไปมองนากซึ่งแต่งตัวเปลือยอก นุ่งผ้าสีดำ เธอมองหน้าอกอีกฝ่ายอย่างกระดากอายแล้วก็รีบเบือนหน้าหนี เพราะกลัวจะถูกด่าที่ไปมองหน้าอกของคุณป้าคนนี้

“แล้วหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะป้า?” เธอถามอย่างงงๆ

“ข้ากับนังแดงช่วยกันแบกเอ็งมา” นากตอบแล้วก็หันไปเรียกหลานสาว “นังแดงเอ้ย เอาน้ำเอาท่ามาหน่อยซิ ข้าหิวน้ำ”

“จ้ะป้า” เสียงหวานขานรับ แล้วก็มีเสียงเดินกุกกัก ครู่ต่อมาเจ้าของเสียงก็เปิดประตูเข้ามา “น้ำจ้ะป้า”

เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวแรกรุ่น อายุราว 15 ปี นางยื่นขันน้ำให้นาก แล้วก็มองรุ้งมณี “เอ็งฟื้นแล้วรึ?”

รุ้งมณีพยักหน้ารับอย่างงงๆ

“ข้ากับป้าแบกเอ็งหนักแทบตาย ดีนะที่หนีไอ้พวกกาสีมาได้ นี่ถ้าหากพาเอ็งหนีไม่ทัน เอ็งถูกพวกมันฆ่าตายแน่” แดงพูดพลางทำหน้าสยดสยอง

“กาสี?” รุ้งมณีทวนคำอย่างงงๆ แล้วก็ถามว่า “เธอหมายถึงพวกไหนเหรอ?”

ทั้งนากและแดงทำหน้างงๆ “เจ้าไม่รู้จักพวกกาสีรึ?” ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน “นังคนนี้มันมาจากไหนวะนังแดง? แม้แต่พวกกาสีก็ไม่รู้จัก”

“นั่นซิป้า นางนุ่มห่มพิกลนัก ไม่เหมือนพวกเราเลยป้า” แดงพยักเพยิด

“กาสีอะไรอ่ะ?” รุ้งมณีถาม มองทั้งสองคนสลับไปสลับมา

“เอ็งไม่รู้จักจริงๆ รึนังหนู พวกกาสีกำลังรบทัพจับศึกกับพวกลวปุระ พวกหัวเมืองเล็กๆ ก็พลอยเดือดร้อนกันไปหมด” นากบอกแล้วก็พูดต่อว่า “เอ็งท่าจะวิปลาสกระมัง”

“น่าสงสารนักป้า หน้าตาก็งามไม่น่าวิปลาสเช่นนี้เลย” แดงพูดพลางมองอีกฝ่ายอย่างนึกสงสาร รุ้งมณีงง “วิปลาสอะไรป้า พวกคุณนั่นแหละกำลังอำอะไรกัน? หรือว่านี่กำลังถ่ายรายการอะไรกันอยู่ใช่ไหม?”

แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูออกไปข้างนอก

“เดี๋ยว…นังหนู เอ็งจะไปไหนรึ?” นากถาม

“หนูก็จะกลับบ้านน่ะซิป้า” รุ้งมณีตอบแล้วก็ก้าวเท้าออกจากห้องไป นากมองอย่างนึกสงสารแล้วก็ถามว่า “บ้านเอ็งอยู่ที่ใดรึ?”

รุ้งมณีชะงักแล้วก็หันไปตอบว่า “บ้านหนูอยู่ไพศาลี(อำเภอไพศาลี จังหวะนครสวรรค์) ค่ะป้า หนูไปล่ะค่ะ” เธอไหว้ลาแล้วก็เดินไป

นากทวนคำ “ไพศาลี?”

นางหันไปถามหลานว่า “ไพศาลีนี่มันเมืองไหนรึนังแดง?”

“ไม่รู้ซิจ๊ะป้า” แดงส่ายหน้า รุ้งมณีเดินไปถึงแคร่ใต้ต้นชมพู่แล้วเธอก็หันรีหันขวางไม่รู้จะเดินไปทางไหนดีเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้รกครึ้มเต็มไปหมด ถัดจากต้นชมพู่ก็เป็นลำคลอง มีเรือพายผูกไว้กับโคนต้นชมพู่ “ถนนอยู่ทางไหนนะ?”

แล้วเธอหล่อนก็เดินกลับไปถามนากว่า “ป้าคะถนนใหญ่ไปทางไหนคะป้า? แล้วที่นี่ที่ไหนคะทำไมมันเงียบจังคะป้า? หนูไม่ได้ยินเสียงรถเลย”

นากกับแดงหันไปมองหน้ากันอย่างงงๆ นากคิดในใจว่า นังหนูคนนี้มันคงจะวิปลาสเป็นแน่

“รด? มันคืออะไรรึ?” แดงถามอย่างงงๆ

“ก็รถไง” รุ้งมณีบอก แดงหันไปมองป้าแล้วก็หันกลับไปมองรุ้งมณี พลัน! ก็มีเสียงตะโกนแว่วๆ มาว่า “หนีเร็ว! ไอ้พวกกาสีมันมาอีกแล้ว ค่ายแตกแล้วโว๊ย!”

ทั้งสามชะงักงัน!

พอได้สติ แดงก็ร้องโวยวาย “ป้า! พวกกาสีมันมาแล้วป้า รีบหนีเถอะ!”

นากตั้งสติได้ก็สั่งว่า “ห่อผ้า! หยิบห่อผ้าเร็วนังแดง!”

แดงรีบถลันไปหยิบห่อผ้าที่เตรียมไว้ แล้วนางก็ส่งห่อผ้าให้รุ้งมณี “เอ้า!”

รุ้งมณีรับมาถืออย่างงงๆ นากก็รีบหยิบฉวยข้าวของเท่าที่จะถือไปได้มากที่สุด แล้วนางก็รีบตรงไปที่เรือ ส่วนแดงก็หันไปคว้าข้าวของดั่งเจ๊กตื่นไฟ สองคนป้าหลานช่วยกันหอบข้าวของใส่เรือให้ได้มากที่สุด รุ้งมณีมองอย่างงงๆ เสียงตะโกนโหวกเหวกดังใกล้เข้ามา “หนีเร็ว!ๆ”

นากรีบลงเรือคว้าไม้พาย “เร็วๆ นังแดง”

แดงก็รีบแก้เชือกหัวเรือ ครั้นพอหันไปเห็นรุ้งมณียืนเฉยทำหน้างงๆ นางก็รีบวิ่งไปคว้าแขนรุ้งมณี “เอ็งจะยืนหาพระแสงของ้าวรอพวกกาสีรึไง รีบไปลงเรือซิวะนังบ้า!”

“เดี๋ยวซิเธอ” รุ้งมณีพูดอย่างงงๆ ขาก็ก้าวตามแรงฉุด เสียงตะโกนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้าง เสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้ดังอึงอล

“เอ็งอย่าได้ชักช้า พวกกาสีมันมาโน้นแล้วมิเห็นรึ เอ็งอยากตายหรือวะ!” แดงออกแรงดึงสุดกำลัง นางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องช่วยนังบ้านี่ด้วย รุ้งมณีหันไปมอง เธอเห็นกลุ่มคนวิ่งมาท่าทางหวาดกลัว คนพวกนั้นวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านั้นมีผู้ชายขี่ม้าถือดาบไล่ฟันตามมาติดๆ แดงลากรุ้งมณีไปถึงเรือ

“รีบลงเรือซินังบ้า” นางสั่งเร่งร้อน รุ้งมณีหันไปมองแดงแล้วก็ก้าวลงเรือตามคำสั่งของเด็กสาว พอนั่งลงในเรือแล้วแดงก็รีบขึ้นเรือพลางถีบหัวเรือออก นากก็ช่วยเอาไม้พายยันริมตลิ่ง

“รีบพายเร็วนังแดง พวกมันมานั่นแล้ว” นากบอกเสียงสั่นอกสั่นขวัญแขวน รุ้งมณีหันไปมองบนฝั่ง เธอเห็นผู้ชายขี่ม้าไล่ฟันผู้คนอย่างโหดเหี้ยม เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังลั่น “อ๊าก!”

รุ้งมณีตะลึง! “โอ!”

นากกับแดงช่วยกันพายเร็วรี่ยิ่งกว่าฝีพายในงานแข่งเรือ บนฝั่ง ม้าสีดำพุ่งพรวดโผล่พ้นพุ่มไม้ ผู้ชายบนหลังม้าสวมเสื้อเกราะสีทองอร่ามเรืองรอง ดวงตาคมกริบจ้องไปที่เรือลำน้อย ภายในเรือมีผู้หญิง 3 คน สายตาคมกริบสะดุดตากับวงหน้าแฉล่มแช่มช้อยงดงามกลางเรือ ชายสวมเกราะทองบังคับม้าให้ควบตามเรือพลางตะโกนเสียงดังลั่นเป็นภาษากาสีว่า “หยุดเรือบัดเดี๋ยวนี้!”

นากหันไปมอง “ไอ้กาสีมันตามมาแล้ว นังแดงพายเร็วๆ”

แดงเหลือบมองแล้วก็เร่งพายสุดชีวิต “มันขี่ม้าตามมาแล้วจ้ะป้า”

ส่วนรุ้งมณีตะลึงมอง ในหัวมีคำถามมากมายเหลือเกิน แต่สถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวยให้เธอถามอะไรได้ เธอรู้แต่เพียงว่าจะต้องหนีเท่านั้น

ม้าสีดำควบลัดเลาะตามริมฝั่งอย่างไม่ลดละ แต่สายน้ำไหลเร็วและการพายเรืออย่างไม่คิดชีวิตทำให้เรือลำน้อยลอยลำทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปากคลองบรรจบกับแม่น้ำเรือลำน้อยก็ลอยลำจากลำคลองเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ ม้าไม่สามารถจะควบตามต่อไปได้เพราะถูกสายน้ำขวางกั้น ชายสวมเกราะทองกระตุกบังเหียนหยุดม้าตะโกนลั่นอย่างหัวเสีย “บัดซบ!”

สายตาคมกริบได้แต่จ้องมองวงหน้างดงามกลางเรือซึ่งค่อยๆห่างไกลไปเรื่อยๆ

“นางช่างงามยิ่งนัก มิน่าเชื่อว่าบ้านป่าเช่นนี้จะมีสาวงามอยู่ น่าเสียดายนักที่นางหนีไปได้ ฮึ่ม!” เสียงห้าวพูดภาษากาสี ชายสวมเกราะทองมองดูทิศทางที่เรือล่องลงไป

“นางจะต้องหนีไปลวปุระเป็นแน่” เขาคาดคะเนแล้วก็ชักม้ากลับ ส่วนแดงกับนากหลังจากหนีรอดไปได้ ก็หยุดพายเรือพลางหันไปปรึกษากันเอง

“ป้าจ๊ะแล้วเราจะหนีไปที่ใดรึจ๊ะ” แดงถามพลางปาดเหงื่อ

“เดี๋ยวพวกเราพายตามน้ำไปอีกหน่อยแล้วก็ค่อยเลี้ยวเข้าคลองเลาะไปออกแม่น้ำอีกสาย เราจะขึ้นเหนือไปบ้านไอ้สิงขรกัน” นากบอก

“บ้านพ่อลุงสิงขรรึจ๊ะป้า?” แดงถาม

“ใช่” นากพยักหน้า

“เอ๊ะป้าจ๊ะ เรามิไปลวปุระหรือจ๊ะ? ไปบ้านพ่อลุงสิงขรประเดี๋ยวพวกกาสีมันก็บุกไปเช่นกัน” แดงถาม

“ไปลวปุระ พวกกาสีมันก็บุกไปเหมือนกันแหละนังแดง อีกอย่างพวกในเมืองเขาจะให้พวกเราเข้าไปรึ ข้าได้ข่าวว่าใครๆ ก็แห่กันมุ่งหน้าไปลวปุระกันมากโขจนเจ้าเมืองท่านสั่งปิดประตูเมืองห้ามเข้าออก เมืองโกศลมันอยู่ทางเหนือ ไม่ใช่ทางที่ไอ้พวกกาสีมันจะยกทัพผ่าน พวกมันคงไปมิถึงบ้านของไอ้สิงขรหรอกนังแดง ข้าว่าพวกเราไปอาศัยไอ้สิงขรอยู่ชั่วคราวก่อน พอมีลู่ทางแล้วก็ค่อยขยับขยายออก อย่างไรเสียไอ้สิงขรมันก็เป็นน้องข้า เป็นลุงของเอ็ง มันต้องต้อนรับขับสู้เอ็งกะข้าเป็นแน่” นากอธิบายแล้วก็ค่อยๆ คัดท้ายเรือให้หลบท่อนไม้ในน้ำ รุ้งมณีมองทั้งสองคนปรึกษากัน พอสบโอกาสเธอก็ถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะป้า? พวกนั้นเป็นใครกันคะ? ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนั้น แล้วทำไมป้าไม่แจ้งตำรวจให้ไปจับพวกนั้นล่ะคะ?”

นากมองรุ้งมณีอย่างนึกสงสารแล้วก็หันไปพูดกับหลานว่า “ข้าว่านังคนนี้มันคงวิปลาสเป็นแน่ ถึงได้มิรู้เรื่องรู้ราวเหตุการณ์บ้านเมือง มันพูดอะไรแต่ละอย่างข้ามิเข้าใจเลย”

แดงพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นซิป้า”

แล้วนางก็เอื้อมมือไปแตะบ่ารุ้งมณีแล้วก็พูดว่า “พวกกาสีมันยกทัพไปตีลวปุระ มันผ่านไปทางไหนมันก็เที่ยวไล่ฆ่าเผาเมืองไปตลอดทางนั่นแหละ”

“กาสี? ลวปุระ?” รุ้งมณีทวนคำแล้วก็มองหน้าเด็กสาว

“เออ” แดงพยักหน้า รุ้งมณีมองสองป้าหลาน แล้วก็มองไปรอบๆ ตัว สองข้างริมฝั่งน้ำต้นไม้ต้นสูงใหญ่ขึ้นรกครึ้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีต้นไม้ใหญ่ๆเช่นนี้หลงเหลืออยู่อีก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสมาก

นี่เราอยู่ที่ไหนกันนะ? เธอถามตัวเองในใจ แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในสมอง อย่าบอกนะว่าฉันหลุดมาในสมัยโบราณเหมือนในละครน้ำเน่านั่นนะ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด! ไม่มีทาง!

เธอจ้องตาเด็กสาวแล้วก็ถามว่า “ปีนี้พ.ศ.อะไรเหรอ?”

“พอศออะไรของเอ็งอีกล่ะนังบ้า?” แดงย้อนถาม

รุ้งมณีนิ่งคิดแล้วก็ถามใหม่ว่า “ปีพุทธศักราชน่ะ ปีนี้พุทธศักราชที่เท่าไหร่”

“ปีนี้พุทธศักราชที่ 1395” นากตอบแทนหลาน

รุ้งมณีหันไปมองนากอย่างไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้! ป้าไม่ได้หลอกหนูใช่ไหม?”

“หลอกเหลิกอะไรนังหนู ก็ปีนี้พุทธศักราช 1395 จริงๆ หากเอ็งมิเชื่อก็ไปถามใครๆดูเถอะ” นากตอบน้ำเสียงสะบัดอย่างนึกเคือง แล้วนางก็บอกว่า “ข้าว่าพวกเราจอดเรือพักกันก่อนเถอะนังแดง ข้าพายมิไหวแล้ว”

“จ้ะป้า” แดงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ค่อยๆพายเข้าหาฝั่ง พอถึงริมฝั่งใต้ต้นไม้ใหญ่แดงก็ก้าวขึ้นไปบนรากไม้ริมน้ำ นางหันไปสำรวจรอบๆ ตัว พอเห็นว่ามิมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็จัดแจงผูกเชือกหัวเรือกับกิ่งไม้ ครั้นพอผูกเรือเสร็จนางก็ลุกเดินไปสำรวจบริเวณรอบๆ รุ้งมณีค่อยๆ เกาะกาบเรือลุกขึ้นเดินตามเด็กสาวไป นากก็วางไม้พายแล้วก็ลุกเดินตามไปอย่างคล่องแคล่ว

“ว๊าย!” เสียงแดงร้องลั่น

“เป็นอะไรรึนังแดง?” นากตะโกนถามอย่างเป็นห่วง แล้วก็รีบเดินไปหาหลาน รุ้งมณีก็รีบเดินตามไปดูจึงเห็นว่าแดงกำลังถูกผู้ชาย 2 คนดักหน้าดักหลัง คนหนึ่งคว้าแขนแดงเอาไว้ นากเห็นหลานถูกดักหน้าดักหลังก็ตวาดว่า “นั่นพวกเอ็งจะทำอะไร!? ปล่อยหลานข้านะ!”

“อีแก่เอ็งอย่าเสือก!” ผู้ชายคนหนึ่งตวาดกลับพลางชี้หน้าข่มขู่ นากถลันเข้าไปช่วยหลานทันที “พวกเอ็งปล่อยหลานข้านะ!”

“อีแก่นี่รนหาที่ตายเสียแล้ว ฆ่ามัน!” ผู้ชายที่จับแดงสั่งอีกคนหนึ่ง

Chapter 2

นากถูกแทง

“ป้าระวัง!” แดงร้องเตือนแล้วก็หันไปต่อยผู้ชายที่จับแขน ผู้ชายอีกคนชักมีดออกมาจากเอว ส่วนผู้ชายที่จับแขนเด็กสาวก็เอี้ยวตัวหลบหมัดแล้วก็ต่อยท้องแดง “ตั๊บ!”

“โอ๊ย!” แดงจุกจนยืนมิไหว นากเห็นหลานถูกทำร้ายก็ปี่เข้าไปอย่างลืมตัว ผู้ชายที่ถือมีดจึงแทงนากเต็มแรง “ฉึก!”

“โอ๊ย!” นากร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วก็ทรุดลงไปกองกับพื้น

“ป้า!” แดงตกใจร้องเรียกป้าทั้งๆที่ยังจุก รุ้งมณีถลันเข้าไปตวาดว่า “ไอ้เลว!”

ชายทั้ง 2 มองรุ้งมณีอย่างตะลึง! “โอ้! แม่หญิงเจ้าช่างงามนัก!”

ผู้ชายที่จับแขนแดงปล่อยมือทันทีแล้วก็ก้าวพรวดเข้าหาแม่หญิงที่งดงามนางนั้น “แม่ช่างงามหยาดฟ้ายิ่งนัก”

ส่วนผู้ชายที่ถือมีดก็ก้าวเข้าหารุ้งมณีอย่างลืมตัว “ผิวพรรณแม่ช่างขาวนวลเสียจริง”

ทั้งสองคนพูดอย่างลืมตัวตะลึงในความงามของแม่หญิงนางนั้น รุ้งมณีชะงัก! พลางก้าวถอยหลังอย่างตั้งท่าเตรียมพร้อม แดงฉวยโอกาสตอนที่พวกมันเผลอ นางคว้าท่อนไม้ได้ขนาดเหมาะมือก็ลุกพรวดฟาดหัวไอ้คนที่แทงป้าเต็มแรง “โป๊ก!”

“โอ๊ะ!” มันร้องได้เพียงนั้นแล้วก็ล้มทั้งยืนตึง! มีดหลุดมือตกลงพื้น ผู้ชายอีกคนหันไปมองสหายอย่างตกใจ รุ้งมณีจึงฉวยจังหวะเตะเข้าก้านคอตั๊บ! ไม่มีเสียงร้องสักแอะ มันก็ล้มลงไปกองกับพื้น ต้องขอบคุณคุณลุงเจ้าของค่ายมวยข้างบ้านที่สอนมวยให้เธอไว้ป้องกันตัว แดงพุ่งไปคว้ามีดที่ตกพื้นแล้วก็ถลันเข้าไปจับพวกมันปาดคออย่างโกรธแค้น “ตายเสียเถอะไอ้พวกชั่วช้า!”

“อย่า!” รุ้งมณีร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เลือดพุ่งกระฉุดจากคอ เธอตะลึง! ยกมือปิดปาก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พอปาดคอคนแรกแล้วแดงก็ถลันไปปาดคออีกคนอย่างคลั่งแค้น “มึงตาย!ๆๆๆ”

เลือกพุ่งกระฉุดไหลนองแดงฉาน เนื้อตัวแดงเต็มไปด้วยเลือด พอปาดคอพวกมันเสร็จแดงก็ถลันเข้าไปหาป้า “ป้าจ๋า ป้าอย่าเป็นอะไรนะจ๊ะ”

รุ้งมณีได้แต่ยืนตะลึงมองดูชายทั้ง 2 คนกระตุกขาดใจตาย ใจหนึ่งก็นึกสงสารผู้ชายทั้ง 2 คนไม่น่าจะต้องมาตายแบบนี้เลย อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเด็กสาวทำเกินกว่าเหตุไปรึเปล่า? แต่ถ้าเป็นเธอเห็นยายแก้วถูกแทง เธอก็คงเลือดขึ้นหน้าฆ่าไม่เลี้ยงยิ่งกว่าเด็กสาวเป็นแน่

“ป้าจ๋า ป้า! โฮๆๆๆ” แดงกอดป้าร้องไห้โฮ รุ้งมณีตั้งสติได้ เธอรีบเข้าไปดูนากทันที นากถูกแทงที่ท้อง เลือดไหลริน

“รีบห้ามเลือดก่อนเถอะ” เธอบอกพลางล้วงหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อเอามากดปากแผลห้ามเลือด

“โอย!” นากร้องด้วยความเจ็บปวด นางมองหน้าหลานพลางถามอย่างเป็นห่วงว่า “เอ็งเป็นอะไรหรือไม่นังแดง?”

แดงส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไรจ้ะป้า ฮือๆๆๆ”

นากพยักหน้าดีใจแล้วก็หลับตาลงเพราะเสียเลือดมาก รุ้งมณีดูแผลแล้วก็ถามว่า “โรงพยาบาลอยู่ไกลไหม?”

“โรงบานๆ อะไรของมึงห๊ะนังบ้า! ป้าข้าเจ็บขนาดนี้มึงยังจะมาถามหายมบาลอีกรึ! นังบ้านี่!” แดงตวาดใส่

“ไม่ใช่ยมบาล ฉันหมายถึงโรงพยาบาลน่ะ อยู่ตรงไหน? อยู่ไกลไหม? จะได้พาป้าเธอไปหาหมอไง” รุ้งมณีอธิบาย แดงบอกว่า “มิมีหรอกไอ้โรงบานๆ ของเอ็งน่ะ ส่วนหมอจะไปหาที่ไหนกันเล่า หน้าศึกสงครามเยี่ยงนี้หมอยาก็ถูกต้อนเข้าเมืองหมดสิ้นแล้ว ศาลาอโรคยาก็อยู่ไกลยิ่งนัก”

“ศาลาอโรคยา?” รุ้งมณีทวนคำแล้วก็คิดถึงตอนสมัยเรียนประวัติศาสตร์การแพทย์ แล้วหล่อนก็พยักหน้า “ใช่ๆ ศาลาอโรคยามันอยู่ไหน? อยู่ไกลไหม?”

“ไกล…ไกลมาก อยู่ในเมืองลวปุระนู้น ต้องล่องเรือไปอีก 5 วันจึงจะถึง” แดงตอบพลางชี้มือไปทางปลายน้ำ รุ้งมณีอึ้ง! “5 วันเชียวเหรอ ป้าคงตายก่อนแน่”

เธอมองหน้าเด็กสาวแล้วก็มองนากอย่างประเมินสถานการณ์ เธอมองไปรอบๆ ตัวเห็นแต่ป่ารกทึบ มีแต่เสียงสิงสาราสัตว์ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์อันเคยคุ้น นี่เธอหลุดมาในยุคโบราณจริงๆ หรือนี่!

เธอคงต้องตัดสินใจทำอะไรแล้วล่ะ เพราะถ้าขืนชักช้าคนเจ็บคงตายแน่

“มีเข็มกับด้ายไหม” เธอถามแดง

“มี” แดงตอบแล้วก็บอกว่า “อยู่ในเรือ”

“งั้นเธอรีบไปเอามา เอาน้ำมาด้วยนะ แล้วก็ผ้าสะอาดๆ ด้วยล่ะ” รุ้งมณีสั่ง แดงมองหน้ารุ้งมณี “เอามาทำอะไรรึ?”

“เอามาทำแผลให้ป้าเธอไง รึว่าเธอจะปล่อยให้ป้าเธอตายล่ะ รีบไปเอามาเร็ว! ขืนชักช้าป้าเธอเลือดไหลหมดตัวจนตายแน่” รุ้งมณีบอก แดงมองหน้ารุ้งมณีแล้วก็มองหน้าป้าซึ่งหลับตาปรือสีหน้าซีดเซียว แล้วนางก็ประคองป้าลงนอนกับพื้น จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่เรือ สักพักแดงวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาพร้อมกับของที่รุ้งมณีต้องการ

“นี่เข็มกับด้าย ส่วนนี่น้ำ แล้วนี่ก็ผ้า” นางบอก รุ้งมณีคว้ากระบอกน้ำมาเทล้างมือ แล้วก็เอาน้ำราดผ้าจนชุ่ม เธอบิดน้ำจนหมาดแล้วก็เอาผ้าชุบน้ำเช็ดปากแผล เธอรีบสำรวจบาดแผล ล้วงนิ้วเข้าไปในแผลเพื่อตรวจดูว่าอวัยวะภายในถูกแทงด้วยรึเปล่า โชคดีที่คนเจ็บถูกแทงโดนสีข้างอวัยวะภายในไม่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย

“โอย” นากร้องแล้วก็ปรือตามอง ความเจ็บปวดและเสียเลือดมากทำให้นางสะลึมสะลือเกือบจะไร้สติ รุ้งมณีดึงนิ้วออกแล้วก็เช็ดมือกับเสื้อ เธอกดผ้าเช็ดหน้าห้ามเลือดเอาไว้ แดงมองการกระทำของรุ้งมณีแล้วก็ถามว่า “เอ็งจะทำอะไรรึ?”

“เย็บแผลน่ะซิ” รุ้งมณีตอบแล้วก็คว้าเข็มกับด้ายไปล้างน้ำ

“เย็บแผล?” แดงทวนคำแล้วก็ถามว่า “เอ็งจะเย็บแผลป้าข้าด้วยเข็มกับด้ายนี่นะรึ?”

รุ้งมณีพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”

แดงอึ้ง! แล้วก็โวยวายว่า “นังบ้า! เอ็งจะเย็บแผลป้าข้าได้อย่างไร? เนื้อคนนะมิใช่ผ้าผ่อนจะได้เย็บได้”

รุ้งมณีจ้องหน้าแดงแล้วก็ตวาดว่า “ถ้างั้นเธอก็เลือกเอาล่ะกันว่าจะให้ฉันเย็บแผลให้ป้าเธอ หรือว่าจะดูป้าเธอเสียเลือดจนตาย! เธอเลือกเอาเองละกัน!”

แดงหันไปมองป้าแล้วก็ร้องไห้โฮ “ฮือๆๆๆ”

นางมิรู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี นังบ้านี่จะทำอะไรกับป้าก็มิรู้ แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ป้าคงตายแน่!

“ว่าไง! เธอจะให้ฉันทำแผลให้ป้าเธอ หรือว่าเธอจะปล่อยให้ป้าเธอตายล่ะห๊ะ!” รุ้งมณีตวาด

“ฮือๆๆๆ มึงช่วยป้าข้าได้แน่นะนังบ้า” แดงถามปนร้องไห้เพราะกลัวว่าป้าจะตาย รุ้งมณีเอื้อมมือไปจับบ่าแดงแล้วก็บอกว่า “ช่วยได้ซิ ฉันสัญญาว่าป้าเธอจะต้องไม่ตาย”

เธอบอกน้ำเสียงหนักแน่น แดงมองหน้ารุ้งมณีแล้วก็พยักหน้าอย่างตัดสินใจ “เอ็งจะทำอะไรก็ทำเถอะ เอ็งต้องช่วยป้าข้านะ”

รุ้งมณีพยักหน้าแล้วก็บอกว่า “ถ้างั้นเธอก็มาช่วยฉันเร็วๆ เถอะ ขืนชักช้าป้าเธอจะแย่”

แดงขยับไปนั่งข้างป้าอย่างเป็นห่วง ส่วนรุ้งมณีก็จัดแจงลงมือเย็บแผล โชคดีที่นากสลบไปเพราะเสียเลือดเยอะ ทำให้เธอเย็บแผลคนเจ็บได้ง่าย

ทุกๆครั้งที่รุ้งมณีจรดปลายเข็มลงบนผิวเนื้อ แดงได้แต่มองอย่างสยดสยอง พอเย็บแผลห้ามเลือดเสร็จรุ้งมณีก็ถอนหายใจ เธอหันไปตรวจชีพจรคนเจ็บแล้วก็โล่งใจเพราะอัตราการเต้นของหัวใจไม่ต่ำมากเกินไป เธอถอยไปนั่งปาดเหงื่อแล้วก็บอกกับแดงว่า “คงต้องรอดูอาการซักพักนึงล่ะ”

แดงมองรุ้งมณีแล้วก็ถามว่า “ป้าข้ามิเป็นอะไรแน่นะนังบ้า?”

“นี่เธอเรียกฉันว่านังบ้าๆ อยู่ได้ ฉันชื่อรุ้งมณี ถ้าเธอเรียกฉันว่านังบ้าอีกทีฉันจะตบเธอให้คว่ำเลย” รุ้งมณีตวาดอย่างเคืองๆ แดงสะอึกนึกกลัวท่าทีของรุ้งมณีพลางนึกในใจว่า นังบ้านี่น่ากลัวยิ่งนัก ครั้นพอมองไปที่ศพของผู้ชายทั้ง 2 นางก็มองอย่างมิอยากจะเชื่อว่าตัวเองจะฆ่าพวกมันได้

“เอ่อนี่…นังบ้า” นางเรียกรุ้งมณี แต่พอสบตากับสายตาดุๆ ของอีกฝ่ายนางก็รีบเปลี่ยนคำเรียกว่า “นี่เอ็ง…ทำไมป้าข้ายังมิตื่นเสียที?”

รุ้งมณีเอื้อมมือไปจับชีพจรคนเจ็บแล้วก็บอกว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป้าเธอจะฟื้นเมื่อไหร่เพราะป้าเสียเลือดเยอะมาก คงต้องรอดูอาการไปก่อนนั่นแหละ”

“เอ่อ…พวกเราช่วยกันหามป้าลงเรือได้ไหมนัง…เอ่อเอ็ง” แดงถาม

“แต่ป้าเธอเสียเลือดไปมากนะ ควรจะให้ป้าได้นอนนิ่งๆ จะดีกว่า” รุ้งมณีแย้ง แดงชี้ไปที่ศพแล้วก็ถามว่า “เอ็งมิกลัวรึ?”

รุ้งมณีหันไปมองแล้วก็บอกว่า “ไม่กลัวหรอก ศพลุกขึ้นมาทำอะไรใครไม่ได้หรอก แต่คนเป็นๆ นี่ซิน่ากลัวกว่า”

แดงพยักเพยิด “ก็จริงของเอ็ง ข้ามิได้กลัวพวกมันหรอก แต่ข้ากลัวว่าพวกมันจะมิได้มีแค่ 2 คนเท่านี้น่ะซิ”

รุ้งมณีชะงัก! จริงซิ…เธอก็ลืมคิดถึงข้อนี้เลย ถ้ายังมีคนอื่นอยู่ พวกมันต้องมาตามหาพวกเพื่อนๆ ของมันแน่

“งั้นเราช่วยกันหามป้าลงเรือเถอะ” เธอบอกพลางมองไปรอบๆ อย่างกังวล แดงรีบลุกเก็บข้าวของไปไว้ที่เรือ พลางจัดที่ทางในเรือรอท่า ครั้นพอจัดเสร็จแล้วนางก็รีบวิ่งกลับไปหาป้า จากนั้นทั้ง 2 คนก็ช่วยกันหามนากลงเรืออย่างทุลักทุเล ครั้นพอลงเรือเรียบร้อย แดงก็รีบแก้เชือกขึ้นเรือ นางคว้าไม้พายแล้วก็ไปนั่งคัดท้ายเรือ ส่วนรุ้งมณีก็ช่วยพายทางหัวเรือ เธอเคยไปเที่ยวพายเรือแคนนูกับเพื่อนตอนสมัยเรียนอยู่บ้างทำให้เธอพอจะพายเรือเป็นบ้างนิดหน่อย เรือลำน้อยค่อยๆ เคลื่อนไปตามลำน้ำ แสงแดดยามบ่ายส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเห็นน้ำใสแจ๋ว ฝูงปลาแหวกว่ายหนีเรือพายอย่างตื่นตกใจ แดงเห็นรุ้งมณีร้อนเหงื่อไหลก็หยิบผ้าโยนให้ “เอาผ้าคลุมหัวไว้ซิ แดดมันแรง”

“ขอบใจเธอมากนะ” รุ้งมณีรับผ้ามาพลางยิ้มให้ แล้วเธอก็เอาผ้าคลุมหัวไว้ จากนั้นเธอก็ช่วยพายเรือต่อ ครั้นพอพายไปได้ซักพักก็ไปถึงจุดที่แม่น้ำบรรจบกับแม่น้ำอีกสาย มีกลุ่มเรือน้อยใหญ่ขนข้าวของผู้คนหนีทัพกาสีล่องมาตามแม่น้ำหลายลำ แดงคัดท้ายเรือเข้าไปใกล้เรือลำที่อยู่ใกล้ที่สุด

“ป้าจ๊ะป้า ป้าจะไปที่ใดกันหรือจ๊ะ?” นางถามพลางยกมือไหว้ หญิงสูงวัยรับไหว้แล้วก็บอกว่า “ไปลวปุระซินังหนู เขาว่าไอ้พวกกาสีมันมาถึงบ้านดอนแล้ว อยู่มิได้แล้วนังหนู แล้วพวกเอ็งมาจากไหนกันรึ?”

“ข้ามาจากบ้านดอนจ้ะป้า” แดงตอบ ผู้คนในเรือลำนั้นแตกตื่นกันใหญ่ “เอ็งมาจากบ้านดอนรึ? แล้วไอ้พวกกาสีมันมาถึงรึยัง?”

“พวกมันมาแล้วจ้ะป้า มันไล่ฆ่าปล้นสะดมเผาบ้านเผาเมือง ดีว่าพวกฉันหนีมาได้จ้ะ” แดงตอบ ผู้ชายที่คัดท้ายเรือมองเห็นนากนอนเจ็บอยู่ก็พูดว่า “แล้วนั่นแม่พวกเอ็งรึ?”

เขาถามแล้วก็คาดเดาเอาเองว่า “คงจะถูกกาสีมันฟันเอาล่ะซิท่า ดีแล้วที่พวกเอ็งหนีรอดมาได้”

แดงยังมิทันจะได้พูดอะไร หญิงสูงวัยก็ถามว่า “แล้วนี่พวกเอ็งจะไปลวปุระรึ?”

แล้วนางก็พูดต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเอ็งก็พายเรือเกาะกลุ่มไปกับพวกข้านี่แหละ”

นางชี้มือไปทางกลุ่มเรือด้านหน้าพลางบอกว่า “พวกนั้นก็ญาติๆ ข้าทั้งนั้น”

แดงยกมือไหว้แล้วก็บอกว่า “ขอบพระคุณจ้ะ ข้ามิได้ไปลวปุระหรอกจ้ะป้า พวกข้าจะขึ้นเหนือไปทางโกศลจ้ะ ลุงข้าอยู่ที่นั่นจ้ะป้า”

“งั้นรึ” หญิงสูงวัยพยักหน้ารับรู้แล้วก็บอกว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขออวยพรให้พวกเอ็งไปถึงอย่างปลอดภัยเถอะนะ”

“ขอบใจจ้ะป้า” แดงบอกแล้วก็ค่อยๆ ดันเรือออกห่าง รุ้งมณียกมือไหว้คนในเรือลำนั้นแล้วก็ช่วยแดงพายเรือ พอเรือออกห่างจากกลุ่มเรือ แดงก็ถามรุ้งมณีว่า “เอ็งจะไปลวปุระหรือไม่? ถ้าเอ็งอยากไปลวปุระข้าจะฝากเอ็งไปกับพวกนั้น”

ก็มิรู้ว่าเพราะอะไรถึงถามออกไปเช่นนั้น รุ้งมณีหันไปมองหน้าแดงแล้วก็ถามว่า “ถ้าฉันไปกับพวกนั้นแล้วใครจะดูแลป้าล่ะ?”

แล้วเธอก็พูดต่อว่า “ฉันไม่ทิ้งคนไข้ของฉันหรอกนะ ฉันอุตส่าห์เสียแรงรักษาฉันก็ต้องรักษาให้ถึงที่สุด แล้วลำพังเธอจะดูแลป้ายังไง เกิดเธอดูแลไม่ดีแผลติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง”

แดงมองรุ้งมณีอย่างซึ้งใจน้ำตาคลอ แม้จะไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายมากนัก แต่ความหมายก็คือนังบ้านี่ไม่ทิ้งนางไป นางรีบปาดน้ำตาทิ้ง รุ้งมณีไม่อยากให้เด็กสาวรู้สึกเขินจึงแสร้งทำทีหันไปพายเรือต่อ

“โอย” นากครางเบาๆ พลางปรือตาขึ้น

“ป้า!” แดงเรียกอย่างดีใจ รุ้งมณีหันไปมองแล้วก็บอกว่า “หยุดเรือก่อนเถอะ ฉันจะดูป้าซักหน่อย”

แดงรีบคัดท้ายเรือเข้าหาฝั่งทันที พอเรือจอดใต้ร่มไม้ริมน้ำ รุ้งมณีก็ขยับไปตรวจอาการคนเจ็บ

“ป้าเป็นยังไงบ้างคะ?” เธอถามพลางจับชีพจรตรวจดู

“โอย…เจ็บเหลือเกิน” นากคราง รุ้งมณีจับมือปลอบ “อดทนไว้นะคะป้า หนูก็ไม่รู้จะหายาแก้ปวดที่ไหนให้ป้ากิน”

“ยาแก้ปวดรึ?” แดงทวนคำแล้วก็บอกว่า “เดี๋ยวข้าไปหาให้”

แล้วนางก็ลุกพรวดก้าวขึ้นฝั่งไป

“เดี๋ยวซิเธอ” รุ้งมณีเรียกแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอมองตามอย่างเป็นห่วง เรือก็จะไหลตามน้ำรุ้งมณีจึงรีบหันไปผูกเชือกหัวเรือกับรากไม้ใกล้ๆ มือ

“น้ำ ขอน้ำหน่อย…โอย…” นากบอกปนครางเจ็บ รุ้งมณีหยิบกระบอกน้ำไปป้อนให้ นากดื่มน้ำอย่างกระหายจัดจนรุ้งมณีต้องปราม “ค่อยๆ จิบค่ะป้า เดี๋ยวจะสำลักนะคะ ค่อยๆ ค่ะ”

นากดื่มน้ำพอแล้วก็ดันกระบอกออก รุ้งมณีเอากระบอกน้ำวางไว้ที่เดิม เธอชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่แดงจะกลับมาเสียที

สักพักใหญ่แดงก็กลับมาพร้อมกับถือต้นฝิ่นมาด้วย “ข้ามาแล้ว”

รุ้งมณีมองแล้วก็ถามว่า “นั่นอะไรเหรอ?”

“ต้นฝิ่นไง” แดงบอกแล้วนางก็จัดแจงเอาต้นฝิ่นไปล้างน้ำ

“เธอเอาต้นฝิ่นมาจากไหนเหรอ?” รุ้งมณีถามอย่างสงสัย ต้นฝิ่นหาได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?

แดงเหลือบมองแล้วก็มองหาหินก้อนเหมาะๆ มือแทนครกกับสาก “ใกล้ๆ นี่มีเรือนหลังนึง เจ้าของเรือนคงจะทิ้งเรือนหนีไปลวปุระแล้วกระมัง ข้าเห็นมีต้นฝิ่นปลูกเอาไว้ข้าก็เลยถอนมา”

นางบอกพลางบดต้นฝิ่นไปด้วย

“แล้วนั่นเธอบดมันทำไมเหรอ?” รุ้งมณีถามพลางมองอย่างอยากรู้

“ข้าก็บดให้ป้ากินแก้ปวดไง เอ็งมิรู้หรือว่าฝิ่นเป็นยาแก้ปวดน่ะ?” แดงบอกแล้วก็ย้อนถาม แล้วนางก็บอกอีกว่า “เนี่ยป้าสอนข้าตั้งแต่เด็กๆ เชียวนะว่าสมุนไพรอะไรใช้ทำยาได้บ้าง”

รุ้งมณีนิ่งเงียบมองดูแดงบดยา ครั้นพอบดละเอียดดีแล้วแดงก็เอาฝิ่นบดละลายกับน้ำในกระบอก “เสร็จแล้ว”

นางรีบเอายาในกระบอกไปป้อนป้า “ป้าจ๋า กินยานี่ก่อนนะจ๊ะ”

นากปรือตามองแล้วก็ผงกหัวขึ้นกินยา รุ้งมณีมองวิธีรักษาของ 2 ป้าหลานอย่างสนใจ พอนากกินยาเสร็จ แดงก็เอากระบอกยาวางไว้ข้างตัวป้า จากนั้นนางก็บอกกับรุ้งมณีว่า “ไปกันเถอะ พายเรือไปอีกสักหน่อยก็จะเจอหมู่บ้าน ข้าจำได้เมื่อก่อนป้าเคยพาข้าเอาข้าวไปแลกผ้าที่ตลาด”

รุ้งมณีพยักหน้ารับรู้ แล้วก็หันไปแก้เชือกจากรากไม้ จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันพายเรือไปเรื่อยๆ ส่วนนากก็เคลิ้มไปเพราะฤทธิ์ยา

จนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านที่แดงบอก ทั้งสองก็ช่วยกันพายเรือไปที่ท่าน้ำซึ่งมีเรือลำเล็กลำใหญ่จอดเรียงรายเต็มไปหมด ส่วนมากเป็นเรือที่ผู้คนต่างหนีตายมุ่งหน้าไปลวปุระ แดงกับรุ้งมณีเลือกจอดเรือห่างจากเรือลำอื่นๆ สักหน่อยเพราะตรงท่าน้ำผู้คนจอแจเกินไป ครั้นพอจอดเรือปั๊ป แดงก็ชะเง้อมองรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจเพราะนางมิค่อยได้ออกจากหมู่บ้านมาที่นี่บ่อยครั้งนัก นานๆ ทีป้าถึงจะพามาแลกข้าวแลกของที่ตลาด ส่วนรุ้งมณีก็มองไปรอบๆ ตัวดูความเป็นอยู่ของผู้คน ฉับพลัน! ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งพายเรือมาเทียบข้างๆ “แม่หนูๆ”

รุ้งมณีกับแดงหันไปมอง

“จ๊ะแม่” แดงขานรับพลางยกมือไหว้ รุ้งมณีจึงไหว้ตาม

“พวกเอ็งพายเรือตามข้าไปที่วัดก่อน พระคุณเจ้าท่านอยากพบพวกเอ็ง ท่านให้ข้ามารอพวกเอ็งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เพลแล้ว” หญิงสูงวัยบอก

“พระคุณเจ้าอยากพบพวกฉันหรือจ๊ะ?” แดงถามอย่างงงๆ ก็นางมิเคยไปวัดที่หมู่บ้านนี้เลยสักครั้ง แล้วนางจะไปรู้จักมักจี่กับพระที่วัดนี้ได้อย่างไรกัน? ท่าทางหญิงคนนี้คงจะทักผิดคนกระมัง

Chapter 3

รักษาคน

“แต่ข้ามิเคยพบปะพระคุณเจ้าที่วัดนี้เลยนะจ๊ะแม่ แม่คงจะทักผิดคนแล้วกระมัง” นางบอก

“มิผิดหรอก พระคุณเจ้าท่านบอกให้ข้ามารอเรือลำเล็กที่มีคนเจ็บมากับผู้หญิงอีก 2 คน ท่านว่าเรือมาจากบ้านดอน” หญิงสูงวัยบอกแล้วก็ถามว่า “พวกเอ็งมาจากบ้านดอนใช่หรือไม่? คนในเรือลำใหญ่นั่นบอกข้าแล้วว่าเจอเรือมาจากบ้านดอน ข้าถึงได้มารอท่าพวกเอ็งอยู่”

แดงพยักหน้ารับ “ใช่จ้ะ พวกฉันมาจากบ้านดอนจ้ะ”

รุ้งมณีมองอย่างงงๆ

“ถ้าเช่นนั้นพวกเอ็งก็รีบพายเรือตามข้าไปที่วัดเถอะ พระคุณเจ้าท่านรอพวกเอ็งอยู่นานแล้ว” หญิงสูงวัยบอกแล้วก็พายเรือนำออกไป แดงหันไปมองรุ้งมณี “เอาอย่างไรดีรึเอ็ง?”

“ลองตามไปดูเถอะ คุณป้าคงไม่น่าจะตุกติกอะไรหรอกมั้ง” รุ้งมณีบอก แดงทำหน้างงๆ “เอ็งพูดอะไรข้ามิเข้าใจเลย”

รุ้งมณีถอนหายใจแล้วก็บอกว่า “ฉันหมายถึงว่าลองตามคุณป้าไป เขาคงไม่โกหกหรอกมั้ง”

แดงพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นนางก็เอาไม้พายยันริมตลิ่งดันเรือออก รุ้งมณีก็ช่วยอีกแรง ทั้งสองคนพายเรือตามหญิงสูงวัยไปจนถึงวัด

ณ ท่าน้ำหน้าวัดมีพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งรออย่างสงบ หญิงสูงวัยจอดเรือเทียบท่าน้ำแล้วก็เอาเชือกผูกกับเสาท่าน้ำ จากนั้นก็เดินไปไหว้พระภิกษุพลางบอกว่า “มากันแล้วเจ้าค่ะ”

แดงกับรุ้งมณีพายเรือไปเทียบท่าน้ำพลางมองขึ้นไปบนท่าน้ำอย่างสงสัยใคร่รู้ ครั้นพอแดงเห็นหน้าพระภิกษุรูปนั้นนางก็ทักว่า “ลุงสิงขร”

นางรีบเอาเรือเทียบท่า แล้วก็ก้าวพรวดขึ้นไปบนท่าน้ำอย่างดีใจ นางถลันเข้าไปไหว้จนแทบจะชนชายผ้าเหลือง “ลุงสิงขรจริงๆ หรือจ๊ะ?”

พระคุณเจ้ารีบปรามว่า “เบาๆ นังแดง”

แล้วท่านก็บอกกับหญิงสูงวัยว่า “ให้คนไปหามนังนากไปไว้ที่ศาลาก่อนเถอะแม่ปีบ”

“เจ้าค่ะ” ปีบรับคำแล้วก็ลุกไปเรียกคนให้ไปช่วยกันหามคนเจ็บตามคำสั่ง รุ้งมณีวางไม้พายแล้วก็หันไปผูกเชือกกับเสาท่าน้ำ ไม่ต้องถามอะไรดูจากท่าทางเด็กสาวก็รู้แล้วว่ารู้จักพระรูปนั้นแน่ๆ แต่แปลกที่ท่านสั่งให้คนไปดักรอที่ท่าน้ำถูกได้อย่างไรกัน ช่างน่าสงสัยจริงๆ

ครู่ต่อมาปีบกับผู้ชายอีก 3 คนก็มาช่วยกันหามคนเจ็บ นากยังเคลิ้มๆ เพราะฤทธิ์ยา รุ้งมณีก็ช่วยประคองส่งให้ จากนั้นเธอก็ขึ้นไปไหว้พระภิกษุรูปนั้น “นมัสการค่ะ”

พระคุณเจ้ายิ้มให้อย่างปราณี แล้วก็บอกว่า “ขอบใจเอ็งที่ช่วยรักษานังนาก”

รุ้งมณีชะงัก! “ท่านรู้ได้ยังไงคะว่าหนูช่วยรักษาคุณป้าน่ะค่ะ?”

“ข้ารู้ก็แล้วกันแม่หนูผู้มาจากกาลเบื้องหน้า” พระคุณเจ้าตอบ รุ้งมณีชะงักงัน! “ท่านรู้!”

ถ้างั้นท่านก็คงรู้ว่าหนูจะกลับบ้านของหนูได้ยังไง? เธอคิดในใจยังไม่ทันจะพูดออกไป พระคุณเจ้าก็ตอบว่า “เอ็งมาที่นี่ได้ก็เพราะดวงชะตาของเอ็ง ส่วนเอ็งจะกลับไปยังที่ๆ เอ็งจากมาได้หรือไม่ ชะตากรรมของเอ็งเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น อย่าได้ถามอะไรข้าอีกเลยนะแม่หนู ข้าพูดมิได้หรอกมันเป็นลิขิตกรรมของใครก็ของมัน”

รุ้งมณีชะงักนิ่ง! ส่วนแดงก็ได้แต่มองหลวงลุงกับรุ้งมณีอย่างงงๆ

แล้วพระคุณเจ้าก็บอกว่า “นังแดงเอ็งพาแม่หนูนี่ไปหาแม่ปีบคนเมื่อกี้ที ประเดี๋ยวเขาจะได้หาข้าวหาปลาให้พวกเอ็งกินกัน แล้วพวกเอ็งจะได้อาบน้ำอาบท่ากันเสีย นี่ก็บ่ายคล้อยนักแล้วประเดี๋ยวจะมืดจะค่ำเสียก่อน”

“เจ้าค่ะหลวงลุง” แดงรับคำแล้วก็ลุกขึ้นจูงรุ้งมณีให้ไปด้วยกัน รุ้งมณีได้แต่เดินตามแดงไปอย่างสับสนมึนงง พอพบแม่ปีบ แม่ปีบก็จัดแจงหาข้าวปลาอาหารมาให้ทั้งสองกิน แดงกินข้าวอย่างหิวจัด ส่วนรุ้งมณีก็กินอย่างใจลอย ครั้นพอกินข้าวเสร็จแล้วแม่ปีบก็พาทั้งสองไปอาบน้ำอาบท่าที่กระท่อมของตัวเอง พออยู่ในกระท่อมของแม่ปีบแล้ว รุ้งมณีก็ปลดผ้าโพกหัวออก

“พวกเอ็งอาบน้ำเสร็จแล้วก็เอาเขม่าทาตัวเสียเถิด เป็นแม่หญิงผิวงามไอ้พวกผู้ชายมันเห็นเข้ามันจะมาฉุดคร่าไปทำเมียเสีย” แม่ปีบบอกอย่างเมตตาแล้วก็บอกว่า “บ้านเมืองกำลังระส่ำระส่ายคนดีหรือโจรชั่วก็มิอาจจะรู้ได้ พวกเอ็งจงป้องกันตัวไว้เสียก่อน นุ่งห่มให้มิดชิดอย่าให้ผู้ใดเห็นหน้าค่าตาได้ หลบอยู่แต่ในวัดนี่แหละอย่าได้เที่ยวเดินเพ่นพ่านไปเชียว”

“เจ้าค่ะ” / “ค่ะ” แดงและรุ้งมณีรับคำ พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันแล้วก็พากันรู้สึกกลัว โดยเฉพาะรุ้งมณี เธอรู้ตัวว่าตัวเองหน้าตาสวยเพราะเธอเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ  ผิวพรรณหน้าตาจึงสวยโดดเด่นกว่าใคร หลายต่อหลายครั้งแล้วที่เธอเกือบจะถูกฉุดไปข่มขืน โชคดีที่เธอเป็นมวยทำให้หล่อนเอาตัวรอดมาได้ แล้วแม่ปีบก็เอาผ้านุ่งผ้าห่มมาให้ เป็นผ้าสีเข้มเกือบดำซึ่งย้อมด้วยแก่นมะเกลือ รุ้งมณีและแดงรับผ้ามาพลางไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ” / “ขอบใจเจ้าค่ะ”

“เอ็งพูดจาแปลกประหลาดนักนังหนู” แม่ปีบทักพลางจ้องหน้ารุ้งมณีแล้วก็พูดว่า “หน้าตาเอ็งก็งดงามหมดจรดผิวพรรณเอ็งก็ขาวผุดผ่อง เอ็งมิใช่คนเวสาลีเป็นแน่”

รุ้งมณีใจเต้นแรงกลัวว่าอาจจะถูกขับไล่ไสส่งก็อาจจะเป็นได้

“แต่เอาเถอะในเมื่อพระคุณเจ้าท่านให้เอ็งอยู่ที่นี่ เอ็งจะมาจากที่ใดก็มิใช่ธุระของข้า แต่เอ็งจงระวังตัวให้ดีเถิดนังหนูอย่าให้ใครเห็นผิวพรรณหน้าตาเอ็งได้เป็นอันขาดเชียว” แม่ปีบเตือนอย่างเป็นห่วงแล้วก็ลุกเดินไปทำธุระของตัวเอง ปล่อยให้สองสาวอาบน้ำอาบท่า ครั้นพออาบน้ำเสร็จแล้วทั้งแดงและรุ้งมณีก็ช่วยกันเอาเขม่าทาตัวให้กัน

“ผิวเอ็งข๊าว…ขาวดั่งไข่ปอก ข้าเห็นแล้วอยากมีผิวงามๆ เช่นเอ็งบ้าง” แดงบอกขณะทาเขม่าให้รุ้งมณี

“ผิวเธอก็สวยนะนี่ถ้าดูแลดีกว่านี้ฉันว่าผิวเธอจะสวยยิ่งกว่าฉันอีกนะ” รุ้งมณีบอก แดงรู้สึกเขินที่มีคนชมว่าผิวสวย นางมองรุ้งมณีอย่างรู้สึกสนิทสนม ครั้นพอแต่งตัวเสร็จทั้ง 2 คนก็ออกไปหานากที่ศาลา นากสะลืมสะลือมองไปรอบๆ ตัว พอเห็นคนโพกหน้ามิดชิดมามองตัวเองก็ตกใจผงะร้อง “โอย…ท่านพญายมจะมารับข้ารึ?”

“ป้า ข้าเอง นังแดงหลานป้าอย่างไรเล่า” แดงบอกพลางปลดผ้าโพกหัวออก

“นังแดงหรอกรึ โอย…ข้าก็นึกว่าพญายมมารับข้าเสียอีก” นากถอนหายใจโล่งอกแล้วก็มองไปรอบๆ ตัว “นี่ข้าอยู่ที่ใดรึ?”

“พวกเราอยู่ที่วัดจ้ะป้า หลวงลุงสิงขรมาอยู่ที่วัดนี้จ้ะป้า” แดงบอกแล้วก็ถามว่า “ป้าหิวหรือไม่จ๊ะ?”

นากทำหน้างงๆ “ไอ้สิงขรมันบวชเป็นพระตั้งแต่เมื่อใดรึ?”

แดงส่ายหน้า “มิรู้จ้ะป้า ข้าเจอหลวงลุงท่านก็บวชเป็นพระแล้วจ้ะ”

“งั้นรึ…โอย” นากพยักหน้ารับรู้พลางครางเจ็บ รุ้งมณีชะโงกเข้าไปถามอาการ “เจ็บมากไหมคะป้า?”

นากหันไปมองแล้วก็ถามว่า “แล้วนี่ใครกันรึ?”

“ก็นังบ้าไงป้า” แดงตอบแทนแล้วก็รีบบอกว่า “นังบ้าที่ข้ากับป้าช่วยกันแบกหนีไอ้พวกกาสีไง”

นากมองจ้อง “แล้วทำไมมันโพกหน้าโพกตาเยี่ยงนี้เล่า?”

“แม่ปีบกลัวใครจะมาฉุดคร่าก็เลยให้ข้ากับมันเอาเขม่าทาตัวแล้วก็โพกหน้าโพกตามิให้ผู้ใดเห็นจ้ะป้า” แดงบอกแล้วก็ถามว่า “ป้าหิวหรือไม่จ๊ะ? เดี๋ยวข้าไปขอข้าวจากแม่ปีบมาให้นะจ๊ะ”

“เดี๋ยวฉันไปเอาข้าวมาให้ล่ะกัน เธออยู่กับป้าที่นี่แหละ” รุ้งมณีอาสาแล้วก็เดินออกไป แดงจึงนั่งเฝ้าป้าพลางมองตามรุ้งมณีไป ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีพี่สาว ก็มิรู้เช่นกันว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนี้ รุ้งมณีเดินไปถึงโรงครัว เห็นแม่ปีบกำลังทำกับข้าวง่วนอยู่หล่อนจึงเข้าไปหา “ป้าคะ พอจะมีข้าวต้มหรือโจ๊กบ้างไหมคะ?”

ปีบหันไปมองแล้วก็บอกว่า “มิมีหรอกนังหนู เอ็งจะเอาข้าวต้มไปให้ใครรึ?”

“หนูจะเอาไปให้คนเจ็บค่ะ” รุ้งมณีบอกแล้วก็เหลือบไปเห็นน้ำข้าว “ถ้างั้นหนูขอน้ำข้าวนี่ไปให้คนเจ็บได้ไหมคะ?”

ปีบพยักหน้า “เอาไปเถอะ”

รุ้งมณียกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”

แล้วเธอก็ตักน้ำข้าวใส่ชามดินเผาไปให้คนเจ็บ พอเดินไปถึงศาลาเธอก็เอาน้ำข้าวไปให้นาก

“ป้าคะหนูเอาน้ำข้าวมาให้ป้ากินค่ะ” เธอบอกแล้วก็นั่งลงข้างๆ นาก นากผงกหัวขึ้นมอง “เออดี…ข้ากำลังอยากได้อยู่เชียว โอย…เอ็งนี่ช่างรู้ใจข้าจริง”

“ข้าป้อนนะจ๊ะป้า” แดงอาสาแล้วก็ดึงชามไปจากมือรุ้งมณี แล้วนางก็ค่อยๆ ป้อนน้ำข้าวให้ป้า รุ้งมณีมองไปรอบๆ ศาลา เธอเห็นคนนอนเรียงราย ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นคนที่เจ็บป่วยกันทั้งนั้น ด้วยจิตอาสาเธอจึงเดินไปดู เธอเห็นพระคุณเจ้ากำลังดูแลผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปหา

“เขาเป็นอะไรคะหลวงพ่อ?” เธอถาม พระคุณเจ้าเงยหน้ามองแล้วก็ทักว่า “อ้อ…แม่หนูนั่นเอง”

แล้วก็ตอบว่า “มันถูกฟันมา”

“ขอหนูดูหน่อยได้ไหมคะ” รุ้งมณีอาสา

“เอาซิ” พระคุณเจ้าอนุญาตแล้วก็ขยับลุกขึ้นถอยออกไป รุ้งมณีทรุดลงนั่งคุกเข่าข้างๆ คนเจ็บแล้วเธอก็เปิดใบตองที่ปิดแผลดู รอยแผลถูกฟันเป็นทางยาวจากไหล่ไปถึงเอวอักเสบบวมเป่ง เลือดยังซึมเป็นทาง

“แผลแบบนี้ต้องเย็บค่ะหลวงพ่อ” รุ้งมณีบอก พระคุณเจ้ามองแล้วก็บอกว่า “แม่หนูรักษามันได้ก็รักษามันเถิดจะได้เป็นบุญกุศล แล้วแม่หนูจะเอาอะไรบ้างรึ? ข้าจะได้จัดหามาให้”

“ขอเข็มกับด้าย น้ำร้อน ผ้าสะอาดๆ มีดคมๆ ซักเล่มค่ะ แล้วก็คนช่วยจับด้วยค่ะ” รุ้งมณีบอก

“รอประเดี๋ยวนะแม่หนู” พระคุณเจ้าบอกแล้วก็เดินไป ระหว่างที่รอ รุ้งมณีก็ลุกเดินไปล้างมือจนสะอาด ครู่ต่อมาพระคุณเจ้าก็กลับมาพร้อมกับผู้ชายอีกสองคน

“ไอ้เงินไอ้มากประเดี๋ยวช่วยเป็นลูกมือแม่หนูนี่ที” พระคุณเจ้าบอกแล้วก็หันไปพยักหน้ากับรุ้งมณี

มากและเงินวางข้าวของที่ถือมาตรงหน้ารุ้งมณี แล้วก็ถอยไปยืนดู รุ้งมณียกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”

แล้วเธอก็จัดแจงลงมือเตรียมข้าวของสำหรับเย็บแผล

“ลุงมีแอลกอฮอล์ไหมคะ?” เธอถามมือก็ง่วนกับการเตรียมของ มากและเงินทำหน้างงๆ “อะไรวะนังหนู? อะไรฮอๆรึ?”

รุ้งมณีนึกขึ้นได้ว่าคนสมัยนี้ยังไม่รู้จักแอลกอฮอล์ เธอจึงบอกว่า “มีเหล้าไหมคะ เหล้าแรงๆ แบบที่จุดไฟติดน่ะค่ะ”

มากกับเงินหันไปยิ้มให้กันแล้วก็หันไปมองพระคุณเจ้าอย่างกลัวโดนด่า เพราะท่านเทศนานักหนาเรื่องเหล้ายาปลาปิ้ง ถั่ว โป พนันขันแข่ง พระคุณเจ้ามองทั้งสองคนแล้วก็บอกว่า “มีก็ไปเอามาให้แม่หนูมันเร็วๆเข้า”

พอพระคุณเจ้าบอกเช่นนั้น เงินก็รีบวิ่งไปเอาเหล้าทันที ระหว่างที่รอเหล้า รุ้งมณีก็สั่งให้มากไปเอาอ่างมาใส่น้ำร้อน เงินวิ่งกลับมาพร้อมกับไหเหล้า “เหล้ามาแล้วจ้ะ”

พอได้ของครบแล้วรุ้งมณีก็สั่งทั้ง 2 คนว่า “เดี๋ยวลุง 2 คนช่วยกันจับตัวเขาไว้นะ อย่าให้เขาดิ้นตอนหนูเย็บแผลนะคะ”

“เย็บ!” ทั้งสองร้องเสียงหลงแล้วก็จ้องหน้ารุ้งมณีดั่งถูกผีหลอก พระคุณเจ้าต้องรีบปรามน้ำเสียงดุๆ ว่า “เบาๆ หน่อยพวกเอ็ง แม่หนูสั่งให้พวกเอ็งทำสิ่งใดก็ทำไปเถิดหนา”

ทั้ง 2 คนกลัวพระคุณเจ้าดุ หันไปมองตากันเองแล้วก็พยักหน้าให้กัน “เอาวะ”

จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันจับตัวคนเจ็บ รุ้งมณีม้วนผ้าแล้วก็ก้มลงบอกกับคนเจ็บว่า “กัดผ้านี่ไว้นะคะ ตอนหนูเย็บแผลให้จะได้ไม่เผลอกัดลิ้นค่ะ”

คนเจ็บผงกหัวขึ้นกัดผ้าตามคำบอกของรุ้งมณีแล้วก็นอนลงตามเดิม รุ้งมณีเอาผ้าชุบเหล้าล้างแผลจนสะอาด ครั้นพอทุกอย่างพร้อม เธอก็ลงมือเย็บแผล เงินกับมากมองรุ้งมณีเย็บแผลอย่างหวาดเสียว คนเจ็บสะดุ้งเกร็งทุกครั้งที่ปลายเข็มฝังลงบนผิวเนื้อ พระคุณเจ้ามองแล้วก็กัดฟันข่มความรู้สึก เพราะคนเจ็บคือลูกชายของท่านเอง

“อดทนไว้นะไอ้ทอง” พระคุณเจ้าบอก

เวลาผ่านไป รุ้งมณีเย็บแผลเสร็จก็เอาผ้าชุบเหล้าเช็ดทำความสะอาดปากแผลอีกที ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแดงมายืนดูอยู่ แดงเดินไปยืนใกล้ๆ พระคุณเจ้าแล้วก็ถามว่า “พี่ทองถูกใครฟันมาจ๊ะหลวงลุง?”

“มันถูกไอ้พวกกาสีฟันตอนที่ไอ้พวกนั้นมันบุกหมู่บ้าน พวกข้าหนีรอดมาได้มิกี่คนหรอกนังแดง” พระคุณเจ้าตอบแล้วก็มองดูลูกชาย แดงนิ่งอึ้ง! พูดอะไรมิออก รุ้งมณีทำแผลเสร็จแล้วก็ถามว่า “มีใครอีกไหมคะที่บาดเจ็บ?”

พระคุณเจ้าชี้ไปทางพวกที่นอนเรียงรายกันอยู่ รุ้งมณีมองตามแล้วก็ลุกไปดู แต่ละคนบาดเจ็บเล็กน้อยบ้างหนักบ้าง รุ้งมณีก็จัดแจงรักษาให้จนครบทุกคน แดงก็มิอยู่เฉยคอยช่วยเป็นลูกมือด้วยอีกคน กว่ารุ้งมณีจะรักษาเสร็จก็ดึกดื่น ทำให้บรรดาลูกมือของหล่อนเหนื่อยหอบไปตามๆ กัน พอเสร็จงานต่างก็แยกย้ายกันไปนอนพัก รุ้งมณีและแดงนอนข้างๆ นากในมุ้งเก่าๆ ส่วนคนอื่นๆก็นอนเบียดๆ กันอยู่ในมุ้งที่มีไม่กี่หลัง

เช้าตรู่ รุ้งมณีตื่นแต่เช้า เมื่อคืนเธอหลับสนิทไปด้วยความเพลียจากการพายเรือและรักษาคนเจ็บ พอลืมตาตื่นเธอก็ลุกขึ้นนั่ง เห็นแสงตะเกียงวับๆ แวมๆ เธอได้ยินเสียงครางด้วยความเจ็บปวดจึงเปิดมุ้งออกไปดู เธอเห็นพระคุณเจ้ากำลังดูแลคนเจ็บอยู่ เธอจึงเข้าไปดูใกล้ๆ

“ตื่นแล้วรึแม่หนู?” พระคุณเจ้าทักอย่างปราณี

“ตื่นแล้วค่ะ” รุ้งมณีตอบแล้วก็ถามว่า “หลวงพ่อตื่นนานแล้วเหรอคะ?”

“ข้าเพิ่งตื่นสักพักนี่แหละ” พระคุณเจ้าตอบแล้วก็หันไปทายาให้คนเจ็บ รุ้งมณีจึงเข้าไปช่วยอีกแรง เธอช่วยดูแลคนเจ็บแล้วก็ถามพระคุณเจ้าว่า “ที่นี่หมู่บ้านอะไรคะหลวงพ่อ?”

“ที่นี่เรียกว่าบ้านใต้” พระคุณเจ้าตอบแล้วก็บอกว่า “อยู่ในเขตเมืองเวสาลี”

รุ้งมณีมึนงง “เมืองเวสาลี!”

เมืองเวสาลีคือที่ไหนอ่ะ!? ใจเธอไม่อยากจะเชื่อว่าเธอทะลุมิติหรือหลงมาอยู่ในยุคโบราณได้จริงๆ

“เอ็งจะเชื่อรึไม่ก็ขึ้นอยู่กับใจเอ็งนะแม่หนู ข้ารู้ว่ามันเชื่อยาก แต่ถ้าเอ็งทำจิตให้อยู่กับปัจจุบันได้จิตเอ็งก็จะมิทุรนทุรายดั่งเช่นที่เอ็งเป็นอยู่ในขณะนี้” พระคุณเจ้าบอก รุ้งมณีนิ่งคิด จริงดังท่านว่านั่นแหละ เธอมองท่านแล้วก็ยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะที่แนะนำ”

พระคุณเจ้ามองพลางยิ้มนิดๆ แล้วก็หันไปดูแลคนเจ็บต่อ พอแสงตะวันจับขอบฟ้า ปีบก็เดินมาพร้อมกับถือกระด้งใส่ยาสมุนไพรเข้ามา จากนั้นนางก็เที่ยวเดินแจกยาต้มให้คนเจ็บกินแก้ปวด แต่ละคนต่างก็ช่วยกันคนละมือละไม้ดูแลคนเจ็บ บ้างก็เตรียมสำรับกับข้าว บ้างก็หาบน้ำใส่ตุ่มใส่โอ่ง ไม่มีใครนั่งว่างงอมืองอเท้าเอาเปรียบกันเลย รุ้งมณีช่วยดูแลคนเจ็บจนกระทั่งปีบมาเรียกไปกินข้าว เธอจึงละมือไปกินข้าวแล้วก็รีบกลับมาดูแลคนเจ็บต่อ เธอดูแลคนเจ็บอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ใจก็คิดถึงเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ในสมัยปัจจุบัน หากมีของพวกนั้นในยุคนี้คนเจ็บคงได้รับการดูแลรักษาที่ดีกว่านี้แน่ เธอวิ่งวุ่นคอยดูแลคนเจ็บจนลืมเวลาลืมวันลืมคืน นับจากวันที่รุ้งมณีอยู่ที่นี่ผ่านไปกี่วันกี่คืนแล้วเธอไม่ได้สนใจ ลืมตาตื่นก็คอยดูแลคนเจ็บไข้ได้ป่วย พอหัวถึงหมอนในตอนกลางคืนเธอก็หลับปุ๋ย

ณ ยุคปัจจุบัน เมขลา เพื่อนสนิทของรุ้งมณีกำลังเดินวนไปวนมามือก็กดโทรศัพท์ยิกๆ “ไอ้รุ้งรับโทรศัพท์ซิวะ”

เธอกดโทรศัพท์ทั้งเบอร์มือถือเบอร์บ้าน แต่ก็ไม่มีใครรับสาย พอเสียงสัญญาณตัดไปเธอก็หันไปพูดกับสามีว่า “คุณ ไอ้รุ้งไม่รับโทรศัพท์เลยค่ะ นี่มันขาดงานมา 3 วันแล้วนะคะ ฉันว่าฉันไปดูมันที่บ้านดีกว่าค่ะ”

อติเทพพยักหน้า “ถ้างั้นผมไปด้วยเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน”

แล้วเขาก็คว้ากุญแจรถเดินลิ่วไปที่โรงรถ ส่วนเมขลาก็รีบคว้ากระเป๋าถือตามไป ระหว่างทางไปบ้านรุ้งมณี เมขลาก็พูดกับสามีว่า “ปกติไอ้รุ้งไม่เคยขาดงานเลยนะคะ มันรักงานจะตาย แต่นี่ 3 วันแล้วที่มันไม่ไปทำงาน โทรไปก็ไม่รับ ฉันกลัวจังเลยค่ะคุณกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับมัน”

“อย่าเพิ่งคิดอะไรมากน่ะคุณ คุณหมอรุ้งอาจจะแค่ไม่สบายนอนซมอยู่ที่บ้านก็ได้ เค้าอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ” อติเทพปลอบ

“นั่นแหละคะที่ฉันกลัว ไอ้รุ้งเนี่ยมันยิ่งไม่ค่อยดูแลตัวเองซะด้วยซิ มัวแต่ห่วงคนไข้ พอตัวเองไม่สบายทีไรก็อาการหนักทุกที” เมขลาบอกมือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย

จนกระทั่งถึงบ้านของรุ้งมณี อติเทพจอดรถหน้าบ้าน เมขลาเปิดประตูลงจากรถแล้วก็เดินไปชะเง้อมองข้ามประตูรั้ว เธอกดกริ่งรัวๆ พลางเรียกเพื่อน “ไอ้รุ้งๆๆๆ”

เงียบสนิท

อติเทพลงจากรถแล้วก็เดินไปยืนข้างภรรยา เขาเห็นประตูบ้านแง้มอยู่ เขาก็ชี้ให้ภรรยาดู “คุณประตูเปิดอยู่น่ะ”

เมขลามองตามแล้วก็ยิ่งกดกริ่งรัวๆ พลางตะโกนเรียกเพื่อนเสียงดังลั่น “ไอ้รุ้งๆๆๆๆ”

“คุณหมอรุ้งครับ…คุณหมอรุ้งๆๆๆๆ” อติเทพช่วยตะโกนเรียกอีกแรง

Chapter 4

หมอเทวดาแห่งวัดบ้านใต้

เงียบ…ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

เมขลาหน้าเสีย แล้วก็หันไปบอกสามีว่า “คุณฉันจะปีนเข้าไปดูไอ้รุ้งมันหน่อย คุณช่วยดันฉันหน่อยซิ”

“ผมปีนเองดีกว่า คุณรออยู่นี่แหละ” อติเทพบอกแล้วก็เกาะประตูรั้วเหวี่ยงตัวปีนข้ามไป พอข้ามไปได้เขาก็เดินลิ่วๆ ไปเปิดประตูบ้าน แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน สักพักใหญ่ อติเทพก็ออกมาบอกว่า “ไม่มีใครเลยคุณ”

“ไม่มีได้ไงคุณ รถก็จอดอยู่ ประตูรั้วก็ล็อกข้างใน แล้วไอ้รุ้งมันจะไม่อยู่ได้ไงคุณ” เมขลาแว็ดใส่สามี

“งั้นคุณก็เข้ามาดูเองล่ะกัน” อติเทพบอกอย่างอารมณ์เสียที่ถูกภรรยาแว็ดใส่ เมขลาตั้งท่าจะปีน อติเทพรีบห้าม “เดี๋ยวๆ คุณ ไม่ต้องปีนเดี๋ยวผมไขกุญแจให้”

เขาชูลุกกุญแจในมือที่หยิบมาจากโต๊ะรับแขกในบ้าน เมขลาชะงัก! แล้วก็สั่งว่า “รีบไขเลยคุณ”

“คร้าบๆ” อติเทพรับคำอย่างประชดนิดๆ เขาไขกุญแจเปิดประตูรั้วแล้วก็ค้อมตัวผายมือเชิญ “เชิญคร้าบเจ้าหญิง”

เมขลาค้อนขวับแล้วก็รีบเดินเข้าไป เธอเดินลิ่วๆ เข้าไปในบ้านพลางตะโกนเรียกเพื่อน “ไอ้รุ้งๆๆ แกอยู่ไหน? ไอ้รุ้งๆๆ”

เธอเดินหาเพื่อนทุกห้อง ทุกซอกทุกมุม แล้วก็เดินหารอบบริเวณบ้าน แต่ก็ไม่เจอรุ้งมณีเลย จนไปถึงหน้าบ้านเธอก็พูดกับสามีว่า “ไม่เจอเลยคุณ”

“ผมบอกแล้วคุณก็ไม่เชื่อผม” อติเทพบอก เมขลาเป็นกังวล “แล้วมันหายไปไหนคะ? ข้าวของมันก็อยู่ครบนะคะคุณ”

อติเทพส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เมขลายิ่งกังวลหนัก “มันหายไปไหนของมันนะ?”

“เค้าไปหาญาติหรือเพื่อนที่ไหนรึเปล่าคุณ?” อติเทพบอก เมขลาส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ข้าวของมันยังอยู่ครบ รถก็จอดอยู่ รองเท้าก็อยู่ มันจะบ้าเดินออกจากบ้านโดยที่ไม่เอาอะไรไปเลยได้ยังไงคะ? แล้วมันมีญาติกับเขาซะที่ไหนล่ะคุณ มันตัวคนเดียวญาติพี่น้องก็ไม่มี เพื่อนมันที่สนิทที่สุดก็ฉันนี่แหละ มันจะเป็นจะตายจะไปไหนมันต้องบอกฉันก่อน ฉันว่าต้องเกิดเรื่องกับมันแน่ๆเลยค่ะ”

“ถ้างั้นก็โทรแจ้งตำรวจเถอะคุณ” อติเทพแนะนำ เมขลาพยักหน้าแล้วก็กดโทรศัพท์แจ้งตำรวจอย่างร้อนใจ

ณ วัดบ้านใต้ คนเจ็บทยอยอาการดีขึ้นกันทุกคน ต่างก็สำนึกในบุญคุณของรุ้งมณีที่ช่วยรักษาแผลให้ รุ้งมณีช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยจนเลื่องลือกันไปปากต่อปากว่านางเป็นหมอเทวดา เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปก็มีชาวบ้านจากต่างหมู่บ้านต่างเมืองพากันเดินทางมุ่งหน้ามาหาหมอเทวดากันอย่างเนืองแน่น จนพระคุณเจ้ากับพวกชาวบ้านต้องช่วยกันสร้างโรงศาลาเพิ่มเพื่อเป็นสถานที่รักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งเวลาผ่านไปชื่อเสียงของหมอเทวดาก็ยิ่งขจรขจายออกไปจนกระทั่งล่วงรู้ไปถึงพวกกาสีและชาวเมืองลวปุระ

ณ ค่ายทหารของกองทัพกาสี จ้าวราชคีร์นอนคว่ำบนตั่งครางอย่างเจ็บปวดเพราะปวดแผลกลางหลัง ทำให้การเคลื่อนทัพชะงักงัน

“หมอมารึยังวะ?” จ้าวราชคฤห์ตะโกนถามทหาร มองน้องชายต่างมารดาอย่างร้อนใจ

“มาแล้วขอรับ” ทหารกราบทูลพร้อมกับผลักหมอหลวงเข้าไป หมอหลวงตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว เพราะหมอหลวงคนก่อนถูกสั่งประหารเสียสิ้นไปแล้วถึง 5 คนเพราะมิอาจจะรักษาบาดแผลของจ้าวราชคีร์ให้หายได้

“มาแล้วก็รีบเข้ามาซิวะ” จ้าวราชคฤห์สั่ง จ้องหน้าหมอด้วยสายตาดุดัน

“ขอรับ” หมอรีบคลานเข่าเข้าไป จ้าวราชคีร์ร้องครางอย่างเจ็บปวดเกินจะทานทนไหว “โอย…ปวดเหลือเกิน”

หมอตรวจแผลแล้วก็เปลี่ยนยาพอกแผลให้ใหม่ พอทำแผลเสร็จแล้วเขาก็กราบทูลต่อจ้าวราชคฤห์ว่า “ข้าเปลี่ยนยาให้ใหม่แล้วขอรับ อีกมินานแผลของท่านราชคีร์ก็คงจะทุเลาขอรับ”

จ้าวราชคฤห์ถีบผางเข้าให้ “นี่แน่ะยาใหม่ หน๊อย! น้องข้าพอกยาหลายวันแล้วแผลก็ยังมิหายกลับยิ่งบวมมากขึ้นทุกทีๆ”

หมอล้มลงตัวสั่นงันงก

“ทหารเอามันไปตัดหัว!” จ้าวราชคฤห์ทรงตะโกนลั่น หมอก้มลงกราบตัวสั่นงันงก “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยขอรับ”

จ้าวราชคีร์ได้ยินพี่ชายสั่งฆ่าหมอก็รีบคัดค้านว่า “ไว้ชีวิตมันด้วยเถิดท่านพี่ โอย… มันยังเป็นประโยชน์ต่อกองทัพได้”

จ้าวราชคฤห์มองน้องชายแล้วเหลือบมองหมอหลวงอย่างไม่พอใจ “ก็ได้ ข้าเห็นแก่เจ้า ข้าจะไว้ชีวิตมัน เอามันไปขังไว้ก่อน”

“ขอบพระคุณขอรับที่ไว้ชีวิตข้า” หมอกราบปะหลกๆ ด้วยความดีใจที่อย่างน้อยหัวก็ยังมิหลุดจากบ่า แล้วทหารก็รีบเข้าไปลากตัวหมอหลวงออกไป

“โอย…ท่านพี่ ข้าปวดเหลือเกิน” จ้าวราชคีร์คราง

“ตามหมอมาเร็วเข้า! น้องข้าปวดแผล” จ้าวราชคฤห์ตะโกนสั่ง ทหารหน้าเสียกราบทูลว่า “มิมีหมอแล้วขอรับ”

“ก็ไปตามมาซิโว้ย!” จ้าวราชคฤห์ตวาดลั่น จ้าวราชคีร์ร้องโอดโอย “โอย…ปวดเหลือเกิน”

แม่ทัพสิลารีบกราบทูลว่า “ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองเวสาลีมีหมอเทวดาขอรับ”

“หมอเทวดารึ?” จ้าวราชคฤห์ทวนคำ

“ขอรับ” แม่ทัพสิลาพยักหน้า จ้าวราชคฤห์คิดๆ เวสาลีมิได้ไกลจากที่นี่นัก แล้วก็สั่งว่า “เอ็งไปเตรียมม้ากับทหารฝีมือดีๆ อีก 4 คน สั่งให้พวกมันแต่งกายเยี่ยงชาวลวปุระ ข้าจะลอบเข้าไปสืบความเรื่องหมอเทวดาด้วยตัวข้าเอง”

“แต่ว่า…” แม่ทัพสิลาค้าน แต่พอสบตากับดวงตาดุดัน เขาก็หุบปากฉับแล้วก็รับคำสั่งว่า “ขอรับ”

แล้วเขาก็รีบไปเตรียมม้าเตรียมคนตามคำสั่ง ครั้นพอม้าและคนพร้อมแล้วจ้าวราชคฤห์ก็ลอบออกจากค่ายอย่างลับๆ

1 ชั่วยามต่อมาจ้าวราชคฤห์ก็ขี่ม้าไปถึงเมืองเวสาลี เขาเร่งม้ามิหยุดพักเพราะเป็นห่วงอาการของน้องชาย เมื่อถึงเมืองเวสาลี ก็สั่งให้คนไปสืบความว่าหมอเทวดาอยู่ที่ใด? ระหว่างที่รอก็พักม้าพักคนไปด้วย ครั้นพอได้ความแล้วจ้าวราชคฤห์ก็รีบขี่ม้าตรงไปยังวัดใต้ทันที

ณ วัดใต้ ผู้คนเนืองแน่นเต็มไปหมดดั่งมีงานบุญ จ้าวราชคฤห์หยุดม้าที่ชายป่าห่างจากวัดพอสมควรเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของชาวบ้าน

“ที่นั่นรึ?” เขาถามพลางมองไปที่วัด

“ขอรับ” แม่ทัพสีลาทูลตอบ

“ดี งั้นเอ็งไปกับข้า ส่วนคนอื่นรออยู่ที่นี่” จ้าวราชคฤห์สั่งแล้วก็ตวัดตัวลงจากหลังม้า จากนั้นก็เดินไปที่วัด แม่ทัพสิลารีบตวัดตัวลงจากหลังม้าตามไปทันที ส่วนคนอื่นๆก็รออยู่ที่นั่นตามคำสั่ง

จ้าวราชคฤห์เบียดเสียดไปกับผู้คนอย่างกลมกลืน แม่ทัพสิลาก็รีบตามไปคุ้มกัน

“เอ้า เข้าแถวดีๆ นะ อย่าแตกแถว ได้เจอหมอเทวดากันทุกคนแน่ อย่าแย่งกันถ้าใครแตกแถวหมอมิรักษานะโว้ย!” ผู้ชายที่หน้าวัดถือดาบร้องบอกพลางคอยจัดแถวมิให้ผู้คนแย่งกันเข้าไปหาหมอ ส่วนผู้ชายอีก 2 คนก็คอยคุมแถวพลางแจกน้ำให้ดื่มกินแก้กระหาย

“คนมากยิ่งนักขอรับ” แม่ทัพสิลากระซิบเป็นภาษากาสี

“เอ็งพูดให้เหมือนชาวลวปุระ อย่าให้ถูกจับได้เป็นอันขาด” จ้าวราชคฤห์กระซิบดุ แม่ทัพสิลาพยักหน้า “คนมากยิ่งนักดั่งมีงานบุญเชียว”

“รึว่าพวกเรามาผิดที่กระมัง?” จ้าวราชคฤห์พูดพลางมองไปรอบๆ

“อย่าแตกแถวๆ ได้เจอหมอกันทุกคน” เสียงตะโกนบอกเป็นระยะๆ แม่ทัพสิลาก็กระซิบว่า “ไม่ผิดหรอกจ้ะ ที่นี่แหละจ้ะ”

จ้าวราชคฤห์พยักหน้า แล้วก็เข้าแถวอย่างกลมกลืนกับผู้คน ถึงแม้ว่าในในจะร้อนรนเพียงใดก็จำต้องอดทนเอาไว้เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นหมอเทวดาอย่างที่ผู้คนร่ำลือกัน ทั้งสองยืนเข้าแถวอยู่นานมาก นี่ถ้าหากมิใช่เพราะว่าเป็นห่วงน้องชาย จ้าวผู้ครองเมืองเช่นเขามิยอมอดทนเช่นนี้แน่ แถวค่อยๆ ขยับเข้าไปทีละหน่อยๆ จนกระทั่งเหลืออีกสองคนข้างหน้า จ้าวราชคฤห์ก็ชะเง้อมองอย่างอยากรู้

รุ้งมณีกำลังตรวจคนไข้อยู่ในศาลา

“เป็นอะไรมาจ๊ะ?” เธอถามคนไข้

“ข้านะ…หนาว” คนไข้ตอบเสียงสั่น รุ้งมณียกหลังมือแตะหน้าผากและลำคอคนไข้ “ตัวร้อนมากนะ”

แล้วเธอก็ถามว่า “เป็นมากี่วันแล้วจ๊ะ?”

“หลายวันแล้วจ้ะแม่หมอ แม่ข้าไม่สบายมาหลายวันแล้วจ้ะ” ลูกสาวคนไข้ตอบแทนแม่ สีหน้าทุกข์ร้อน จ้าวราชคฤห์เห็นผู้หญิงในศาลาก็หันไปกระซิบกระซาบกับแม่ทัพสิลาว่า “หมอเทวดาเป็นแม่หญิงรึ?”

แม่ทัพสิลาส่ายหน้า “ไม่รู้จ้ะ”

รุ้งมณีถามลูกสาวคนไข้อย่างใจเย็น “หลายวันนี่กี่วันกันแน่จ๊ะ? 2 วัน 3 วันหรือว่า 4 วันหรือ 5 วันจ๊ะ?”

ลูกสาวคนไข้ทำหน้างงแล้วก็บอกว่า “ตั้งแต่หลังวันพระจ้ะ”

รุ้งมณีถอนหายใจแล้วเธอก็หันไปหยิบกระดานข้างหลังขึ้นมาดู พลางนับนิ้ว “4 วันแล้ว”

จ้าวราชคฤห์เห็นหมอเทวดาดูกระดานชนวนก็รู้สึกประหลาดใจที่แม่หญิงผู้นี้อ่านอักขระได้ด้วยรึ?

รุ้งมณีวางกระดานลงแล้วก็ถามต่อว่า “เป็นไข้แล้วรู้สึกหนาวอย่างนี้มากี่วันแล้วจ๊ะ?”

ทั้งคนไข้และลูกสาวทำหน้างงๆ มิรู้จะตอบหมอว่าอย่างไรดี “มิรู้จ้ะ”

รุ้งมณีถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่คนไข้ไม่สามารถบอกอาการของตัวเองได้อย่างถูกต้องอย่างที่เธอต้องการ ครั้นเมื่อสบตากับคนไข้ซึ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เธอก็นึกสงสาร

“น้องแดงจ๊ะ พาป้าคนนี้ไปนอนรอที่ศาลานั่นก่อนก็แล้วกัน แล้วก็คอยเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ นะจ๊ะ แล้วก็หายาลดไข้ให้กินด้วยนะจ๊ะ” เธอสั่งแดง แดงลุกขึ้นแล้วก็พาคนไข้ไปนอนรอที่ศาลาข้างหลัง รุ้งมณีหันไปทางแถวคนไข้แล้วก็กวักมือ “เข้ามาจ้ะ”

ผู้ชายที่ยืนคุมหัวแถวก็ดันคนไข้คนต่อไปให้เข้าไปหาหมอ “เข้าไปซิ”

ญาติคนเจ็บรีบหามคนเจ็บเข้าไปหาหมอทันที

“โอย…ช่วยข้าด้วย” คนเจ็บครางอย่างเจ็บปวด รุ้งมณีเห็นคนไข้แล้วก็ตกใจ เพราะคนเจ็บเอามือกุมไหล่เลือดไหลแดงฉานไปหมด “นั่นไปโดนอะไรมา?”

“โอย…ข้าโดนมีดฟันเมื่อเช้าจ้ะ” คนเจ็บบอก พอได้ยินคำตอบรุ้งมณีก็ดุคนเจ็บว่า “โดนฟันตั้งแต่เช้าแล้วทำไมถึงเพิ่งพามา!”

เธอจับมือคนเจ็บออกเพื่อดูแผล

“ก็พวกข้างหน้าเขาบอกว่าให้เข้าแถว ถ้าไม่เข้าแถวหมอจะไม่รักษาจ้ะ” ญาติคนเจ็บบอก รุ้งมณีถอนหายใจเฮือกๆ อย่างเหนื่อยใจ นี่ถ้าหากทุกคนอ่านหนังสือออกก็คงจะดี เธอจะได้ติดป้ายประกาศบอกลำดับการรักษาซะเลย ทำเหมือนอย่างโรงพยาบาลในยุคของเธอ แล้วเธอก็บอกว่า “คราวหน้าไม่ต้องรอเข้าแถวนะ เจ็บขนาดนี้รีบพามาเลย มัวรอเข้าแถวเกิดตายไปจะทำยังไงล่ะ”

คนเจ็บส่ายหน้า “โอย…มิมีคราวหน้าแล้วจ้ะ โอย…”

รุ้งมณีนึกขำ แล้วเธอก็หันไปสั่งเงินกับมากว่า “ลุงจ๊ะ เตรียมเย็บแผลจ้ะ”

แล้วเธอก็เดินไปล้างมือ

“จ้ะแม่รุ้ง” เงินรับรู้แล้วก็รีบหันไปเตรียมอุปกรณ์ในการเย็บแผล ส่วนมากก็ลุกไปเอาน้ำร้อนมาเทใส่อ่าง รุ้งมณีชี้ไปที่แคร่แล้วก็บอกว่า “หามไปที่แคร่นั่นเลยจ้ะ”

ญาติคนเจ็บก็ช่วยกันหามคนเจ็บไปที่แคร่ตามคำสั่งหมอ บรรดาผู้ช่วยก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนหนึ่งจับคนเจ็บนอนลงแล้วเอาผ้าชุบน้ำเช็ดเลือด อีกคนก็เอาผ้าให้คนเจ็บกัดไว้แล้วก็จัดแจงมัดคนเจ็บไว้กับแคร่ พอเสร็จแล้วก็บอกรุ้งมณีว่า “พร้อมแล้วจ้ะแม่รุ้ง”

รุ้งมณีล้างมือเสร็จก็หันไปหยิบเข็มกับด้ายขึ้นมา เงินกับมากก็ช่วยกันจับตัวคนเจ็บกดไว้กับแคร่กันดิ้น แล้วรุ้งมณีก็ลงมือเย็บแผลให้คนเจ็บ

“อ๊ากกกก…” คนเจ็บร้องเสียงหลง ดิ้นหนี แต่เพราะถูกกดไว้แน่นจึงดิ้นไม่ได้ ญาติคนเจ็บได้แต่ยืนดูอย่างตะลึงปนสยอง เคยได้ยินเขาลือกันว่าหมอเทวดารักษาเช่นไร ครั้นพอได้มาเห็นเองก็พากันกลัวจนต้องเบือนหน้าหนี รุ้งมณีเย็บแผลอย่างคล่องแคล่ว เพียงครู่เดียวเธอก็เย็บแผลเสร็จ พอเย็บแผลพันผ้าเสร็จแล้ว เงินกับมากก็ปล่อยตัวคนเจ็บ

“ตัวใหญ่เสียเปล่า ร้องดั่งควายถูกเชือดเชียวนะเอ็ง” มากตบไหล่คนเจ็บข้างที่มิเจ็บ ส่วนเงินก็เอายาแก้ปวดให้คนเจ็บกิน “เอ้า กินยาเสียจะได้มิปวดนัก”

รุ้งมณีหันไปล้างมือพลางบอกว่า “อย่าให้แผลโดนน้ำจนถึงวันพระหน้า พ้นวันพระไปแล้วก็กลับมาหาฉันนะ ฉันจะตัดด้ายที่เย็บแผลให้”

“โอย…มิต้องมาได้หรือไม่จ๊ะแม่หมอ อูย…” คนเจ็บถาม

“ไม่ได้! ต้องมาตัดด้ายออก” รุ้งมณีตวาดเสียงดุ

“จ้ะแม่หมอ” คนเจ็บรับคำอย่างกลัวๆ พลางนึกในใจว่า ข่าวที่เขาลือว่าหมอเทวดาใจดี มิจริงเลยสักนิด เขารับถ้วยยาจากเงินไปดื่มแล้วก็เบ้หน้าด้วยความขม

“เอ้า น้ำ” เงินส่งขันน้ำให้ คนเจ็บรีบคว้าขันน้ำไปดื่มแก้ขมอึกๆ รุ้งมณีล้างมือเสร็จแล้วก็หันไปพูดกับญาติคนเจ็บว่า “พาไปนอนที่ศาลาก่อนนะ เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะไปดูแผลให้อีกครั้ง”

ญาติคนเจ็บยกมือไหว้ปะหลกๆ “ขอบใจจ้ะแม่หมอ”

แล้วญาติก็ช่วยกันหามคนเจ็บไปนอนรอตามที่แม่หมอสั่ง

จ้าวราชคฤห์มองวิธีการรักษาอย่างประหลาดใจ หันไปถามคนที่ยืนคุมแถวว่า “นั่นแม่หญิงผู้นั้นทำอะไรรึพ่อรูปงาม?”

คนคุมแถวยืดอกอย่างภาคภูมิใจที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อรูปงาม’ แล้วก็ตอบว่า “แม่หมอเย็บแผลให้เจ้าคนนั้นอย่างไรล่ะ”

แล้วเขาก็คุยอีกว่า “มิว่าใครโดนฟันมาหนักหนาสาหัสเท่าใดแม่หมอก็รักษาได้หมดแหละ มิใช่เฉพาะไอ้พวกที่โดนฟันมาเท่านั้นนะ ไอ้พวกที่ป่วยปางตายหามกันมาหาแม่หมออาการร่อแร่ แม่หมอยังรักษาจนหายเดินเหินกลับไปเสียนักต่อนักแล้ว”

พอรุ้งมณีกวักมือเรียกคนไข้รายต่อไป คนคุมแถวก็บอกว่า “เอ้า เอ็งไปซิแม่หมอเรียกแล้วนั่น”

จ้าวราชคฤห์พยักหน้ารับแล้วก็เดินไปหาแม่หมอพร้อมกับแม่ทัพสิลา รุ้งมณีนั่งที่แคร่ พอคนไข้รายใหม่เข้ามาเธอก็ถามว่า “เป็นอะไรมาจ๊ะ?”

จ้าวราชคฤห์จ้องแม่หมออย่างพิจารณาพลางพูดว่า “ตัวข้ามิได้เป็นอะไรหรอก แต่น้องข้าเจ็บหนัก ข้าอยากจะให้แม่ไปช่วยรักษาน้องข้าที่ค่าย…เอ้ย! ที่เรือนของข้าน่ะ”

เงินได้ยินเช่นนั้นก็รีบบอกปัดแทนว่า “แม่หมอไปมิได้หรอกพ่อ คนเจ็บคนป่วยมารอให้แม่หมอรักษาทุกวันตั้งมากมายก่ายกอง เอ็งมิเห็นรึไง เอ็งกลับไปพาน้องเอ็งมาให้แม่หมอรักษาที่นี่เถอะ”

“ไอ้นี่บังอาจ…” แม่ทัพสิลาตวาด จ้าวราชคฤห์รีบศอกใส่แม่ทัพสิลา “หยุด!”

“อุก!” แม่ทัพสิลาชะงัก! หยุดพูดทันควัน รุ้งมณีหันไปดุเงินว่า “เดี๋ยวซิพี่เงิน ฉันยังไม่ได้ถามเขาเลยนะ”

เงินเงียบหน้าจ๋อย รุ้งมณีหันไปพูดกับชายคนนั้นว่า “น้องคุณ…เอ้ย! น้องพ่อป่วยเป็นอะไรจ๊ะ?”

“น้องข้าถูกฟันที่หลังบาดเจ็บหนักยิ่งนัก” จ้าวราชคฤห์บอก

“พ่อกลับไปพาน้องมาได้ไหมจ๊ะ?” รุ้งมณีถาม

“น้องข้าบาดเจ็บหนัก หากพาขึ้นเกวียนมาข้าเกรงว่า…” จ้าวราชคฤห์ชะงัก! มิพูดต่อ รุ้งมณีมองเขาแล้วก็นิ่งคิด เห็นสีหน้าเป็นกังวลของญาติคนเจ็บก็อดสงสารไม่ได้ แล้วเธอก็ถามคนคุมแถวว่า “พี่ทองมีใครที่เจ็บหนักอีกไหมจ๊ะ?”

ทองเดินไปดูแถวคนไข้แล้วก็เดินมาบอกว่า “มิมีแล้วจ้ะแม่รุ้ง”

รุ้งมณีพยักหน้ารับรู้แล้วก็บอกว่า “ถ้างั้นพี่ทองให้ใครไปตามป้านากกับแม่ชีมาช่วยดูคนเจ็บคนป่วยก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันกับพี่เงินแล้วก็ลุงมากจะไปดูคนเจ็บสักหน่อยจ้ะ”

แล้วเธอก็หันไปถามชายคนนั้นว่า “บ้าน…เอ้ย! เรือนพ่ออยู่ที่ไหนจ๊ะ? อยู่ไกลไหมจ๊ะ?”

“อยู่มิไกลหรอก” จ้าวราชคฤห์บอก

Chapter 5

หมอเทวดาถูกลักพาตัว

รุ้งมณีพยักหน้ารับรู้ เธอคิดว่าคงไม่ไกลเกินนักหรอกมั้ง แล้วเธอก็หันไปพูดกับเงินว่า “พี่เงินหยิบล่วมยาให้หน่อยจ้ะ”

“จ้ะแม่รุ้ง” เงินรับคำแล้วก็หันไปหยิบล่วมยาซึ่งเป็นย่ามผ้าสำหรับใส่ยากับอุปกรณ์ทำแผลส่งให้รุ้งมณี

รุ้งมณีรับล่วมยาไปสะพายพาดบ่าแล้วก็บอกกับชายคนนั้นว่า “ฉันพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ”

แล้วรุ้งมณีก็เดินนำหน้าไปออกทางหลังวัด เงินและมากก็รีบตามรุ้งมณีไป จ้าวราชคฤห์พยักหน้าแล้วก็เสด็จตามไป แม่ทัพสิลารีบตามไป พอคนไข้เห็นแม่หมอเดินออกไปก็พากันถามคนคุมแถวว่า “แม่หมอจะไปที่ใดรึ?”

คนคุมแถวตอบว่า “มีคนเจ็บหนัก แม่หมอก็จะไปรักษาคนเจ็บหนักก่อนจ้ะ”

“อ้าว แล้วพวกข้าล่ะ?” คนไข้ท้วง

“พวกลุงป้าน้าอาก็รอกันก่อนนะจ๊ะ ประเดี๋ยวแม่หมอก็กลับแล้วจ้ะ” คนคุมแถวรีบปะเหลาะบรรดาคนไข้ให้อยู่ในความสงบ บรรดาคนไข้และญาติๆ จึงรอต่อไปอย่างสงบเรียบร้อย คนคุมแถวลอบถอนหายใจ “เฮ้อ…”

เพราะมีบ่อยครั้งที่บรรดาคนไข้ก่อเหตุวุ่นวายเพราะต้องการให้หมอเทวดารักษาให้ตัวเองก่อน รุ้งมณีเดินออกทางหลังวัดแล้วก็หันไปถามชายคนนั้นว่า “ไปทางไหนจ๊ะ?”

จ้าวราชคฤห์ชี้ไปทางท่าน้ำพูดว่า “ทางนี้”

แล้วเขาก็เดินนำทาง แม่ทัพสิลารีบเดินนำหน้าคอยระวังภัย รุ้งมณีกับพวกก็เดินตามหลังไป ครั้นพอเกือบถึงท่าน้ำ แม่ทัพสิลาก็เดินเลี้ยวไปทางชายป่า เงินกับมากมองอย่างงงๆ แล้วมากก็ถามว่า “อ้าว ทำไมเดินไปทางนั้นเล่า?”

เงินก็ชี้มือบอกว่า “เรืออยู่ทางนี้มิใช่หรือ?”

ทุกคนชะงัก! แล้วเงินก็ถามว่า “รึว่าเรือของพวกเอ็งจอดอยู่ทางนั้นรึ?”

แม่ทัพสิลารีบรับ “ใช่จ้ะๆ”

รุ้งมณีกลัวคนเจ็บจะตายเสียก่อนก็บอกว่า “รีบไปเถอะ”

แม่ทัพสิลาจึงเดินนำทางต่อไป ครั้นถึงจุดที่ทหารรออยู่ พวกทหารต่างก็ยืนขึ้นอย่างระวังตัว พอเห็นว่าเป็นผู้ใดเดินมาก็ยืนรออย่างเงียบๆ ส่วนเงินกับมากพอเห็นม้าหลายตัวกับผู้ชายหลายคนยืนอยู่ก็นึกระแวง เพราะม้ามีใช้เฉพาะในกองทัพเท่านั้น

“พวกเอ็งใช้ม้ารึ” มากถาม

“ใช่” แม่ทัพพยักหน้า

มากรีบคว้าข้อมือรุ้งมณีให้หยุดเดิน “เดี๋ยวนังหนู”

รุ้งมณีชะงัก! “อะไรจ๊ะลุง?”

เงินก็ชะงัก! เช่นกัน พอทั้ง 3 ชะงัก! จ้าวราชคฤห์ก็สั่งทหารเป็นภาษากาสีว่า “จับพวกมันเร็ว!”

พอได้ยินภาษากาสี เงินก็ตะลึง!ร้องลั่น “เฮ้ย! ไอ้พวกกาสี!”

แล้วเงินก็วิ่งอ้าวกลับไปทางเดิม จ้าวราชคฤห์รีบพุ่งตัวรวบตัวแม่หมอเอาไว้

“ว๊าย!” รุ้งมณีร้องลั่นอย่างตกใจ ส่วนแม่ทัพสิลาก็รีบจับตัวมาก มากตั้งท่าต่อยสวน แม่ทัพสิลาเอี้ยวหลบแล้วก็ต่อยท้องมากเต็มแรง ตั๊บ!

“อุก!” มากจุกลงไปกองกับพื้น แม่ทัพสิลาก็จับตัวมากกดลงกับพื้นแล้วก็ถามว่า “จะให้ทำอะไรกับไอ้เฒ่านี่ขอรับ?”

“มัดมันไว้แล้วก็เอามันไปด้วย” จ้าวราชคฤห์สั่ง รุ้งมณีเห็นช่องโหว่ก็ศอกใส่ชายคนนั้นเต็มแรง ปึก!

“โอ๊ะ!” จ้าวราชคฤห์ร้องเจ็บ รุ้งมณีสะบัดตัวหลุดไปได้ เธอจะวิ่งหนี แต่พอหันไปเห็นมากถูกจับ เธอก็ชะงักงัน! “ลุงมาก!”

เฉพาะตัวเธอคงจะหาทางหนีไปได้แน่ แต่ด้วยความเป็นห่วงลุงมากหล่อนจึงละล้าละลังไม่รู้จะทำยังไงดี? จ้าวราชคฤห์ฉวยโอกาสเข้าไปจับตัวแม่หมอเอาไว้

“หยุด! มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าไอ้เฒ่านั่นเสีย!” เขาตวาดดุดัน แม่ทัพสิลาชักมีดออกมาจ่อคอมาก

“อย่านะ อย่าฆ่าลุงมาก!” รุ้งมณีรีบห้าม

“เอ็งไปกับพวกข้าเสียโดยดี มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าไอ้เฒ่านั่น!” จ้าวราชคฤห์ขู่หน้าตาดุดัน รุ้งมณีส่ายหน้าขอร้อง “อย่านะ อย่าทำอะไรลุงมากนะ”

จ้าวราชคฤห์หันไปสั่งทหารว่า “เอาม้ามา”

ทหารรีบจูงม้าไปให้ จ้าวราชคฤห์จับสายบังเหียนแล้วก็ผลักหมอเทวดาให้ขี่ม้า “ขึ้นไปซิ”

รุ้งมณีขืนตัว “ฉันขี่ม้าไม่เป็น”

จ้าวราชคฤห์อุ้มนางขึ้นมา

“ข้าบอกให้ขี่ม้า!” เขาตวาดใส่นาง

“ว๊าย! รุ้งมณีร้องลั่นคว้าโอบคอเอาไว้ตามสัญชาตญาณ จ้าวราชคฤห์ชะงัก! นังคนนี้ตัวเบายิ่งนัก!

เขาส่งนางขึ้นหลังม้า รุ้งมณีตะกายขึ้นม้าอย่างกลัวตก จากนั้นจ้าวราชคฤห์ก็ตวัดตัวขึ้นขี่ม้าซ้อนหลังหมอเทวดา

“ปล่อยข้า!” มากดิ้น แม่ทัพสิลาเพิ่มแรงกด จรดคมมีดกรีดผิวลำคอเชลยเฒ่า มากชะงัก! มิกล้าดิ้น แม่ทัพหันไปสั่งทหารว่า “มัดมันไว้ แล้วเอามันไปด้วย”

ทหารสองคนล้วงเชือกออกมาแล้วก็เดินเข้าไปจับแขนมากมัดไพล่หลัง

“ปล่อยข้า!ๆ” มากดิ้นสู้ ทหารเงื้อดาบขู่ มากชะงักมิกล้าขัดขืน พอมัดเสร็จทหารทั้งสองก็ช่วยกันหิ้วมากไปขึ้นม้า แล้วทหารคนหนึ่งก็ขึ้นคร่อมซ้อนด้านหลัง ส่วนทหารที่เหลือก็ไปขึ้นม้าของตัวเอง จ้าวราชคฤห์หันไปมอง เห็นทหารขึ้นม้ากันหมดแล้วก็พยักหน้า เขาโอบเอวหมอเทวดาเอาไว้ อีกมือก็จับบังเหียนแล้วก็บังคับม้าให้ออกวิ่ง

“ว๊าย!” รุ้งมณีร้องลั่นรีบเกาะขอบอานม้าแน่นอย่างกลัวตก ทหารก็รีบควบม้าตามเสด็จ

ส่วนเงินหนีรอดไปได้ก็รีบวิ่งกลับวัดไปบอกหลวงพ่อว่า “แย่แล้วๆ หลวงพ่อๆ ขอรับ แย่แล้วขอรับหลวงพ่อ”

หลวงพ่อกำลังนั่งอยู่บนแคร่หน้ากุฏิ “อะไรของเอ็งวะไอ้เงิน?”

“ไอ้พวกกาสีขอรับหลวงพ่อ พวกมันจับตัวแม่รุ้งกับลุงมากไว้ขอรับ” เงินรีบบอก

“ห๊า!” หลวงพ่อตกใจ ครู่ต่อมาพอตั้งสติได้หลวงพ่อก็ซักว่า “พวกมันมากันกี่คนรึไอ้เงิน?”

“หลายคนขอรับหลวงพ่อ มันลวงแม่รุ้งออกไปแล้วมันก็จับตัวแม่รุ้งกับลุงมากไว้ขอรับ” เงินตอบพลางชี้มือไปทางชายป่า หลวงพ่อมองตามแล้วก็บอกว่า “ถ้างั้นเอ็งไปตามพวกหนุ่มๆ มา บอกพวกมันด้วยว่าให้เอามีดเอาดาบมาให้ครบมือ แล้วเอ็งก็รีบพาพวกมันไปช่วยนังหนูเร็วเข้า”

“ขอรับหลวงพ่อ” เงินรับคำแล้วก็รีบวิ่งไปบอกพรรคพวก คนในหมู่บ้านพอรู้ข่าว ต่างก็รีบคว้ามีดคว้าดาบตามเงินไปทันที

ครั้นพอไปถึงชายป่าก็มิเห็นใครเลย

“พวกมันอยู่ไหนรึ” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม เงินรีบชี้ไปตรงที่ที่พวกกาสีเคยอยู่ “ตรงนี้จ้ะ”

“มิเห็นมีใครเลย เอ็งจำมิผิดนะ?” ชาวบ้านอีกคนถาม

“มิผิดจ้ะ นั้นไงผ้าของข้าตกอยู่นั่น” เงินรีบวิ่งไปหยิบผ้ามาเคียนเอว ทุกคนหันไปมองรอบๆ บริเวณ แต่ก็มิพบใครเลย มีเพียงรอยเกือกม้าทิ้งเอาไว้

“พวกมันคงหนีไปหมดแล้ว นั่นไงรอยเกือกม้าเป็นเทือกเชียว” ชาวบ้านชี้ให้ดูรอยบนพื้นดิน

“ถ้าเช่นนั้นจะทำเช่นไรรึ?” เงินถาม ชาวบ้านก็บอกว่า “กลับไปปรึกษากับหลวงพ่อก่อนเถอะ พวกมันขี่ม้าไป พวกเราตามมันมิทันหรอก”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วทั้งหมดก็กลับไปที่วัด ส่วนคนอื่นๆ พอรู้ข่าวว่าหมอเทวดาถูกจับตัวไปก็เป็นเดือดเป็นแค้นยิ่งนัก ส่วนหลวงพ่อพอรู้ว่ามิมีทางตามตัวรุ้งมณีกลับมาได้ก็ได้แต่ยืนปลง

จ้าวราชคฤห์พอได้ตัวหมอเทวดามาแล้วเขาก็เร่งควบม้ากลับค่าย รุ้งมณีไม่เคยขี่ม้าเลยสักครั้ง พอก้นกระแทกกับอานม้าบ่อยครั้งเข้าเธอก็เริ่มรู้สึกเจ็บก้น

“โอย…” เธอคราง มือเกาะอานแน่น จ้าวราชคฤห์ก้มลงเหลือบมองนางในอ้อมแขนแล้วเขาก็เร่งม้าให้วิ่งเร็วยิ่งขึ้น ใจร้อนรนด้วยความเป็นห่วงน้องชาย ถึงแม้จะเป็นน้องชายต่างมารดา แต่เขาก็รักน้องชายยิ่งนัก พวกทหารก็เร่งม้าตามสุดฝีเท้าอย่างมิเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย อยู่บนหลังม้านานๆ เข้า รุ้งมณีก็เพลียจนเผลอหลับ ตัวเอนโงนเงนไปมา จ้าวราชคฤห์เห็นหมอเทวดาตัวอ่อนโงนเงนก็กลัวว่านางจะตกม้า กระชับอ้อมแขนกอดเอวแน่นขึ้น เขารั้งตัวนางให้พิงอกตัวเอง เขารู้สึกถึงรอบเอวที่เล็กบางจนแทบจะใช้ 2 มือกำรอบได้ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างบางในอ้อมแขนชวนให้ปั่นป่วนใจ นึกแปลกใจว่า เหตุใดนังคนนี้จึงตัวหอมยิ่งนัก ต่างจากพวกนางสนมของเขาซึ่งมิมีใครมีกลิ่นหอมเช่นนี้เลยสักคน

“เหตุไฉนนางจึงมีกลิ่นหอมผิดแผกจากหญิงบ้านป่าเช่นนี้?” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วก็หันไปใส่ใจบังคับม้าให้วิ่งลัดเลาะไปตามทางสัตว์ในป่า จนกระทั่งถึงค่ายทหาร ทหารที่เฝ้าหน้าค่ายได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาก็ชะเง้อดู

“มีคนมาๆ” ทหารตะโกนบอกต่อๆ กัน พลธนูก็รีบตั้งท่าง้างธนูเตรียมยิง แต่พอเห็นม้าของจ้าวราชคฤห์ทหารก็รีบตะโกนบอก “จ้าวราชคฤห์เสด็จกลับมาแล้วๆ”

แล้วทหารก็รีบเปิดประตูค่ายรับเสด็จ พลธนูลดธนูลงพลางชะเง้อมองว่ามีข้าศึกติดตามมาหรือไม่อย่างระแวดระวัง จ้าวราชคฤห์ขี่ม้าตรงลิ่วไปที่กระโจมของน้องชาย เขาหยุดม้าหน้ากระโจมแล้วพลางเขย่าปลุกหมอเทวดา “นังหมอตื่น!ๆ”

รุ้งมณีสะดุ้งตื่นหน้าตามึนงง “หือ”

จ้าวราชคฤห์ตวัดตัวลงจากหลังม้า แล้วก็อุ้มหมอเทวดาลง “ลงมา”

“ว๊าย!” รุ้งมณีตกใจ พอเท้าแตะพื้นได้เธอก็ยันตัวถอยหนี

นังคนนี้ตัวเบายิ่งนัก! จ้าวราชคฤห์คิดในใจ เขาคว้าข้อมือเล็กให้ตามตัวเองไป “มานี่!”

รุ้งมณีดิ้นสะบัดแขนสุดแรง “ไม่! ปล่อยฉันนะ!”

จ้าวราชคฤห์ตาวาววับอย่างมิพอใจที่นังเชลยกล้าขัดคำสั่งของเขา เขาอุ้มนางขึ้นพาดบ่า

“ว๊าย!” รุ้งมณีตกใจดิ้นสุดฤทธิ์ “ปล่อย! ปล่อยฉันนะ! ปล่อย!”

“เงียบ! เดี๋ยวข้าก็ฆ่าทิ้งเสียเลย!” จ้าวราชคฤห์ตวาดลั่น รุ้งมณีชะงัก! รู้สึกกลัวจับใจ ยายจ๋าช่วยรุ้งด้วย…

จ้าวราชคฤห์แบกหมอเทวดาเข้าไปในกระโจม พวกทหารได้แต่มองตามตาปริบๆ

“ก็ไหนว่าจ้าวราชคฤห์ไปตามหมอเทวดามิใช่รึ?” ทหารคนหนึ่งถาม

“นั่นซิ ไปตามหมอเทวดาแต่เหตุใดถึงได้พาแม่หญิงกลับมาเช่นนี้เล่า?” อีกคนเสริม

“หุบปากเชียวพวกเอ็ง! หาไม่ข้าจะเอาหวายทวนหลัง” แม่ทัพสิลาตวาดตาวาว เหล่าทหารที่ยืนเฝ้าหน้ากระโจมต่างพากันก้มหน้าหลบตากันเป็นแถว แล้วแม่ทัพสิลาก็สั่งทหารว่า “เอาไอ้เฒ่านี่ไปขังไว้”

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็ลากเชลยไปขัง มากมิกล้าขัดขืนกลัวจนแทบเยี่ยวราด

พอเข้าไปในกระโจม จ้าวราชคฤห์ก็ปล่อยเชลยลงกับพื้น รุ้งมณีรีบผละออกถอยหนีจนติดผ้ากระโจมอย่างตื่นกลัว “อย่าเข้ามานะ”

จ้าวราชคฤห์เดินไปนั่งบนตั่งทอง มองน้องชายอย่างเป็นห่วง “เจ้าเป็นเช่นไรบ้างราชคีร์”

จ้าวราชคีร์ลืมตามอง พอเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ตอบว่า  “ข้าปวดเหลือเกินท่านพี่ โอย…”

จ้าวราชคฤห์หันไปมองหมอเทวดาแล้วก็ตวาดว่า “เอ็งรีบมารักษาน้องข้าเร็วเข้า!”

“เอ่อ…” รุ้งมณีมองชายคนนั้นแล้วก็มองคนบนเตียงอย่างตื่นกลัวปนงงๆ

“เร็วซิ!” จ้าวราชคฤห์ตะคอก เขาลุกไปกระชากแขนเชลยอย่างใจร้อน

“ว๊าย!” รุ้งมณีตกใจถลาตามแรงกระชาก “โอ๊ย! ปล่อยฉันนะ!”

เธอสะบัดแขนน้ำตาคลอ

“เอ็งจงรีบรักษาน้องข้าเร็วเข้า!” จ้าวราชคฤห์ตะคอกเหวี่ยงหมอเทวดาไปที่ตั่งทอง รุ้งมณีล้มถลาข้างตั่ง “โอ๊ย!”

น้ำตาหยดเผาะ

“รีบรักษาน้องข้าเร็วเข้า!” จ้าวราชคฤห์ตะคอกใส่ รุ้งมณีจ้องมองอีกฝ่ายอย่างหวั่นกลัว เธอกัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ ทำไมจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย! เธอยกมือปาดน้ำตาทิ้งพยุงตัวลุกขึ้น ขยับเข้าไปดูคนเจ็บ นี่ถ้าหากไม่เห็นแก่มนุษยธรรมล่ะก็…เธอคงจะหาทางหนีไปให้ไกลๆ จากคนน่ากลัวคนนี้แน่ๆ

“เป็นอะไรจ๊ะ?” เธอถามคนเจ็บ จ้าวราชคีร์เหลือบมองแล้วก็ครางว่า “เจ็บเหลือเกิน โอย…”

“เอ็งเป็นหมอแล้วเอ็งมิรู้หรือว่าน้องข้าเป็นอะไรห๊า!?” จ้าวราชคฤห์ตวาดใส่ รุ้งมณีโมโหขึ้นมา!

หันขวับไปตวาดใส่อย่างลืมตัวว่า “นี่คุณ! ฉันเป็นหมอนะไม่ได้เป็นพระเจ้าจะได้ตรัสรู้ได้เองว่าเขาไม่สบายเป็นอะไรน่ะ ถ้าไม่ถามแล้วฉันจะไปรู้รึไง ถ้าคุณเก่งนักก็รักษาเอาเองซิ!”

จ้าวราชคฤห์ตะลึง! เพราะมิเคยมีใครกล้าตวาดใส่เขาเช่นนี้ ในชีวิตนี้มีเพียงพระบิดาและพระมารดาเท่านั้นที่กล้าดุเขา จ้าวราชคีร์ก็ตะลึงเช่นกัน ส่วนข้าทาสต่างก็ตะลึงตกใจไปตามๆ กัน “เอ่อ…”

รุ้งมณีจ้องตาดุวาว เธอสูดลมหายใจข่มความโกรธแล้วก็หันไปดูคนเจ็บ เอื้อมหลังมือแตะหน้าผากคนเจ็บ “ตัวร้อนจี๋เชียว เป็นไข้มากี่วันแล้วจ๊ะ?”

เงียบ! ไม่มีใครตอบ

“ฉันถามว่าเป็นไข้มากี่วันแล้ว?” รุ้งมณีหันไปถามผู้หญิงที่หมอบอยู่ใกล้ๆ

เงียบ ไม่มีใครตอบอีกเหมือนเดิม

พอคิดได้ว่าเธอกับพวกเขาพูดกันคนละภาษาเธอจึงหันไปถามคนที่พูดภาษาเดียวกับเธอได้ว่า “เขาเป็นไข้ตัวร้อนอย่างนี้มากี่วันแล้ว?”

รู้สึกว่ามีเพียงคนๆ นี้คนเดียวที่ฟังเธอรู้เรื่อง

“หลายวันแล้ว” จ้าวราชคฤห์ตอบยังงงๆ ที่ถูกตวาดใส่ แล้วรุ้งมณีก็หันไปดูร่างกายคนเจ็บ เธอเห็นผ้าพันพาดบ่ามีรอยเปื้อนสีคล้ำๆ เธอขยับเข้าไปจับผ้าแง้มดู เห็นยาพอกตั้งแต่บ่ายาวไปถึงกลางหลัง ผิวหนังอักเสบบวมเบ่ง เธอก็รู้แล้วว่าคนเจ็บเป็นอะไร เธอดันตัวคนเจ็บให้นอนคว่ำพลางบอกว่า “ขอฉันดูแผลหน่อยนะ”

จ้าวราชคีร์ขยับตัวนอนคว่ำตามมืออย่างว่าง่าย รุ้งมณีจัดแจงแกะผ้าออกเพื่อดูแผลให้ชัดๆ เธอกวาดยาพอกแผลทิ้งใส่กระโถน ตรวจดูแผลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ปลดล่วมยาออกจากบ่า หยิบห่อผ้าออกมา แล้วก็หันไปบอกผู้ชายคนนั้นว่า “ฉันต้องการน้ำร้อนกับอ่างใบใหญ่ๆ”

จ้าวราชคฤห์หันไปสั่งข้าทาสว่า “พวกเอ็งจงไปเอาอ่างกับน้ำร้อนมาเร็ว”

“เจ้าค่ะ” นางทาสลุกออกไป 2 คน ครู่ต่อมานางทาสก็ถืออ่างทองคำเข้ามา อีกคนก็ถือหม้อใส่น้ำร้อนเข้ามา รุ้งมณีเหลือบมองแล้วก็สั่งว่า “เอามาวางไว้ตรงนี้”

นางทาสแม้จะมิเข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูดแต่ดูจากท่าทางก็พอจะเข้าใจ พอเอาของไปวางตามคำสั่งแล้วก็ถอยไปนั่งหมอบตามเดิม

“โอย…ปวดเหลือเกิน…โอย” จ้าวราชคีร์ร้องครางอย่างสุดจะอดกลั้น รุ้งมณีเอาผ้าชุบน้ำร้อนแล้วก็เช็ดมือจนสะอาด จากนั้นเธอก็เอาผ้าผืนใหม่ชุบน้ำร้อนค่อยๆ เช็ดแผลอย่างเบามือ จ้าวราชคีร์สะดุ้ง! ข่มความเจ็บคิดในในว่า นังคนนี้มือเบามิเหมือนไอ้พวกหมอหลวงพวกนั้น พอกยาให้เขาแต่ละหนมือหนักเหลือจะกล่าว

พอเช็ดแผลจนสะอาดแล้วรุ้งมณีก็ตรวจดูบาดแผลอย่างละเอียด แผลเป็นหนองบวมเป่ง เพราะแบบนี้ถึงได้มีไข้ตัวร้อนจัดขนาดนี้ หลังจากตรวจดูแผลแล้วเธอก็หันไปบอกผู้ชายคนนั้นว่า “คุณช่วยมาจับตัวเขาหน่อยซิ”

แล้วเธอก็หันไปชี้ที่เหล่านางทาสซึ่งหมอบอยู่พลางบอกว่า “พวกเธอก็มาช่วยกันจับตัวเขาด้วย”

Chapter 6

รักษาจ้าวราชคีร์

“เอ็งจะทำอะไรรึ?” จ้าวราชคฤห์ถามอย่างสงสัยว่านางคิดจะทำอะไรกับน้องชาย

“ฉันจะขูดหนองออกจากแผลเขาน่ะซิ” รุ้งมณีบอก จ้าวราชคฤห์ขมวดคิ้วอย่างมิเข้าใจ แต่เขาก็ขยับเข้าไปช่วยจับตัวน้องชายตามที่นางบอก พลางสั่งกับนางทาสว่า “พวกเอ็งมาช่วยจับราชคีร์ด้วย”

“เจ้าค่ะ” พวกนางทาสรีบลุกไปทำตามคำสั่ง

“จับไว้แน่นๆนะ” รุ้งมณีสั่งแล้วก็หันไปหยิบผ้าผืนเล็กข้างหมอนเอามาม้วนให้หนาๆ แล้วเธอก็ยื่นให้คนเจ็บ “กัดผ้านี่ไว้นะจ๊ะ”

จ้าวราชคีร์กัดผ้าอย่างงงๆ รุ้งมณีหันไปถามชายคนนั้นว่า “มีเหล้าไหม?”

จ้าวราชคฤห์หันไปสั่งกับนางทาสว่า “เอ็งไปเอาเหล้ามาที”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรีบเดินไปหยิบไหเหล้ามา รุ้งมณีชี้มือให้นางทาสเอาไหเหล้ามาวางตรงหน้าตัวเอง “เอามาวางไว้ตรงนี้เลยจ้ะ”

นางทาสวางไหเหล้าแล้วก็ถอยไปนั่งหมอบรอรับใช้ รุ้งมณียกไหเหล้าเทใส่ขันทอง จากนั้นเธอก็หยิบมีด เข็ม ด้าย ออกจากล่วมยามาแช่เหล้า เธอเอาผ้าจุ่มเหล้าแล้วก็เช็ดรอบแผลจนทั่ว จ้าวราชคีร์สะดุ้ง! รู้สึกเย็นวาบ แล้วรุ้งมณีก็หยิบมีดขึ้นมา เธอจรดปลายมีดลงบนปากแผล จ้าวราชคฤห์คว้าข้อมือหมับ! “เอ็งจะทำอะไร!?”

“โอ๊ย! ฉันก็จะขูดหนองออกน่ะซิ” รุ้งมณีบอกแล้วก็ชี้ไปที่ปากแผลแล้วอธิบายว่า “ไม่เห็นเหรอแผลเป็นหนองขนาดนี้ต้องขูดหนองออกให้หมด ไม่งั้นแผลก็ไม่หายแล้วก็จะทำให้เขาตายได้”

จ้าวราชคฤห์จ้องตานาง มิเห็นแววว่านางจะฆ่าน้องชายจึงปล่อยข้อมือนาง

“ถ้าราชคีร์เป็นอะไรไป ข้าฆ่าเอ็งแน่!” เขาพูดเหี้ยมโหด รุ้งมณีตวัดตาค้อนขวับ! คลำข้อมือตัวเองป่อยๆ “อูย”

“รีบรักษาน้องข้าซิ” จ้าวราชคฤห์พยักหน้าแล้วก็จับตัวน้องชายไว้แน่น รุ้งมณีจรดปลายมีดขูดหนองออก

“โอ๊ย!” จ้าวราชคีร์สะดุ้ง! ร้องลั่นดิ้นสุดพระกำลัง

“ทนเจ็บหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” รุ้งมณีพูดปลอบพลางใช้มืออีกข้างกดตัวคนเจ็บไม่ให้ดิ้น เหล่านางทาสมองอย่างหวาดเสียว จ้าวราชคฤห์ช่วยกดตัวน้องชายแน่น เขาก็มิเข้าใจว่าเหตุใดถึงได้เชื่อใจนังเชลยคนนี้ รุ้งมณีเร่งขูดหนองให้เสร็จโดยเร็ว เธอขูดเอาเนื้อตายและน้ำหนองออกจนหมด จ้าวราชคีร์ทนความเจ็บปวดมิไหวก็สิ้นสติไป

“ราชคีร์!” จ้าวราชคฤห์ตกใจ! รุ้งมณีหยุดมือ เธอแตะชีพจรแล้วก็บอกว่า “ยังไม่ตาย”

แล้วเธอก็จัดแจงเอาเหล้าเช็ดแผลจนสะอาด จากนั้นเธอก็รีบใส่ยาให้เสร็จโดยเร็ว พอใส่ยาเสร็จแล้วเธอก็เอาเหล้าเช็ดรอบแผลอีกครั้ง จากนั้นเธอก็เอาผ้าคลุมแผลเอาไว้ เธอตรวจชีพจรคนเจ็บแล้วก็หันไปล้างมือจนสะอาด จ้าวราชคฤห์มองมือขาวๆ นั่นแล้วก็คิดในใจว่า เหตุใดมือนังคนนี้ถึงขาวยิ่งนักทั้งๆ ที่แขนมันดำเช่นนั้น?

“อือ…โอย…” จ้าวราชคีร์ครางรู้สึกตัว จ้าวราชคฤห์หันไปสนในน้องชาย “ราชคีร์”

“โอย…ข้าเจ็บเหลือเกิน โอย…” จ้าวราชคีร์ขบกรามครางอย่างเจ็บปวด รุ้งมณีมองคนเจ็บแล้วก็ถามชายคนนั้นว่า “มีฝิ่นไหม?”

จ้าวราชคฤห์จ้องหมอเทวดาเขม็งพลางคิดว่า นังคนนี้มันติดฝิ่นกระมัง แล้วเขาก็หันไปสั่งกับข้าทาสว่า “เอ็งไปเอาฝิ่นมาให้มันที มันคงจะอยากฝิ่นกระมัง”

“เจ้าค่ะ” ข้าทาสรับคำแล้วก็ลุกออกไป ครู่ต่อมานางข้าทาสก็เข้ามาพร้อมกับถาดใส่ยางฝิ่นแห้งบดละเอียดและบ้องสูบฝิ่น นางเอาของทั้งหมดส่งให้เชลยนางนั้น รุ้งมณีรับมาอย่างงงๆ เธอวางถาดลงแล้วก็หยิบของในถาดขึ้นมาดูทีละอย่าง “อะไรล่ะเนี่ย?”

เธอดูไปดูมาอย่างงงๆ เคยเห็นของพวกนี้ตามพิพิธภัณฑ์ จู่ๆ ไม่นึกว่าจะได้มาจับต้องของจริงเช่นนี้ก็รู้สึกตื่นเต้น “โอ!”

จ้าวราชคฤห์เห็นท่าทางของหมอเทวดาก็คิดว่า มันคงจะอยากฝิ่นจนตัวสั่นกระมัง

รุ้งมณีจับนู้นดูนี่แล้วก็จัดแจงเอาฝิ่นบดแห้งชงกับน้ำร้อน ตำรับยานี้เธอเรียนรู้มาจากป้านาก จ้าวราชคฤห์มองอย่างแปลกใจว่านางทำอะไร?

รุ้งมณีรอจนน้ำในถ้วยสีเข้มขึ้น แล้วเธอก็ประคองถ้วยยาไปป้อนให้คนเจ็บ

“กินยานี่นะจ๊ะ จะได้หายปวด” เธอบอก จ้าวราชคีร์ข่มความเจ็บปวดผงกศีรษะขึ้นดื่มยาจนหมดถ้วย พอป้อนยาเสร็จรุ้งมณีก็วางถ้วยลงในถาด แล้วก็ถอยไปนั่งข้างตั่งอย่างเหนื่อยล้า จ้าวราชคีร์ครางอย่างเจ็บปวด ครู่ต่อมาเขาก็เคลิ้มหลับ จ้าวราชคฤห์มัวแต่มองน้องชาย ครั้นพอน้องชายนอนหลับไปแล้วเขาจึงหันไปมองหมอเทวดา เห็นนางฟุบหลับข้างตั่งจึงปล่อยให้นางหลับอยู่อย่างนั้น เขาเอนตัวนอนบนตั่งเคียงข้างน้องชาย คอยนอนเฝ้าอย่างเป็นห่วง

นางข้าทาสก็พากันนั่งเฝ้านอนเฝ้าอย่างเงียบๆ มิมีใครกล้าทำเสียงดังให้ระคายหูกันสักคน บางคนก็แอบซุบซิบเกี่ยวกับแม่หญิงที่จ้าวราชคฤห์พามาอย่างสงสัยใคร่รู้ นางเป็นใครกัน? เหตุใดจึงกรีดเนื้อเถือหนังผู้อื่นอย่างมิเกรงกลัวเลือดเนื้อเลยสักนิด นางโพกผ้าคลุมหน้าคลุมตามิดชิด ผ้าผ่อนก็นุ่งห่มคลุมปิดไปหมดจนมิอาจจะรู้ได้ว่าผิวกายสีใด ดำหรือขาว แต่จากที่เห็นมือนางขาวยิ่งนัก แต่เหตุใดตีนกับแขนถึงได้ดำดั่งถ่านเช่นนั้นเล่า? นางข้าทาสพากันชะเง้อชะแง้มองอย่างอยากรู้อยากเห็น

แม่ทัพสิลาเข้ามาในกระโจมพอเห็นว่าจ้าวราชคฤห์นอน เขาก็ออกไปคอยดูแลความเรียบร้อยในค่าย การเดินทัพต้องหยุดชะงักลงเพราะจ้าวราชคีร์ถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอหลวงหลายคนก็มิอาจจะรักษาได้ จ้าวราชคฤห์ก็ทุกข์ใจยิ่งนักเพราะรักน้องชายมาก ได้หมอเทวดามาก็มิรู้ว่าจะสามารถรักษาจ้าวราชคีร์ได้หรือไม่? หากรักษามิได้…นังหมอบ้านป่าคงสิ้นชีพสังเวยคมดาบเป็นแน่ แต่ก็น่าประหลาดใจนักที่หมอเทวดาที่เขาร่ำลือกันเป็นแม่หญิง สำหรับบุรุษ สตรีมีไว้เพื่อบำรุงบำเรอเหล่าบุรุษเท่านั้น

เวลาผ่านไป แสงตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว ภายในค่ายจุดไต้จุดตะเกียงให้แสงสว่าง ก่อกองไฟคลายความหนาว

“โอย” จ้าวราชคีร์ครางเจ็บ รุ้งมณีสะดุ้งตื่น ได้ยินเสียงคนเจ็บรู้สึกตัวเธอก็ขยับเข้าไปดูอาการ “รู้สึกเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”

“โอย…เจ็บเหลือเกิน” จ้าวราชคีร์พึมพำป่ายมือไปมา รุ้งมณีใช้หลังมือวัดอุณหภูมิ “ตัวร้อนเชียว”

แล้วเธอก็หันไปหยิบผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลดไข้ จ้าวราชคีร์พอรู้สึกเย็นสบายตัวก็หลับไปอีกครั้ง รุ้งมณีวัดอุณหภูมิอีกรอบ พอเห็นว่าตัวเย็นแล้วเธอก็หยุดเช็ด จากนั้นเธอก็ซักผ้าบิดน้ำแล้วก็พับผ้าทบกันวางไว้บนหน้าผาก แล้วเธอก็ถอยไปนั่งเฝ้าข้างตั่งอย่างรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งเพลียทั้งหิว เจ็บก้นด้วย นางข้าทาสคนหนึ่งถือจานข้าวมายื่นให้ “ข้าวของเอ็ง ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าเอาข้าวมาให้เอ็งกิน กินเสียซิ”

รุ้งมณีฟังไม่รู้เรื่อง แต่ดูจากท่าทางอีกฝ่ายเธอก็พอจะเดาได้ เธอยกมือไหว้พร้อมกับบอกว่า “ขอบใจจ้ะ” แล้วก็รับจานข้าวมา นางข้าทาสมองอย่างเหยียดหยามแล้วก็เดินออกไป รุ้งมณีมองข้าวสีตุ่นๆ เหมือนดั่งอาหารเลิศรสด้วยความหิวจัด เธอลงมือกินข้าวทันที ไม่นานนักข้าวก็หมดจาน เธอวางจานลงแล้วก็ยกขันน้ำทองคำซึ่งวางอยู่ข้างตั่งมาดื่ม นางทาสเห็นเข้าก็ตวาดว่า “อีไพร่! บังอาจนัก!”

แล้วนางทาสคนนั้นก็ถลันมาแย่งขันพลางตบฉาด! เพี๊ย!

“โอ๊ย!” รุ้งมณีหน้าหัน เธอหันไปมองตาลุกวาว แล้วก็ลุกขึ้นต่อยเปรี้ยง!

“โอ๊ย!” นางทาสเซล้มลงปากแตกเลือดไหล นางทาสคนอื่นเห็นสหายถูกทำร้ายก็กรูกันเข้าไปช่วย “หน๊อยแน่ะอีไพร่สถุล! บังอาจตบพวกข้าเชียวรึ!”

รุ้งมณีรีบก้มลงฉวยจานดินเผาขึ้นมาถือเงื้อป้องกันตัว

“ใครเข้ามาฉันจะเอาจานฟาดให้หัวแตกเลย!” เธอตวาดลั่น แม้จะฟังภาษาของอีกฝ่ายไม่ออก แต่ท่าทีมุ่งร้ายขนาดนี้คงไม่เข้ามาทำดีกับเธอแน่นอน

“เอะอะอะไรกัน!” จ้าวราชคฤห์ตวาด เขาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเอะอะ ทุกคนชะงักกึก!

“ก็อีไพร่นี่ซิเจ้าคะ มันบังอาจเอาขันทองของจ้าวราชคีร์ไปกินน้ำเจ้าค่ะ” นางทาสรีบฟ้อง “แล้วมันยังตบข้าด้วยเจ้าค่ะ”

จ้าวราชคฤห์หันขวับ!ไปมองคนต้นเหตุ รุ้งมณีจ้องตอบ รอดูท่าทีว่าเขาจะว่าอย่างไรบ้าง แต่ถ้าใครคิดจะทำอะไรเธอล่ะก็…เธอสู้ตายแน่ หนอย…อยู่ดีๆ ก็มาตบเธอ กะอีแค่กินน้ำแค่นี้โวยวายอะไรกันก็ไม่รู้ เดี๋ยวแม่ก็เชือดทิ้งซะหรอก ตายเป็นตายซิ!

“เอ็งไปตักน้ำมาให้มันใหม่” จ้าวราชคฤห์สั่ง นางทาสรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ”

แล้วก็รีบออกไป แล้วจ้าวราชคฤห์ก็หันไปมองน้องชาย เหล่านางทาสรีบถอยไปนั่งรอถวายการรับใช้ตามเดิม ส่วนรุ้งมณีก็ลดจานลงแล้วก็หันไปมองผู้ชายคนนั้น จ้าวราชคฤห์เห็นผ้าบนหน้าผากน้องชายก็จะหยิบออก

“อย่าเอาออกนะ วางไว้อย่างนั้นแหละมันช่วยลดไข้ได้” รุ้งมณีรีบบอก จ้าวราชคฤห์ชะงัก! มองอย่างฉงน

“การรักษาของเอ็งแปลกประหลาดนัก” เขาพูดพลางชักมือกลับ “ข้าให้คนไปตักน้ำมาให้เอ็งแล้ว เอ็งต้องการสิ่งใดก็บอกกับนังพวกนี้มัน”

รุ้งมณีพยักหน้ารับรู้ คิดในใจว่าบอกไปแล้วจะเข้าใจกันไหมล่ะ พูดกันคนละภาษาแบบนี้น่ะ เฮ้อ…

จ้าวราชคฤห์เห็นน้องชายหลับก็โล่งใจ แล้วเขาก็หันไปสั่งกับนางทาสว่า “พวกเอ็งจงดูแลนังเชลยผู้นี้ให้ดี มันต้องการสิ่งใดก็จงจัดหาให้มัน ข้าจะให้มันนั่งเฝ้านอนเฝ้าราชคีร์จนกว่าจะหายดี พวกเอ็งจงหาหมอนหาผ้าให้มันด้วย”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับตำสั่งแล้วก็รีบออกไปจัดหาเครื่องนอน ก็ใครจะกล้าอยู่ล่ะ ตาดุเสียขนาดนั้น

รุ้งมณีเห็นเขาไม่ได้พูดกับเธอ ก็เดินไปนั่งหลบมุมตรงปลายตั่ง เพราะเธอก็ไม่อยากอยู่ให้ขวางหูขวางตาเขาเช่นกัน พอกินอิ่มแล้วเธอก็เผลอหลับไป จ้าวราชคฤห์มองอาการของน้องชายอย่างพอใจ น้องชายของเขามิทุรนทุรายแล้วช่างน่าดีใจยิ่งนัก แล้วเขาก็เอนตัวลงนอนตามเดิม นางทาสเดินเข้ามาพอเห็นจ้าวราชคฤห์นอนก็หันไปกระซิบบอกต่อๆ กัน มิให้ส่งเสียงดัง แล้วพวกนางก็หอบเครื่องนอนไปโยนไว้ข้างๆ ตัวเชลยนางนั้น จากนั้นพวกนางก็เดินย่องไปนั่งๆ นอนๆ อีกด้านของกระโจม ทหารเปิดผ้าประตูกระโจมเข้ามา “จ้าวราชคฤห์…”

“ชู่ว…ท่านนอนอยู่ เบาๆ ซิ ประเดี๋ยวก็หัวขาดกันหมดหรอก” นางทาสหันไปกระซิบดุ ทหารตะครุบปากตัวเองแล้วก็รีบเดินออกไป

ยิ่งดึก อากาศก็ยิ่งเย็น จ้าวราชคฤห์สะดุ้งตื่น! ควานดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเพราะรู้สึกหนาว เขาหันไปมองน้องชาย เห็นผ้าห่มเลื่อนลงไปอยู่ที่เอวก็ห่มผ้าให้น้องชายอย่างเป็นห่วง แล้วก็หันไปมองพวกนางทาส เห็นพวกนางนอนหลับกอดก่ายกัน บ้างก็นอนน้ำลายไหลยืด ก็เบือนหน้าหนี ครั้นหันไปเห็นเชลยนอนคุดคู้ก็ขยับตัวลุกไปดูด้วยห่วงว่าหากนางเป็นอะไรไปจะมิมีหมอรักษาน้องชาย

รุ้งมณีหลับสนิทนอนคู้ตัวด้วยความหนาว จ้าวราชคฤห์เห็นผ้าคลุมหน้าเลื่อนหลุดออก ก็มองใบหน้าดำดั่งถ่านอย่างพิจารณา แม้ว่าผิวพรรณจะดำดั่งถ่านแต่เครื่องหน้านั้นงามชวนมอง เขาคลี่ผ้าห่มคลุมให้ แล้วก็หยิบหมอนพลางช้อนหัวนางให้นอนหนุนหมอน กลิ่นหอมแตะจมูกอีกครั้งจนต้องก้มหน้าไปใกล้ๆ ตัวนาง เขาสูดกลิ่นจากเรือนกายเล็กตรงหน้าอย่างเผลอตัว “หอมยิ่งนัก กลิ่นอะไรหนอ? ข้ามิเคยได้กลิ่นเช่นนี้เลยสักครั้ง หอมจริงเชียว”

“ฮื้อ…” รุ้งมณีครางสะลืมสะลืออย่างไม่พอใจที่ถูกแตะต้องตัว จ้าวราชคฤห์ชะงัก! ผละออกอย่างได้สติ รุ้งมณีพลิกตัวตะแคงอีกข้างพลางม้วนผ้าห่มห่อตัวอย่างสะลืมสะลือ จ้าวราชคฤห์โล่งใจที่นางมิตื่น แล้วเขาก็เห็นรอยเปื้อนดำๆ บนหมอน “หือ…รอยอะไร?”

เขาเอื้อมมือไปจับอย่างสงสัย แต่พอเห็นมือตัวเองก็แปลกใจ “มือข้าไยดำเช่นนี้เล่า?”

เขายกมือขึ้นดูอย่างสงสัย แล้วก็ลุกไปล้างมือ

“ไยมือข้าจึงเปื้อนเขม่าเช่นนี้เล่า?” เขาล้างมืออย่างสงสัยยิ่งนัก แล้วบางสิ่งก็แล่นวาบขึ้นมาในความคิด “หรือว่า…”

พอล้างมือเสร็จ เขาก็ก้าวพรวดเดียวถึงตัวหมอเทวดา ทรุดตัวลงนั่งชันเข่า เอื้อมมือไปลูบแก้มหมอเทวดา แล้วก็ยกขึ้นมอง พอเห็นคราบเขม่าเปื้อนนิ้ว “เป็นดังเช่นที่ข้าคิดจริงๆ นังคนนี้ใช้เขม่าทาตัว”

เขาจ้องหน้าหมอเทวดาอย่างสงสัย “หากมันขัดสีอาบน้ำอาบท่าแล้ว มันจะงามสักเพียงใดกัน? จะงามเท่านังคนที่ล่องเรือหนีไปได้นางนั้นรึไม่?”

เขาจับมือเรียวเล็กขึ้นมามองใกล้ๆ เพ่งพิศมือเรียวเสลาขาวดั่งไข่ปอก บรรดานางสนมของเขามิมีใครมีผิวงามเช่นนี้เลยสักคน รุ้งมณีสะลืมสะลือรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ เธอลืมตาขึ้น พอเห็นใบหน้าคนใกล้ๆ ก็ตกใจ “ว๊าย!”

เธอสะดุ้ง! ลุกพรวด! เขยิบตัวถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ จ้าวราชคฤห์กำมือเรียวเล็กแน่นจ้องหน้านางอย่างพินิจพิเคราะห์

“ปล่อย!” รุ้งมณีตวาดใส่อย่างตกใจสะบัดมือออก เหล่านางทาสที่นอนหลับก็พากันสะดุ้งตื่น! “มีอะไรรึ?”

พวกนางหันไปมองต้นเสียง พอเห็นจ้าวราชคฤห์ตวัดตามองก็พากันเงียบกริบ!

“ปล่อยนะ!” รุ้งมณีสะบัดมือพร้อมกับใช้มืออีกข้างจับมือใหญ่ง้างออก จ้าวราชคฤห์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าอยากจะรู้นักถ้าเอ็งขัดสีคราบเขม่าออกแล้วเอ็งจะงามเพียงใด”

รุ้งมณีตะลึง! แล้วจ้าวราชคฤห์ก็หันไปสั่งกับนางทาสว่า “พวกเอ็งจงพานังคนนี้ไปอาบน้ำอาบท่าให้สะอาด หาผ้าผ่อนให้มันนุ่งห่มเสียใหม่ เสร็จแล้วพามันมาหาข้า”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วก็กรูกันเข้าไปจับตัวเชลยนางนั้น รุ้งมณีตกใจที่จู่ๆ พวกผู้หญิงก็กรูกันเข้ามา เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้สั่งอะไรพวกนั้นบ้าง เธอจึงดิ้นสู้ “จะทำอะไรน่ะ?”

“ข้าให้พวกมันพาเอ็งไปอาบน้ำอย่างไรล่ะ” จ้าวราชคฤห์บอก รุ้งมณีส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้อง!”

จ้าวราชคฤห์กระชากร่างเล็กเข้ามา

“ว๊าย!” รุ้งมณีถลาอย่างไม่ทันตั้งตัว จ้าวราชคฤห์จับปลายคางเรียวจ้องหน้านางถามว่า “เอ็งจะให้พวกมันอาบน้ำให้เอ็งหรือจะให้ข้าเป็นผู้อาบให้?”

รุ้งมณีตะลึงตกใจ! เธอส่ายหน้าเดี๊ยะ “ไม่! อย่ามายุ่งกับฉันนะ!”

จ้าวราชคฤห์แย้มยิ้ม “เอ็งคงอยากให้ข้าอาบน้ำให้เอ็งกระมัง ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าก็อยากอาบน้ำเช่นกัน”

แล้วเขาก็หันไปสั่งกับนางทาสว่า “พวกเอ็งจงรีบไปเตรียมน้ำเร็วเข้า ข้าจะอาบน้ำ”

“เจ้าค่ะ” นางทาสคำสั่งแล้วก็รีบเดินออกไปเตรียมน้ำอาบให้จ้าวราชคฤห์ รุ้งมณีมองตามนางทาสที่เดินออกไปอย่างงงๆ แต่พอหันกลับมามองผู้ชายตรงหน้า เธอก็รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยน่าไว้ใจ

“ปล่อยฉัน!” เธอสั่งตาดุวาว จ้าวราชคฤห์มองนางอย่างนึกขัน นางขู่ฟ่อประดุจแมวป่าพาลให้นึกถึงสัตว์เลี้ยงตัวโปรด เจ้านิล…เสือดำที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ซึ่งได้ตายจากไปเมื่อไม่นานมานี้

“ไปอาบน้ำเสียนังตัวดำ หาไม่ข้าจะอาบให้เอ็งเสียเอง” เขาบอกแล้วก็รั้งนางไปให้พวกนางทาส แล้วก็สั่งกับนางทาสว่า “พามันไปอาบน้ำ”

“เจ้าค่ะ” นางทาสยื่นมือไปดึงตัวรุ้งมณีพาออกไป รุ้งมณีขืนตัวไว้ “จะพาฉันไปไหน ฉันไม่ไปนะ ปล่อยฉัน”

“ไปอาบน้ำเสียดีๆ อย่าโยกโย้พิรี้พิไรให้มากความ” นางทาสช่วยกันลากตัวรุ้งมณีออกไป รุ้งมณีหันไปมองผู้ชายคนนั้น เห็นเขาโบกมือไล่ เธอก็นึกเบาใจที่เขาไม่ได้ตามเธอมาด้วย เธอจึงยอมเดินตามพวกนางทาสไปโดยดี ครั้นพอพวกนางทาสพาเชลยไปถึงที่อาบน้ำ ซึ่งกั้นด้วยตับหญ้าคาแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับพวกนางทาสอาบน้ำ พวกนางทาสก็ช่วยกันเปลื้องผ้าออกจากตัวนางเชลย

“ว๊าย! จะทำอะไรน่ะ หยุดนะ!” รุ้งมณีร้องลั่นพลางตะครุบผ้าแน่น

“ช่วยกันถอดซิวะ” นางทาสคนหนึ่งสั่ง อีกหลายคนก็ช่วยกันดึงคนละไม้คนละมือ โดยมิสนว่านางเชลยจะยื้อยุดเช่นไร คนเดียวหรือจะสู้หลายคนได้ ผ้าผ่อนที่ห่มคลุมกายก็ถูกดึงออกจนหมด รุ้งมณีอายสุดขีดพยายามเอามือปิดบังเรือนร่าง ตั้งแต่โตพอรู้ประสาก็ไม่เคยแก้ผ้าให้ใครดู ยังดีที่มีแต่ผู้หญิงด้วยกัน แล้วนางทาสก็ตักน้ำสาดโคร้ม! ใส่เชลยสาว

“ว๊าย!” รุ้งมณีสะดุ้ง! น้ำเย็นเฉียบจนหนาวสะท้าน แล้วน้ำอีกหลายขันก็ถูกสาดโคร้มๆ ใส่เธอ จากนั้นก็มีมือหลายมือยื่นมาเอาบางอย่างมาขัดตัวเธอ

“โอ๊ย! แสบนะ” รุ้งมณีดิ้นหนี ยิ่งดิ้นพวกนั้นก็ยิ่งขัดแรงจนเธอแสบผิวไปหมด “เบาๆหน่อยซิฉันเจ็บนะ”

แต่พวกนั้นก็ไม่สนใจคำพูดของเธอ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขัดถูจนเธอได้แต่ยืนกัดปากข่มความเจ็บ พอขัดเสร็จน้ำก็สาดโคร้มๆ มาอีก เธอได้แต่ยืนเอามือป้องไม่ให้น้ำเข้าตา พอล้างตัวเสร็จนางทาสก็เอาผ้าเช็ดตัวให้แรงๆ จากนั้นพวกนางก็ช่วยกันแต่งตัวให้นางเชลย หลังจากแต่งตัวเสร็จพวกนางทาสก็ทั้งดึงทั้งดันตัวนางเชลยให้เดินกลับไปที่กระโจม “เดินไปเร็วๆ ซินังนี่ ยืดยาดพิรี้พิไรอยู่ได้”

“โอ๊ย! เบาๆ ซิฉันเจ็บนะ!” รุ้งมณีเดินตามแรงผลัก เธอรีบฉวยผ้ามาห่มพันอกแล้วก็เอาชายผ้าที่เหลือคลุมตัวเพราะอากาศเย็นจนหนาวสะท้าน พอถึงกระโจมพวกนางทาสก็ดันตัวรุ้งมณีเข้าไป

“นังเชลยอาบน้ำแล้วเจ้าค่ะ” นางทาสรายงาน จ้าวราชคฤห์นั่งบนตั่ง หันไปมองพลางกวักมือ “มานี่ซิ”

นางทาสผลักนางเชลย “ท่านเรียกก็รีบไปซินังคนนี้นี่”

รุ้งมณีเซถลาแทบจะไปล้มลงแทบเท้า “โอ๊ย!”

พอทรงตัวได้เธอก็หันไปมองพวกนางทาสอย่างโมโห “หนอยแน่ะ!”

จ้าวราชคฤห์ลุกขึ้นขยับเข้าไป เขาจับใบหน้าใต้ผมยุ่งรุงรังให้หันมาหาตัวเอง

Chapter 7

ที่แท้คือนาง!

“ว๊าย!” รุ้งมณีสะดุ้ง! ถอยหนี แต่มือใหญ่จับคางไว้แน่นทำให้เธอถอยหนีไม่ได้ อีกมือก็เสยผมเธอให้พ้นใบหน้า ครั้นเห็นใบหน้าใต้ผมยุ่ง เขาก็ตะลึง! “เอ็ง!”

รุ้งมณีฉวยโอกาสตอนที่เขามัวตะลึงอยู่ เธอรีบปัดมือออก “ปล่อยนะ!”

“เอ็งนั่นเอง!” จ้าวราชคฤห์พูดอย่างดีใจ นางคนที่ล่องเรือหนีไปได้ในตอนนั้นนั่นเอง มิคิดเลยว่าจะได้พบนางอีก!

รุ้งมณีถอยหนีพลางเสยผมไม่ให้ปรกหน้า

“โอย…” เสียงคราง ทำให้ทุกคนชะงัก! รุ้งมณีรีบเลี่ยงไปดูคนเจ็บ

“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?” เธอถามพลางใช้หลังมือวัดอุณหภูมิตามตัวคนเจ็บ

“ราชคีร์” จ้าวราชคฤห์รีบเสด็จไปที่ตั่ง

“น้ำ…” จ้าวราชคีร์คราง รุ้งมณีนั่งลงประคองคนเจ็บขึ้นมาแล้วก็หันไปหยิบขันทองป้อนน้ำให้เขา “ค่อยๆ นะจ๊ะ”

จ้าวราชคีร์ลืมตามอง ดื่มน้ำอย่างกระหาย เมื่อดื่มพอแล้วเขาก็ดันขันออก รุ้งมณีเอี้ยวตัวเอาขันไปวางที่เดิม แล้วเธอก็ประคองคนเจ็บนอนลง จ้าวราชคีร์ยคว้าข้อมือพูดว่า “วิสาขาเจ้ากลับมาแล้ว”

รุ้งมณีไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่ท่าทางเขาดูดีใจมาก เธอคิดว่าเขาคงเพ้อเพราะพิษไข้

“ข้าหิว” จ้าวราชคีร์พูด ท้องก็ร้องดังโคร้ก!

จ้าวราชคฤห์ได้ยินเสียงท้องร้องก็หันไปสั่งกับนางทาสว่า “เอ็งจงไปยกข้าวปลาอาหารมาเร็ว”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วก็รีบลุกไป ส่วนนางทาสคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองเชลยสาวอย่างตะลึงในความงาม แม้ว่าแสงตะเกียงจะมิสว่างไสวมากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นหน้าค่าตา แล้วพวกนางก็หันไปกระซิบคุยกัน

“ราชคีร์ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” จ้าวราชคฤห์ขยับเข้าไปนั่งบนตั่ง จ้าวราชคีร์หันไปมองพูดว่า “ข้าปวดแผลเหลือเกินท่านพี่”

จ้าวราชคฤห์จับมือน้องชายปลอบว่า “อดทนไว้นะราชคีร์ เดี๋ยวก็หาย”

รุ้งมณีมองดูทั้งสองคนแล้วก็คิดว่า ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปคงเป็นเพราะเขาเป็นห่วงน้องมาก ส่วนน้องของเขาก็อาการสาหัสมาก หากช้าอีกนิดคงสาหัสจนเกินจะรักษาแน่ ถึงแม้ตอนนี้จะขูดหนองออกหมดแล้วแต่อาการก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี

จ้าวราชคีร์ยิ้ม “ท่านพี่ดูซิ วิสาขากลับมาแล้ว นางกลับมาหาพวกเราแล้ว”

เขาจับมือพี่ชายให้ไปจับมือ ‘วิสาขา’

จ้าวราชคฤห์เข้าใจดีว่าน้องชายเพ้อเพราะพิษไข้จึงได้เห็นนางเชลยเป็นวิสาขา น้องสาวต่างมารดาซึ่งเป็นน้องร่วมมารดาเดียวกันกับราชคีร์ซึ่งตายไปในหน้าฝนปีที่แล้ว

“คุณ เขาพูดว่าอะไรคะ?” รุ้งมณีถามชายคนนั้นอย่างอยากรู้ เธอเผลอพูดอย่างเคยชิน จ้าวราชคฤห์ฟังอย่างประหลาดใจ “เอ็งพูดว่าอะไรรึ?”

“เขาพูดอะไร? คุณแปลให้ฉันฟังหน่อยซิ” รุ้งมณีถามพลางดึงมือออกจากมือของทั้งสองคน จ้าวราชคฤห์ขมวดคิ้วคิดในใจว่า นังคนนี้พูดจามิเหมือนชาวลวปุระ ฟังเหมือนจะเป็นภาษาลวปุระแต่ก็มิใช่

นางทาสยกอาหารเข้ามา “สำรับกับข้าวเจ้าค่ะ”

จ้าวราชคฤห์หันไปพูดว่า “เอามานี่”

นางทาสก็รีบยกเข้าไปตามรับสั่ง รุ้งมณีช่วยประคองคนเจ็บลุกขึ้นนั่ง จ้าวราชคฤห์ปัดเรื่องคำพูดคำจาของนางเชลยออกไปก่อน เขาหันไปตักอาหารป้อนให้น้องชาย “กินข้าวกินปลาเสียหน่อยนะราชคีร์”

จ้าวราชคีร์อ้าปากกิน พอเคี้ยวไปได้หน่อยเขาก็หันไปคายทิ้งใส่กระโถน จ้าวราชคฤห์ตกใจ! “ราชคีร์!”

รุ้งมณีช่วยเอาผ้าเช็ดปากให้ เธอชะเง้อมองอาหารที่ยกมาแล้วก็ส่ายหน้า เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ไม่เหมาะสำหรับคนป่วยเลยสักอย่าง มีทั้งของทอดของปิ้งย่าง แกงรสจัดจ้าน ข้าวก็เป็นข้าวเหนียว แผ่นแป้งปิ้งแห้งๆ แข็งๆ คนเจ็บไม่มีแรงจะเคี้ยวอาหารจะกินเข้าไปได้ยังไง

“มีข้าวต้มหรือน้ำข้าวไหม?” เธอถาม จ้าวราชคฤห์จ้องนางอย่างงงๆ แล้วก็ส่ายหน้า รุ้งมณีถอนหายใจพลางนึกในใจว่า ก็ดูแลคนเจ็บคนป่วยกันแบบนี้น่ะซิ คนในอดีตถึงได้ตายง่ายดายเหลือเกิน

“ครัวอยู่ทางไหน?” เธอถาม จ้าวราชคฤห์จ้องอย่างมิเข้าใจ รุ้งมณีก็ทำมืออธิบายว่า “ฉันจะไปทำข้าวต้มมาให้เขากิน ฉันจะไปทำข้าวต้มได้ตรงไหน?”

จ้าวราชคฤห์เข้าใจว่านางอยากจะทำบางอย่างให้น้องชายกินก็หันไปสั่งนางทาสว่า “เอ็งพานังคนนี้ไปที่ห้องเครื่องทีซิ มันจะทำอะไรเอ็งก็ช่วยมันทำด้วย”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำแล้วก็คลานเข่าเข้าไปจูงแขนรุ้งมณี “ตามข้ามาซิ”

รุ้งมณีลุกขึ้นแล้วก็เดินตามนางทาสไป จ้าวราชคฤห์ก็หันไปตักอาหารป้อนน้องชาย “ฝืนกินเสียหน่อยนะราชคีร์”

จ้าวราชคีร์ส่ายหน้าแล้วก็หันหน้าหนีมิยอมกิน “ข้ากลืนมิลง”

จ้าวราชคฤห์วางช้อนมองน้องชายอย่างกังวลใจ

เวลาผ่านไปราวชั่วโมง นางทาสก็ถือตะเกียงเดินนำหน้ารุ้งมณีเข้ามาในกระโจม ส่วนรุ้งมณีก็ประคองชามข้าวต้มเข้ามา กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยจนจ้าวราชคฤห์ต้องหันไปตามกลิ่น “กลิ่นอะไรหอมจริง?”

รุ้งมณีประคองชามข้าวต้มเดินไปที่ตั่งฝั่งตรงข้ามกับผู้ชายคนนั้น เธอวางชามลงข้างตั่งแล้วก็บอกกับคนเจ็บว่า “กินข้าวต้มหน่อยนะจ๊ะ”

จ้าวราชคฤห์ชะเง้อมองแล้วก็ถามว่า “นั่นอะไรรึ?”

“ข้าวต้ม” รุ้งมณีตอบแล้วก็ตักข้าวต้มป้อนคนเจ็บ เธอเป่าข้าวให้คลายร้อนก่อนจะป้อน “กินข้าวหน่อยนะจ๊ะ”

จ้าวราชคีร์ได้กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยก็มองอย่างรู้สึกหิว อ้าปากกิน จ้าวราชคฤห์ได้กลิ่นข้าวต้มก็รู้สึกหิวอยากกินบ้าง จ้าวราชคีร์กินข้าวต้มอย่างคล่องคอ พอหมดคำรุ้งมณีก็ตักป้อนใหม่ จ้าวราชคฤห์ดีใจที่น้องชายกินได้ เพราะก่อนหน้านี้มิว่าจะเอาอะไรให้ราชคีร์ก็คายทิ้งเสียหมด เขามองท่าทีที่นางเชลยถวายการรับใช้น้องชายแล้วเขาก็นึกอยากจะเจ็บไข้ได้ป่วยเสียเอง กริยานางแช่มช้อยเสียยิ่งกว่านางสนมในรั้วในวังเสียอีก

จ้าวราชคีร์กินข้าวต้มจนหมดชาม รุ้งมณีวางชามข้าวต้มลงแล้วก็หันไปหยิบขันน้ำป้อน จ้าวราชคฤห์มองนางเชลยอย่างมิอาจจะละสายตาได้ พอคนเจ็บดื่มน้ำเสร็จ รุ้งมณีก็หยิบผ้าเช็ดปากให้เขา

“เก่งมาก” เธอชมเหมือนเขาเป็นเด็ก จ้าวราชคีร์ยิ้มรับ แล้วก็ปรือตาลงอย่างรู้สึกอยากนอน รุ้งมณีประคองเขานอนลง

“โอย…” จ้าวราชคีร์ครางอย่างเจ็บแผล จ้าวราชคฤห์รีบช่วยประคองน้องชายให้นอนพร้อมกับห่มผ้าให้ สักพักจ้าวราชคีร์ก็นอนหลับ จ้าวราชคฤห์ขยับตัวออก กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยยังอบอวนไปทั่วกระโจม เขาลุกขึ้นแล้วก็หันไปรับสั่งกับนางทาสว่า “เอ็งตามข้ามา”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วรีบลุกตามไป จ้าวราชคฤห์เดินออกไปนอกกระโจม พอนางทาสตามออกมา เขาก็กระซิบถามว่า “กับข้าวกับปลาที่นังคนนั้นทำให้ราชคีร์ยังมีอีกไหม?”

“มีเจ้าค่ะ” นางทาสทูลตอบ

“เอ็งไปเอามาให้ข้าที ข้าหิว” จ้าวราชคฤห์สั่งแล้วก็เดินไปรอที่กระโจมอีกหลังซึ่งอยู่ติดกัน

“เจ้าค่ะ” นางทาสรีบเดินไปหยิบตะเกียงในกระโจมพลางสะกิดนางทาสอีกคนให้ไปช่วยถือของ ส่วนรุ้งมณีก็คอยดูแลคนเจ็บอย่างใกล้ชิด เธอหยิบหมอนหยิบผ้ามานอนที่พื้นข้างตั่ง เธอหาวอย่างจนน้ำตาไหล พอหัวถึงหมอนเธอก็หลับสนิท

นางทาสหายไปครู่ใหญ่ก็เดินกลับมาพร้อมกับชามทองใส่ข้าวต้ม “มาแล้วเจ้าค่ะ”

จ้าวราชคฤห์ชะเง้อมอง พอนางทาสยกมาวาง เขาก็ตักกิน เพียงคำแรกก็รู้สึกว่า…อร่อยยิ่งนัก ของที่นังคนนั้นทำอร่อยเช่นนี้นี่เล่า มิน่าราชคีร์ถึงกินเสียหมดชาม เขาตักกินอย่างพอใจ เพียงครู่เดียวข้าวต้มก็หมดชาม จากนั้นเขาก็กลับไปคอยเฝ้าดูแลน้องชายต่อ พอเข้าไปในกระโจม เขาก็เดินไปนั่งข้างน้องชาย เอื้อมมือไปลูบหน้าน้องชายอย่างเบาใจ แล้วก็หันไปมองหานางเชลยคนงาม พอเห็นว่านางนอนอยู่ที่พื้นข้างตั่งเขาก็โล่งใจที่นางมิได้คิดหลบหนี แล้วเขาก็นอนเฝ้าน้องชายอย่างห่วงใย เหล่านางทาสพอเห็นจ้าวราชคฤห์นอน พวกนางก็นอนบ้าง

ภายในกระโจมเงียบสงบเป็นคืนแรกนับตั้งแต่จ้าวราชคีร์ถูกลอบทำร้าย มิว่าจะสรรหาหมอมาสักเท่าใดก็มิอาจจะรักษาจ้าวราชคีร์ได้สักคน จ้าวราชคฤห์ก็พิโรธเพราะเป็นห่วงน้องชายยิ่งนัก ทำให้ทั้งค่ายระส่ำระส่ายกันไปหมด คืนนี้คงได้หลับสนิทกันบ้าง

ย่ำรุ่ง รุ้งมณีตื่นนอน อากาศหนาวจนต้องเอาผ้าห่มมาคลุมตัว เธอลุกขึ้นชะเง้อมองคนเจ็บ เห็นผ้าห่มเลื่อนลงไปอยู่ปลายเท้า เธอก็ลุกไปหยิบผ้าคลุมให้ สายตาเหลือบเลยไปถึงอีกคนเห็นผ้าร่นลงไปกองที่เอว เธอก็เอื้อมมือไปดึงผ้าขึ้นไปคลุมจนจรดคอ แล้วเธอก็ถอยกลับไปนั่งแปะข้างหมอน สักพักเธอก็รู้สึกอยากทำธุระส่วนตัวจึงเอาผ้าห่มคลุมหัวคลุมไหล่แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากกระโจมไป จ้าวราชคฤห์ลืมตาขึ้นผงกศีรษะมองตามนางไปพลางคิดว่า นางจะไปที่ใดหรือ?

ทหารหน้ากระโจมมองแม่หญิงนางนั้น พวกเขาคิดว่าเป็นนางทาสจึงปล่อยผ่านออกไป

แสงทองจับขอบฟ้าจางๆ ทำให้พอมองเห็นอะไรๆ ได้บ้าง รุ้งมณีเดินสำรวจเรื่อยไปจนกระทั่งเห็นเพิงสำหรับปลดทุกข์ของพวกนางทาส เธอจึงเดินเข้าไปทำธุระส่วนตัว เธอรีบทำธุระส่วนตัวอย่างเร่งด่วนเพราะกลิ่นของสถานที่นั้นเหม็นมาก เธอคิดถึงห้องน้ำในยุคของตัวเองเป็นที่สุด พอออกจากเพิงเธอก็รีบเดินไปให้ห่างสถานที่แห่งนั้น เธอได้ยินเสียงน้ำไหลด้วยความอยากรู้จึงเดินตามเสียงไป เมื่อเดินไปได้สักพักเธอก็เห็นลำคลองอยู่ข้างหน้า มีท่าน้ำยื่นลงไปในคลอง ทาสชายหญิงกำลังช่วยกันตักน้ำลำเลียงไปใช้ในค่าย

รุ้งมณีเดินเลี่ยงขึ้นไปทางต้นน้ำ เธอเดินลงไปริมน้ำแล้วก็ก้มลงวักน้ำล้างมือล้างหน้า พอได้ล้างหน้าแล้วก็ค่อยรู้สึกสดชื่นหน่อย เธอมองไปรอบๆ ตัวอย่างชื่นชมบรรยากาศยามเช้า “อากาศดี๊…ดี”

เธอยืนชมธรรมชาติอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็รีบเดินกลับเพราะนึกห่วงคนเจ็บ “ป่านนี้คงตื่นแล้วล่ะมั้ง”

เมื่อไปถึงกระโจมก็ได้ยินเสียงคนเจ็บครางด้วยความเจ็บปวด “โอย…”

เธอรีบเดินเข้าไปในกระโจม ทหารหน้ากระโจมเปิดทางให้เพราะจำได้ว่านังคนนี้ออกไปจากกระโจมเมื่อเช้ามืด จ้าวราชคฤห์ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาเขาก็หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นผู้ใดเขาก็พูดกับน้องชายว่า “นังหมอเทวดามาแล้ว”

เขาหันไปกวักมือเรียก “เข้ามาเร็ว น้องข้าปวดแผลยิ่งนัก”

“โอย ข้าปวดเหลือเกิน โอย” จ้าวราชคีร์คราง รุ้งมณีรีบเดินไปดูคนเจ็บ “ขอฉันดูแผลหน่อยจ้ะ”

จ้าวราชคฤห์พยักหน้าอนุญาต รุ้งมณีก็ค่อยๆเปิดผ้าออกอย่างเบามือ แผลบวมเป่งตามปกติ เธอดูแล้วก็หันไปหยิบผ้ามาจุ่มเหล้าเช็ดล้างแผล

จ้าวราชคีร์สะดุ้ง! กัดฟันข่มความเจ็บ คิดในพระทัยว่า นังคนนี้มือเบายิ่งนัก มิเหมือนพวกหมอหลวงมือหนัก พอกยาทำแผลแต่ละทีเจ็บดั่งช้างเหยียบ

“เสร็จแล้ว” รุ้งมณีบอกแล้วก็เอาผ้าคลุมแผลไว้ดังเดิม จ้าวราชคีร์เอียงศีรษะไปมอง เขาจับข้อมือเล็กเอาไว้พูดว่า “ข้าหิว ข้าอยากกินข้าวเหมือนเช่นเมื่อคืนอีก”

รุ้งมณีฟังไม่เข้าใจ เพราะเขาพูดภาษากาสี

“คุณพูดว่าอะไรนะ” เธอถามเป็นภาษาไทย จ้าวราชคีร์งงๆ กะพริบตาปริบๆ เขาตะแคงตัวมองนางเขม็ง

“เอ็งมิใช่ชาวกาสี เอ็งเป็นชาวลวปุระรึ? โอย” เขาถามเป็นภาษาลวปุระ รุ้งมณีไม่รู้จะตอบยังไงเธอจึงพยักหน้ารับ จ้าวราชคีร์หันไปมองพี่ชายถามว่า “โอย…ท่านพี่ได้นางมาจากที่ใดรึ?”

“ชานเมืองเวสาลี” จ้าวราชคฤห์ตอบ รุ้งมณีมองสองพี่น้องคุยกันอย่างฟังไม่รู้เรื่องเพราะพวกเขาพูดภาษากาสี

“โอย เมืองเวสาลีมีแม่หญิงงามถึงเพียงนี้เชียวรึ? มิน่าเชื่อ” จ้าวราชคีร์หันไปมองเชลยสาว

“ข้าก็มิอยากเชื่อว่าเมืองเวสาลีจะยังมีหญิงงามถึงเพียงนี้” จ้าวราชคฤห์พูด “น่าแปลกใจนักที่นางมิได้ถูกเรียกตัวเข้าวัง อีกทั้งนางยังเป็นหมออีกด้วย หากมิเห็นกับตาข้ามิมีทางเชื่อแน่ว่านางคือหมอเทวดาที่เขาร่ำลือกัน คราที่ข้าลอบไปจับตัวนางมาข้าเห็นผู้คนมากมายแห่กันไปให้นางรักษามืดฟ้ามัวดินเชียว”

เขาชำเลืองมองนางนิดนึงแล้วก็พูดว่า “เจ้าจำได้ไหมที่ข้าบอกว่าข้าได้พบหญิงงามนางหนึ่ง แต่นางล่องเรือหนีไปได้ นางคนนั้นก็คือนางหมอเทวดาคนนี้อย่างไรล่ะ”

จ้าวราชคีร์พยักหน้า “นางมือเบายิ่งนัก ข้ามิรู้สึกเจ็บเท่าคราวไอ้พวกหมอหลวงทำแผลให้ข้า เอ…ท่านพี่ข้าจำได้ว่าข้าเห็นนางคราแรก นางตัวดำมิใช่รึ”

“นางทาเขม่าพอกตัวไว้” จ้าวราชคฤห์บอก “เจ้าอยากกินข้าวเหมือนเช่นเมื่อคืนมิใช่รึ?”

จ้าวราชคีร์พยักหน้ารับแล้วก็พูดว่า “นางทำอร่อยนัก ข้ากลืนได้คล่องคอมากกว่ากับข้าวอื่นใดที่นางทาสไพร่ทำมาให้เสียอีก”

“เช่นนั้นก็ให้นางทำให้เจ้ากิน” จ้าวราชคฤห์บอกแล้วก็หันไปสั่งกับนางเชลยว่า “เอ็งไปต้มข้าวเหมือนเช่นเมื่อคืนนี้มาให้น้องข้ากินที”

รุ้งมณีจ้องหน้าเขาพลางนึกในใจว่า อีตาคนนี้เอาแต่สั่งซะจริง

แล้วเธอก็หันไปมองคนเจ็บ จ้าวราชคีร์ส่งสายตาขอร้อง “เจ้าทำให้ข้ากินนะ โอย… เจ้าทำอร่อย ข้าอยากกินอีก”

รุ้งมณียิ้ม ค่อยฟังรื่นหูหน่อยแบบนี้ซิน่าทำให้กินหน่อย

“ถ้างั้นรอเดี๋ยวนะ” เธอบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป สองพี่น้องมองตามนางเชลยไป แล้วก็หันไปคุยกันต่อ

“เจ้ายังเจ็บมากหรือไม่” จ้าวราชคฤห์ถามอย่างเป็นห่วง จ้าวราชคีร์ส่ายหน้า “มิค่อยเจ็บแล้วท่านพี่ ข้าเจ็บแต่มิรู้สึกปวดดั่งเช่นเมื่อวานแล้วขอรับ”

จ้าวราชคฤห์แย้มยิ้ม “ดี”

“ท่านพี่” น้องชายเรียกแล้วก็ชะงักไป

“มีอะไรรึ?” จ้าวราชคฤห์ถาม

“ข้าเห็นวิสาขาเมื่อคืน”จ้าวราชคีร์พูดสีหน้าเศร้า จ้าวราชคฤห์เอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องชาย “เมื่อคืนเจ้าเพ้อจนเห็นนางเชลยเป็นวิสาขา เจ้าหักอกหักใจเสียเถิดราชคีร์ วิสาขาได้ตายจากพวกเราไปแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าโศกเศร้าเพียงใด ข้าเองก็โศกเศร้าเช่นกัน”

จ้าวราชคีร์เงียบไป หน้าตาเศร้าหมองเมื่อนึกถึงน้องสาว เขากับน้องสนิทสนมกันมากด้วยเพราะวัยใกล้เคียงกันเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็กแต่น้อย น่าเศร้ายิ่งนักความตายมาพรากนางไปในหน้าฝนที่ผ่านมา นางจับไข้ป่วยจนตายไปโดยที่หมอหลวงก็มิอาจจะรักษาได้ จ้าวราชคฤห์มองน้องชายอย่างเห็นใจเพราะทราบดีว่าน้องชายกับน้องสาวสนิทสนมกันเพียงใด ด้วยวัยที่ห่างกันเพียงปีเดียวอีกทั้งยังร่วมพระมารดาเดียวกัน

“แย่แล้วขอรับ” เสียงทหารกราบทูลตรงหน้ากระโจม จ้าวราชคฤห์ทรงหันขวับไปมอง “มีอะไรรึ? เอะอะอะไรแต่เช้าเชียว”

“พระสนมตบกันขอรับ” ทหารรีบรายงาน จ้าวราชคฤห์กริ้ว “นังพวกนี้นี่ก่อเรื่องอีกแล้ว!”

แล้วเขาก็รีบออกไป จ้าวราชคีร์มองตามพี่ชายอย่างนึกขำ เพราะพวกพระสนมมักจะก่อเรื่องตบตีกันด้วยความหึงหวงชิงดีชิงเด่นอยู่เป็นประจำ ขนาดพวกนางทาสก็ยังชิงดีชิงเด่นแย่งกันรับใช้มีเรื่องกระทบกระทั่งกันออกบ่อยๆ ช่างน่าระอาเสียจริง…แม่หญิงอยู่ที่ใดก็วุ่นวายยิ่งนัก

รุ้งมณีเดินถือชามเข้ามา “ข้าวต้มร้อนๆ มาแล้วจ้ะ”

จ้าวราชคีร์ขยับตัวชะเง้อมอง รุ้งมณีไม่เห็นผู้ชายคนนั้นก็นึกแปลกใจ เพราะเห็นเขาดูท่าทางเป็นห่วงคนเจ็บจนไม่ยอมห่างไปไหน คงจะไปทำธุระล่ะมั้ง เธอถือชามไปให้คนเจ็บ จ้าวราชคีร์ชม “หอมจริง”

ครั้นพอนึกได้ว่านางมิใช่ชาวกาสี ก็พูดเป็นภาษาลวปุระว่า “หอมจริง”

รุ้งมณียิ้ม เธอวางชามบนตั่งแล้วถามว่า “ลุกไหวไหมจ๊ะ?”

จ้าวราชคีร์พยายามลุกขึ้นประทับนั่ง “โอย…”

รุ้งมณีขยับเข้าไปช่วยพยุง “ค่อยๆ นะ”

“อูย…” จ้าวราชคีร์ใช้มือยันตัวขึ้น เขาเซนิดๆ

“ระวังค่ะ” รุ้งมณีก็รีบช่วยประคอง จ้าวราชคีร์รู้สึกสะดุดหูต่อคำพูดของนาง เขามองหน้านางพูดว่า “เจ้าพูดจามิเหมือนชาวลวปุระ”

รุ้งมณีเงียบ เธอพยุเขานั่งแล้วก็หยิบชามข้าวต้มให้ “ข้าวต้มจ้ะ”

จ้าวราชคีร์มองข้าวต้มแล้วก็มองวงหน้างาม “เจ้าช่วยป้อนให้ข้านะ โอย…ข้าเจ็บหลังยกแขนมิค่อยได้”

Chapter 8

ต่อยจ้าวราชคฤห์

เขาพูดดั่งขอร้อง รุ้งมณีรู้ว่าเขาไม่ได้แกล้งเจ็บ เพราะตอนตรวจแผลก็เห็นแผลบวมเป่ง ขนาดลุกขึ้นนั่งได้ก็ถือว่าเขาพยายามเต็มที่แล้ว เธอจึงตักข้าวต้มป้อนอย่างรู้สึกถูกชะตาด้วย จ้าวราชคีร์ยอ้าปากกิน ตาก็จ้องหน้าเชลยสาว “หน้าตาเจ้ามิเหมือนชาวลวปุระ ผิวพรรณเจ้าขาวละม้ายแม่หญิงกาสีแต่ก็มิเหมือน เจ้าขาวกว่าแม่หญิงกาสีนัก อูย…ข้าดูหน้าตาเจ้าอย่างไรเจ้าก็มิใช่ชาวลวปุระเป็นแน่ เจ้ามาจากเมืองใดรึ?” เขาถามอย่างอยากรู้ รุ้งมณีตักข้าวป้อนไม่พูดอะไรเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงดี จ้าวราชคีร์รอฟังคำตอบ แต่นางมิตอบคำถาม เขาจึงกินต่อ จนกระทั่งข้าวหมดชาม รุ้งมณีวางชามลงแล้วก็หันไปหยิบขันทองป้อนน้ำให้เขา จ้าวราชคีร์ดื่มน้ำแล้วก็ดันขันออกทำท่าว่าพอ รุ้งมณีเอาขันวางไว้ที่เดิม จ้าวราชคฤห์เดินเข้ามาในกระโจมอย่างฉุนเฉียว แต่พอเห็นหน้าน้องชายก็แย้มยิ้มให้

“เจ้าลุกได้แล้วรึ” เขาพูดอย่างดีใจ จ้าวราชคีร์พยักหน้า ถามว่า “โอย…พระสนมเลิกตบตีกันแล้วรึท่านพี่?”

“เจ้าอย่าพูดถึงพวกนางเลย ข้ามิอยากได้ยิน” จ้าวราชคฤห์พูดอย่างมิพอใจ แต่พอเห็นนางเชลย อารมณ์ก็เปลี่ยนพลัน เขาแย้มยิ้มให้นาง รุ้งมณีสบโอกาสเธอก็พูดว่า “คุณ…”

พอนึกขึ้นได้ว่าควรจะพูดให้เหมือนกับที่ชาวเมืองเวสาลีพูดกันเธอก็รีบเปลี่ยนคำเรียกว่า “ท่าน”

ทั้งสองคนหันไปมองเชลยสาว

“มีอะไรรึ?” จ้าวราชคฤห์ถาม รุ้งมณีจ้องมองชายคนนั้น “ท่านเอาลุงมากไปไว้ที่ไหน? ปล่อยลุงมากไปเถอะนะ ฉันขอร้อง”

เธอยกมือไหว้สายตาวิงวอน

“ไอ้เฒ่านั่นเป็นอะไรกับเอ็งรึ?” จ้าวราชคฤห์ถามอย่างอยากรู้ เพราะดูท่าทางนางเป็นห่วงมันยิ่งนัก

“เขาเป็นคนที่ฉันรู้จัก ท่านจับเขาไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ปล่อยเขาไปเถอะนะ เขาจะได้กลับไปหาครอบครัวของเขา” รุ้งมณีตอบ จ้าวราชคีร์มองทั้งสองพูดกันก็หันไปถามพี่ชายว่า “ท่านพี่จับใครมารึ? อูย…”

“ไอ้เฒ่าคนนึง ข้าจับตัวมาพร้อมกับนาง” จ้าวราชคฤห์ตอบ

“ท่านพี่ให้ทหารเอาตัวมันมา ข้าอยากเห็นมัน อูย…” น้องชายบอก จ้าวราชคฤห์พยักหน้า “ได้ซิ”

แล้วเขาก็ตะโกนสั่งทหารว่า “ทหารไปเอาตัวเชลยที่ข้าจับมาเมื่อวานมานี่ที”

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็เดินไปลากตัวเชลยมา จ้าวราชคฤห์หันไปมองเชลยสาวด้วยสายตากรุ่มกริ่ม รุ้งมณีมองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย จ้าวราชคฤห์ฉงนใจ ใยนางกล้าจ้องตอบข้าเช่นนี้เล่า เหตุใดนางจึงมิมีท่าทีสะทกสะท้านเขินอายสักนิด ผิดกับแม่หญิงคนอื่น

“ท่านพี่” จ้าวราชคีร์เรียกเพราะเห็นพี่ชายเอาแต่จ้องนางเชลยคนงามอย่างมิละสายตา

“อะไรรึ?” จ้าวราชคฤห์หันไปมองน้องชาย

“ข้านำตัวเชลยมาแล้วขอรับ” เสียงทหารหน้ากระโจมรายงาน

“ปล่อยข้านะ!” เสียงมากตวาดดังเข้ามา รุ้งมณีหันไปมองหน้ากระโจมอย่างจำเสียงได้ “ลุงมาก”

เธอถลันไปที่หน้ากระโจมทันที

“พามันเข้ามา” จ้าวราชคฤห์สั่ง

ทหารสองคนก็หิ้วปีกเชลยเข้ามาในกระโจม

“ปล่อยข้าซิวะ!” มากตะโกนใส่ทหารทั้งสองพลางดิ้นฮึดฮัด

“ลุงมาก!” รุ้งมณีถลันเข้าไปหาอย่างดีใจ ทหารผลักเชลยลงกับพื้น

“โอ้ย!” มากร้องเจ็บ รุ้งมณีรีบเข้าไปช่วยพยุง “เป็นอะไรมากไหมจ๊ะลุง?”

“นังหนู!” มากเรียกอย่างดีใจ รุ้งมณีรีบสำรวจตรวจดูตามตัวมาก “เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่าจ๊ะลุง? พวกนั้นทำอะไรลุงมั่งรึเปล่าจ๊ะ?”

“แล้วเอ็งเป็นอะไรไหมนังหนู? พวกมันข่มเหงรังแกเอ็งรึไม่?” มากย้อนถามอย่างเป็นห่วง

“หนูไม่เป็นอะไรจ้ะ” รุ้งมณีตอบแล้วก็แก้เชือกที่มัดข้อมือมากออก พอมือเป็นอิสระ มากก็จับมือรุ้งมณีแล้วก็มองสำรวจตามเนื้อตัวอย่างเป็นห่วง “เหตุใดเอ็งมิเอาเขม่าพอกตัวเล่านังหนู?”

“ก็พวกนั้นน่ะซิลุง” รุ้งมณีบุ้ยปากไปทางพวกนางทาส “จับหนูไปขัดตัวจนแสบไปหมด”

“เอ็งมิเป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าล่ะห่วงเอ็งนักหนากลัวว่าจะถูกพวกมันข่มเหงรังแกเอา” มากบอกแล้วก็กระซิบว่า “เอ็งเห็นลู่ทางใดที่พอจะหนีไปได้มั่งไหมนังหนู?”

รุ้งมณีส่ายหน้า “ไม่เห็นเลยจ้ะลุง หนูยังไม่มีโอกาสได้เดินดูให้ทั่วเลยจ้ะ”

จ้าวราชคฤห์มองทั้งสองคุยกันอย่างมิพอใจที่เชลยสาวดูสนิทชิดเชื้อกับไอ้เชลยเฒ่า จ้าวราชคีร์มองเชลยทั้งสองคุยกันอย่างพิจารณา ดูอย่างไรนางก็มิเหมือนชาวลวปุระ ผิวพรรณนางขาวละม้ายชาวคันธาระแต่หากพิจารณาดูใกล้ๆ ผิวนางมิได้ขาวนวลลออดั่งชาวคันธาระแต่ผิวนางขาวดั่งไข่ปอก จมูกนางก็สูงโด่ง นัยน์ตาก็กลมโต เครื่องหน้านั้นดูอย่างไรก็มิคล้ายชาวลวปุระเลยสักนิด ส่วนชายชรานั่นดูอย่างไรก็เป็นชาวลวปุระแน่ คำพูดคำจาของนางฟังละม้ายชาวลวปุระแต่ก็มิเหมือน นางมาจากเมืองใดกัน?

มากมองดูรุ้งมณีอย่างโล่งใจที่นังหนูมันมิเป็นอะไร ตอนถูกจับขังก็นึกกลัวไปสารพัดสารเพกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนังหนูรุ้ง รุ้งมณีเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัวลุงมากก็ตกใจ “ตายจริง นี่ลุงถูกทำร้ายถึงขนาดนี้เชียวเหรอจ๊ะ?”

“ฮื้อ” มากพยักหน้า จ้าวราชคฤห์กริ้วที่นางเชลยจับเนื้อต้องตัวเชลยเฒ่าอย่างสนิทชิดเชื้อ เขาถลันเข้าไปฉุดกระชากนาง พลางสั่งทหารว่า “ทหารเอาไอ้เฒ่านี่ไปขัง!”

“ว้าย!” รุ้งมณีตกใจ

“เฮ้ย!” มากรีบคว้าข้อมือรุ้งมณียื้อยุดไว้ “ปล่อยนังหนูนะโว้ย!”

จ้าวราชคฤห์ถีบผาง! “หนอย! บังอาจนักไอ้เฒ่า!”

“โอ๊ย!” มากถูกถีบล้มกลิ้ง

“ลุงมาก!” รุ้งมณีตะลึง! หันขวับไปจ้องหน้าชายคนนั้นอย่างโกรธจัด เธอสะบัดแขนสุดแรงจนหลุดจากอุ้งมือใหญ่แล้วเธอก็ต่อยโคร้ม! ใส่หน้าเขาเต็มเหนี่ยว

“โอ๊ย!” จ้าวราชคฤห์ถูกต่อยจนปากแตก เลือดไหลย้อย

“ว๊าย!” เหล่านางทาสตกใจร้องลั่น ทหารสองคนก็ร้อง “เฮ้ย!”

จ้าวราชคีร์ก็ตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทหารหน้ากระโจมได้ยินเสียงดังก็รีบเข้ามาดู “มีเหตุอันใดรึ?”

ครั้นพอเห็นจ้าวราชคฤห์ปากแตกก็ตกใจ “เกิดเหตุอันใดหรือขอรับ? ใยท่านปากแตกเช่นนั้นเล่าขอรับ?”

เหล่านางทาสรีบบอกว่า “นังเชลยนั่นมันบังอาจทำร้ายจ้าวราชคฤห์”

“ห๊า!” ทหารตกใจแล้วก็ถลันเข้าไปจับตัวเชลย “บังอาจนัก!”

รุ้งมณีหันขวับไป พอทหารเข้ามาได้ระยะเธอก็เตะโคร้ม!

“โอ๊ย!” ทหารถูกเตะตัดขาล้มลงตึง! ทหารอีกคนพุ่งเข้าไปได้ระยะ รุ้งมณีก็วาดเท้าฟาดโคร้ม! เข้าก้านคอ

“โอ๊ะ!” ทหารร้องได้เพียงเท่านั้นก็สลบล้มลงไปกองกับพื้น

“ว๊าย!” / “กรี๊ด!” เหล่านางทาสตกใจร้องลั่น ส่วนทหารอีกสองคนก็ร้อง “เฮ้ย!”

จ้าวราชคฤห์ตะลึงงัน! รุ้งมณีรีบเข้าไปดูมาก “ลุงเป็นอะไรมากไหมคะ?”

ทหารคนแรกที่ถูกเตะล้มก็ตะโกนสั่งทหารอีกสองคนว่า “เฮ้ย! พวกเอ็งจะนั่งหาพระแสงหอกดาบหรือวะ! ฆ่ามันซิโว้ย!”

ทหารได้สติก็เงื้อดาบฟันเชลย “ตายเสียเถอะ!”

“หยุด!” จ้าวราชคฤห์ตวาดห้าม เขาถลันเข้าไปบังเชลยสาวอย่างลืมตัว

“ว๊าย!” รุ้งมณีตกใจตะลึงงัน! ทหารตกใจ! “ท่าน!”

“ท่านพี่!” จ้าวราชคีร์ตกตะลึง! เหล่านางทาสก็กรีดร้องลั่น! “ว๊าย!”

ทหารรีบหยุดดาบ แต่ปลายดาบก็ฟันเฉี่ยวแขนฉับ!

“ท่าน!” ทหารตกตะลึง! ปล่อยดาบร่วงลงพื้น เคร้ง!

เลือดไหลหยดลงพื้น จ้าวราชคฤห์กัดฟันข่มความเจ็บ ทหารคนนั้นตกใจจนเข่าอ่อน “ท่าน! ข้า…”

ทุกคนต่างตกใจ ตกตะลึง! กันหมด ทั้งกระโจมเงียบกริบ จ้าวราชคฤห์กุมแขน เขามองนางเชลยคนงามอย่างโล่งใจ รุ้งมณีหายตกใจ พอตั้งสติได้เธอก็มองชายคนนั้น พอเห็นเลือดไหลเป็นทางเธอก็อุทาน “คุณ!”

แล้วเธอก็รีบคว้าแขนไปดูแผล

“ขอผ้าเร็ว!” เธอสั่ง คนอื่นตะลึงนิ่ง! มากหันมองพอเห็นล่วมยาก็รีบคลานเข้าไปคว้ามาหยิบผ้าส่งให้รุ้งมณีอย่างรู้งาน “นังหนู ผ้า”

รุ้งมณีหันไปรับมาแล้วก็รีบเอาผ้ากดแผลห้ามเลือด จ้าวราชคฤห์ก้มมองวงหน้าสวยด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งดีใจที่นางปลอดภัย ทั้งทึ่งที่นางรู้ศาสตร์การต่อสู้ นางมิเพียงรู้แค่งูๆ ปลาๆ พอเอาตัวรอด แต่นางมีฝีมือถึงขนาดล้มทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีถึง 2 คนเพียงชั่วพริบตา นางรู้อักขระอ่านออกเขียนได้ นางเป็นหมอ และนางก็งดงามยิ่งนัก

“โอย…ท่านพี่” จ้าวราชคีร์เรียกอย่างเป็นห่วง จ้าวราชคฤห์เหลือบมองน้องชาย พูดว่า “ข้ามิเป็นอะไรมาก เจ้าอย่าได้ตระหนกตกใจไป”

แล้วเขาก็หันไปโบกมือไล่ทหาร “พวกเอ็งออกไปเสีย”

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็รีบออกไปอย่างกลัวเกรงโทษทัณฑ์ อย่างน้อยตอนนี้หัวก็ยังมิหลุดจากบ่า เฮ้อ…

รุ้งมณียุ่งกับการทำแผล

“แผลไม่ลึกมาก ไม่ต้องเย็บ แค่ห้ามเลือดใส่ยาก็พอ” เธอบอกอย่างเคยชิน จ้าวราชคฤห์พยักหน้า

“รักษาเท่านี้ก็พอแล้วรึ?” เขาถามแล้วก็ชี้ที่ปาก “แล้วที่ปากข้าเล่า เอ็งจะรักษาอย่างไรรึ?”

รุ้งมณีมองฉับ! สีหน้าเปลี่ยนพลันอย่างนึกโกรธที่เขาทำร้ายลุงมาก

“รักษาด้วยกำปั้นอีกซักทีคงจะดี!” เธอย่างเข่นเขี้ยว มือก็ผูกชายผ้าอย่างกระแทกกระทั้น

“โอย…เบาๆซิเอ็ง ใยมือหนักนักเล่า” จ้าวราชคฤห์ร้อง พอผูกผ้าห้ามเลือดเสร็จรุ้งมณีก็สะบัดหน้าพรึ่ด! เธอหันไปดูลุงมาก

“ลุงเจ็บตรงไหนมั่งจ๊ะ?” เธอถามน้ำเสียงอ่อนหวานผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ จ้าวราชคฤห์มิพอใจทันควัน จ้าวราชคีร์เห็นท่าทีพี่ชายก็รีบแกล้งร้องโอดโอย “โอย…ข้าปวดแผลเหลือเกิน”

จ้าวราชคฤห์หันขวับไปมองน้องชายอย่างเป็นห่วง “ราชคีร์”

รุ้งมณีรีบผละไปดูคนเจ็บ เธอเดินอ้อมตั่งไปอีกด้าน “ขอฉันดูแผลหน่อย”

มากก็รีบคว้าล่วมยาคลานเข้าไปอยู่ข้างหลังรุ้งมณีอย่างเอาตัวรอด รุ้งมณีเหลือบมองมากแล้วก็หันไปมองคนเจ็บ จ้าวราชคีร์หันตัวให้นางได้ดูแผลอย่างถนัดถนี่ แล้วก็บอกพี่ชายว่า “โอย…ท่านพี่ข้าปวดแผลยิ่งนัก”

จ้าวราชคฤห์มองทอดพระเนตรน้องชายอย่างเป็นห่วง

“ราชคีร์อดทนไว้นะ” เขาปลอบ ห่วงน้องชายจนลืมเรื่องอื่นเสียสิ้น จ้าวราชคีร์แอบโล่งใจที่ทำให้พี่ชายลืมกริ้ว เพียงแค่เห็นสายตาที่พี่ชายมองนังเชลยคนงาม เขาก็ทราบว่าพี่ชายคงจะหลงใหลนางเป็นแน่ รุ้งมณีดูบาดแผลแล้วพูดว่า “ปวดแผลก็ต้องทนหน่อยนะ แผลอักเสบก็ปวดมากเป็นปกติ อย่าพยายามขยับตัวมากจะได้ไม่ค่อยปวด”

จ้าวราชคีร์พยักหน้าแล้วถามว่า “เจ้ากินข้าวกินปลาหรือยัง? อูย…”

“ยัง” รุ้งมณีตอบ ยิ้มให้ที่เขาถามอย่างใส่ใจ จ้าวราชคีร์หันไปสั่งนางทาสว่า “โอย…พวกเอ็งไปยกข้าวปลาอาหารมาให้นางกินที”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำแล้วก็พากันลุกออกไป จ้าวราชคฤห์ก็สั่งพวกนางทาสว่า “ยกมาให้ข้าด้วย”

“เจ้าค่ะ” นางทาสหันไปรับคำสั่งแล้วก็รีบเดินไป พอพวกนางทาสออกไป ทหารหน้ากระโจมก็รายงานว่า “ท่านแม่ทัพขอเข้าพบขอรับ”

จ้าวราชคฤห์ก็เดินออกไปทันที จ้าวราชคีร์เหลียวมองตามพี่ชายไปแล้วก็หันไปถามเชลยสาวว่า “เจ้าชื่ออะไรรึ?”

“รุ้ง” รุ้งมณีตอบ

“รุ้งที่หมายถึงรุ้งกินน้ำบนนภาใช่หรือไม่? โอย…” จ้าวราชคีร์ถามพลางวาดมือประกอบ

“ใช่” รุ้งมณีพยักหน้ารับ จ้าวราชคีร์พยักหน้า แล้วก็หันไปพูดกับเชลยเฒ่าว่า “เอ็งชื่อมากรึ? อูย…ข้าได้ยินนางเรียกเช่นนี้”

“จ้ะพ่อคุณ” มากพยักหน้ารับอย่างเกรงๆ เพราะดูจากท่าทางแล้วไอ้หนุ่มคนนี้คงเป็นเจ้านายของไอ้พวกกาสีเป็นแน่

นางทาสกลับเข้ามาพร้อมถือจานดินเผาใส่ข้าวเปล่าๆ มายื่นให้เชลย “เอ้า…ข้าวของเอ็ง”

“ขอบใจจ๊ะ” รุ้งมณีรับมาพลางยิ้มให้ จ้าวราชคีร์ชะเง้อมอง พอเห็นข้าวเปล่าๆ ก็สั่งนางทาสว่า “พวกเอ็งจงรีบไปเอามาใหม่เชียว เอ็งจะให้นางกินเพียงข้าวเปล่ากระนั้นรึ!”

เขาสั่งเสียงดุ “พวกเอ็งจงจัดข้าวปลาอาหารมาให้นางเช่นเดียวกับที่พวกเอ็งเอามาให้ข้า หาไม่ข้าจะสั่งเฆี่ยนเสียให้หลังลายเชียว!”

“เจ้าค่ะๆ” พวกนางทาสรับคำอย่างเกรงกลัวแล้วก็รีบออกไป รุ้งมณีกับมากมองอย่างงงๆ เพราะฟังภาษากาสีไม่ออก

“โอย…รอประเดี๋ยวนะเจ้า ข้าให้พวกมันไปยกข้าวปลาอาหารมาให้ใหม่ นังพวกนี้มันน่าเอาหวายทวนหลังนักเชียว! อูย…” จ้าวราชคีร์บอกปนครางเจ็บแผล รุ้งมณีพยักหน้ารับอย่างงงๆ แล้วเธอก็หันไปสบตากับลุงมากอย่างไม่ค่อยเข้าใจ มากก็สบตาตอบอย่างงงๆ เช่นกัน

ครู่ต่อมาพวกนางทาสก็ยกข้าวปลาอาหารเข้ามาใหม่ “ข้าว…”

นางทาสบอกกับเชลยแต่พอเหลือบมองจ้าวราชคีร์ก็รีบเปลี่ยนคำพูดว่า “ข้าวเจ้าค่ะ”

รุ้งมณีมองดูอาหารที่ถูกยกเข้ามามากมาย มากชะเง้อมองพลางกลืนน้ำลายอย่างหิวโซ

“กินข้าวกินปลาเสียซิ อูย” จ้าวราชคีร์บอกพลางแย้มยิ้ม

“จ้ะ” รุ้งมณีรับคำอย่างงงๆ

“ขอบใจจ้ะ” เธอพูดพร้อมกับยกมือไหว้แล้วก็ขยับไปนั่งกินข้าวแล้วก็บอกกับมากว่า “ลุงมากจ๊ะกินข้าวจ้ะ”

มากรีบขยับเข้าไปอย่างหิวจัด จ้าวราชคีร์แกล้งทำเสียงในคอ มองเชลยเฒ่าดุดัน มากหันไปมองพอเห็นสายตาดุดันก็ชะงัก! “อ่า…”

รุ้งมณีเห็นลุงมากมองคนเจ็บ เธอก็หันไปมองบ้าง จ้าวราชคีร์รีบยิ้มให้นาง รุ้งมณียิ้มตอบแล้วก็หันไปสนใจข้าวปลาอาหารตรงหน้า จ้าวราชคีร์รีบชี้หน้าเชลยเฒ่า ห้ามมิให้ร่วมกินข้าวกับเชลยสาว มากเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ถอยไปนั่งห่างๆ ตาก็มองข้าวปลาอาหารตาละห้อย

“มา ลุงมากกินข้าวจ้ะ กับข้าวเยอะแยะเชียว” รุ้งมณีบอก มากก็เลี่ยงว่า “เอ็งกินเถอะนังหนูข้ามิหิว”

รุ้งมณีนึกสงสัย ก็เมื่อกี้ยังเห็นลุงมากทำท่าจะกินอยู่ แล้วไหงบอกว่าไม่หิวซะงั้นล่ะ?

เธอหันไปมองคนเจ็บ ทันได้เห็นสายตาดุๆ ก็เข้าใจ อ่อ…

เธอหยิบจานใส่ปลาย่างมาจัดแจงหยิบข้าวและกับข้าวใส่จานยื่นให้ “ของลุงจ้ะ”

มากเหลือบมองคนๆ นั้น เห็นเขาพยักหน้าจึงกล้ารับจานข้าวจากรุ้งมณี “ขอบใจนังหนู”

พอรับจานไปแล้วมากก็ลงมือเปิบข้าวเข้าปากอย่างหิวจัด ก็ตั้งแต่เมื่อวานยังมิได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำกับกล้วยงอมๆ เพียงแค่ลูกเดียวที่คนคุมโยนให้กินประทังชีวิต รุ้งมณีมองลุงมากกินข้าวแล้วก็หันไปกินข้าวบ้าง เธอค่อยๆ ใช้มือกินข้าวอย่างเรียบร้อย จ้าวราชคีร์มองท่าทางนางเชลยกินข้าวก็คิดว่า กริยานางดูแช่มช้อยละเมียดละมัยเสียยิ่งกว่าพวกนางในวัง นางเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน? ท่าทางนางมิเหมือนหญิงชาวบ้านร้านตลาด ข้าใคร่รู้ยิ่งนัก

“พอกินได้รึไม่?” เขาถามนาง รุ้งมณีหันไปพยักหน้าตอบ พอกลืนข้าวแล้วเธอก็ตอบว่า “อร่อยจ้ะ”

Chapter 9

นางเป็นเมียข้า

จ้าวราชคีร์พยักหน้า ส่วนพวกนางทาสก็ลอบแอบมองอย่างอยากรู้ปนสงสัยว่า เหตุใดจ้าวราชคีร์ถึงเมตตานังเชลยคนนี้ยิ่งนัก? หรือว่าเขาจะโปรดนางเสียกระมัง

ต่างคนต่างก็คิดกันไปต่างๆ นานา มากกินข้าวจนเกลี้ยงจานมิเหลือซักเม็ด พอกินอิ่มแล้วก็เช็ดมือกับผ้านุ่งพลางเหลือบมองหาน้ำดื่ม รุ้งมณีเห็นท่าทีลุงมากก็ยกขันน้ำส่งให้ มากเหลือบมองคนๆ นั้น เห็นมิได้พูดหรือทำท่าห้ามปรามจึงกล้ารับขันน้ำไปยกดื่มอึกๆ รุ้งมณีกินข้าวเสร็จแล้วก็หันหาผ้าจะเช็ดมือ นางทาสรีบขยับเข้าไปยกขันน้ำอีกใบพร้อมกับทำท่าว่าให้ล้างมือในขัน รุ้งมณีมองอย่างเข้าใจ เธอล้างมือในขันพลางยิ้มให้นางทาส “ขอบใจจ้ะ”

จากนั้นเธอก็หันไปมองหาน้ำดื่ม นางทาสอีกคนก็ยกขันน้ำดื่มส่งให้ พอรุ้งมณีกินเสร็จ จ้าวราชคีร์ก็โบกมือให้นางทาสยกจานชามไปเก็บพร้อมกับสั่งว่า “เอ็งหาหมอนหาผ้ามาให้ไอ้คนนั้นที อูย…ข้าจะให้มันนอนในนี้”

นิ้วก็ชี้ไปที่เชลยเฒ่า

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วก็ยกข้าวปลาอาหารออกไป มากเห็นคนๆ นั่นชี้มาที่ตัวเองก็นึกกลัว รีบคลานเข้าไปแอบอยู่ข้างหลังรุ้งมณี

“อะไรจ๊ะลุงมาก?” รุ้งมณีถาม

“ก็ไอ้…เอ่อพ่อคนนั้นน่ะซินังหนู มันชี้มาที่ข้าแล้วก็พูดอะไรกับนังพวกนั้นก็มิรู้ มันจะสั่งให้เอาตัวข้าไปฆ่าไปแกงรึนังหนู” มากบอกอย่างกลัวๆ รุ้งมณีหันไปมองอย่างระวังตัว เพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสั่งอะไรกับพวกนั้น แต่ถ้าจะเอาตัวลุงมากไปฆ่า เธอก็ยอมสู้ตาย!

สักพักนางทาสกลับเข้ามาพร้อมกับหมอนและผ้าห่มเอามายื่นให้เชลยเฒ่า มากรับมาอย่างงงๆ พลางยิ้มแหยๆ ให้นางทาส จ้าวราชคีร์พูดว่า “ข้าให้เอ็งนอนในนี้แหละ โอย…ดูท่าทางเอ็งคล่องงานดีก็อยู่เสียที่นี่แหละ หากแม่รุ้งจะใช้สอยอะไรจะได้เรียกหาได้สะดวกหน่อย”

“จ้ะพ่อ” มากพยักหน้ารับแล้วก็เอาหมอนเอาผ้าห่มคลานไปจัดที่หลับที่นอนตรงมุมกระโจม จ้าวราชคีร์มองอย่างพอใจ แล้วก็หันไปสั่งกับนางทาสว่า “โอย…พวกเอ็งจงไปตามช่างมา ให้มาต่อแคร่นอนให้นางให้เสร็จในวันนี้ แล้วก็จัดหาหมอนมุ้งฟูกนอนอย่างดีมาให้นางใช้เสียใหม่ อูย… ผ้าผ่อนท่อนสไบก็จงเลือกเอาผืนงามๆ มาให้นางนุ่งห่มให้งาม อ้อ…แล้วก็ให้ช่างต่อกระโจมอีกหลังติดกับของข้านี่แหละ ข้าจะให้แม่รุ้งอยู่ นางจะได้อยู่เป็นสัดส่วนมิปะปนกับผู้ใด”

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วก็ลุกออกไปจัดการตามคำสั่ง จ้าวราชคีร์ยหันไปแย้มยิ้มให้เชลยสาว “ข้าสั่งให้คนมาต่อกระโจมให้เจ้าแล้วรวมทั้งแคร่นอนที่หลับที่นอนข้าก็สั่งให้นังพวกนั้นจัดหาให้เจ้าเสียใหม่ เจ้าต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่แม่รุ้ง?”

เขาถามอย่างใส่ใจ รุ้งมณีส่ายหน้าตอบว่า “ไม่มีจ้ะ ขอบใจจ้ะ”

เธอยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มให้เขา สักพักนางทาสกลับเข้ามาตามด้วยช่างไม้ ช่างไม้หมอบกราบแล้วก็ถามว่า “ท่านราชคีร์จะให้ข้าต่อกระโจมต่อแคร่ตรงที่ใดหรือขอรับ?”

จ้าวราชคีร์ขยับตัวหันไปพูดกับช่างไม้ว่า “โอย…เอ็งต่อกระโจมใหม่ข้างๆ กระโจมของข้านี่แหละ อูย…เอ็งจงเร่งมือให้เสร็จภายในวันนี้”

“ขอรับ” ช่างไม้รับคำสั่งแล้วก็รีบคลานออกไปทำงาน จ้าวราชคีร์ก็ขยับตัวลงนอน รุ้งมณีรีบลุกไปช่วยประคอง พอเขานอนแล้วเธอก็ขยับตัวไปนั่งข้างตั่งคอยเฝ้าดูแล จ้าวราชคีร์มองวงหน้าหวานจนนอนหลับไป รุ้งมณีขยับไปจับผ้าห่มคลุมให้แล้วก็ถอยไปนั่งตามเดิม เธอหันไปหยิบล่วมยามาตรวจดูข้าวของว่ามีสิ่งใดขาดไปบ้าง พอดูล่วมยาเสร็จเธอก็เอาล่วมยาวางไว้ข้างๆ ตัว อยากจะออกไปเดินข้างนอกก็ไม่กล้ากลัวทหารข้างนอกจะทำร้ายเอา อย่างน้อยอยู่ในนี้ก็น่าจะปลอดภัยมากกว่าเพราะคนเจ็บดูท่าทางจะเมตตาต่อเธออยู่มาก

นั่งจับเจ่าดูรอบๆ ตัวไปมาจนเริ่มหาวง่วงนอน เธอจึงเอนตัวลงนอนข้างตั่ง สักพักเธอก็หลับไป ส่วนมากหลับไปตั้งแต่ตอนที่รุ้งมณีดูล่วมยา พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย คืนที่ผ่านมาก็มิได้หลับเต็มตาเพราะมัวหวาดระแวงว่าเมื่อใดจะถูกไอ้พวกกาสีลากไปฆ่าไปแกง นางทาสชะเง้อชะแง้มองพลางหันไปซุบซิบคุยกันเบาๆ บางคนก็คลานออกไปข้างนอกเหลือนางทาสคอยเฝ้ารับใช้อยู่ 2 คน

เบื้องหน้ากระโจมของจ้าวราชคฤห์ เหล่าแม่ทัพนายกองกำลังรายงานสถานการณ์ภายในกองทัพ จ้าวราชคฤห์ฟังแล้วก็สั่งกับแม่ทัพนายกองตามที่เห็นสมควร ครั้นพอสั่งราชกิจเสร็จแล้วเขาก็รีบกลับไปหาน้องชาย

“ท่านพี่เจ้าขา” เสียงพระสนมเอกเรียก จ้าวราชคฤห์หันไปมอง “มีอะไรรึ?”

พระสนมเอกรีบเดินเข้าไปหมอบแทบเท้า “ท่านพี่เฝ้าจ้าวราชคีร์มาหลายวันแล้วนะเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าจ้าวราชคีร์อาการดีขึ้นมากแล้ว ท่านน่าจะพักบ้างนะเจ้าคะ ข้าจะได้คอยนวดให้ท่านคลายเหนื่อยเมื่อยล้าเจ้าค่ะ”

“ข้าขอบใจที่เจ้าอาสารับใช้ข้า แต่ข้ายังมิต้องการ เจ้ากลับไปที่กระโจมของเจ้าเถอะ หากข้าต้องการให้เจ้ารับใช้เมื่อใดข้าจะให้คนไปตาม” จ้าวราชคฤห์บอกแล้วก็เดินไป

พระสนมเอกหน้าม้านที่จ้าวราชคฤห์มิสนใจ เหล่านางสนมคนอื่นๆ ซึ่งชะเง้อมองอยู่ห่างๆ ต่างพากันยิ้มเยาะสมน้ำหน้า พอพระสนมเอกเดินผ่านนางสนมคนหนึ่งก็พูดลอยๆ กับนางทาสว่า “ข่าวว่าจ้าวราชคฤห์มัวแต่สนใจนางเชลยที่จับมาใหม่ท่าจะจริงเสียกระมัง ดูซิขนาดคนที่โปรดนักโปรดหนาท่านยังหมางเมินเสียแล้ว”

พระสนมเอกหันขวับไปเอาเรื่อง “เอ็งว่าใครรึนังขี้ข้า!?”

“ข้าก็แค่พูดกับคนของข้า ท่านเดือดร้อนอันใดรึ?” นางสนมแกล้งยานคางลอยหน้าลอยตาตอบ

“อีนังขี้ข้า!” พระสนมเอกโกรธจัดเงื้อมือจะเข้าไปตบ นางสนมเงื้อมือขึ้นรออย่างไร้ความเกรงกลัวพลางถามว่า “ท่านอยากโดนอีกซักกี่ฉาดหรือเจ้าคะ?”

พระสนมเอกชะงักกึก! เพราะครั้งที่แล้วที่มีเรื่องกัน นางถูกตบเสียหลายที ครั้นพอฟ้องจ้าวราชคฤห์ก็ถูกคาดโทษว่า หากมีเรื่องกันอีกจะยกพวกนางให้แก่แม่ทัพนายกองเสียเลย อีกทั้งรอยเก่ายังมิทันจางหาย ฝีมืออีกฝ่ายรึก็เหนือชั้นกว่า นางจึงเลี่ยงว่า “ครั้งนี้ข้าจะมิเอาเรื่องเพราะจ้าวราชคฤห์คาดโทษพวกเอ็งเอาไว้ เพราะข้าสงสารหรอกนะ ข้ายังมิอยากเห็นพวกเอ็งถูกยกให้พวกทหาร”

พูดแล้วนางก็สะบัดหน้าเดินไป นางสนมเบะปากเยาะ “ชิชะ…นึกว่าจะเก่ง เฮ้อะ”

พระสนมเอกเดินปึงๆ กระแทกเท้าไปอย่างโกรธจัดที่ทำอะไรมิได้ อีกทั้งจ้าวราชคฤห์ก็หมางเมินอย่างเห็นชัดจะแจ้ง

“หนอย…อีนังเชลยนั่นมันงามสักปานใดกัน ท่านพี่ถึงได้หลงมันนัก! ข้าอยากจะเห็นหน้ามันยิ่งนัก” พระสนมเอกพูดกับนางทาสของตัวเอง

“ข้าได้ยินพวกนางทาสของจ้าวราชคีร์คุยว่าอีนังคนนั้นมันงามมากเจ้าค่ะ” นางทาสบอก พระสนมเอกก็ยิ่งกระฟัดกระเฟียด “ข้าจะต้องเห็นมันให้ได้ คอยดูซิ!”

“อย่าเชียวนะเจ้าคะ” นางทาสรีบห้ามพลางเตือนสติว่า “หากท่านไปแถวกระโจมจ้าวราชคีร์ ใครต่อใครจะเอาไปพูดให้ท่านเสียหายได้เจ้าค่ะ อีกทั้งจ้าวราชคีร์ก็มิเคยไว้หน้าผู้ใดเสียด้วย”

พระสนมเอกคิดตาม เพราะรู้ดีว่าจ้าวราชคีร์มิเคยไว้หน้าพวกนางสนมเลยสักคน อีกทั้งจ้าวราชคฤห์ก็รักน้องชายยิ่งนัก หากมีเรื่องคราใดจ้าวราชคฤห์ก็เข้าข้างน้องชายเสียทุกครั้งไป ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนักที่เสน่หามารยาหญิงมิสามารถจะมัดใจจ้าวราชคฤห์เอาไว้ได้ นางสนมคนอื่นๆ ก็จ้องจะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ช่างน่าเจ็บใจเสียจริง!

พระสนมเอกเดินกลับกระโจมของตัวเองอย่างกระฟัดกระเฟียดขัดอกขัดใจ

จ้าวราชคฤห์รีบกลับไปที่กระโจมน้องชาย พอเข้าไปข้างในก็มองน้องชาย พอเห็นว่าน้องชายนอนหลับอยู่ก็โล่งใจ แล้วเขาก็มองหานางเชลยคนงาม นางหายไปไหน? เขาคิดในใจ เขามองหาพลางก้าวเท้าเดินไปนั่งบนตั่งทอง พอเหลือบเห็นนางนอนหลับอยู่ข้างตั่งก็แย้มยิ้ม…นางอยู่นี่เอง

เสียงตอกโป๊กเป้กๆ ข้างๆ กระโจม ก็หันไปถามนางทาสว่า “นั่นใครทำอะไรรึ?”

“ช่างกำลังสร้างกระโจมตามคำสั่งท่านราชคีร์เจ้าค่ะ” นางทาสตอบ จ้าวราชคฤห์ขมวดคิ้ว

ราชคีร์สั่งให้สร้างกระโจมเพื่อการใดกัน? เขาคิดในใจ เพราะคนออกคำสั่งกำลังหลับอยู่ เอาไว้ให้ตื่นเสียก่อนค่อยถาม แล้วเขาก็หันไปชะโงกมองนางเชลยคนงาม ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่านางงดงามเหนือสตรีนางอื่นที่เคยพานพบ แม้ยามหลับนางก็ยังดูงดงามยิ่งนัก เขาขยับลุกจากตั่งทอง ก้าวเท้าอ้อมตั่งไปนั่งชันเข่าข้างนาง แล้วก้มหน้าลงไปหมายจะหอมแก้มนวลลออ รุ้งมณีลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าห่างแค่คืบเธอก็ตกใจ “อ่ะ!”

มือเล็กกำหมัดแน่นแล้วก็ต่อยโคร้ม! ตามสัญชาตญาณ

“โอ๊ย!” จ้าวราชคฤห์ร้อง หน้าหงายตามแรงหมัดเล็กๆ แต่หนักหน่วง รุ้งมณีรีบกระถดตัวหนี นางทาสหันไปมองอย่างงุนงงว่าเกิดเหตุอันใด? พอเห็นเลือดไหลจากจมูกจ้าวราชคฤห์ก็ตกใจร้อง “ว๊าย!”

จ้าวราชคฤห์จ้องนางอย่างกริ้วจัด “เอ็ง!”

เขาคว้าหมับ! ที่ข้อมือเล็กแล้วก็กระชากนางเข้าหาตัวเอง

“ปล่อย!” รุ้งมณีตวาดพร้อมกับเงื้อมือข้างที่ว่างต่อยเปรี้ยง! จ้าวราชคฤห์เบี่ยงหน้าหลบพร้อมกับจับข้อมืออีกข้างทันควัน! นางทาสร้องลั่น “ว๊าย! ตายแล้ว!”

รุ้งมณีพยายามบิดข้อมือออก “ปล่อยนะ!”

“เอ็งบังอาจต่อยข้า 2 หนแล้วนะ!” จ้าวราชคฤห์ตวาดอย่างกริ้วจัด ยืนพร้อมกับพยายามฉุดนางให้ลุกขึ้น จ้าวราชคีร์ได้ยินเสียงเอะอะก็สะดุ้งตื่น “โอย…มีอะไรรึ?”

พอเห็นพี่ชายกำลังฉุดกระชากนางเชลย เขาก็รีบลุกขึ้นห้าม “โอย…ท่านพี่อย่าทำนาง”

“เจ้าอย่ายุ่ง! นางบังอาจทำร้ายข้า 2 หนแล้ว ข้าจะสั่งสอนให้นางได้สำนึกเสียบ้างว่าควรทำตัวเช่นไร” จ้าวราชคฤห์ตวาด

“ปล่อย!” รุ้งมณีตวาดพร้อมกับขืนตัวไว้

“มานี่!” จ้าวราชคฤห์ฉุดกระชากอย่างกริ้วจัด จ้าวราชคีร์รีบเข้าขวาง “อย่า…ท่านพี่”

เพราะรู้ดีว่าหากพี่ชายพานางไปได้ นางจะมีชะตากรรมเช่นไร คงมิแคล้วถูกข่มเหงรังแกเป็นแน่ ดูท่าทางนางมิยอมคนเช่นนี้ นางคงมิยอมให้ถูกข่มเหง หากสู้มิได้นางคงยอมตายเสียดีกว่า

“โอย…ท่านพี่ได้โปรด นางเป็นเมียข้า” เขารีบบอก จ้าวราชคฤห์ชะงักงัน! “อะไรนะ!?”

รุ้งมณีไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน จ้าวราชคีร์รีบฉวยโอกาสแกะมือพี่ชายออกจากข้อมือเล็ก แล้วก็ขยับตัวเข้าขวางกลางทั้งๆ ที่เจ็บแผล รุ้งมณีรีบหลบข้างหลังคนเจ็บ เพราะรู้สึกว่าเขาพยายามปกป้องเธออยู่ นางทาสตะลึงนิ่งอึ้ง! “เอ่อ…”

ส่วนมากก็นอนหลับกรนคร่อกๆ จ้าวราชคฤห์จ้องหน้าน้องชาย จ้าวราชคีร์ก็จ้องตาพี่ชายอย่างต้องการบอกให้รู้ว่าเขามิยอมให้พี่ชายทำอะไรนางเป็นอันขาด!

จ้าวราชคฤห์สะบัดหน้าแล้วก็ดินออกไปอย่างกริ้วจัด จ้าวราชคีร์หันไปมองเชลยสาวแล้วก็เดินไปนั่งที่ตั่งอย่างเจ็บแผล “โอย…”

นางทาสลอบถอนหายใจที่จ้าวราชคฤห์จากไปแล้ว “เฮ้อ…”

รุ้งมณีรีบช่วยประคองคนเจ็บให้นอนลง “ค่อยๆ นะจ๊ะ”

จ้าวราชคีร์นอนลง ตาก็มองเชลยสาวอย่างหมายมั่นในใจ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง…เจ้าน้องน้อยของข้า

ส่วนจ้าวราชคฤห์ก็เดินไปหาที่ระบายอารมณ์ ซึ่งคงจะถูกใจพระสนมเอกยิ่งนัก จ้าวราชคฤห์คิดในใจอย่างสงสัยว่า ราชคีร์ได้นางเป็นเมียตั้งแต่เมื่อใด? ในเมื่อน้องข้ามิเคยมีทีท่าว่าจะสนใจสตรีนางใดเลย หรือว่าตอนที่ข้ากำลังหารือกับแม่ทัพนายกองกระนั้นหรือ?

พอถึงกระโจมของพระสนมเอก เขาก็เข้าไปในกระโจมทันที พระสนมเอกก็รีบถวายการรับใช้อย่างรู้งาน ส่วนนางทาสก็รีบออกจากกระโจมอย่างว่องไว ก็หมูเขาจะหามมัวไปนั่งขวางอยู่ประเดี๋ยวหัวก็ได้หลุดจากบ่าปะไร

รุ้งมณีห่มผ้าให้คนเจ็บแล้วก็พูดว่า “ขอบใจจ้ะที่ช่วยฉัน”

“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่?” จ้าวราชคีร์ถาม ตาก็มองสำรวจตามเนื้อตัวอีกฝ่าย รุ้งมณีส่ายหน้าแล้วถามกลับ “ฉันไม่เป็นไรมากจ้ะ แล้วคุณล่ะเจ็บแผลมากไหม?”

จ้าวราชคีร์สะดุดหู “คุน?”

รุ้งมณีชี้มือไปที่เขา “คุณ…ก็คุณนั่นแหละ”

“ข้าชื่อราชคีร์ มิได้ชื่อคุน” จ้าวราชคีร์บอก “เจ้าเรียกข้าว่าพี่ราชคีร์เถอะ ดูแล้วเจ้าคงอายุน้อยกว่าข้ามากนัก”

รุ้งมณีพยักหน้า “จ้ะพี่ราชคีร์ แล้วพี่เจ็บแผลมากไหมจ๊ะ?”

จ้าวราชคีร์พยักหน้า “อูย…”

รุ้งมณีเลิกผ้าห่มขึ้นดูแผล ไม่เห็นรอยเลือดซึมก็เบาใจ เธอลดผ้าลงห่มให้เขา

“เจ้าอย่าได้ทำร้ายท่านพี่เช่นนั้นอีกเชียว หากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่” จ้าวราชคีร์เตือนอย่างเป็นห่วง แล้วบอกว่า “เจ้าจงอยู่ใกล้ๆ ข้าไว้ หากเจ้าอยู่กับข้า ท่านพี่คงมิกล้าทำอะไรเจ้าหรอก”

เขาเอื้อมมือไปลูบหัวอย่างเอ็นดู รุ้งมณีชะงัก! ผงะออกอย่างระวังตัว จ้าวราชคีร์ชะงัก! หดมือกลับ

“เขาเป็นพี่ของพี่ราชคีร์เหรอจ๊ะ?” รุ้งมณีได้โอกาสถาม จ้าวราชคีร์พยักหน้า “ใช่ ท่านพี่เป็นพี่ของข้า แต่คนละแม่ จ้าวแม่ของท่านพี่เป็นพระมเหสี ส่วนแม่ของข้าเป็นเพียงพระสนม”

รุ้งมณีพยักหน้ารับรู้ นางทาสยกข้าวปลาอาหารเข้ามา “ข้าวเจ้าค่ะ”

จ้าวราชคีร์ผงกศีรษะมองนางทาสแล้วถามว่า “ท่านพี่ล่ะ?”

“อยู่กับพระสนมเอกเจ้าค่ะ” นางทาสตอบแล้วก็วางสำรับกับข้าวลงข้างๆ นางเชลย จ้าวราชคีร์ปลอดโปร่งใจ พูดกับแม่หญิงรุ้งว่า “กินข้าวกินปลาเสียซิ แล้วประเดี๋ยวกินข้าวปลาเสร็จแล้ว ข้าจะให้นางพวกนั้นแต่งเนื้อแต่งตัวให้เจ้าเสียใหม่ โอย…”

“อืม” รุ้งมณีพยักหน้ารับ เอาเถอะเขาจะให้ทำอะไรก็ทำไปก่อน แต่ถ้ามาทำร้ายกัน เธอก็ขอสู้ตายเท่านั้นเอง แล้วเธอก็หันไปกินข้าวอย่างไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เพราะได้แต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลยไม่ค่อยรู้สึกหิว อาหารที่เธอกินได้มากที่สุดก็เป็นพวกผลไม้เสียเป็นส่วนใหญ่ จ้าวราชคีร์ขยับตัวลุกขึ้น “อูย…”

เขาชี้ที่ข้าวปลาอาหารให้นางช่วยป้อน รุ้งมณีก็หยิบป้อนอย่างไม่รังเกียจ จ้าวราชคีร์กินได้มากขึ้น พอกินเสร็จแล้วนางทาสก็ยกถ้วยชามออกไป จ้าวราชคีร์หันไปสั่งนางทาสว่า “พวกเอ็งเอาผ้าผ่อนมาให้แม่รุ้งนุ่งเสียใหม่ อูย…ให้สมฐานะเมียข้า”

นางทาสตะลึงกับคำว่า ‘เมีย’ พอตั้งสติได้ก็รีบรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ”

แล้วก็คลานออกไป สักพักพวกนางทาสก็คลานกลับเข้ามาพร้อมกับผ้าผ่อนแพรพรรณชั้นดี รุ้งมณีมองอย่างสนใจในความสวยงามของเนื้อผ้า จ้าวราชคีร์มองผ้าผ่อนที่พวกนางทาสเอามาแล้วก็ชี้สั่ง “เอ็งเอาผ้าผืนนั้นทาบกับตัวแม่รุ้งซิ”

“เจ้าค่ะ” นางทาสคลานไปคลี่ผ้าทาบตัวนางเชลย รุ้งมณีมองแล้วก็จับเนื้อผ้าดู ผ้านิ่มลื่นมือลวดลายก็งดงาม

“เอาผ้านุ่งผืนนั้น” จ้าวราชคีร์สั่ง นางทาสพยักหน้า “เจ้าค่ะ”

แล้วจ้าวราชคีร์ก็ชี้เลือกเครื่องประดับให้เข้าชุดกัน พอเลือกเสร็จก็สั่งว่า “พวกเอ็งจงนุ่งห่มให้แม่รุ้งเสียใหม่ กั้นผ้าให้นางผลัดผ้าในนี้นี่แหละ”

เขาสั่งเช่นนี้พราะมิอยากให้นางออกไปนอกกระโจม ประเดี๋ยวพี่ชายเห็นเข้าก็จะฉวยพานางไปข่มเหงรังแกเอา ตัดไฟเสียแต่ต้นลมให้นางอยู่ใกล้หูใกล้ตาเช่นนี้แหละ พี่ชายก็มิกล้าทำสิ่งใดหักหาญน้ำใจเขาแน่

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วก็กุลีกุจอไปขึงผ้าตามคำสั่ง จากนั้นพวกนางก็คลานเข้าไปจูงมือรุ้งมณีให้ตามไป รุ้งมณีลุกตามไปโดยดี พอเข้าไปในผ้ากั้น นางทาสก็ช่วยกันถอดผ้าผืนเก่าออก อีกคนก็เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ พอเช็ดเนื้อตัวเสร็จก็ช่วยกันแต่งตัวให้รุ้งมณี

“อยู่นิ่งๆ ซิเจ้าคะ” นางทาสบอก รุ้งมณีฟังไม่ออกแต่ก็ยอมยืนให้แต่งตัวอย่างเขินๆ เธอก้มลงมองตัวเองพร้อมกับคอยเอามือปิดหน้าอกเอาไว้ พอแต่งตัวเสร็จนางทาสก็จะเก็บผ้ากั้นออก รุ้งมณีก็โวยวายว่า “เดี๋ยวซิ แล้วผ้าอีกผืนล่ะ?”

นางทาสทำหน้างงๆ มิรู้ว่านางพูดอะไร

“โอย…เจ้าจะเอาผ้าอีกผืนไปทำอะไรรึ?” จ้าวราชคีร์ถาม

“ก็เอามาห่ม…เอ่อ…ห่มหน้าอกจ้ะ” รุ้งมณีบอกอย่างเขินๆ จ้าวราชคีร์งง สักพักเขาก็เข้าใจ เพราะนางนุ่งห่มมิเหมือนผู้ใด แม่หญิงลวปุระก็มิได้ห่มผ้าปิดอก มีบ้างบางคนที่ออกสู้รบก็จะห่มตะเบงมาน แม่หญิงกาสีก็มิได้ห่มผ้าปิดอก มีนางนี่แหละที่ห่มผ้าปิดพันอกเสียมิดชิด

“เอาผ้าอีกผืนไปให้นาง” เขาสั่งนางทาส

Chapter 10

หรือว่านางท้อง

“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วก็หยิบผ้าคลานตุบๆ ไปส่งให้หลังผ้ากั้น รุ้งมณีรีบรับไปพันหน้าอกอย่างอายๆ พอพันอกเสร็จแล้วก็ตวัดชายผ้าที่เหลือคลุมไหล่แล้วก็เหน็บชายผ้ากันรุ่มร่าม พวกนางทาสก็แอบชำเลืองมองอย่างอิจฉาในความงดงาม ก็งามเช่นนี้นี่เล่าจ้าวราชคีร์ถึงได้ยกเป็นเมีย ถึงขนาดกล้าเข้าขวางมิให้จ้าวราชคฤห์พานางไปได้ พี่น้องเกือบจะฆ่ากันตายก็เพราะหญิงงามเพียงคนเดียวเสียแล้ว “…”

พอพันผ้าเสร็จรุ้งมณีก็พยักหน้าให้นางทาส นางทาสก็หันไปหยิบเครื่องประดับมาสวมให้ พอแต่งตัวเสร็จนางทาสก็เก็บผ้ากั้นออกแล้วก็จูงแขนรุ้งมณีให้เดินไปหาจ้าวราชคีร์ จ้าวราชคีร์ตะลึง! “เจ้างามยิ่งนัก โอย…”

รุ้งมณีรู้สึกเขินที่ถูกชม เธอยิ้มให้เขาอย่างเก้อเขิน จ้าวราชคีร์กวักมือเรียก “มานี่ซิแม่รุ้ง”

รุ้งมณีเดินเข้าไปหาเขาอย่างเขินๆ เธอนั่งลงกับพื้นข้างตั่ง ตามองเขาอย่างไว้ใจ จ้าวราชคีร์ยิ้มแล้วก็ยื่นมือไปลูบหัวนาง รุ้งมณีชะงัก! แต่ก็ไม่ได้ผงะออกเหมือนเช่นครั้งก่อน มือใหญ่วางบนเส้นผมนิ่มอย่างทะนุถนอม รุ้งมณียิ้ม จ้าวราชคีร์จึงลูบหัวนางอย่างเอ็นดู ทั้งสองสบตากันประหนึ่งเป็นพี่น้องร่วมอุทร จ้าวราชคีร์รู้สึกเหมือนว่าได้น้องสาวกลับคืนมา ส่วนรุ้งมณีก็รู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นพี่ชาย นางทาสพากันลอบชำเลืองมองอย่างอิจฉาที่จ้าวราชคีร์ยกนางเชลยเป็นเมีย พวกนางต่างก็วาดหวังว่าจ้าวราชคีร์จะมีเมตตาพวกนางให้รับใช้ในฐานะเมียบ้างสักวัน รุ้งมณีสบโอกาสก็ถามว่า “พี่ราชคีร์พูดภาษาไทย เอ้ย…ภาษาลวปุระได้ยังไงจ๊ะ?”

“จ้าวพ่อให้พระอาจารย์มาสอนพวกข้าตั้งแต่เด็กๆ อูย…มิใช่เพียงแต่ภาษาลวปุระหรอกนะ ภาษาเมืองอื่นข้าก็พูดได้” จ้าวราชคีร์ตอบแย้มยิ้มให้นางอย่างปราณี

“พี่คงเจ็บแผลมาก พี่นอนเถอะจ้ะ ฉันจะคอยดูแลพี่เอง” รุ้งมณีบอก จ้าวราชคีร์เอนตัวลงนอน ตาก็มองนางอย่างเอ็นดู

รุ้งมณีคอยดูแลคนเจ็บเสมือนญาติสนิทอย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ไม่ว่าเธอจะต้องการสิ่งใดคนเจ็บคนนั้นก็จะสั่งให้นางทาสจัดหามาให้ เธอก็อาศัยเรียนรู้ภาษากาสีจากการฟังเขาสั่งกับพวกนางทาส บางครั้งเธอก็ขอให้เขาสอนภาษากาสีให้เธอ จ้าวราชคีร์ก็ยินดีที่จะสอนให้ เขาต้องการให้นางพูดภาษาเดียวกับเขาอีกทั้งนางจะได้สั่งข้าทาสได้เองโดยมิต้องให้เขาเป็นคอยสั่งให้ ส่วนจ้าวราชคฤห์ก็อยู่กับพระสนมเอกจนลืมนางเชลยคนงามไปชั่วคราว แม่ทัพนายกองก็คอยดูแลตรวจตราค่ายตามหน้าที่ รอจนกว่าจ้าวราชคฤห์จะมีคำสั่งให้เคลื่อนทัพ

หลายวันแล้วนับตั้งแต่รุ้งมณีถูกจับตัวมา นับวันเวลาก็ผ่านไป 3 วันพระ(1 ช่วงวันพระ = 7 วัน 3 วันพระ = ประมาณ 21 วัน)แล้ว อาการของจ้าวราชคีร์ดีขึ้นจนสามารถลุกก้าวเดินได้อย่างสะดวก นอกจากจะรักษาคนเจ็บคนนั้นแล้วรุ้งมณีก็ยังช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย คนบาดเจ็บในกองทัพด้วย จ้าวราชคฤห์ก็คอยไปดูอาการน้องชายเป็นระยะๆ อย่างปลอดโปร่งใจที่น้องชายอาการดีขึ้นจนเกือบจะหายสนิท ทุกครั้งที่เห็นนางสนิทสนมกับน้องชาย เขาก็รู้สึกปวดใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นมิรู้สึกรู้สา ในเมื่อนางเป็นเมียของน้องชาย เขาก็มิเคยคิดจะแย่งเมียของน้องชายเป็นเด็ดขาด

ส่วนรุ้งมณีก็เรียนรู้ภาษากาสีจนสามารถฟังพูดได้ และเริ่มอ่านออกบ้างแล้ว จ้าวราชคีร์ก็ปลื้มชื่นชมในความเก่งกล้าสามารถของนาง มิเสียแรงที่เขาอุตส่าห์สอน

ครั้นพออาการของน้องชายดีขึ้นมาก จ้าวราชคฤห์ก็รับสั่งให้เคลื่อนทัพทันที จ้าวราชคีร์ให้รุ้งมณีนั่งเสลี่ยงบนหลังช้างคู่กับเขา ส่วนเชลยเฒ่าก็ได้รับการดูแลอย่างดีในฐานะคนสนิทของรุ้งมณี สั่งให้ทหารพาเชลยเฒ่าขี่ม้าเดินตามอยู่ข้างๆ ช้างของเขา จ้าวราชคฤห์ก็ประทับนั่งบนเสลี่ยงหลังช้างอยู่กลางขบวน ส่วนพระสนมก็นั่งเกวียนตามอยู่เบื้องหลัง

พระสนม นางทาสต่างก็หันไปมองขบวนของจ้าวราชคีร์เป็นตาเดียวอย่างอิจฉาริษยาตาร้อนเพราะจ้าวราชคีร์คอยดูแลเอาใจใส่เมียเชลยอย่างออกหน้าออกตาเสียจนใครๆ ต่างก็อิจฉาริษยาในความโชคดีของนางกันทั้งนั้น ก็ดูซิ…นางได้นั่งเคียงคู่จ้าวราชคีร์ปานประหนึ่งนางเป็นจ้าวผู้มีชาติวงศ์พงศ์เผ่าอันมีศักดิ์ทัดเทียมกับจ้าวราชคีร์ก็มิปาน แล้วดูพวกนางซิได้นั่งในเกวียนตามหลังช้างทั้งๆ ที่พวกนางก็อยากจะขึ้นไปเชิดหน้าชูคอเคียงข้างจ้าวราชคฤห์ดั่งเช่นที่นางเมียเชลยเคียงข้างจ้าวราชคีร์บ้าง

ครั้นพอกองทัพเคลื่อนผ่านไปทางใดหมู่บ้านรายทางก็ราบเป็นหน้ากลอง ชาวบ้านถูกจับเป็นเชลย หากขัดขืนก็ถูกฆ่าตาย ข้าวของทรัพย์สินก็ถูกยึด รุ้งมณีมองอย่างสลดใจ จ้าวราชคีร์เห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางคิดอย่างไรก็พูดว่า “การศึกก็เป็นเช่นนี้แหละแม่รุ้ง”

รุ้งมณีมองอย่างเข้าใจ เพราะรู้ว่าเขาก็ไม่สามารถที่จะห้ามการรบราฆ่าฟันได้ ในเมื่อสิทธิ์ขาดในอำนาจขึ้นอยู่กับจ้าวราชคฤห์เพียงคนเดียว ครั้นจะห้ามจ้าวราชคฤห์เธอก็รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร ดีไม่ดีอาจจะกริ้วจนสั่งประหารเธอไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวก็เป็นได้ มองไปทางใดก็เห็นแต่ศพตายเกลื่อนอย่างน่าอเนจอนาถ

“อุ๊ก…” เธอรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอมขึ้นมาทันทีทันใด

“เป็นอะไรรึแม่รุ้ง?” จ้าวราชคีร์ถามอย่างเป็นห่วง รุ้งมณีส่ายหน้าเอามือปิดปาก เธอพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกอยากอาเจียนสุดฤทธิ์ แต่ยิ่งฝืนความรู้สึกก็ยิ่งพุ่งพรวด เธอรีบหันไปเกาะข้างเสลี่ยงโก่งคออาเจียน “อ๊วก…”

“แม่รุ้ง!” จ้าวราชคีร์ตกใจ รีบขยับเข้าไปช่วยลูบหลัง ตะโกนสั่งควานช้างว่า “หยุดก่อน!”

“ขอรับ” ควานช้างรีบหยุดช้างทันที ทำให้กองทัพในส่วนของจ้าวราชคีร์หยุดชะงักตามๆ กันไป เสียงแม่ทัพนายกองตะโกนสั่งหยุดทัพในส่วนของจ้าวราชคีร์บอกต่อๆ กัน ทำให้จ้าวราชคฤห์สงสัย

“มีอะไรรึ?” เขาถามแม่ทัพสิลา

“ขบวนทัพของจ้าวราชคีร์หยุดทัพขอรับ” แม่ทัพสิลาตอบ จ้าวราชคฤห์หันไปมองอย่างสงสัย แม่ทัพสิลาก็รีบพูดว่า “ได้ยินว่าเมียของจ้าวราชคีร์เจ็บไข้ได้ป่วยขอรับ”

เพียงแค่ได้ยินว่านางเจ็บไข้ จ้าวราชคฤห์ก็รู้สึกร้อนรุ่มกระวนกระวายใจทันที หันไปสั่งควานช้างว่า “หยุดทัพก่อน”

“ขอรับ” ทั้งควานช้างทั้งแม่ทัพรับคำสั่ง พอช้างหยุดเดิน จ้าวราชคฤห์ก็ลุกจากเสลี่ยง ควานช้างรีบบังคับช้างให้หมอบลง จ้าวราชคฤห์กระโดดลงจากหลังช้างอย่างใจร้อน รีบขึ้นขี่ม้าควบไปหานาง เอ้ย…น้องชาย ครั้นพอไปถึงก็ถามว่า “ได้ยินว่านางเจ็บไข้ เป็นอะไรรึ?”

สายตาก็มองคนเจ็บอย่างร้อนรนกระวนกระวายใจ จ้าวราชคีร์หันไปมองพี่ชายตอบว่า “นางอาเจียนขอรับ”

แล้วเขาก็หันไปลูบหลังให้นาง รุ้งมณีโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง พออาเจียนจนหมดเธอก็ขยับตัวนั่งพิงเสลี่ยงอย่างหมดแรง จ้าวราชคฤห์มองอย่างเป็นห่วงเป็นใย แล้วบางอย่างก็แว๊บขึ้นมาในความคิด…หรือว่านางท้อง!?

“ตามหมอหลวงมาเร็ว!” เขาตะโกนสั่งลั่น

“ขอรับ” ทหารรับพระบัญชาแล้วก็รีบควบม้าไปตามหมอ

“กางกระโจมเร็วเข้า หยุดทัพไว้ก่อน” จ้าวราชคฤห์รับสั่งอย่างร้อนรน จ้าวราชคีร์มองพี่ชายอย่างสะกิดใจ เหตุใดท่านพี่จึงดูร้อนรนกระวนกระวายเช่นนี้? หรือว่าท่านพี่ยังตัดใจจากนางมิได้?

“พานางไปพักในกระโจมก่อน” จ้าวราชคฤห์บอก แล้วเขาก็ชักม้าไปคุมทหารกางกระโจมที่พัก

“นังหนูเป็นอะไรหรือ?” มากสบโอกาสถามพลางมองอย่างเป็นห่วง รุ้งมณีหันไปส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง ส่วนพวกนางสนมข้าทาสต่างก็หันไปมองอย่างงุนงงสงสัย แล้วก็พากันซุบซิบกันไปต่างๆ นานา พอกระโจมกางเสร็จ จ้าวราชคฤห์ก็ชักม้าไปหาน้องชายแล้วก็บอกว่า “กระโจมกางเสร็จแล้ว เจ้าพานางไปนอนในกระโจมให้หมอหลวงตรวจดูเสียก่อนเถอะ”

“ขอรับ” จ้าวราชคีร์พยักหน้า แล้วก็หันไปสั่งควานช้างว่า “ไปที่กระโจม”

“ขอรับ” ควานรับคำแล้วก็บังคับให้ช้างเดินไปที่กระโจม จ้าวราชคฤห์ก็ชักม้าตามไปอย่างร้อนใจ พอถึงกระโจม ควานก็บังคับช้างให้หมอบลง จ้าวราชคีร์ขยับตัวลงจากหลังช้าง แต่ก็ยังมิทันพี่ชายที่ตวัดตัวลงจากหลังม้ามารออยู่ข้างๆ ช้าง พลางพูดว่า “ส่งนางมาให้ข้าเถอะ แผลเจ้ายังมิหายดี เจ้าคงอุ้มนางมิไหวแน่”

จ้าวราชคีร์มองพี่ชายแล้วก็ตัดสินใจส่งตัวนางให้พี่ชายอุ้ม

“ค่อยๆนะ” จ้าวราชคฤห์บอกอย่างเป็นห่วง แล้วก็ยื่นแขนไปรอรับ รุ้งมณีมองหน้าคนนั้นคนนี้อย่างอ่อนแรง ใครจะอุ้มยังไงก็ไม่สนใจแล้ว จ้าวราชคีร์ประคองรุ้งมณีส่งให้พี่ชาย จ้าวราชคฤห์รับตัวนางมาแล้วเขาก็อุ้มนางเข้าไปในกระโจมอย่างร้อนใจ แต่ภายในใจส่วนลึกกลับรู้สึกดีใจที่ได้อุ้มนางเช่นนี้ นับตั้งแต่จับตัวนางมาครานั้นเขาก็มิเคยได้ใกล้ชิดกับนางอีกเลย

“เจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง?” เขาถามพลางมองวงหน้าหวานในอ้อมแขน พอถึงตั่งเขาก็ปล่อยนางลงนั่ง รุ้งมณีขยับตัวนั่งอย่างหมดแรง เธอยกมือไหว้พูดว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

จ้าวราชคฤห์แย้มยิ้มอย่างดีใจ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาก็หันไปมอง พอเห็นน้องชายมาเขาก็ขยับออกห่าง หมอหลวงคลานเข่าเข้ามารีบก้มกราบ “ข้ามาแล้วขอรับ”

“เจ้ารีบมาตรวจนางเข้าเถอะ นางเจ็บไข้ได้ป่วย ข้าอยากรู้ว่านางเป็นอะไรมากหรือไม่” เจ้าราชคฤห์สั่งอย่างร้อนใจ

“ขอรับ” หมอหลวงรีบคลานเข้าไปตรวจคนไข้ จ้าวราชคีร์เดินไปนั่งบนตั่งเคียงข้างนางอย่างเป็นห่วง

ส่วนหมอก็ตรวจคนไข้อย่างเกร็งจัด ก็จะจับจะต้องตัวคนไข้แต่ละที ทั้งจ้าวราชคฤห์ทั้งจ้าวราชคีร์ก็มองเขม็ง

โอย…ข้าจะมือขาดหัวกุดไหมหนอ? หมอได้แต่รำพึงอยู่ในใจอย่างหวั่นกลัว ตรวจไปก็รายงานไปด้วยว่า “มีไข้ตัวรุมๆ ขอรับ”

“นางอาเจียนเช่นนี้ นางท้องใช่หรือไม่?” จ้าวราชคฤห์ถาม รุ้งมณีฟังเข้าใจก็จะตอบว่า “ไม่…”

จ้าวราชคีร์รีบยื่นมือไปปิดปากนางแล้วก็ขัดขึ้นว่า “เจ้าจะอาเจียนอีกหรือ รอประเดี๋ยวนะ”

แล้วเขาก็หันไปสั่งหมอหลวงว่า “เอากระโถนมาเร็ว”

รุ้งมณีร้อง “ฮื้อ”

ผลักมือออก แต่จ้าวราชคีร์ก็ปิดปากซะแน่น

“เอากระโถนมาเร็วซิ มัวชักช้าอยู่ได้” เขาดุหมอหลวง

“ขอรับ” หมอหลวงรีบหันไปหากระโถน จ้าวราชคีร์หันไปพูดกับพี่ชายว่า “ข้าว่านางคงกำลังจะท้องเป็นแน่ขอรับท่านพี่”

แล้วเขาก็หันไปพูดกับหมอหลวงว่า “ใช่หรือไม่หมอหลวง?”

หมอหลวงหันไปมองจ้าวราชคีร์อย่างงงๆ จ้าวราชคีร์รีบย้ำว่า “เมียข้าต้องกำลังท้องแน่ๆ ก็นางอาเจียนเสียขนาดนี้ ข้าว่านางต้องท้องเป็นแน่”

หมอหลวงพยักหน้ารับ แล้วก็หันไปพูดกับจ้าวราชคฤห์ว่า “อาจจะ…ขอรับ”

จ้าวราชคฤห์หน้าซีดทันตา แต่ก็เพียงแว๊บเดียวเขาก็รีบแสร้งแย้มยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็น่ายินดียิ่งนัก ข้าดีใจกับเจ้าด้วยราชคีร์”

เขาเอื้อมมือไปตบบ่าน้องชาย จ้าวราชคีร์แย้มยิ้มให้พี่ชายแล้วก็หันไปถามรุ้งมณีว่า “เจ้าดีใจหรือไม่ที่กำลังจะมีลูก?”

เขาลดมือลงไปจับมือนาง รุ้งมณีทำหน้างงๆ “มีลูก?”

จ้าวราชคฤห์รู้สึกปวดใจจนต้องรีบออกไปข้างนอก นางกำลังจะมีลูกกับราชคีร์แล้ว…โอ้…สวรรค์ใยกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ เหตุใดต้องกลั่นแกล้งให้ข้ารักนางแต่มิอาจครอบครองนางเช่นนี้ด้วย!

พอพี่ชายออกไปแล้วจ้าวราชคีร์ก็หันไปไล่หมอหลวงว่า “ข้าต้องการอยู่กับเมียข้าตามลำพัง”

“ขอรับ” หมอหลวงรีบคลานออกไปข้างนอกอย่างว่องไว รุ้งมณีมองตามหมอหลวงแล้วก็หันไปถามจ้าวราชคีร์ว่า “มีลูกอะไร? ใครจะมีลูกจ๊ะพี่ราชคีร์?”

จ้าวราชคีร์แย้มยิ้มแล้วก็ชี้ที่ตัวนาง “ก็เจ้าไง”

รุ้งมณีงงหนัก “ฉันจะมีลูกได้ไงในเมื่อฉัน…”

จ้าวราชคีร์รีบปิดปากนางพร้อมกับพูดว่า “จุ๊ๆ ปากมีหูประตูมีช่อง”

เขาก้มไปกระซิบว่า “หรือว่าเจ้าอยากจะเป็นพระสนมของท่านพี่หรือแม่รุ้ง?”

รุ้งมณีส่ายหน้าทันควัน “ไม่เอานะ”

จ้าวราชคีร์แย้มยิ้มกระซิบว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับว่าเป็นเมียข้าต่อไป ท่านพี่มิกล้าข่มเหงเจ้าหรอก ยิ่งรู้ว่าเจ้ากำลังจะมีลูกกับข้าเช่นนี้ท่านพี่มิกล้าทำอะไรเจ้าแน่”

“แล้วพี่ไม่สงสารจ้าวราชคฤห์เหรอ?” รุ้งมณีถาม

“ข้าสงสารเจ้ามากกว่า ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้มีใจให้ท่านพี่ ข้ารู้ว่าเจ้ายอมตายหากถูกข่มเหง ข้าถึงได้ออกอุบายตั้งเจ้าเป็นเมียของข้าเสีย ท่านพี่ก็มิกล้าหักหาญน้ำใจเจ้าและข้าหรอก” จ้าวราชคีร์กระซิบ เขาลูบหัวนางแล้วก็บอกว่า “เจ้ามิสบายก็นอนพักเสียเถอะ เจ้าน้องน้อยของข้า”

รุ้งมณีพยักหน้ารับแล้วก็เอนตัวลงนอนหลับตาลง จ้าวราชคีร์ลูบหัวนางเบาๆ มองวงหน้าหวานอย่างเอ็นดู จนกระทั่งนางหลับสนิทเขาก็ค่อยๆ ออกไปข้างนอก ตรวจตรากองทัพพลางครุ่นคิดในใจ แม้ว่าจะรู้สึกสงสารพี่ชายแต่เขาก็รู้ดีว่า พวกนางสนมคงจะทำให้พี่ชายลืมนางไปได้สักวันหนึ่งเป็นแน่ เรื่องของหัวใจมิมีใครจะบังคับได้ เหมือนดั่งเช่นหัวใจของเขาก็มิมีใครจะบังคับได้เช่นกัน หากบังคับได้ เขาคงจะบังคับหัวใจของเขาเองให้ลืม ‘เด็กคนนั้น’ ได้เสียที ป่านนี้ ‘เด็กคนนั้น’ คงจะโตเป็นสาวแล้วกระมัง เขาคิดพลางจับลูกทองถักที่ห้อยคอขึ้นมาดู ซึ่งภายในลูกทองถักเป็นสิ่งมีค่าของเขาที่ได้จาก ‘เด็กคนนั้น’ หลายปีแล้วซินะนับตั้งแต่วันนั้น…วันที่เขาลอบเข้าไปสืบความในเขตศัตรู

แม่ทัพคยาเดินเข้าไปคุกเข่าทำความเคารพแสดงความยินดีอย่างประจบว่า “ข้าดีใจด้วยขอรับที่จ้าวราชคีร์กำลังจะมีพระโอรส”

จ้าวราชคีร์หันไปมองแย้มยิ้มให้“ขอบใจเจ้ามาก”

เขาลดลูกทองถักลงแล้วก็เดินไป

แม่ทัพคยาหมอบกราบแล้วก็ยืนขึ้นซ่อนแววตามิพอใจเอาไว้อย่างมิดชิด เขาอุตส่าห์ยกลูกสาวให้เป็นนางทาส แต่จ้าวราชคีร์กลับมิชายตาแลลูกสาวของเขาเลยสักนิด หากรู้ว่าจ้าวราชคีร์จะมิสนใจสตรีเช่นนี้ เขาคงจะยกลูกสาวให้เป็นนางทาสของจ้าวราชคฤห์เสียดีกว่า อย่างน้อยป่านนี้ลูกของเขาก็คงจะได้เป็นสนมไปแล้ว ช่างน่าเจ็บใจนักที่เขาตัดสินใจผิดพลาดเพราะเชื่อคำของเมียรัก ครั้นจะขอลูกกลับคืนก็กระทำมิได้เสียอีกเพราะยกให้ไปแล้ว อีกทั้งผู้คนจะได้ครหานินทากันสนุกปากปะไร ยกลูกให้คนน้องแล้วจู่ๆ ก็ไปขอคืนเอาไปให้คนพี่ หากทำเช่นนั้นก็ผิดธรรมเนียมยิ่งนัก สถานะของเขาคงยิ่งสั่นคลอนหนักแน่

จ้าวราชคีร์เดินไปทางใดก็มีแต่ข้าราชบริพารเข้ามาแสดงความยินดีด้วย จนเขานึกรำคาญต้องเดินเลี่ยงไปทางท้ายกองทัพซึ่งเป็นกองเสบียงก็ได้ยินเสียงคุยกันว่า “เหตุใดจ้าวราชคฤห์สั่งให้หยุดทัพเล่า?”

“ได้ยินว่าพระสนมของจ้าวราชคีร์เจ็บไข้ จ้าวราชคฤห์จึงมีคำสั่งให้หยุดทัพ”

จ้าวราชคีร์ชะงัก! แอบฟังอยู่หลังเกวียน

“กะอีแค่เมียเชลยถึงกับสั่งให้หยุดทัพเชียวรึ?”

“ชู่ว…เอ็งอย่าได้อึงอลไป จ้าวราชคฤห์กับจ้าวราชคีร์เกือบจะฆ่ากันตายก็เพราะแย่งนังคนนี้เชียวหนา”

“ฮ้า…ถึงขนาดนั้นเชียวรึ!”

“เออซิวะ”

“แหม ข้าชักจะอยากเห็นหน้าพระสนมคนนี้เสียจริงว่างามขนาดไหนเชียว ถึงขนาดทำให้พี่น้องเกือบจะฆ่ากันได้”

“เขาว่างามนัก ผิวพรรณขาวดั่งไข่ปอก รูปร่างทรวดทรงองเอวก็แชล่มแช่มช้อย เขาว่างามเหนือกว่าแม่หญิงใดในแผ่นดินเชียวนะโว้ย อีกทั้งยังเก่งกล้าสามารถรักษาจ้าวราชคีร์ให้หายได้ แล้วก็มิใช่แค่นั้นนะโว้ย เรื่องฝีมือสู้รบพระสนมก็เอาเรื่องเชียวนะเอ็ง ขนาดล้มทหารตั้งหลายคนได้ในพริบตา”

“ฮ้า…ข้ามิเชื่อหรอก เอ็งโป้ปดคุยโวเสียกระมัง หากมีแม่หญิงเก่งและงามถึงปานนั้น ก็คงเป็นผีสางนางไม้จำแลงมาเป็นแน่ ถุย…หลงฟังเสียตั้งนาน”

แล้วเสียงพูดคุยก็เงียบลงพร้อมกับเสียงเดินจากไป จ้าวราชคีร์ชะโงกตัวไปมอง เห็นคนเลี้ยงม้ากับคนเลี้ยงช้างเดินแยกกันไปก็นึกขำในใจย นี่แม่รุ้งถูกมองว่าเป็นผีสางนางไม้ไปแล้วรึ หึๆๆๆ…

ครั้นพอจะเดินกลับ เขาก็เห็นคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นพี่ชายยืนอยู่ข้างช้าง เขาจึงเดินไปดูให้แน่ใจ

“นางท้อง นางกำลังจะมีลูกกับราชคีร์แล้ว ใยข้าและราชคีร์ต้องรักหญิงคนเดียวกันด้วย? ใยสวรรค์จึงกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้เล่า?” จ้าวราชคฤห์พูดกับช้างม้าอย่างเจ็บปวดใจ จ้าวราชคีร์ได้ยินพี่ชายรำพันอย่างเจ็บปวดก็รู้สึกสงสารยิ่งนัก เขามิคิดเลยว่าพี่ชายจะรักนางถึงเพียงนี้ คิดว่าพี่ชายคงจะหลงใหลความงามของนางเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ครั้นได้ยินถ้อยคำรำพันอย่างปวดใจเช่นนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่าพี่ชายรักนางอย่างสุดหัวใจ เขาเดินไปหาพี่ชาย พลัน! ก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกว่า “ข้าศึกบุก!”

ทั้งกองทัพระส่ำระส่ายทันที เพราะมิคิดว่าจะถูกข้าศึกบุกโจมตีในยามนี้ จ้าวราชคฤห์บังคับช้างให้หมอบลงแล้วก็โหนตัวขึ้นขี่คอช้าง ส่วนจ้าวราชคีร์ก็รีบวิ่งกลับไปที่กระโจม พวกทหารแม่ทัพนายกองก็หยิบดาบจับอาวุธรับมือกับข้าศึกที่บุกมาอย่างมิทันตั้งตัว จ้าวราชคฤห์รีบขี่ช้างไปบัญชาการรบ ส่วนจ้าวราชคีร์ก็รีบวิ่งไปที่กระโจม เพราะมองแล้วว่าข้าศึกบุกมาทางทิศใด ซึ่งกระโจมที่เจ้าน้องน้อยอยู่กลับกลายเป็นอยู่ใกล้กับข้าศึกมากที่สุด

“ฆ่ามัน!” เสียงตะโกนโห่ร้องดังลั่นพร้อมกับกองทัพม้าของข้าศึกบุกเข้ามาดั่งสายน้ำเชี่ยวกราด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version