วันที่เริ่มเขียน 5 มีนาคม 2567
กี่ชาติกี่ภพข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้ามีความสุข
ชาติที่หนึ่ง : สามีข้าคือขันที
Chapter 1 แผนถอนหมั้น 1
ณ บ้านตระกูลหนานกง ทุกหนทุกแห่งตกแต่งประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดงเพราะวันนี้เป็นวันแต่งงานของหนานกงเยี่ยนกับคุณหนูหว่านหรง ใครๆ ต่างก็พากันอิจฉาคุณหนูหว่านหรงที่ได้แต่งงานกับหนานกงเยี่ยนบุรุษที่เก่งกาจที่สุดของแคว้นนี้ หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ ตามประเพณีแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เข้าห้องหอ หว่านหรงมองลอดผ้าคลุมศีรษะออกไป นางเขินอายจนหน้าแดง หนานกงเยี่ยนเปิดผ้าคลุมออกมองฮูหยินที่งดงามราวดอกไม้แรกแย้ม เขาเชยคางนางขึ้น หว่านหรงหลุบตาลงเขินอายจนหน้าแดงแล้วแดงอีก
ก่อนที่จะมีงานแต่งงานยิ่งใหญ่นี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว
“หรงเอ๋อร์ ดูซิผ้าผืนนี้สวยจริงๆ” หว่านหรูอี้จับเนื้อผ้าจากผ้าหลายพับที่อยู่ในร้านชี้ชวนให้น้องสาวต่างมารดาชมดู หว่านหรงขยับเข้าไปมองอย่างตื่นๆ นางไม่ค่อยได้ออกจากจวนมาบ่อยนัก เนื่องจากนางเป็นลูกกำพร้ามารดา แม้ว่ามารดาของนางจะเป็นฮูหยินเอก แต่ว่ามารดาก็ตายไปตั้งนานแล้ว อนุรองจึงรับหน้าที่ดูแลจวนหลังจากที่ฮูหยินเอกตายไป ทำให้หว่านหรง บุตรสาวของฮูหยินเอกไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควรนัก นางมีเพียงแม่นมกับสาวใช้ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของมารดาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ นางเพิ่งจะผ่านพิธีปักปิ่นเมื่อวันก่อนมาหยกๆ ซึ่งก็ถือว่านางเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ส่วนหว่านหรูอี้นั้นแก่กว่า 1 ปี นางเข้าพิธีปักปิ่นไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้นางอายุ 16 กว่าๆ กำลังเป็นสาวน้อยสะพรั่งสวยสดงดงาม อาภรณ์ที่นางสวมใส่หรูหราดูดียิ่งกว่าลูกฮูหยินเอกอย่างหว่านหรงเสียอีก
สองสาวยืนเคียงกัน คนหนึ่งสวยสดงดงาม อีกคนแม้จะดูด้อยกว่าด้วยอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ใช่อาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตแต่ว่าอาภรณ์นั้นก็ไม่อาจบดบังความงามของสาวน้อยวัย 15 ได้เลย เอาจริงๆ หากว่าเทียบหน้าตากันแล้ว หว่านหรูอี้นั้นสวยไม่เท่าน้องสาวต่างมารดาอย่างหว่านหรง แต่ด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตราคาแพงทำให้หว่านหรูอี้ดูงดงามเทียบเคียงองค์หญิงจากในรั้วในวังได้อย่างสูสี
“อา แม่นางช่างตาแหลมนัก ผ้าผืนนี้ทอจากใยไหม เนื้อนุ่มเบาสบาย หน้าร้อนใส่แล้วไม่ร้อนแน่นอนขอรับ” เถ้าแก่รีบพูดขึ้นมา เขาจำลูกค้าสาวคนนั้นได้ นางเป็นคุณหนูใหญ่ของอาลักษณ์ท่านหนึ่ง มักจะมาซื้อผ้าที่ร้านบ่อยๆ ทุกเดือน ส่วนสตรีอีกคนนั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ฟังจากคำพูดของคุณหนูหว่านหรูอี้แล้วนางน่าจะเป็นน้องสาวกระมัง
“เท่าไหร่?” หว่านหรูอี้ถาม เถ้าแก่รีบบอก “ไม่แพงขอรับๆ ผ้าพับนี้แค่ 1 ร้อยตำลึงทองขอรับ”
“1 ร้อยตำลึงทอง!” หว่านหรูอี้หลุดอุทานออกมา นางไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น 1 ร้อยตำลึงทองเทียบได้กับเบี้ยหวัดเกือบทั้งปีของท่านพ่อเลยทีเดียว ท่านพ่อของนางทำงานได้เบี้ยหวัดเดือนละ 10 ตำลึงทอง 1 ปีก็เป็น 120 ตำลึงทอง
“โอ้!” หว่านหรงได้ยินราคาแล้วก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน ถึงนางจะไม่ได้ออกมานอกจวน แต่ว่าเรื่องราคา เรื่องเงินเรื่องทองอะไรพวกนี้แม่นมพูดให้ฟังบ่อยๆ ซ้ำยังคอยทวงเบี้ยน้อยนิดของนางที่ควรได้รับจากจวนกับอนุรองอยู่บ่อยๆ อนุรองก็ไม่กล้ากดขี่อย่างออกนอกหน้ามากนัก เพราะหากเรื่องในจวนรู้ไปถึงหูสามีเมื่อไหร่ หว่านกัวฉายอาจจะริบหน้าที่ดูแลจวนแล้วให้อนุคนอื่นๆ ทำแทนก็ได้ ดังนั้นอนุรองจึงไม่กล้าทำอะไรให้มีเรื่องมีราวรู้ไปถึงหูสามีเด็ดขาด
“คุณหนูจะรับผ้าผืนนี้ไหมขอรับ?” เถ้าแก่ถาม หว่านหรูอี้แม้จะอยากได้มากเท่าไหร่ แต่ว่านางไม่มีเงินมากขนาดนั้น นางจึงบอกอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นว่า “ผ้าบางถึงเพียงนี้ เกรงว่าตัดชุดออกมาแล้วคงมองเห็นไปถึงไหนๆ เอ่อ ข้าดูผ้าเหมือนคราวที่แล้วดีกว่า”
“อ่อๆ ไม่เป็นไรขอรับแม่นาง” เถ้าแก่บอกแล้วหลิ่วตาสั่งลูกน้อง
ลูกน้องก็รีบเอาผ้าพับใหม่มาให้ดู นางเลือกผ้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับที่คุณหนูท่านนี้ซื้อไปเมื่อเดือนที่แล้วมาวางเรียงตรงหน้าลูกค้าสาว พลางเก็บผ้าไหมราคาแพงพวกนั้นออกไป
หว่านหรูอี้มองดูผ้าพับใหม่พวกนั้นพลางชี้ชวนให้หว่านหรงดูด้วย “หรงเอ๋อร์ เจ้าช่วยพี่ดูซิผืนไหนสวยที่สุด?”
“เอ่อ พี่อี้ดูเถอะเจ้าค่ะ ข้าโง่เง่า เกรงว่าจะช่วยพี่ไม่ได้มากนักเจ้าค่ะ” หว่านหรงบอก นางมองผ้าเหล่านั้นเหมือนพวกมันเป็นของเกินเอื้อม ก็ใช่ สำหรับนางแล้วเกินเอื้อมจริงๆ นั่นแหละ เบี้ยของนางแต่ละเดือนไม่ได้มากมายนัก
แม่นมกับสาวใช้เอาไปซื้อของกินเข้าเรือนอย่างกระเบียดกระเสียรทุกเดือนๆ ไม่มีเหลือ ซ้ำแม่นมกับสาวใช้ยังต้องปักผ้าแล้วเอาไปขายเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูนางอีก
หว่านหรูอี้เห็นน้องสาวต่างมารดาถ่อมตัวถึงขนาดนั้นก็ยิ้มพอใจอยู่รางๆ นางจึงเลือกผ้าเองไม่สนใจน้องสาวต่างมารดาอีก
หว่านหรงก็ยืนดูเงียบๆ นางมองไปรอบๆ ร้านอย่างอยากรู้อยากเห็น โลกนอกจวนช่างดูใหญ่โตมากสีสันเหลือเกิน
“ข้าเอาพับนี้” หว่านหรูอี้บอก เถ้าแก่รีบบอกราคา “ผ้าพับนี้ 20 ตำลึงเงินขอรับ”
ถางซือเห็นคุณหนูหลิ่วตาสั่ง นางจึงล้วงถุงเงินออกมานับเงินยื่นให้เถ้าแก่ เถ้าแก่รีบหยิบผ้าพับนั้นห่อส่งให้สาวใช้ทันที “นี่ขอรับ”
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” หว่านหรูอี้บอก นางลุกขึ้นเดินนำออกไป ถางซือรีบเดินตามไป หว่านหรงเดินตามพี่สาวต่างมารดาไป เถ้าแก่ยืนคำนับส่ง “คราวหน้าเชิญอีกนะขอรับแม่นาง กลับดีๆ นะขอรับ”
หว่านหรูอี้เดินเชิดหน้าออกจากร้าน นางเหลือบมองน้องสาวต่างมารดาแล้วชวนว่า “หรงเอ๋อร์ พวกเราไปดื่มชาที่โรงเตี้ยมฮุ่ยหมิ่นเถอะ”
“เอ่อ…จะดีเหรอ…” หว่านหรงพูดยังไม่ทันจบ หว่านหรูอี้ก็คว้าข้อมือหมับ “ดีซิ ไปเร็ว ข้าคอแห้งจะตายแล้ว ขืนมัวรอกลับไปดื่มชาที่จวนข้าคงเป็นลมกลางทางแน่”
หว่านหรูอี้ลากหว่านหรงเดินไปทางโรงเตี้ยมใหญ่ของเมือง หว่านหรงจำใจต้องเดินตามพี่สาวต่างมารดาไปอย่างจำยอม ถางซือเดินตามไป นางเหลือบมองคุณหนูรองที่ดูโง่งมไม่ทันคนอย่างดูแคลนนิดหนึ่ง คุณหนูรองผู้นี้ก็โง่จริงๆ นั่นแหละ กำลังจะถูกหลอกก็ยังไม่รู้ตัวสักนิด เฮอะ!
จนไปถึงโรงเตี้ยมฮุ่ยหมิ่น เสี่ยวเอ้อร์รีบต้อนรับ “เชิญขอรับๆ”
หว่านหรูอี้เดินนำเข้าไป นางเลือกโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าแล้วนั่งลงพลางสั่ง “น้ำชากานึง”
“ขอรับๆ” เสี่ยวเอ้อร์รีบเดินไปยกน้ำชามาให้ “น้ำชาขอรับ”
ถางซือขยับไปรินชาให้คุณหนู “น้ำชาเจ้าค่ะ”
“อืม” หว่านหรูอี้ยกถ้วยชาขึ้นเป่าๆ แล้วจิบอึกหนึ่ง ตาก็มองออกไปเบื้องนอกแล้วดึงสายตากลับมามองน้องสาวต่างมารดา “หรงเอ๋อร์ ดื่มซิ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำเสียงเบา นางยกถ้วยชาขึ้นจิบ ตามองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น วันนี้พี่สาวต่างมารดาชวนนางออกมาซื้อของด้วย ช่างใจดีผิดปกติไปหน่อยนะ ปกติแล้วพี่สาวคนนี้แทบจะไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ นางไม่อยากออกมาด้วยแต่พี่สาวต่างมารดาก็คะยั้นคะยอจนนางไม่มาด้วยก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าพี่สาวต่างมารดาผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?
หว่านหรูอี้จิบชาอย่างอ่อยอิ่ง หว่านหรงก็จิบชาพลางมองไปมองมาเหมือนกบในกะลาที่ได้ออกมาสู่บึงกว้างอย่างไรอย่างนั้น
ใช่ นางเป็นกบในกะลาจริงๆ นั่นแหละ นางโตมาแบบไม่ค่อยย่างก้าวออกจากจวนมากนัก วันๆ อยู่แต่ในจวน ใช้ชีวิตไปวันๆ มีเพียงตำราในห้องหนังสือของท่านพ่อเป็นเพื่อนแก้เหงา วันๆ นางอ่านแต่ตำราจนจำตำราเหล่านั้นได้ขึ้นใจทุกม้วนเลยทีเดียว
จนกระทั่งเสียงเสี่ยวเอ้อร์ดังว่า “เชิญขอรับๆ”
หว่านหรูอี้ตาเป็นประกายทันที นางมองไปที่บุรุษคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามา นางรีบหลุบตาลงปิดบังประกายบางอย่างในดวงตาเอาไว้ หว่านหรงเห็นท่าทีพี่สาวต่างมารดาดูลุกลี้ลุกลนชอบกล นางเกิดความสงสัยในใจ อยากจะหันหลังไปมองคนที่เดินเข้ามาในโรงเตี้ยมยิ่งนัก แต่ว่าถ้านางทำอย่างนั้นคงเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นนางจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อไป ยกชาขึ้นจิบด้วยท่าทีซื่อๆ เช่นเดิม
จนกระทั่งบุรุษคนนั้นเดินผ่านมาที่โต๊ะซึ่งคุณหนูตระกูลหว่านสองคนนั่งอยู่ หว่านหรูอี้ก็ทำเป็นเงยหน้ามองอย่าง ‘บังเอิญ’
“อ่ะ นายท่านหนานกง!” หว่านหรูอี้ทักคล้ายกับคิดไม่ถึงว่าจะเจอคู่หมั้นของนางโดยบังเอิญ หนานกงเยี่ยนมองสตรีที่ส่งเสียงทักเขา “แม่นางคือ?”
หว่านหรูอี้ลุกขึ้นยืน “ข้า หว่านหรูอี้ บุตรสาวคนโตของท่านอาลักษณ์หว่านเจ้าค่ะ”
“อ่อ แม่นางหว่าน” หนานกงเยี่ยนทวนคำ มองหว่านหรูอี้ คู่หมั้นของตนเองที่เขาเพิ่งจะส่งของหมั้นหมายไปให้ตระกูลหว่านเมื่อ 5 วันก่อน เขากับนางไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน เพียงแต่ว่าที่เขาเลือกสตรีจากตระกูลหว่านเป็นคู่หมั้นก็เพราะว่าหว่านกัวฉายเป็นเพียงอาลักษณ์ตำแหน่งเล็กๆ ตระกูลหว่านไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนัก สตรีจากตระกูลเล็กๆ แต่งเข้าตระกูลหนานกงย่อมไม่สร้างปัญหาใหญ่โตให้เขาแน่นอน ดังนั้นคุณหนูตระกูลหว่านจึงเป็นตัวเลือกที่ดี
หว่านหรงย่อมรู้เรื่องการหมั้นหมายของพี่สาวต่างมารดา ได้ยินว่านายท่านหนานกงเป็นคนมีความสามารถ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลาเอาการ วันนี้ได้เห็นตัวจริงของเขาแล้ว นับว่าคำร่ำลือไม่เกินจริงเลย เขาเป็นบุรุษรูปงามจริงๆ นางรู้สึกอิจฉาพี่สาวต่างมารดานิดหน่อยที่ได้หมั้นหมายกับบุรุษรูปงามเช่นนี้
“แล้วแม่นางท่านนี้?” หนานกงเยี่ยนมองสตรีอีกนางที่นั่งอยู่ หว่านหรูอี้รีบแนะนำ “อ่อ นี่น้องสาวของข้าเจ้าค่ะ หว่านหรง”
“อ่อ” หนานกงเยี่ยนพยักหน้ารับรู้ เขามองหว่านหรงแวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวเขาก็รู้สึกว่าหน้าตาของหว่านหรงดูงามกว่าหว่านหรูอี้หลายเท่านัก
“นายท่านหนานกงมากินอาหารที่นี่หรือเจ้าคะ?” หว่านหรูอี้ถามเหมือนชวนคุย หนานกงเยี่ยนพยักหน้า “ใช่”
เขามองบนโต๊ะที่มีเพียงน้ำชากาเดียวแล้วเอ่ยว่า “หากว่าแม่นางทั้งสองยังไม่ได้กินอะไร เช่นนั้นให้ข้าเลี้ยงเถิด ถือเป็นโอกาสดีที่ข้าได้พบแม่นางทั้งสอง”
“เอ่อ จะดีหรือเจ้าคะ” หว่านหรูอี้บ่ายเบี่ยง แต่ในดวงตาลึกๆ มีแววสมใจ หนานกงเยี่ยนเอ่ยชวนอีกครั้ง “มีอะไรไม่ดี แม่นางถือว่าเป็นคู่หมั้นข้าแล้ว ข้าย่อมอยากพูดคุยกับคู่หมั้นของข้า เราจะได้ทำความคุ้นเคยกันให้มากขึ้น”
“เอ่อ เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” หว่านหรูอี้ตอบคล้ายจนใจไร้หนทางบ่ายเบี่ยงอีก หนานกงเยี่ยนจึงผายมือ “เชิญ”
เขาเดินนำไปที่บันได หว่านหรูอี้รีบคว้าข้อมือหว่านหรงหมับ จูงมือเดินตามหนานกงเยี่ยนไป หว่านหรงไม่อยากไปด้วยเลย แต่ว่านางจะขอตัวกลับตอนนี้ก็จะดูน่าเกลียดเกินไป ถ้านางกลับไปตอนนี้เลยอาจทำให้ว่าที่พี่เขยเข้าใจผิดคิดว่านางรังเกียจเขาก็ได้ หากว่าเขาคิดเช่นนั้นขึ้นมา ภายภาคหน้านางต้องเจอหน้าเขาอีก คงทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนกันทั้งสองฝ่ายแน่นอน
“เอ่อ คุณหนูเจ้าคะ ข้าขอไปเก็บดอกไม้*ก่อนนะเจ้าคะ” ถางซือร้องบอกพลางเอามือกุมท้อง หว่านหรูอี้โบกมือไล่ “จะไปไหนก็ไปไป๊”
(เก็บดอกไม้ ในที่นี้หมายความว่า เข้าส้วม)
“เจ้าค่ะ” ถางซือขานรับแล้วรีบเดินไปเข้าส้วม นางเดินออกไปทางด้านหลังแล้วเดินออกไปจากโรงเตี้ยม รีบมุ่งหน้ากลับไปที่จวนทันที หน้าที่ของนางก็คือต้องพานายท่านมาที่นี่ให้ทันตามแผนของคุณหนูใหญ่
หนานกงเยี่ยนเดินนำเข้าไปในห้องส่วนตัวบนชั้นสองห้องหนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์ก็ต้อนรับขับสู้อย่างกุลีกุจอ “เชิญขอรับๆ”
เขาใช้ผ้าเช็ดๆ โต๊ะกับเก้าอี้ทุกตัวอย่างว่องไวยิ่ง หนานกงเยี่ยนสะบัดเสื้อคลุมตัวยาวแล้วนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย เขามองสองพี่น้องตระกูลหว่านพลางผายมือ “เชิญนั่งซิ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรูอี้นั่งลงตรงข้าม หว่านหรงก็นั่งลงข้างพี่สาวต่างมารดา พลางคิดในใจว่า ที่แท้ที่พี่อี้ชวนข้าออกมาด้วยก็เป็นแค่ข้ออ้างในการมาพบหน้าคู่หมั้นกระมัง
“เอากับข้าวขึ้นชื่อมาสักเจ็ดแปดอย่าง เหล้าหวานสักกาเถอะ” หนานกงเยี่ยนสั่งเสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวเอ้อร์รับคำ “ขอรับๆ”
แล้วเขาก็เดินออกไป ทำให้ภายในห้องเกิดความเงียบขึ้นมาครู่หนึ่ง หว่านหรูอี้มองคู่หมั้นของตนเอง ใบหน้าของบุรุษผู้นี้จัดว่ารูปงามเหมาะสมกับนางมากจริงๆ แต่ว่าเขามีความลับที่ปกปิดเอาไว้ แล้วนางก็บังเอิญรู้ความลับนั้นของเขา นางจึงไม่อยากตกแต่งกับเขาขึ้นมา ดังนั้นนางจึงได้วางแผนมาเจอเขา ‘โดยบังเอิญ’ ในวันนี้
“ข้าไม่รู้ว่าแม่นางชอบกินอะไรบ้าง แต่ว่าอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ล้วนอร่อยทุกอย่าง หวังว่าแม่นางทั้งสองจะถูกปากนะ” หนานกงเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ หว่านหรูอี้รีบพยักหน้า “ย่อมถูกปากเจ้าค่ะ อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ล้วนเลิศรส ถือว่าเป็นบุญปากของข้าแล้วเจ้าค่ะ”
นางพูดแล้วหันไปมองหว่านหรงแวบหนึ่งจากนั้นก็หันกลับไปพูดว่า “แต่ว่าหว่านหรงไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกบ่อยนัก หากนางทำอะไรไม่ค่อยท่าขอนายท่านหนานกงโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ” หนานกงเยี่ยนบอก เขามองหว่านหรงแวบหนึ่ง ในเมื่อเขาหมั้นกับพี่สาวของนางแล้ว เขาก็ไม่ควรมองนางมากเกินไป
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หว่านหรูอี้ยิ้มแย้ม พลัน! เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก็อกๆ
“น้ำชาขอรับ” เสียงเสี่ยวเอ้อร์ร้องบอกหน้าประตู หนานกงเยี่ยนตอบ “เข้ามา”
เสี่ยวเอ้อร์จึงผลักประตูเข้าไป วางน้ำชาบนโต๊ะ เขากำลังจะรินชา หว่านหรูอี้รีบบอก “เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวข้ารินชาเอง”
“อ่อ ขอรับๆ” เสี่ยวเอ้อร์มองนายท่านหนาน เห็นนายท่านหนานพยักหน้า เขาจึงถอยออกไป หว่านหรูอี้ลุกขึ้นยืน เลื่อนถาดน้ำชามาตรงหน้านาง แล้วจัดแจงรินชา ขณะที่รินชานางก็แอบใส่ผงยาบางอย่างลงไปในถ้วยชา 2 ถ้วย แน่นอนว่าทั้งสองถ้วยที่ใส่ยาลงไปนั้นย่อมเป็นของนายท่านหนานกงกับหว่านหรง หึๆๆๆ…
“น้ำชาเจ้าค่ะ” นางเลื่อนถ้วยชาไปตรงหน้าหนานกงเยี่ยน อีกถ้วยก็เลื่อนไปตรงหน้าหว่านหรง จากนั้นนางก็รินชาถ้วยที่ 3 ให้ตัวเอง
หนานกงเยี่ยนยกชาขึ้นจิบ น้ำชาร้อนๆ หอมกรุ่นทำให้รู้สึกสดชื่น หว่านหรงก็จิบชาเช่นกัน นางคิดว่ากินอาหารสักคำสองคำแล้วค่อยหาจังหวะขอตัวกลับดีกว่า นางไม่อยากอยู่เป็น ‘ก้างขวางคอ’ พี่สาวต่างมารดากับคู่หมั้นหรอกนะ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ก็อกๆ
“อาหารขอรับ” เสียงเสี่ยวเอ้อร์ร้องบอก หนานกงเยี่ยนจึงบอก “เข้ามา”
เสี่ยวเอ้อร์จึงผลักประตูเดินเข้าไป เขากับเสี่ยวเอ้อร์คนอื่นๆ เดินเรียงแถวเข้าไปวางอาหารบนโต๊ะแล้วก็เดินเรียงแถวออกไปอย่างเป็นระเบียบ หนานกงเยี่ยนหยิบตะเกียบขึ้นมาพลางผายมือ “เชิญแม่นางทั้งสอง”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรูอี้ตอบรับ หยิบตะเกียบขึ้นมา หนายกงเยี่ยนลงมือกินก่อนในฐานะเจ้าภาพ หว่านหรูอี้จึงคีบกับให้หว่านหรง ทั้งยังคะยั้นคะยอน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าต้องกินเยอะๆ หน่อยนะ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงตอบรับ หว่านหรูอี้ก็รินเหล้าให้หนานกงเยี่ยนกับหว่านหรง ขณะรินเหล้านางก็แอบใส่ผงยาลงไปในจอกเหล้าทั้งสองจอกอีกครั้ง “นายท่านหนานกงเจ้าคะ เหล้าเจ้าค่ะ”
“อืม” หนานกงเยี่ยนส่งเสียงคำหนึ่ง
“หว่านหรง ลองดื่มซิ เหล้าที่นี่รสหวานอร่อยนะ” หว่านหรูอี้ยกจอกเหล้าไปตั้งตรงหน้าหว่านหรง หนานกงเยี่ยนบอก “แม่นางลองดื่มเถอะ เหล้านี้ดื่มไม่เมาหรอก”
“ใช่ๆ เหล้านี้รสไม่ร้อนแรงมาก ข้ายังชอบมาดื่มบ่อยๆ เลย” หว่านหรูอี้บอกพลางยกจอกเหล้าของตนเองขึ้นจิบ หว่านหรงเห็นว่าที่พี่เขยมองมา นางจึงยกจอกเหล้าขึ้นจิบอึกหนึ่ง รสหวานอมเปรี้ยวไหลผ่านลิ้นลงไป มีกลิ่นหอมของผลไม้อ่อนๆ นี่เป็นเหล้าสำหรับสตรีรสชาติไม่ร้อนบาดคอ นางดื่มแล้วรู้สึกชอบจึงดื่มอีกอึกหนึ่ง หว่านหรูอี้มองอย่างพอใจ นางคีบกับกินข้าวด้วยท่าทีปกติ รอคอยให้ยาออกฤทธิ์ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนการของนางล่ะ หึๆๆๆ…
หนานกงเยี่ยนกินดื่มโดยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกวางยา หว่านหรงก็เช่นกัน นางไม่รู้เลยว่าพี่สาวต่างมารดาคิดผลักนางลง ‘บ่อโคลน’
จนกระทั่งกินๆ ดื่มๆ ไปสักพัก หว่านหรูอี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เอ่อ นายท่านหนาน ข้าขอตัวสักครู่เจ้าค่ะ”
“เชิญแม่นางเถอะ” หนานกงเยี่ยนบอก เขาคิดว่านางคงจะไป ‘เก็บดอกไม้’ กระมัง
หว่านหรูอี้ลุกออกไป พลางกระซิบบอกหว่านหรงว่า “รอก่อนนะ ข้าไปเก็บดอกไม้สักครู่เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงตอบรับ หว่านหรูอี้เดินออกไปจากห้อง นางปิดประตูห้องแล้วยิ้มมาดหมายอย่างอดไม่อยู่ แผนการของนางช่างง่ายดายยิ่งนัก รออีกไม่นาน นางก็ไม่ต้องแต่งเข้าตระกูลหนานกงแล้ว ‘บ่อโคลน’ บ่อนี้นางยกให้หว่านหรงอย่างเต็มอกเต็มใจเลยทีเดียว
หนานกงเยี่ยนกินดื่มต่อ สักพักเขาก็รู้สึกรุ่มร้อนแปลกๆ ขึ้นมา เขาจึงรินชาดื่มอึกๆ ดับความร้อนในร่าง หว่านหรงก็รู้สึกร้อนๆ เช่นกัน นางยกเหล้าขึ้นดื่มอึกๆ แต่ความร้อนรุ่มแปลกๆ กลับไม่คลายลงเลย นางพึมพำเบาๆ “ร้อนจัง”
นางจึงเอื้อมมือไปจับกาน้ำชา จังหวะนั้นหนานกงเยี่ยนก็ยื่นมือไปจับกาน้ำชาเช่นกัน ทำให้มือใหญ่วางทับบนมือเรียวเล็กโดยไม่ตั้งใจ หว่านหรงชะงักไป “เอ่อ…”
หนานกงเยี่ยนผละออก “ขออภัยด้วย”
หว่านหรงไม่พูดอะไร นางหยิบกาน้ำชามาแล้วรินน้ำชาให้หนานกงเยี่ยนก่อน จากนั้นก็รินให้ตัวเอง นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกๆ รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมตรงไรผม นางใช้มือโบกๆ ลมให้ตัวเอง หนานกงเยี่ยนก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมเช่นกัน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้ว เขารู้ตัวแล้วว่าตัวเองถูกวางยาปลุกกำหนัดเข้าให้แล้ว!
แต่ว่าใครเป็นคนวางยาเขา? แม่นางหว่านคนพี่หรือว่าแม่นางหว่านคนน้องกันแน่? แล้วจุดประสงค์ที่วางยาเขาเพื่ออะไร?
เขาหมั้นหมายกับแม่นางหว่านคนพี่แล้ว ดังนั้นจึงมองได้ 2 แง่ ข้อแรก หากว่าแม่นางหว่านคนน้องคิดแย่งคู่หมั้นพี่สาว ข้อนี้ก็อาจเป็นไปได้ที่นางคิดจะวางยาเขาเพื่อทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก!
แต่ดูจากท่าทีของนางแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ที่นางคิดจะแย่งคู่หมั้นของพี่สาวตนเอง ตอนแรกเขาเห็นนางมีท่าทีกระอักกระอ่วนด้วยซ้ำ นางคล้ายกับจะเอ่ยปากขอตัวกลับไปตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่นางเช่นนั้นก็เหลือแค่ข้อสองแล้ว นั่นคือแม่นางหว่านคนพี่คิดจะผลักน้องสาวให้เขา ไม่เช่นนั้น สาวใช้คนนั้นเหตุใดจนป่านนี้จึงยังไม่กลับมาอยู่ข้างกายเจ้านายอีก เป็นไปไม่ได้ที่สาวใช้จะปล่อยให้เจ้านายอยู่กับคู่หมั้นตามลำพัง
Chapter 2 (18+)แผนถอนหมั้น 2
สาวใช้ที่ดีต้องรักษาเกียรติของเจ้านาย ไม่ยอมปล่อยให้เจ้านายอยู่ตามลำพังกับคู่หมั้น แม้ว่าจะมีน้องสาวของเจ้านายอยู่ด้วยก็ตาม เพราะว่าหากเกิดเรื่องไม่งามขึ้นมา สองปากย่อมดีกว่าปากเดียวแน่นอน! แล้วอีกอย่าง นั่นก็คือแม่นางหว่านคู่หมั้นของเขากลับขอตัวออกไป ทิ้งน้องสาวของนางเอาไว้กับเขาตามลำพังเนี่ยนะ! หากว่านางคิดหวงเขาในฐานะที่เป็นคู่หมั้นก็ไม่ควรปล่อยเขาไว้กับน้องสาวของนางตามลำพังซิ!
เท่าที่เขาคิดเหตุผลของเรื่องนี้แล้ว ดูแล้วข้อสองนี้เป็นไปได้มากสุด สถานการณ์ในตอนนี้กำลังถูกจัดฉากขึ้นมา เขาจะยอมลุยน้ำโคลนหรือไม่?
เขาเห็นแม่นางหว่านคนน้องใช้มือกระพือลมให้ตนเอง ใบหน้านางแดงระเรื่อนิดๆ ดูก็รู้ว่านางถูกพิษยาปลุกกำหนัดเข้าให้แล้ว!
“เอ่อ…นายท่านหนานเจ้าคะ ข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ” หว่านหรงเอ่ยขึ้นมา นางรู้สึกร้อนจนอยากจะถอดอาภรณ์ออกซะเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว มันร้อนจนนางแทบจะทนไม่ไหวแล้ว!
นางบอกแล้วรีบลุกขึ้นทันที ก้าวเดินไปที่ประตู หนานกงเยี่ยนรีบลุกไปคว้าข้อมือนางเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนแม่นางหว่าน”
“อ่ะ!” หว่านหรงสะดุ้ง มองมือหนานกงเยี่ยนที่ถือวิสาสะจับข้อมือนางเอาไว้ หนานกงเยี่ยนใช้อีกมือคว้าเอวหว่านหรงดึงเข้าหาตัวทันที หว่านหรงสะดุ้งอีกครั้ง “อ่ะ!”
ท่าทีตกใจของนางไม่ได้เสแสร้ง หนานกงเยี่ยนดูออก เช่นนั้นสิ่งที่เขาคิดก็คือ ข้อสอง แน่นอน! หว่านหรูอี้ไม่อยากหมั้นกับเขา จึงได้วางแผนผลักน้องสาวเข้ามาแทนที่ เขาเองก็ไม่ขัดข้องอะไร จะคนพี่หรือคนน้องเขาก็ไม่เกี่ยง ขอแค่แต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของเขาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวก็พอ อีกทั้งดูๆ ไปแล้วหน้าตาของคนน้องก็งามกว่าคนพี่หลายเท่า เช่นนั้นเขาจึงคิดจะตามน้ำไป ปล่อยให้แผนการของหว่านหรูอี้สำเร็จอย่างที่นางหวังก็แล้วกัน หึๆๆๆ…
เขาดึงหว่านหรงเข้ามากอด จับท้ายทอยนางตรึงเอาไว้ ให้นางเงยหน้าขึ้น เขาก้มลงไปบดจูบริมฝีปากสีแดงระเรื่อเย้ายวนราวดอกไม้แรกแย้ม หว่านหรงตกใจเบิกตาโต “อื้อ!”
นางส่งเสียงร้องแต่ว่าเสียงของนางก็หลุดออกมาเล็กน้อยเท่านั้น นางยันอกหนานกงเยี่ยนขัดขืน แต่ว่าความร้อนรุ่มในตัวนางคล้ายกับจะทุเลาลงเมื่อถูกจูบเช่นนี้ นางจึงเผลอไผลปล่อยให้เขาจูบตักตวงความหอมหวาน หนานกงเยี่ยนเลื่อนมือจากท้ายทอยลงไปลูบไล้แผ่นหลังเล็กบอบบางที่ตัวสั่นๆ ราวลูกนกต้องลมหนาว หว่านหรงรู้สึกถึงฝ่ามือที่ลูบหลังผ่านอาภรณ์ 3 ชั้น สัมผัสนั้นคล้ายเลือนๆ รางๆ แต่ว่ามันกลับช่วยคลายความรู้สึกร้อนรุ่มในตัวนางลงไปได้บ้าง นางจึงไม่ดิ้นขัดขืน
หนานกงเยี่ยนอุ้มนางขึ้นมาเหมือนอุ้มเด็ก ก้นนางวางอยู่บนท่อนแขนของเขา เขาก้าวไปที่เตียงในห้อง ซึ่งเตียงนี้มีไว้ให้ลูกค้าใช้พักผ่อนนอนหลับ หากว่าลูกค้าดื่มจนเมากลับไม่ไหวก็นอนที่นี่เลยก็ได้ เขาวางนางลงบนเตียงทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังจูบกันอยู่ เขาดันนางนอนลงบนเตียง มือแหวกสาบเสื้อล้วงเข้าไปเค้นคลึงเต้าอวบเต่งตึงขนาดกำลังพอดีมือ
เดาว่าหากนางเติบโตมากกว่านี้สองเต้านี้คงอวบใหญ่มากกว่านี้แน่นอน นางช่างเป็นดอกไม้แรกแย้มที่คู่ควรให้เขารังแกจริงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ใดๆ เอาไว้ ลงมือรังแกนางอย่างเต็มอกเต็มใจ หว่านหรงรู้สึกเสียวสยิวจนบิดตัวไปมา มือข้างนั้นกำลังเค้นคลึงดอกบัวตูมของนาง ทำให้นางรู้สึกเสียวสยิวเป็นครั้งแรกในชีวิต นางบิดตัวไปมา คล้ายกับจะหลบหนีจากมือข้างนั้น และคล้ายกับจะแอ่นสู้มือข้างนั้นเช่นกัน หนานกงเยี่ยนถอนปากออก เลื่อนริมฝีปากเล็มไปตามแนวคางเรียว หว่านหรงเผลอคราง “อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนดูดที่ลำคอนางจนเป็นรอยแดงรอยหนึ่ง เขาต้องการประทับตราเอาไว้บนตัวนาง คล้ายกับจะตีตราความเป็นเจ้าของอย่างไรอย่างนั้น หว่านหรงเสียวสยิวจนขนลุกชัน นางบิดอกไปมา หนานกงเยี่ยนแหวกสาบเสื้อจนบัวตูมออกมารับลมข้างหนึ่ง
ยอดบัวเป็นป้านสีชมพูสวยงาม มีรอยแดงระเรื่อจากการถูกบีบคลึงเล็กน้อย เขาก้มลงดูดยอดบัวดอกนั้น หว่านหรงเผลอคราง “อื้อ…อย่า…”
หนานกงเยี่ยนดูดดุนยอดบัวงามอย่างเอร็ดอร่อย หว่านหรงเสียวสยิวจนเผลอคราง “อื้อ…”
นางจับศีรษะเขาอยากจะผลักออก แต่ความรู้สึกเสียวสยิวประหลาดนั้นทำให้นางไม่อาจผลักเขาออกไปได้ ตัวนางกลับบิดแอ่นไปแอ่นมาคล้ายกับจะป้อนยอดอกเข้าปากเขาให้มากขึ้น
หว่านหรูอี้แอบมองอยู่ที่ประตู นางเห็นหนานกงเยี่ยนกำลังลวนลามน้องสาวต่างมารดาก็รู้สึกสมใจยิ่งนัก รอแค่ให้ท่านพ่อมาเห็นภาพนี้ นางก็ไม่ต้องแต่งเข้าตระกูลหนานกงแล้ว! ฮี่ๆๆๆ…
ขณะที่มองดูอยู่นั้น นางรู้สึกหายใจแรงขึ้น คล้ายกับอยากจะถูกกระทำเช่นนั้นบ้าง ดอกไม้กลางตัวชื้นฉ่ำขึ้นมา นางไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา นางเคยแอบดูท่านพ่อทำเรื่องในม่านมุ้งกับท่านแม่ ภาพที่ท่านพ่อเคลื่อนไหวอยู่บนตัวท่านแม่ทำให้สาวน้อยอย่างนางรู้สึกอยากรู้อยากเห็น นางจึงลูบคลำร่างกายตัวเองไปมา แต่ว่านางลูบเองก็ไม่รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ นางจึงให้ถางซือลองลูบคลำตัวนางเหมือนอย่างที่ท่านพ่อทำกับท่านแม่ นั่นทำให้นางรู้สึกถึงความรู้สึกเสียวเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากนั้นถางซือจึงมีหน้าที่ช่วยคลายกำหนัดให้นางจนกว่านางจะพอใจ
นางแอบดู อยากจะเอามือล้วงไปใต้กระโปรงยิ่งนัก แต่ว่านางก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ จึงทำให้นางรู้สึกหน่วงๆ คันยุบยิบๆ ตรงดอกไม้กลางตัวเหลือเกิน!
นางมองไปที่ชั้นล่าง รออย่างร้อนใจว่าเมื่อไหร่ท่านพ่อจะมาสักที นางจะได้จบๆ เรื่องนี้แล้วรีบกลับจวนไปให้ถางซือช่วยคลายกำหนัดให้
ภายในห้องหนานกงเยี่ยนก็กำลังรังแกหว่านหรงอย่างไม่รู้สึกผิดสักนิด เขาดูดดุนยอดบัวอย่างเอร็ดอร่อย รอคอยให้ ‘ใคร’ เข้ามาเห็นภาพฉากนี้อย่างใจเย็น เขารู้สึกว่ามีคนยืนแอบมองอยู่หน้าประตู คนๆ นั้นต้องเป็นหว่านหรูอี้แน่นอน ในเมื่อนางวางแผนนี้เอาไว้ นางไม่อยากเป็นคู่หมั้นของเขา เช่นนั้นเขาก็ตามน้ำไปกับนางก็แล้วกัน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สูญเสียอะไร ซ้ำยังจะได้ฮูหยินที่งามกว่าหว่านหรูอี้เสียอีก เขาจึงยอมตกกระไดพลอยโจนไปกับแผนการในครั้งนี้ของหว่านหรูอี้เสียเลย หึๆๆๆ…
หว่านหรงรู้สึกผิดอยู่ในใจ นางพยายามผลักหนานกงเยี่ยนออกไป แต่ว่ามือนางไม่มีแรงเอาซะเลย อีกทั้งความร้อนรุ่มในกายก็ดูเหมือนจะปะทุขึ้นเรื่อยๆ นางบิดตัวไปบิดตัวมาอย่างทรมาน กัดริมฝีปากกลั้นเสียงครางจนริมฝีปากล่างขาวไปหมด หนานกงเยี่ยนเหลือบมองเห็นท่าทางนางเช่นนั้น เขาจึงเลื่อนมือล้วงเข้าไปในกระโปรงผ้าหยาบๆ ของนาง หว่านหรงสะดุ้งเฮือก “อ่ะ!”
นางได้สติขึ้นมา ร้องห้ามเสียงเบา “อย่า…”
หนานกงเยี่ยนเลื่อนตัวไปกระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าถูกวางยาปลุกกำหนัด เจ้าต้องคลายกำหนัด หาไม่แล้วเจ้าจะทรมานไปเรื่อยๆ จนตาย”
“ถูกวางยา!” หว่านหรงตกใจ นางหันไปมองเขา “เจ้าวางยาข้ารึ!?”
“ไม่ใช่ข้า ข้าก็ถูกวางยาเช่นกัน คนที่วางยาเจ้ากับข้าน่าจะเป็นพี่สาวเจ้ากระมัง เจ้าก็ยอมตามน้ำไปกับข้าเถอะ แล้วข้าจะแต่งเจ้าเข้าตระกูลมาเป็นฮูหยินของข้า” หนานกงเยี่ยนบอก หว่านหรงตกตะลึงไป นางคิดไม่ถึงว่าพี่สาวต่างมารดาจะทำเช่นนี้กับนางได้ลงคอ! นางเคยไปทำอะไรให้หว่านหรูอี้โกรธเคืองงั้นรึ!? อีกฝ่ายถึงได้ทำกับนางเช่นนี้!
ในระหว่างที่หว่านหรงตกตะลึงอยู่นั้น หนานกงเยี่ยนก็บีบคลึงกลีบดอกไม้นุ่มนิ่มแล้ว หว่านหรงสะดุ้ง “อย่า!”
นางมองหนานกงเยี่ยนอย่างขอร้อง “อย่า ได้โปรด อย่าทำกับข้าเช่นนี้…”
“แม่นาง ข้ารับปากเจ้าแล้วว่าจะแต่งเจ้าเข้าตระกูล คำพูดข้าศักดิ์สิทธิ์เหมือนวาจาของฮ่องเต้ ข้าไม่เคยผิดคำพูดตัวเอง เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เอาเปรียบเจ้าฝ่ายเดียวหรอก แต่งเข้าตระกูลข้า เจ้าจะกลายเป็นนายหญิงที่มั่งมีจนใครๆ อิจฉาเชียวล่ะ” หนานกงเยี่ยนกล่อมลูกกวางน้อยใต้ร่างตัวเอง มือก็บีบๆ คลึงๆ กลีบดอกไม้นุ่มนิ่มไปด้วย หว่านหรงอยากจะขัดขืน อยากจะผลักไสเขาออกไป แต่ว่านางไม่มีแรงเอาซะเลย ซ้ำความรู้สึกบางอย่างมันก็รบกวนจนนางไม่ค่อยมีสติ ร่างกายมันร้อน มันรู้สึกคันยุบยิบไปหมดทั้งตัว มือเขาคล้ายกับยาที่ช่วยบรรเทาอาการร้อนๆ คันๆ อย่างไรอย่างนั้น ทำนางปฏิเสธเขาไม่ออกขึ้นมา อีกทั้งฤทธิ์ยาทำให้นางเริ่มไร้สติอีกครั้ง “อือ…”
หนานกงเยี่ยนบีบคลึงกลีบดอกไม้นุ่มนิ่มไปเรื่อยๆ นิ้วแทรกเข้าไปในรอยแยก บดบี้เกสรที่แข็งชูชัน ทำให้หว่านหรงครางออกมา “อา…”
หนานกงเยี่ยนจึงประกบปากกับริมฝีปากจิ้มลิ้มหวานล้ำอีกครั้ง ปิดปากของนางเอาไว้ ไม่ให้นางส่งเสียงครางจนเป็นที่อับอายขายหน้า เขาค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปในรูคับแคบ หว่านหรงสะดุ้ง “อื้อ!”
นางอยากผลักเขาออกไป อีกใจก็ไม่อยาก ความรู้สึกสองด้านต้านทานกันอยู่ในใจนาง แต่ว่านิ้วเขาเหมือนยาที่ช่วยบรรเทาอาการคัน ขณะที่นิ้วเขาค่อยๆ แทรกเข้าไปนั้นนางรู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง เกิดความเสียวที่บรรยายไม่ถูกขึ้นมาแทนที่อาการคันๆ ร้อนๆ
หว่านหรูอี้มองไม่เห็นว่าหนานกงเยี่ยนกำลังทำอะไรกับหว่านหรงเพราะตัวหนานกงเยี่ยนบังร่างหว่านหรงเอาไว้ นางเห็นแต่สีหน้าของหว่านหรงที่คล้ายกับกำลังพึงพอใจ ทำให้นางจินตนาการอยู่ในหัวถึงท่วงท่าแบบนั้น มันทำให้ตรงกลางกายของนางรู้สึกคันยุบยิบเหมือนถูกยาปลุกกำหนัดเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหนูเจ้าคะ” ถางซือกระซิบข้างหู ทำให้หว่านหรูอี้สะดุ้งโหยง! ร้องออกมา “อ๊า…”
แต่ดีว่าถางซือปิดปากคุณหนูของนางได้ทันทำให้เสียงร้องดังอึกๆ ถางซือรีบกระซิบบอก “คุณหนูเจ้าคะ ข้าเองเจ้าค่ะ”
หว่านหรูอี้เหลือบมองสาวใช้คนสนิท ถางซือรีบกระซิบบอก “นายท่านมาแล้วเจ้าค่ะ”
หว่านหรูอี้พยักหน้า ถางซือเอามือออก หว่านหรูอี้รีบทำท่าอึกๆ อักๆ อยู่หน้าประตูทันที ขณะเดียวกันหว่านกัวฉายก็กำลังเดินขึ้นบันไดไป เขาเห็นลูกสาวคนโตกำลังยืนอยู่หน้าห้องๆ หนึ่ง สีหน้าไม่สู้ดีเอาเสียเลย เขาจึงเดินไปหาหว่านหรูอี้พลางถาม “มีเรื่องอะไรรึ?”
“ท่านพ่อ!” หว่านหรูอี้แสร้งทำท่าตกใจ นางยิ่งทำท่าทางอึกๆ อักๆ คล้ายกับกำลังซ่อนความผิดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น หว่านกัวฉายรู้สึกว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ถางซือไปเชิญเขามาที่โรงเตี้ยมนี้บอกว่าหว่านหรงเกิดเรื่อง เขาก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร รู้แต่ว่าถางซือท่าทางร้อนรนกระวนกระวายพิกล เหมือนว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีไม่งาม นังเด็กนั่นก็ไม่ยอมบอกเขาให้ชัดแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เอาแต่อึกๆ อักๆ ไม่กล้าพูด บอกแต่ว่า ‘นายท่านรีบไปเถิดเจ้าค่ะ’ เขาถึงได้รีบมาอย่างที่เห็น
ภายในห้อง หนานกงเยี่ยนได้ยินเสียงหน้าห้อง เขาจึงเร่งมือคลายกำหนัดให้หว่านหรง นิ้วแทงเข้าแทงออกในรูคับแคบอ่อนนุ่มที่ชุ่มไปด้วยน้ำจนได้ยินเสียงดังแจ๊ะๆ เบาๆ จนกระทั่งหว่านหรงตัวเกร็งกระตุก ส่งเสียงหลุดรอดออกมา “อ้าาาาา…”
หว่านกัวฉายได้ยินเสียงครางก็หูผึ่งทันที เสียงเช่นนั้นไม่ต้องให้ใครบอกเขาก็รู้ดีว่าเกิดจากอะไร หว่านหรูอี้อยู่หน้าห้อง เช่นนั้นคนที่อยู่ในห้องคงเป็นหว่านหรง!
เขาผลักบานประตูเข้าไปทันที เห็นเงาคนอยู่ที่เตียง เขามองคนๆ นั้น “นั่นใคร!?”
หว่านหรูอี้รีบก้าวตามหลังท่านพ่อไป นางเข้าไปในห้องแล้วแกล้งทำท่าตกใจ “อ๊า!”
หนานกงเยี่ยนดึงมือออกมาจากใต้กระโปรงของหว่านหรง เขาหันไปมองว่าที่พ่อตาด้วยสายตานิ่งเรียบ หว่านกัวฉายเห็นใบหน้าของคนๆ นั้น แล้วยังเห็นลูกสาวคนรองนอนอยู่บนเตียงกับชายคนนั้น ทำเขาตกตะลึงไป “เจ้า!”
หนานกงเยี่ยนดึงผ้าห่มมาปิดร่างหว่านหรงเอาไว้ แล้วลุกจากเตียงไปเผชิญหน้ากับว่าที่พ่อตาอย่างใจเย็นมาก เขากุมมือคารวะทีหนึ่งตามมารยาท “ท่านหว่านกัวฉาย”
“จะ…เจ้า…เจ้าทำอะไรลูกข้า!?” หว่านกัวฉายถามปากสั่นๆ นิ้วชี้ไปอย่างสั่นเทาไม่รู้ว่าสั่นเพราะตกใจหรือว่าโกรธกันแน่ หรือว่าอาจจะทั้งสองอย่างเลยกระมัง
“นายท่านหนานกง นี่ท่าน!” หว่านหรูอี้แกล้งทำท่าตกใจ แล้วนางรีบยกมือปิดปากเอาไว้ ทำเหมือนว่ากำลังเจอเรื่องไม่คาดฝันสุดชีวิตอย่างไรอย่างนั้น หนานกงเยี่ยนมองท่าทีของหว่านหรูอี้ที่แกล้งเล่นงิ้วฉากหนึ่งต่อหน้าต่อตาเขาอย่างสมบทบาทยิ่ง
ขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในอิริยาบถต่างๆ กันนั้น หว่านหรงที่เพิ่งจะสุขสมเป็นครั้งแรกในชีวิตก็สิ้นสติไปเพราะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด นางหลับไปอย่างไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งการที่นางหลับไปแล้วนั้นหนานกงเยี่ยนเห็นว่าดีแล้ว เขาเหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วมองหว่านกัวฉาย เอ่ยปากว่า “ก็อย่างที่ท่านเห็น ข้ากับแม่นางหว่านหรง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ไม้กลายเป็นเรือแล้ว ดังนั้นเรื่องหมั้นหมายกับแม่นางหว่านหรูอี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เรื่องของหมั้นท่านไม่ต้องห่วงว่าข้าจะทวงคืน ถือเสียว่าเป็นค่าปลอบใจแม่นางหว่านหรูอี้เถอะ ส่วนแม่นางหว่านหรง ข้าจะรีบจัดพิธีแต่งงานกับนางให้เร็วที่สุด”
หว่านกัวฉายฟังแล้วอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก หนานกงเยี่ยนแม้ว่าจะอายุอ่อนกว่าเขาเป็นเด็กคราวลูก แต่ว่าตระกูลหนานกงก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ไร้อำนาจที่เขาจะต่อกรด้วยได้เลย อีกทั้งเรื่องหมั้นหมายก็ยังไม่ทันประกาศออกไป ผู้คนรู้กันแต่ว่าตระกูลหนานกงส่งของหมั้นมาขอหมั้นบุตรสาวตระกูลหว่านเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะคนพี่หรือคนน้องก็ยังไม่ถือว่าหว่านหรูอี้เสียชื่อเสียง อีกทั้งข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว หากว่าไม่แต่งหว่านหรงออกไป เกรงว่าท้องขึ้นมาจะยิ่งงามหน้ามากกว่านี้เสียอีก
ขณะที่หว่านกัวฉายกำลังคิดอยู่นั้น หนานกงเยี่ยนก็หันไปอุ้มหว่านหรงขึ้นมา นางถือว่าเป็นคนของเขาแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะพานางกลับบ้านล่ะ อีกอย่างถ้าปล่อยให้นางกลับไปกับหว่านกัวฉายก็ไม่รู้ว่าหว่านกัวฉายจะโมโหโกรธเคืองจนลงไม้ลงมือกับว่าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่ เช่นนั้นเขาพานางกลับบ้านเขาไปด้วยกันดีกว่า นางอยู่บ้านของเขาย่อมปลอดภัยแน่นอน!
เขาอุ้มนางขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ดีดเท้าทะยานตัวออกไปทางหน้าต่าง กระโจนไปบนหลังคาร้านค้าติดๆ กันราวกับนกโผบิน ภาพนั้นทำให้หว่านกัวฉายตกตะลึงจนปากอ้าค้างคางแทบจะติดพื้นแล้ว! ตาเขากะพริบปริบๆ มองดูว่าที่ลูกเขยอุ้มลูกสาวคนรองของเขาไปอย่างหน้าตาเฉยเช่นนั้น
หว่านหรูอี้ก็ตกใจเช่นกัน นางตกตะลึงจนพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าการหมั้นหมายของนางกับหนานกงเยี่ยนจะถูกยกเลิกไปง่ายๆ เช่นนี้น่ะรึ!
ทำนางรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนไร้ค่าที่คู่หมั้นไม่ต้องการอย่างไรอย่างนั้น! นี่มัน!…นี่มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร!? ควรเป็นนางซิที่ต้องพูดจาตัดสัมพันธ์กับหนานกงเยี่ยน!
“เอ่อ…” ถางซือกะพริบตาปริบๆ มองดูหนานกงเยี่ยนที่ห่างไปไกลลิบจนมองแทบไม่เห็นแล้ว นางหันไปสะกิดๆ คุณหนูของนาง “คะ…คุณหนู…”
หว่านหรูอี้หันไปมองสาวใช้ หว่านกัวฉายหันไปมองลูกสาวคนโตกับสาวใช้ เขากระแอมไอสองที “แค่กๆ”
แล้วถลึงตาจ้องถางซือ เอ่ยน้ำเสียงดุๆ ว่า “เรื่องในวันนี้เจ้าจงปิดปากให้เงียบเชียว หากเจ้ากล้าพูดออกไปแม้แต่ครึ่งคำ ข้าจะตัดลิ้นเจ้าแล้วขายให้หอคณิกาไปซะ!”
ถางซือถูกจ้องจนรู้สึกกลัว นางรีบพยักหน้าหงึกๆ เหมือนไก่จิกข้าว หว่านกัวฉายคว้ามือหว่านหรูอี้เดินออกไปด้วยกัน หว่านหรูอี้เดินตามท่านพ่อไปอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว การหมั้นหมายของนางกับหนานกงเยี่ยนจบลงง่ายๆ อย่างนี้เลยเรอะ!?
หว่านกัวฉายพาลูกสาวคนโตกลับจวนไป เขานั่งเงียบอยู่ในรถม้าไปตลอดทาง หว่านหรูอี้ก็นั่งเงียบไปตลอดทางเช่นกัน ถางซือซึ่งนั่งอยู่กับสารถีก็นั่งเงียบไปเหมือนกัน นางไม่กล้าพูดเรื่องราวออกไปเพราะกลัวว่าจะหลุดปากพูดเรื่องแผนการของคุณหนูของนางออกไป หากว่านางหลุดปากออกไปล่ะก็…นางได้ถูกคุณหนูหาเรื่องให้มีความผิดแล้วคงถูกตัดลิ้นขายออกไปแน่นอน
จนกระทั่งใกล้จะถึงจวน หว่านกัวฉายก็เอ่ยปากว่า “เรื่องในวันนี้เจ้าไม่ต้องเสียใจไป เจ้าถูกแย่งคู่หมั้นไปแล้วก็คิดเสียว่าไร้วาสนากับหนานกงเยี่ยนคนนั้นเถอะนะ”
หว่านหรูอี้อยากจะพูดยิ่งนักว่า ‘ข้าเสียใจที่ไหนกัน ข้าดีใจเสียด้วยซ้ำที่ไม่ต้องแต่งกับหนานกงเยี่ยน! ฮ่าๆๆๆ…’
แต่นางก็พูดออกไปไม่ได้ นางจึงได้แต่นิ่งเงียบ แกล้งทำหน้าตาเศร้าๆ หว่านกังฉายลูบๆ หัวลูกคนโตปลอบใจสองสามทีแล้วหดมือกลับไป
จนกระทั่งรถม้าหยุดลง สารถีร้องบอก “ถึงเรือนแล้วขอรับ”
หว่านกัวฉายจึงลงจากรถม้า เขาเดินเข้าเรือนไป หว่านหรูอี้ก็ลงจากรถม้า นางรีบเดินกลับเรือนของนางไป ถางซือรีบตามเจ้านายไป
เมื่อไปถึงเรือน หว่านหรูอี้ก็สั่ง “เตรียมน้ำร้อน ข้าจะอาบน้ำ”
“เจ้าค่ะ” ถางซือรับคำแล้วรีบสั่งสาวใช้คนอื่นอีกทอดหนึ่ง หว่านหรูอี้เดินไปนั่งรอน้ำร้อนในเรือน ถางซือตามไปรินชาให้คุณหนูของนาง “น้ำชาเจ้าค่ะ”
“เจ้าทำดีมาก ท่านพ่อสงสัยอะไรหรือไม่?” หว่านหรูอี้ถาม ถางซือส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ ข้าพูดตามที่คุณหนูสั่งทุกอย่าง นายท่านไม่สงสัยอะไรเลยเจ้าค่ะ รีบตามข้าไปทันทีเจ้าค่ะ”
“ดี” หว่านหรูอี้ชมพลางยิ้ม นางพูดเสียงเบาว่า “ข้าไม่ต้องแต่งกับหนานกงเยี่ยนแล้ว ดีจริงๆ ดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆ…”
“คุณหนูเบาเสียงหน่อยเจ้าค่ะ” ถางซือเตือน หว่านหรูอี้จึงลดเสียงหัวเราะลง
“คุณหนูเจ้าคะ น้ำร้อนเต็มอ่างแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เดินเข้าไปรายงาน หว่านหรูอี้จึงโบกมือไล่ “เจ้าจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ไม่ต้องเข้ามาจนกว่าข้าจะเรียก”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำแล้วถอยออกไป หว่านหรูอี้สั่ง “ปิดประตูซิ”
ถางซือเดินไปปิดประตูขัดกลอน หว่านหรูอี้ลุกขึ้นยืน ถางซือช่วยถอดอาภรณ์ออก หว่านหรูอี้เหลือแต่ตัวเปลือยเปล่า นางเดินไปทางห้องด้านหลัง ก้าวลงอ่างน้ำอุ่นๆ แล้วสั่งว่า “มาช่วยข้าที”
“เจ้าค่ะ” ถางซือก้าวไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างอ่าง ยื่นสองมือลงไปในอ่างลูบคลึงทรวงอกอูมของคุณหนู หว่านหรูอี้ครางเบาๆ “อือ…”
นางแอ่นอกสู้มือถางซืออย่างกระสันอยาก สั่งว่า “แรงอีกหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ถางซือจึงบีบคลึงแรงขึ้นอีกนิด ใช้ปลายนิ้วคลึงยอดอกทั้งสองข้างไปมา ปากก็ชมว่า “ของคุณหนูสวยยิ่งนัก หากใครได้เป็นสามีคุณหนู คงไม่ยอมออกจากห้องหอง่ายๆ แน่เจ้าค่ะ”
“อื้อ…รีบถูตัวให้ข้าเถอะ ข้าทนไม่ไหวแล้ว” หว่านหรูอี้สั่ง ถางซือรับคำ “เจ้าค่ะ”
นางจึงผละจากทรวงอกอูมดั่งเด็กสาวอายุ 12 ของคุณหนู แล้วหยิบผ้ามาขัดเนื้อขัดตัวให้คุณหนู จนขัดทั่วตัวแล้วหว่านหรูอี้ก็ลุกขึ้น ก้าวออกจากอ่าง ถางซือรีบหยิบผ้ามาเช็ดตัวให้คุณหนูทันที หลังจากเช็ดตัวแห้งแล้วหว่านหรูอี้ก็เดินตัวเปลือยเปล่าไปนอนบนเตียง ถางซือรีบตามไปขึ้นคร่อมบนตัวคุณหนู ก้มลงไปดูดยอดอกสีน้ำตาลดูดเลียไปมา หว่านหรูอี้ครางเบาๆ “อา…”
Chapter 3 (18+)ส่งของหมั้นอีกครั้ง
ถางซือดูดยอดอกข้างหนึ่ง อีกข้างก็ใช้มือลูบคลึงไปมา อีกมือก็วางบนเนินหญ้าดำขลับ บีบคลึงกลีบดอกไม้เบาๆ หว่านหรูอี้อ้าขาออกพลางสั่ง “ใส่นิ้วเข้าไปเร็ว ข้าทนไม่ไหวแล้ว”
ถางซือจึงสอดนิ้วเข้าไปในรูเล็กแทงเข้าๆ ออกๆ หว่านหรูอี้แอ่นสะโพกสู้นิ้วสีหน้าเหยเกอย่างพึงพอใจ “อื้อ…เร็วอีก”
ถางซือจึงยิ่งแทงนิ้วเร็วขึ้นจนเกิดเสียงดังแจ๊ะๆ หว่านหรูอี้ตัวเกร็งสั่นระริกๆ “อื้อ…เร็วอีก ใกล้แล้ว”
ถางซือยิ่งแทงนิ้วรัวๆ เสียงดังแจ๊ะๆ พลางดูดยอดอกอย่างแรง จนกระทั่งหว่านหรูอี้ตัวเกร็งกระตุก “อ้าาาาา…”
นางสุขสมถึงสวรรค์ รู้สึกตัวเบาลอยละล่อง นอนหอบหายใจถี่กระชั้น ถางซือดึงนิ้วออกมา นางผละจากยอดอกลงไปที่เนินหญ้าดำขลับ แหวกกลีบดอกไม้ออกแล้วเลียกินน้ำหวานทำความสะอาดให้คุณหนู หว่านหรูอี้เสียวจนตัวเกร็ง นางยิ่งอ้าขากว้างขึ้น “อ้า ดูดแรงๆ”
ถางซือจึงดูดเกสรกลางดอกไม้จนเสียงดังจ๊วบๆ นางดูดเกสรจนแทบจะขาดติดปากได้ คุณหนูชอบให้นางดูดแรงๆ นางก็สนองให้อย่างถึงพริกถึงขิง หว่านหรูอี้เสียวจนแทบอยากจะร้องครางดังๆ แต่นางก็รีบเอาผ้ามาอุดปากเอาไว้ กลั้นเสียงไม่ให้ดังลอดออกไป เสียงจึงเหลือเพียงเสียงอือๆ เหมือนนกกลางคืนร้อง
ถางซือดูดๆ เลียๆ อยู่พักหนึ่ง นางก็แทงนิ้วใส่รูเล็กจนหว่านหรูอี้ตัวเกร็ง เสียวกระสันจนหูอื้อตาลาย “อื้อ…”
นางอยากลองถูกแท่งเนื้อของบุรุษกระแทกรู แต่ว่านางก็ยังทำเช่นนั้นไม่ได้ หากว่านางแต่งงานไปแล้วสามีพบว่านางไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ สามีย่อมทอดทิ้งนางแน่นอน นางจะปล่อยให้ตัณหาครอบงำจนถึงขั้นนั้นไม่ได้เด็ดขาด พรหมจรรย์ของนางยังต้องเก็บไว้ให้สามีเป็นผู้ทะลวง นางในยามนี้ทำได้แค่ให้ถางซือช่วยคลายกำหนัดเช่นนี้ไปก่อน แต่แค่ลิ้นกับนิ้วก็ทำนางสุขสมถึงสวรรค์นับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นนางจึงโปรดปรานถางซือเป็นพิเศษ มีของกินดีๆ ก็แบ่งให้เสมอ บางคราวก็ให้เบี้ยเป็นรางวัล ถางซือจึงไม่รังเกียจที่ต้องใช้ลิ้นใช้นิ้วช่วยสร้างความสุขให้คุณหนูของนาง ยิ่งคุณหนูมีความสุขมากเท่าไหร่ รางวัลที่นางได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ความเป็นอยู่ของนางก็ดีกว่าสาวใช้คนอื่นๆ มากนัก นางได้นอนอุ่นเตียงให้คุณหนูทุกค่ำคืน ใช้นิ้วใช้ปากช่วยสร้างความสุขให้คุณหนูทุกคืน
เกสรถูกดูด รูถูกแทงเข้าๆ ออกๆ ทำให้หว่านหรูอี้เสียวจนสุขสมอีกครา “อ้าาาาา…”
นางเกร็งกระตุก ดันศีรษะของถางซือออก “พอแล้ว”
ถางซือจึงผละจากเนินหญ้าดำขลับ ดึงนิ้วออกมา น้ำหวานยืดติดนิ้วออกมาเป็นสาย นางยกนิ้วขึ้นเลียกินอย่างเอร็ดอร่อยลิ้น หว่านหรูอี้ปรือตาลง พลางสั่ง “ข้าจะนอนสักพัก”
“เจ้าค่ะ” ถางซือรับคำ นางลุกไปหยิบเสื้อกับกางเกงตัวในมาสวมให้คุณหนูของนาง หว่านหรูอี้สวมอาภรณ์ตัวในอย่างสะลืมสะลือ นางหลับไปแทบจะทันทีที่ถางซือสวมอาภรณ์ตัวในให้นางเสร็จแล้ว ถางซือลุกออกจากเตียงไปนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ใช้พัดโบกๆ ลมให้คุณหนูเบาๆ
ณ บ้านตระกูลหนานกง หนานกงเยี่ยนอุ้มว่าที่ฮูหยินของเขาที่ยังหลับใหลไม่ตื่นเข้าห้องนอนไป บ่าวในเรือนมองอย่างแตกตื่นตกใจ จู่ๆ นายท่านก็อุ้มสตรีกลับมางั้นรึ!?
นางเป็นใคร!? พวกบ่าวล้วนอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อถูกเจ๋อหมิงบ่าวคนสนิทของนายท่านถลึงตามอง พวกบ่าวก็รีบหลุบตาลงแล้วรีบแยกย้ายกันไปทำงานทันที เจ๋อหมิงเดินเข้าไปในห้องนอน เขายืนกุมมืออยู่เงียบๆ หนานกงเยี่ยนวางว่าที่ฮูหยินลงบนเตียงแล้วหันไปบอกเจ๋อหมิงว่า “นางคือว่าที่ฮูหยินของข้า”
“ไม่ใช่แม่นางหว่านหรูอี้นี่ขอรับ” เจ๋อหมิงเอ่ยคล้ายถาม หนานกงเยี่ยนจึงบอก “ข้าเปลี่ยนตัวคู่หมั้นแล้วน่ะ ข้าถอนหมั้นกับแม่นางหว่านหรูอี้แล้ว แล้วก็กำลังจะให้เจ้าเอาของหมั้นไปมอบให้หว่านกัวฉาย อ่อ นางเป็นน้องสาวของหว่านหรูอี้น่ะ ชื่อหว่านหรง ในเมื่อหว่านหรูอี้วางแผนผลักน้องมาแต่งกับข้าแทน ข้าก็ไม่ขัดข้อง เจ้าดูซิ นางสวยกว่าหว่านหรูอี้ตั้งเยอะแล้วข้าจะขัดข้องไปทำไม ฮ่าๆ นี่ถ้าหากข้าเห็นนางก่อนข้าคงไม่ต้องสิ้นเปลืองของหมั้นอีกรอบเช่นนี้หรอก”
“อ่อ” เจ๋อหมิงส่งเสียงรับรู้ หนานกงเยี่ยนจึงเล่าว่า “วันนี้ข้าไปเจอสองพี่น้องตระกูลหว่านที่โรงเตี้ยม ข้าจึงชวนพวกนางกินข้าวด้วย ไม่คิดเลยว่าจะถูกแม่นางหว่านคนพี่วางยาปลุกกำหนัดซะได้ ทีแรกข้าคิดว่าแม่นางคนน้องวางยาข้าซะอีก แต่กลับไม่ใช่ กลายเป็นว่าแม่นางหว่านหรูอี้เป็นคนวางยาข้า นางวางแผนให้ข้าได้เสียกับแม่นางหว่านหรง ซ้ำยังเชิญหว่านกัวฉายมาเป็นพยานในความบัดซบของข้าอีก ในเมื่อนางรังเกียจที่จะเป็นฮูหยินของข้าถึงเพียงนั้น ข้าก็เลยตามน้ำไปกับนางซะเลย ฮ่าๆ”
“หรือว่านางจะรู้เรื่องนั้นของท่านแล้ว นางจึงไม่อยากแต่งกับท่าน” เจ๋อหมิงคาดเดา หนานกงเยี่ยนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “นางจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็จะแต่งฮูหยินอยู่ดี จะเป็นคนพี่หรือคนน้องก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าเป็นคนน้องนี่แหละดีที่สุดแล้ว ข้าชอบนาง ดังนั้นนางต้องแต่งกับข้า”
เจ๋อหมิงฟังแล้วจึงบอก “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมของหมั้นไปให้หว่านกัวฉายอีกครั้ง หากใครถามข้าจะก็บอกว่าท่านคิดว่าของหมั้นน้อยไปหน่อยจึงได้ส่งไปเพิ่มล่ะกัน หว่านกัวฉายคงไม่อยากให้เรื่องนี้อื้อฉาวออกไปแน่นอน ดังนั้นเขาคงปิดปากทุกคน อีกทั้งแม่นางหว่านหรูอี้ก็ไม่อยากแต่งกับท่าน ไม่เช่นนั้นหลังจากที่ท่านไปขอหมั้นแล้ว นางคงป่าวประกาศเรื่องน่ายินดีนี้จนรู้กันทั่วเมืองนานแล้ว คงไม่ปิดเงียบไว้เช่นนี้หรอก มาวันนี้นางวางแผนผลักน้องสาวมาแต่งกับท่านแทนก็ถือว่านางไร้วาสนาเป็นฮูหยินตระกูลหนานกงเถอะ”
“ไปๆ เจ้ารีบไปจัดการเถอะ” หนานกงเยี่ยนพยักหน้า เจ๋อหมิงจึงถอยออกไป หนานกงเยี่ยนนั่งลงมองหว่านหรงที่ยังหลับใหลไม่ตื่น เขาพิศดูใบหน้านางที่งดงามราวนางเซียน แม้ว่านางจะไร้เครื่องประทินโฉม แต่ใบหน้าเช่นนี้ก็ถือว่างามพิสุทธิ์ยิ่งนัก เขามองนางด้วยสายตาอ่อนโยน ต่อให้นางตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากแต่งกับเขา เขาก็จะบังคับให้นางแต่งกับเขาจนได้
เขา…หนานกงเยี่ยนหากทำอะไรแล้วไม่มีทางไม่สำเร็จ ดังนั้นเรื่องกล่อมสตรีนางหนึ่งให้ยอมตกแต่งกับเขาย่อมไม่ใช่เรื่องยาก หึๆๆๆ…
เวลาผ่านไป หว่านหรงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา นางเห็นใบหน้าของบุรุษหล่อเหลาอยู่ด้านข้างก็สะดุ้ง “อ่ะ!”
นางกระถดตัวถอยไปจนติดผนังด้านในอย่างตื่นกลัว พลางมองไปรอบๆ ห้องหรูหราที่ไม่คุ้นตาอย่างงุนงง “ที่นี่?”
“บ้านข้าเอง” หนานกงเยี่ยนบอก หว่านหรงกะพริบตาปริบๆ นางนึกไม่ออกว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นางก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
“แม่นางดื่มชาก่อนเถอะ พิษยาปลุกกำหนัดคงทำให้แม่นางรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก ถ้าอย่างไรให้ข้าช่วย…”
“ไม่ต้อง!” หว่านหรงพูดแทรกก่อนที่หนานกงเยี่ยนจะพูดจบ นางยิ่งหน้าแดงก่ำมากขึ้นอีก นางอายจนอยากมุดดินหนีแล้ว นางไม่เคยต้องมือชายใดมาก่อน จู่ๆ กลับถูกคู่หมั้นพี่สาวรังแกซะจนนางแทบอยากผูกคอตายหนีอายให้รู้แล้วรู้รอดไป ยิ่งคิดถึงตอนที่เขาจูบ เขาดูด เขาลูบ เขาแทงนิ้วอยู่ในตัวนาง นางก็ยิ่งอายแสนอาย นางชันเข่าขึ้นมา ซุกหน้ากับเข่าตัวเอง
“ข้าหมายถึงว่า ข้าจะตามหมอมาตรวจเจ้าต่างหาก” หนานกงเยี่ยนบอก เขายิ้มขำบางๆ หว่านหรงเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งเหลือบมองเขาอย่างตื่นกลัว พลัน! นางก็นึกได้ว่าก่อนที่นางจะหลับไป นางเห็นท่านพ่อใช่ไหม!?
“ท่านพ่อข้าล่ะ?” นางถาม หนานกงเยี่ยนตอบ “เขาก็อยู่บ้านเขาซิ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เขาทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก มีข้าอยู่ทั้งคนใครหน้าไหนกล้าตีเจ้า ก็ต้องข้ามศพข้าไปซะก่อน”
“ข้าจะกลับบ้าน” หว่านหรงบอก หนานกงเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ายังอยากจะกลับไปถูกตีเนี่ยนะ?”
เขาแน่ใจว่าหากแม่นางน้อยผู้นี้กลับบ้านไปแล้วจะต้องถูกหว่านกัวฉายตีสัก 1 รอบแน่แท้ หว่านหรงคิดตาม ถ้านางกลับไป ท่านพ่อต้องตีนางแน่นอน ต่อให้นางจะพูดจนปากฉีกว่าถูกคนวางยา ท่านพ่อก็คงไม่เชื่อนางแน่ๆ อีกทั้งนางไร้แม่คอยปกป้อง ในจวนนั้นนอกจากแม่นมกับสาวใช้เก่าแก่ของท่านแม่แล้วก็ไม่มีใครดีกับนางเลย ท่านพ่อก็เจอหน้ากันนับครั้งได้ ไม่ต้องพูดถึงความรักความผูกพันอะไรเลย มีพ่อที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเช่นนั้น นางต้องถูกตีแน่นอน!
“แต่ว่าแม่นมกับจางลี่ป่านนี้คงเป็นห่วงข้าแย่แล้วกระมัง” นางเอ่ยอย่างกังวล หนานกงเยี่ยนบอก “งั้นข้าจะให้คนไปรับตัว 2 คนนั่นมา เจ้าจะได้เลิกกังวลเสียที”
“รับมา?” หว่านหรงทวนคำ เขาพูดเหมือนง่าย แต่คงไม่ง่ายอย่างที่เขาพูดหรอก หนานกงเยี่ยนคล้ายจะอ่านใจนางได้ เขาเห็นสีหน้ากังวลใจของนางก็พอจะเดาได้ถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว เขาจึงบอกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป แค่คนสองคนข้าย่อมมีวิธีพามาให้เจ้าอยู่แล้ว จำไว้ ข้า หนานกงเยี่ยน ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่สำเร็จ”
เขาบอกอย่างอหังการแล้วลุกขึ้นหมุนตัวเดินออกไป หว่านหรงมองตามจนประตูปิดลง นางจึงถอนหายใจโล่งอก
หนานกงเยี่ยนเดินออกไป เขามองหาเจ๋อหมิง แล้วก็เห็นเจ๋อหมิงกำลังสั่งบ่าวไพร่อยู่ เขาจึงเดินไปหา “เจ๋อหมิง”
“นายท่าน” เจ๋อหมิงหันไปกุมมือ หนานกงเยี่ยนจึงสั่งว่า “เจ้าไปจวนตระกูลหว่าน ก็อย่าลืมพาเอ่อ…”
เขานึกๆ อึดใจหนึ่งแล้วบอก “แม่นม กับจาง…ลี้ อ่อ จางลี่ กลับมาด้วยล่ะ ดูเหมือนคู่หมั้นข้าจะเป็นห่วง 2 คนนี้มาก แล้วเจ้าก็ช่วยสืบเรื่องของหว่านหรงมาให้ข้าด้วย ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาง ข้าอยากรู้ทั้งหมด”
“เรื่องของแม่นางหว่านหรง เท่าที่ข้าสืบมาก่อนหน้านี้ นางเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกกับหว่านกัวฉาย แต่เพราะมารดานางตายตั้งแต่นางอายุได้ขวบกว่าๆ นางจึงกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก นางเพิ่งจะปักปิ่นไปเมื่อวันก่อน ดังนั้นตอนที่ท่านให้ข้าไปสู่ขอฮูหยิน ข้าจึงไม่ได้บอกชื่อนางมาเป็นตัวเลือกให้ท่าน เท่าที่ข้ารู้ นางอยู่ในจวนนั้นแทบจะเป็นคุณหนูที่ถูกลืมไปแล้ว หว่านกัวฉายมีลูกสาวหลายคนก็จริง แต่ว่าคนที่อายุถึงวัยออกเรือน ก็มีแค่แม่นางหว่านหรูอี้ อ่อ ตอนนี้ก็มีแม่นางหว่านหรงอีกคนแล้ว”
“ข้าไม่สนแล้วว่าจะยังไง ข้าจะแต่งกับคนนี้ ต้องเป็นหว่านหรงเท่านั้น ดังนั้นเรื่องนี้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย” หนานกงเยี่ยนสั่ง
“ขอรับ” เจ๋อหมิงรับคำ เขารู้ดีว่านายท่านของเขาเอาแต่ใจมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปซะทุกเรื่อง อย่างเช่นเหตุผลในการเลือกฮูหยิน ที่เลือกตระกูลหว่านก็เพราะว่าตระกูลหว่านเป็นตระกูลเล็กๆ ไม่มีอำนาจอะไร ดังนั้นฮูหยินที่มาจากตระกูลเล็กๆ แบบนั้นย่อมไม่ก่อเรื่องก่อราวก่อคลื่นลมอะไรได้ หากแต่งเข้ามาแล้วย่อมเชื่อฟังสามี อยู่อย่างไร้ปากไร้เสียง ทำหน้าที่ฮูหยินได้ดีแน่นอน
“อ่อ แล้วถ้าหว่านกัวฉายคิดจะพานางกลับไป บอกไปว่าข้าต้องการให้นางอยู่ที่บ้านข้าเพื่อทำความคุ้นเคยกับข้า” หนานกงเยี่ยนบอก เจ๋อหมิงรับคำ “ขอรับ”
หนานกงเยี่ยนสั่งเสร็จแล้วก็หมุนตัวจะเดินกลับไป เขาชะงักแล้วหันกลับไปสั่งเจ๋อหมิงว่า “ตามช่างตัดอาภรณ์มาด้วย คู่หมั้นข้าควรจะสวมอาภรณ์ที่งดงามไม่ใช่อาภรณ์ราคาถูกแบบนั้น ช่วงนี้ก็หาอาภรณ์ดีๆ ที่ตัดเสร็จแล้วให้นางสวมไปก่อน”
“ขอรับ” เจ๋อหมิงรับคำอีกครั้ง เขารู้สึกว่านายท่านใส่ใจคู่หมั้นคนนี้มากจริงๆ มากยิ่งกว่าแม่นางหว่านหรูอี้ซะอีก แม่นางคนนั้นเกรงว่านายท่านคงจำหน้านางไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
หนานกงเยี่ยนสั่งแล้วก็หมุนตัวเดินกลับไปจริงๆ เที่ยวนี้เขาเดินกลับไปไม่มีอะไรต้องสั่งความอีก เรื่องที่ควรสั่งก็สั่งไปหมดแล้ว เขาจึงคิดจะไปดูคู่หมั้นของเขาซะหน่อย เจ๋อหมิงเห็นนายท่านเดินไปไกลแล้วเขาจึงหันไปสั่งบ่าวไพร่ ให้ไปตามช่างตัดอาภรณ์มา ซ้ำยังให้คนไปเอาอาภรณ์สตรีที่ตัดไว้แล้วจากร้านของตระกูลหนานกงมาให้คู่หมั้นของนายท่านได้สวมใส่ไปก่อน
จากนั้นเขาก็สั่งบ่าวไพร่ให้เตรียมของหมั้นต่อ แน่นอนว่าของหมั้นเที่ยวนี้ย่อมไม่มากไปกว่าของหมั้นเที่ยวที่แล้ว และก็ย่อมไม่น้อยไปกว่าของหมั้นเที่ยวที่แล้วสักชิ้นแน่นอน ส่วนสินสอดที่เตรียมไว้แล้วก็ใช้ของเดิมที่จะมอบให้ตอนงานแต่งของนายท่านกับแม่นางหว่านหรูอี้นั่นแหละ
อ่อ นายท่านบอกว่าถูกวางยาปลุกกำหนัด เช่นนั้นก็ควรจะตามหมอมาด้วย เขาคิดแล้วก็สั่งคนไปตามหมอมาทันที บ่าวไพร่ล้วนทำตามคำสั่งของพ่อบ้านเจ๋อหมิง เพราะว่าท่านพ่อบ้านผู้นี้คือคนสนิทที่นายท่านไว้ใจที่สุด คำพูดของเขาก็เปรียบเหมือนกับคำพูดของนายท่านนั่นแหละ พวกบ่าวไพร่ไม่เคยเห็นนายท่านขัดแย้งอะไรกับพ่อบ้านเจ๋อหมิงเลย จนพวกเขาแอบคิดกันไปต่างๆ นานา ว่าบางทีพ่อบ้านเจ๋อหมิงอาจจะเป็น ‘คนรัก’ ของนายท่านก็ได้
พวกเขาจะคิดเช่นนี้ก็ไม่ผิด นายท่านออกจากบ้านไปครั้งหนึ่ง จู่ๆ ก็กลับมาพร้อมกับบุรุษรูปงามคนหนึ่ง บอกกับพวกเขาว่า ‘ต่อไปนี้พวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเจ๋อหมิงเหมือนฟังคำสั่งข้า ใครกล้ามีปัญหากับเจ๋อหมิงก็เตรียมตัวไสหัวออกไปซะ!’
คำสั่งของนายท่านครั้งนั้นทำให้พวกบ่าวได้แต่คิดๆ อยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดกล้าถามอะไร นับตั้งแต่นั้นมาพวกบ่าวไพร่จึงได้รู้ถึงความสำคัญของพ่อบ้านเจ๋อหมิงที่กลายเป็นคนสนิทของนายท่าน
เมื่อก่อน นายท่านมีสาวใช้อุ่นเตียง แต่ว่าหลังจากที่นายท่านกลับมาพร้อมกับท่านพ่อบ้านเจ๋อหมิง สาวใช้อุ่นเตียงเหล่านั้นก็ถูกหมางเมินจนกลายเป็นคนไร้ความสำคัญในสายตานายท่านไปเสียได้ สาวใช้เหล่านั้นเคยหาเรื่องเจ๋อหมิง ผลสุดท้ายนายท่านให้ความสำคัญกับเจ๋อหมิงมากกว่า ดังนั้นสาวใช้อุ่นเตียงเหล่านั้นจึงถูกขายออกไป หลังจากนั้นจึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องกับพ่อบ้านเจ๋อหมิงอีกเลย
หลังจัดเตรียมของหมั้นเสร็จแล้ว เจ๋อหมิงก็ให้บ่าวไพร่ขนหีบของหมั้นไปที่จวนตระกูลหว่านทันที เขานั่งรถม้านำหน้าไป รถม้าที่ขนหีบก็ขับตามหลังไป ส่วนบ่าวไพร่ก็เดินตามรถม้าไป ผู้คนมองรถม้า 2 คันที่ผูกผ้าแดงไปตลอดทาง อีกทั้งบ่าวไพร่ที่เดินตามรถม้าก็แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีแดง ดูก็รู้ว่าเป็นรถม้างานมงคล คงเป็นรถม้าที่ไปส่งสินสอดเจ้าสาวกระมัง ในเมื่อบ้านตระกูลหนานกงเพิ่งจะหมั้นหมายไปไม่กี่วันก่อนเอง คงเป็นเช่นนี้แหละ ผู้คนพูดกันไปต่างๆ นานา
เจ๋อหมิงไม่สนใจเสียงซุบซิบของผู้คน เขาแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง นำของหมั้นไปมอบให้กับหว่านกัวฉาย จัดการเรื่องหมั้นหมายของนายท่านกับแม่นางหว่านหรงให้เสร็จสิ้น ถูกต้องตามธรรมเนียม 3 หนังสือ 6 พิธีการก็พอ
เมื่อรถม้าไปจอดหน้าจวนตระกูลหว่าน บ่าวไพร่ก็บอกกับคนเฝ้ายามที่ประตูตามที่ท่านพ่อบ้านเจ๋อหมิงบอก รออยู่สักพัก เจ๋อหมิงก็ถูกเชิญเข้าไปภายในจวน เขาเดินตามบ่าวจวนตระกูลหว่านไปถึงห้องโถงหลัก เห็นหว่านกัวฉายนั่งอยู่ในห้องจึงกุมมือคารวะ “ท่านอาลักษณ์หว่าน”
หว่านกัวฉายมองพ่อบ้านตระกูลหนานกงสีหน้าค่อนข้างเย็นชา “นังลูกไม่รักดีของข้าล่ะ?”
เขามองจ้องพ่อบ้านคนนั้น
“แม่นางหว่านหรงตอนนี้อยู่ที่บ้านตระกูลหนานกง นายท่านของข้าบอกว่า ในเมื่อนางกำลังจะแต่งงานกับนายท่าน เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ที่บ้านตระกูลหนานกงทำความคุ้นเคยกับนายท่านดีกว่า ข้านำของหมั้นมามอบให้ท่านอาลักษณ์ตามพิธี เชิญท่านอาลักษณ์ตรวจดูได้เลย” เจ๋อหมิงบอก เขาไม่พูดคำว่า ‘ขอรับ’ กับคนอื่น คนเดียวที่เขาใช้คำว่า ‘ขอรับ’ ด้วยก็คือนายท่านเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้หว่านกัวฉายไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ คิดว่าพ่อบ้านตระกูลหนานกงช่างไร้มารยาทเกินไป เป็นแค่พ่อบ้าน ฐานะก็คือบ่าวไพร่นั่นแหละ แล้วพ่อบ้านไยจึงได้เย่อหยิ่งถึงเพียงนี้! หากว่าเป็นพ่อบ้านของตระกูลหว่าน พูดจาเช่นนี้คงถูกโบยจนหลังขาดไปแล้ว! หึ!
“เจ้ากลับไปบอกหนานกงเยี่ยนว่าให้รีบจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าไม่ยอมจบง่ายๆ แน่” หว่านกัวฉายบอก เจ๋อหมิงตอบกลับ “นายท่านข้าจะรีบจัดการเรื่องนี้ เช่นนั้นขอดวงของแม่นางหว่านหรงด้วย ข้าจะได้ให้ซินแสดูฤกษ์”
“ได้” หว่านกัวฉายตอบ เจ๋อหมิงจึงถามว่า “บ่าวคนสนิทของแม่นางหว่านหรงมีใครบ้าง? นายท่านข้าต้องการให้พวกนางไปรับใช้แม่นางหว่านหรง”
“หึ!” หว่านกัวฉายแค่นเสียงคำหนึ่งอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก เขาจึงหันไปสั่งพ่อบ้านของตนเอง “เจ้าจัดการเรื่องแทนข้าที ข้าปวดหัวต้องการพักผ่อน”
เขาสั่งแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป พ่อบ้านตระกูลหว่านรับคำ “ขอรับ”
เขารีบก้าวไปคุยกับพ่อบ้านตระกูลหนานกงทันที “เจ้าพาข้าไปตรวจนับของหมั้นก่อนเถอะ”
“อืม” เจ๋อหมิงพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินนำไป พ่อบ้านเดินตามไป เขาพอจะรู้เรื่องจากนายท่านมาบ้างแล้ว ดังนั้นจึงไม่ตกใจนักที่จู่ๆ ตระกูลหนานกงก็ส่งของหมั้นมาอีก แต่ว่าคุณหนูรองช่างไร้ยางอายเกินไปหน่อยแล้ว แย่งคู่หมั้นพี่สาวไปได้อย่างไร ไม่มีความละอายใจเลยรึ? เห็นนางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมเช่นนั้น คิดไม่ถึงเลยว่านางจะร้ายถึงเพียงนั้น เฮ้อ…ใจคนยากแท้หยั่งถึงจริงๆ
ขณะเดียวกัน ณ บ้านตระกูลหนานกง บ่าวพาหมอไปพบนายท่านที่เรือนนอน “นายท่านขอรับ ข้าพาหมอมาแล้วขอรับ”
“อืม ดีๆ” หนานกงเยี่ยนพยักหน้ารับ หมอที่เดินตามบ่าวก็รีบก้าวไปข้างหน้ากุมมือคารวะนายท่านหนานกง “นายท่านขอรับ”
“มาๆ ตามข้าไปตรวจคู่หมั้นข้า นางอยู่ในห้อง” หนานกงเยี่ยนบอก เขาเปิดประตูห้องนอนเดินนำเข้าไป หมอเดินตามเข้าไป หว่านหรงเห็นคนเข้ามาก็รีบขยับตัวแอบอยู่ข้างเสาเตียง นางเห็นคนนำหน้าคือหนานกงเยี่ยน ส่วนอีกคนที่เดินตามหลัง นางเคยเห็นเขาบ้าง ตอนที่เขาไปที่จวนของบิดา ตรวจโรคให้คนในจวน ใช่ เขาเป็นหมอเลื่องชื่อของเมืองนี้ เขาชื่ออะไรนางก็จำไม่ได้แล้ว
“แม่นางหว่านหรง ข้าพาหมอมาตรวจ” หนานกงเยี่ยนบอก หว่านหรงจึงค่อยๆ ขยับตัวออกจากเสามุ้ง จัดอาภรณ์ให้เข้าที่เข้าทาง หมอเห็นสาวน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงจึงยิ้มให้อย่างเมตตา เขาวางล่วมยาลงพลางถาม “แม่นางเจ็บป่วยอย่างไรหรือ?”
“นางถูกวางยาปลุกกำหนัดน่ะ” หนานกงเยี่ยนตอบแทนนาง หมอตกใจ “ยาปลุกกำหนัด!”
“อื้ม! ท่านรีบตรวจนางเถอะ” หนานกงเยี่ยนเจ้ากี้เจ้าการสั่ง หมอจึงยิ้มให้แม่นางน้อย “แม่นางยื่นมือมาให้ข้าจับชีพจรสักหน่อยเถิด”
หว่านหรงค่อยๆ ยื่นมือออกไปอย่างกลัวๆ กล้าๆ หมอวางนิ้วบนจุดชีพจร ภายในห้องจึงไร้เสียงใดๆ ครู่หนึ่ง จนหมอดึงมือกลับไปกำลังจะเปิดปากพูด แต่หนานกงเยี่ยนก็ชิงถามซะก่อน “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นายท่านอย่าได้ร้อนใจไป แม่นางไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวข้าจัดยาให้นางสักเทียบก็ดีขึ้นแล้ว” หมอบอกแล้วลุกไปที่โต๊ะ บ่าวก็รีบก้าวไปฝนหมึกให้ หมอจับพู่กันขึ้นมาจุ่มน้ำหมึกแล้วลงมือเขียนเทียบยา หลังจากเขียนเสร็จแล้ว เขาก็บอกว่า “ต้มยาตามนี้ ดื่มคราวละ 1 ถ้วย เช้าเย็นก็ล้างพิษยาปลุกกำหนัดได้หมดแล้ว”
“อ่อ ขอบคุณมากๆ” หนานกงเยี่ยนยิ้มบางๆ หมอมองหน้าหนานกงเยี่ยนแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนนายท่านก็ถูกพิษเช่นกัน ถ้าอย่างไรให้ข้าจับชีพจรสักหน่อยเถอะ ไหนๆ ข้าก็มาแล้ว จะได้ไม่ต้องไปๆ มาๆ ให้เสียเที่ยว”
“อืม” หนานกงเยี่ยนเดินไปนั่งลงตรงข้าม ยื่นแขนวางบนโต๊ะ หมอจึงตรวจชีพจรครู่หนึ่งแล้วดึงมือกลับ เขาหยิบพู่กันมา หนานกงเยี่ยนก็ดึงแขนกลับมา มองดูหมอเขียนเทียบยา ครั้นเขียนเสร็จ หมอก็ส่งเทียบยาให้พลางบอก “ต้มดื่มคราวละ 1 ถ้วย ดื่มเช้าเย็นสัก 2 วัน พิษก็หมดไปได้ หลังจากนั้นท่านก็ต้มยาเทียบนี้ดื่มเช้าเย็น 1 วัน เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว”
“ขอบคุณมากๆ” หนานกงเยี่ยนบอก หมอเหลือบมองแม่นางบนเตียงแวบหนึ่งแล้วก็เอ่ยขอตัว “เช่นนั้นข้าลาล่ะ”
“เชิญๆ” หนานกงเยี่ยนผายมือ พลางสั่งบ่าวว่า “เจ้าตามไปส่งท่านหมอแล้วรับยามาด้วย”
“ขอรับ” บ่าวรับคำ หมอก็ลุกขึ้นเดินไปถือล่วมยาขึ้นมา เขาเอ่ยกับแม่นางบนเตียงว่า “ขอลา”
Chapter 4 แต่งงาน
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงตอบเสียงเบา หมอยิ้มให้แล้วเดินออกไป บ่าวก็ตามไปส่งท่านหมอ หนานกงเยี่ยนมองหมอแล้วหันไปมองหว่านหรง “แม่นางอยากอาบน้ำไหม? ข้าจะให้คนเตรียมน้ำร้อนให้ หลังจากอาบน้ำแล้วค่อยกินข้าวเถอะ”
“เอ่อ…ข้าไม่มีอาภรณ์เปลี่ยน” หว่านหรงบอกอย่างตะขิดตะขวงใจ หนานกงเยี่ยนจึงบอก “ข้าให้คนไปเอาอาภรณ์ชุดใหม่ให้แล้ว แม่นางไม่ต้องกังวลไป”
เขาพูดยังไม่ทันไร บ่าวก็ร้องบอกอยู่หน้าห้องว่า “นายท่านขอรับ อาภรณ์สตรีที่ท่านให้นำมา ข้านำมาแล้วขอรับ”
“เอาเข้ามา” หนานกงเยี่ยนบอก บ่าวจึงเปิดประตูเข้าไป วางอาภรณ์สตรีหลายชุดเหล่านั้นไว้บนโต๊ะ หนานกงเยี่ยนสั่งอีก “ต้มน้ำร้อนให้นายหญิงพวกเจ้าด้วย แล้วก็ให้สาวใช้สักสองสามคนมาคอยดูแลนาง”
“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วถอยออกไป หนานกงเยี่ยนหันไปบอกหว่านหรงว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเลย”
“เอ่อ…” หว่านหรงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี จู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไร หนานกงเยี่ยนลุกออกไป เขาปล่อยให้นางอยู่คนเดียว นางจะได้รู้สึกผ่อนคลายหน่อย
จนกระทั่งสาวใช้ 3 คนเดินมา พวกนางคารวะนายท่าน “นายท่าน”
“พวกเจ้าเข้าไปดูแลนายหญิงให้ดีๆ” หนานกงเยี่ยนสั่ง สาวใช้รับคำ “เจ้าค่ะ”
พวกนางจึงเดินเข้าไปในห้อง พวกนางมองแม่นางน้อยนางนั้นแล้วหลุบตาลง กุมมือคารวะ “นายหญิง”
“เอ่อ…” หว่านหรงไม่รู้จะตอบรับอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้มันยุ่งเหยิงไปหมด สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เชิญนายหญิงไปอาบน้ำก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
“อะ…อืม” หว่านหรงตอบรับ อาบน้ำก็ดี นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวจริงๆ นั่นแหละ หลังจากนั้นนางก็ได้อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ อาภรณ์ชุดใหม่เป็นผ้าเนื้อดี นุ่มและนิ่มมาก ไม่เหมือนอาภรณ์ผ้าป่านหยาบๆ ที่นางสวมใส่เลย ดูเนื้อผ้าแล้วนางรู้สึกว่าคุณภาพของผ้านี้ดีกว่าอาภรณ์ของพี่สาวต่างมารดาซะอีก
“เชิญนายหญิงออกไปที่ห้องโถงด้านหน้าเถอะเจ้าค่ะ นายท่านบอกว่ารอกินข้าวอยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้บอก หว่านหรงพยักหน้า “อะ…อือ”
นางเดินตามสาวใช้ไป เห็นหนานกงเยี่ยนนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเห็นนางเดินมาก็ชี้บอก “นั่งซิ”
“เอ่อ…เจ้าค่ะ” หว่านหรงนั่งลงตรงข้าม หนานกงเยี่ยนหลิ่วตาสั่ง สาวใช้ก็ถอยออกไปยกอาหารไปวางที่โต๊ะ เมื่อพวกนางวางอาหารหมดแล้วก็ถอยออกไป หนานกงเยี่ยนพยักเพยิด “กินซิ ตอนอยู่โรงเตี้ยม เจ้าไม่ค่อยกินเลยนี่”
“เอ่อ…ขอบคุณเจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ หยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว หนานกงเยี่ยนก็กินนิดๆ หน่อยๆ เขายังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เพราะตอนอยู่ที่โรงเตี้ยมเขากินไปมากอยู่ เขามักจะชอบไปกินอาหารที่โรงเตี้ยมนั้นทุกวัน เพราะว่าพ่อครัวที่นั่นทำอาหารอร่อย รสชาติถูกใจเขามาก พ่อครัวที่นี่ฝีมือยังสู้พ่อครัวที่โรงเตี้ยมไม่ได้ จึงเป็นเรื่องปกติที่คนอื่นๆ จะรู้ว่าเขาไปกินอาหารที่โรงเตี้ยมนั้นทุกวัน ดังนั้นหว่านหรูอี้ที่รู้เรื่องนี้จึงวางแผนไปดักรอ ทำทีว่าไปเจอคู่หมั้นโดยบังเอิญ แล้วก็สบโอกาสวางยาเขา หาทางถอนหมั้นให้ตัวเองอย่างชั่วร้ายมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเห็นว่าหว่านหรงที่ถูกผลักเข้ามาในแผนการนั้นมีหน้าตางดงามกว่าหว่านหรูอี้ เขาคงไม่มีทางยอมตามน้ำไปกับแผนการชั่วๆ ของนางเช่นนั้นหรอก เขาคงหาวิธีถอนหมั้นกับนางด้วยวิธีการของเขาเอง ในเมื่อไม่อยากหมั้นกับเขา เขาต้องง้อนางด้วยรึ ยังมีสตรีอีกมากที่อยากเป็นฮูหยินของเขา
หว่านหรงกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย นางรู้สึกว่าอาหารของที่นี่ก็อร่อยมากเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับที่โรงเตี้ยมแล้วคล้ายกับว่าอาหารที่โรงเตี้ยมจะอร่อยกว่า อย่างเช่นขาหมูน้ำแดงที่นางกำลังกินอยู่ เป็นอาหารอย่างเดียวกันกับที่โรงเตี้ยม แต่ว่าเนื้อหมูที่โรงเตี้ยมทำได้นุ่มกว่า เปื่อยแต่ไม่เละ ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าพ่อครัวของโรงเตี้ยมนั้นมีวิธีการทำอย่างไรเนื้อหมูจึงได้เปื่อยนุ่ม เคี้ยวแล้วแทบละลายในปาก แต่ว่าเนื้อก็ไม่เละจนเปื่อยยุ่ยคีบไม่ได้ อืม…นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหนานกงเยี่ยนจึงไปกินอาหารที่โรงเตี้ยมนั้น
หลังจากพ่อบ้านตรวจนับของหมั้นเสร็จแล้ว เจ๋อหมิงก็ถามถึงคนสนิทของแม่นางหว่านหรง พ่อบ้านก็ต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานให้นายท่านตัดสินใจ หว่านกัวฉายซึ่งกำลังโมโหการกระทำของหว่านหรงจึงไม่อยากเห็นนังบ่าวชั่ว 2 คนนั่นอยู่ในจวนอีก เพราะพวกมันสั่งสอนลูกสาวของเขาไม่ดี นางถึงได้แย่งคู่หมั้นพี่สาวอย่างไร้ยางอายเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อทางหนานกงเยี่ยนต้องการตัวบ่าวชั่ว 2 คนนั่น เขาจึงบอกให้นำตัวไปได้เลย เจ๋อหมิงจัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปโดยมีบ่าวของแม่นางหว่านหรงกลับไปด้วย
พวกนางซักถามถึงคุณหนูของพวกนางหลายคำ แต่เจ๋อหมิงก็ไม่ตอบอะไร เขาบอกแต่เพียงว่า “ไว้พวกเจ้าไปเจอคุณหนูของพวกเจ้าแล้ว ก็ถามเรื่องราวกับคุณหนูของพวกเจ้าเองเถอะ ตามข้ากลับไปบ้านตระกูลหนานกง จะได้ไปคอยรับใช้คุณหนูของพวกเจ้า”
แม่นมจางกับจางลี่เห็นพ่อบ้านของตระกูลหนานกงดูดุๆ พวกนางจึงไม่กล้าซักถามอะไรอีก ตอนนี้พวกนางห่วงแต่คุณหนูของพวกนางที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว พวกนางรู้แค่ว่าคุณหนูของพวกนางก่อเรื่องก่อราวจนนายท่านโมโหยกใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของพวกนางไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้ พวกนางจะถามใครก็ไม่สะดวก อยู่ในจวนนี้พวกนางมีฐานะเหมือนต้นหญ้าต้นหนึ่งที่ไร้ค่า ไร้ค่ามากๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากลัวคุณหนูจะถูกอนุกับลูกๆ คนอื่นของนายท่านรังแก พวกนางคงพากันบากหน้ากลับตระกูลจางไปนานแล้ว พวกนางถือว่าเป็นคนของตระกูลจาง สัญญาทาสของพวกนางก็ยังอยู่ที่ตระกูลจาง พวกนางตามคุณหนูของพวกนางมารับใช้คุณหนูอยู่ที่ตระกูลหว่าน แต่น่าเสียดายที่คุณหนูของพวกนางอายุสั้นนัก คลอดลูกได้ปีกว่าก็ล้มป่วยจนตายจากไปเสียนี่ คุณหนูน้อยหว่านหรงถือว่าเป็นคนตระกูลหว่าน พวกนางไม่อาจพาคุณหนูหว่านหรงกลับไปตระกูลจางได้ พวกนางจึงคอยเลี้ยงดูคุณหนูแทนคุณหนูของพวกนาง พวกนางคิดๆ เอาไว้ว่าถ้าคุณหนูหว่านหรงออกเรือนไปเมื่อใด พวกนางก็จะขอตามไปรับใช้ด้วย แต่ถ้าตามไปไม่ได้พวกนางก็จะกลับตระกูลจางไป
หว่านหรงได้เจอแม่นมจางกับจางลี่ก็ดีใจมาก 3 คนนายบ่าวจึงคุยกันอยู่นานมาก
หลังจากที่แม่นมจางกับจางลี่ฟังเรื่องราวจากปากคุณหนูแล้ว แม่นมจางก็พูดขึ้นว่า “นี่ต้องเป็นแผนของคุณหนูใหญ่แน่นอน ไม่เช่นนั้นนางจะชวนคุณหนูออกไปด้วยทำไม”
“ข้าว่าแล้วเชียว! ว่ามันไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ที่คุณหนูใหญ่มาชวนคุณหนูออกไปซื้อของด้วย ร้อยวันพันปีข้าไม่เห็นนางจะมาชวนคุณหนูไปด้วยเลย วันนี้กลับใจดีมาชวนคุณหนูไปด้วย ที่แท้ก็มีแผนการร้ายอยู่นี่เอง” จางลี่พูดขึ้นมา สีหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคืองแทนเจ้านาย แล้วนางก็สงสัยขึ้นมา “ว่าแต่ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงทำเช่นนั้นล่ะ? นายท่านหนานกงร่ำรวยถึงขนาดนี้ ซ้ำยังหล่อเหลามาก มีแต่สตรีอยากจะพลีกายให้เขา เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงได้ไม่อยากแต่งกับเขาจนถึงขั้นคิดแผนการชั่วๆ แบบนี้ล่ะ?”
“อืม นั่นซิ” แม่นมจางคิดๆ นางก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่งกับนายท่านหนานกง ได้เป็นฮูหยินเอก ถือว่าเป็นบุญวาสนาของสตรีทั้งหลายเลยทีเดียว เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงได้ไม่อยากได้วาสนาดีๆ แบบนี้ล่ะ?
“หรือว่านายท่านหนานกงจะเป็นต้วนซิ่ว?” แม่นมจางคาดเดา จางลี่คิดๆ “อืม…อาจจะเป็นไปได้ก็ได้”
หว่านหรงฟังทั้งสองพูดแล้วพลางคิดๆ เช่นกัน นางก็สงสัยยิ่งนักว่า เหตุใดพี่สาวต่างมารดาถึงได้ไม่อยากได้วาสนานี้? ถ้าหนานกงเยี่ยนเป็นต้วนซิ่วจริงๆ นางต้องแต่งกับเขา เช่นนั้นชีวิตคู่ของนางคงไม่ราบรื่นแน่นอน ดังนั้นก่อนที่นางจะแต่งกับหนานกงเยี่ยน นางควรสืบให้แน่ใจซะก่อนดีกว่า นางคิดๆ แล้วก็ลุกออกไป
“คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ?” จางลี่ถาม หว่านหรงหันไปบอก “ข้าจะไปหานายท่านหนานกงน่ะ”
“เจ้าค่ะ” จางลี่รับคำแล้วรีบตามไป แม่นมจางก็รีบเดินตามไปเช่นกัน นางจะปล่อยให้คุณหนูไปคนเดียวได้อย่างไร
เผื่อว่ามีเรื่องอะไรนางจะได้ช่วยคุณหนูอีกแรง นางจะไม่ยอมปล่อยให้คุณหนูต้องไปเจอเรื่องร้ายๆ อะไรอีกแน่นอน
หว่านหรงเดินออกจากห้องไปได้หน่อยก็เห็นสาวใช้ นางจึงถาม “นายท่านหนานกงล่ะ?”
“นายท่านอยู่ที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ หว่านหรงจึงบอก “เช่นนั้นเจ้าไปเรียนนายท่านทีว่าข้าต้องการพบเขา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำแล้วรีบเดินไป หว่านหรงจึงเดินไปนั่งรอที่โต๊ะ จางลี่กับแม่นมจางก็อยู่ข้างกายซ้ายขวา ทำตัวเหมือนเป็นองครักษ์อย่างไรอย่างนั้น
สาวใช้หายไปพักใหญ่ก็เดินกลับมา “นายหญิงเจ้าคะ เชิญตามข้าไปที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
“อืม” หว่านหรงลุกขึ้นเดินตามสาวใช้ไป แม่นมจางกับจางลี่รีบเดินตามไป
เมื่อไปถึงห้องหนังสือ สาวใช้ก็หยุดอยู่หน้าประตูห้องร้องบอก “นายท่านเจ้าคะ นายหญิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้ามา” เสียงหนานกงเยี่ยนบอกดังออกมา สาวใช้จึงผลักประตูเปิด “เชิญเจ้าค่ะ”
หว่านหรงเดินเข้าไป หนานกงเยี่ยนลุกขึ้นพลางเดินไปหานาง “เจ้าหาข้ามีอะไรรึ?”
“เอ่อ…” หว่านหรงอึกอัก ไม่รู้จะเริ่มถามอย่างไรดี นางมองเขา เขาก็มองนางอยู่ นางหันไปมองแม่นมจางกับจางลี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมือนหากำลังใจ แม่นมจางอดปากไม่ไหวจึงโพล่งถามแทน “นายท่านหนานกงเจ้าคะ ท่านเป็นต้วนซิ่วหรือไม่เจ้าคะ?”
“ต้วนซิ่ว!” หนานกงเยี่ยนผงะไป เขารู้สึกเหมือนถูกคำว่า ‘ต้วนซิ่ว’ ตัวโตๆ พุ่งชนหน้าผากเข้าอย่างจัง!
3 สาวต่างวัยมองจ้องหนานกงเยี่ยนเป็นตาเดียว หนานกงเยี่ยนจึงตั้งสติกลับมา มองสตรีทั้งสามที่เหมือนรอคำตอบจากเขาอยู่ เขาจึงยกมือขึ้นสาบานว่า “ข้าสาบานต่อฟ้าดินเลยว่า ข้าไม่ได้เป็นต้วนซิ่วอย่างที่คนอื่นสงสัย ถ้าข้าพูดปดขอให้ฟ้าผ่าตอนนี้เลย”
เบื้องนอกเงียบสงบไร้เสียงใดๆ หนานกงเยี่ยนลดมือลง เขาจ้องหว่านหรงแล้วบอกว่า “หากเจ้าสงสัยว่าข้าเป็นต้วนซิ่ว เช่นนั้นเชิญเจ้าพิสูจน์เลยไหม ข้ายินดีให้เจ้าพิสูจน์เต็มที่เลย”
“พิสูจน์อย่างไรเจ้าคะ?” จางลี่ถามแทนคุณหนูของนาง หนานกงเยี่ยนยิ้มบางๆ ตอบว่า “ก็ทำเรื่องนั้นพิสูจน์เลยซิ”
“ว๊าย!” 3 สาวอุทานออกมา แต่ละคนหน้าแดงๆ ขึ้นมา แม่นมจางตั้งสติได้แล้วก็รีบดึงคุณหนูของนางไปข้างหลังตัวเอง พลางตำหนินายท่านหนานกงอย่างอดไม่อยู่ “จะพิสูจน์อย่างนั้นได้อย่างไรกัน คุณหนูข้าเสียเปรียบซิเจ้าคะ”
“อ้าว ก็พวกเจ้าสงสัยข้า ข้าก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะพิสูจน์ตัวเองได้” หนานกงเยี่ยนพูดยิ้มๆ หว่านหรงมองหนานกงเยี่ยนอย่างจริงจังแล้วถามว่า “ถ้าท่านไม่ได้เป็นต้วนซิ่ว แล้วเหตุใดท่านจึงคิดจะแต่งงานกับข้า?”
“คำตอบนี้ง่ายมาก ตระกูลหว่านเป็นตระกูลเล็กๆ ไร้อำนาจใดๆ ข้าต้องการฮูหยินที่ไร้อำนาจของตระกูลเดิมหนุนหลัง จะได้ไม่ก่อเรื่องก่อราวอะไรให้ข้าปวดหัว จะเป็นพี่สาวเจ้าก็ได้ หรือจะเป็นเจ้าก็ดี ข้าไม่เกี่ยง” หนานกงเยี่ยนตอบตรงๆ 3 สาวฟังคำตอบแล้วอึ้งงันไป
“เหตุผลที่ท่านหมั้นกับพี่สาวข้า มีเพียงแค่นี้น่ะหรือ?” หว่านหรงถาม หนานกงเยี่ยนพยักหน้า “ก็มีแค่นี้แหละ ข้าไม่ชอบเรื่องปวดหัว ดังนั้นข้าจึงต้องการฮูหยินที่มาจากตระกูลเล็กๆ ไร้อำนาจ”
เขาเอื้อมมือไปจับข้อมือหว่านหรง ดึงนางมายืนตรงหน้าตัวเอง มองเข้าไปในดวงตานางแล้วบอกว่า “แต่หลังจากที่ข้าเจอเจ้า ฮูหยินของข้าจะเป็นคนอื่นไม่ได้อีก ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น เจ้าเข้าใจไหมแม่นางหว่าน ข้าชอบเจ้าซะแล้ว ดังนั้นเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรเป็นฮูหยินของข้า”
หว่านหรงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ใจเต้นตึกๆ แม่นมจางกับจางลี่ก็ยืนตะลึงบื้อใบ้กันไปเลย
พวกนางคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะต้องมาได้ยินคำพูดเช่นนี้ มันช่างทำให้หัวใจของสตรีเต้นอย่างบ้าคลั่งได้เลยจริงๆ สายตาจริงจังของนายท่านหนานกงที่มองคุณหนูของพวกนางทำให้คนสูงวัยอย่างพวกนางแทบจะละลายกลายเป็นน้ำไปแล้ว
แม่นมจางที่ผ่านโลกมามากกว่าคนอื่นๆ ในที่นี้ นางจึงฉุดจางลี่ให้ถอยออกไปด้วยกัน จางลี่ยังตกตะลึงอยู่ นางไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินถอยหลังออกไปได้อย่างไร แม่นมจางเดาว่านายท่านหนานกงจะต้องตกหลุมรักแรกพบกับคุณหนูของนางแน่นอน ดังนั้นวาสนาดีๆ เช่นนี้นางยังจะไปยืนทื่อเป็น ‘ก้างขวางคอ’ ได้อย่างไร
“แม่นาง เจ้าทำใจเถอะ เจ้าต้องแต่งกับข้า เป็นฮูหยินข้า ต่อให้เจ้าไม่ยอม ข้าก็จะทำให้เจ้ายอมจนได้” หนานกงเยี่ยนพูดจริงจังมาก หว่านหรงมองดูใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงเยี่ยนแล้วรู้สึกใจยิ่งเต้นแรงมากขึ้นอีก ตึกๆๆๆ…
“หรงเอ๋อร์ จำไว้ เจ้าต้องแต่งกับข้า” หนานกงเยี่ยนบอกอย่างเอาแต่ใจตัวเอง ตั้งแต่เห็นนางครั้งแรก เขาก็คิดอยากจะเปลี่ยนตัวคู่หมั้นอยู่ในใจแล้ว ดังนั้นเมื่อหว่านหรูอี้วางแผนชั่วนั่น เขาจึงยอมตามน้ำ ยอมตกกระไดพลอยโจนไปด้วยซะเลย
“เอ่อ…ข้า…ข้า…ขอตัว” หว่านหรงรู้สึกอายจนหน้าแดงก่ำ นางไม่อาจทนสายตาเขาได้นางจึงดึงมือออกจากอุ้งมือเขาแล้วหมุนตัวก้าวเร็วๆ ออกจากห้องไปทันที แม่นมจางเห็นคุณหนูเดินออกมานางก็รีบลากจางลี่ตามไปทันที “คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
หว่านหรงก้าวเร็วๆ จนแทบกลายเป็นวิ่งกลับไปที่ห้องนอนห้องนั้น นางเข้าห้องไป นั่งลงที่โต๊ะ ใจเต้นตึกๆ แม่นมจางวิ่งกระหืดกระหอบตามไปอยู่ข้างกาย “โหย! คุณหนู ไม่รอบ่าวบ้างเลย”
“คุณหนูเจ้าคะ หน้าท่านแดงมากเลยเจ้าค่ะ” จางลี่เอ่ยขึ้นมา หว่านหรงยกมือกุมแก้มทั้งสองข้าง นางรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนมาก ใจยังเต้นตึกๆ ไม่หาย
เจ๋อหมิงก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานให้นายท่าน เขาเอาดวงของแม่นางหว่านหรงกับดวงของนายท่านไปให้ซินแสตรวจดวงชะตา หลังจากซินแสตรวจดวงชะตาแล้วก็บอกว่า “โอ้! ชะตาของแม่นางคนนี้สมพงษ์กับนายท่านหนานกงเสียยิ่งกว่าคนก่อนซะอีก ถ้าได้แต่งงานด้วยกัน กิจการจะมีแต่รุ่งเรือง เสียแต่ว่านายท่านมีดวงไร้บุตรนี่ซิ จะแก้อย่างไรดี?”
ซินแสคิดๆ เจ๋อหมิงจึงบอก “เรื่องดวงไร้บุตรนี่ท่านไม่ต้องกังวลไป นายท่านข้าไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก แล้วแต่สวรรค์ลิขิตเถอะ ท่านหาฤกษ์เถอะ นายท่านข้าใจร้อนอยากแต่งงานไวๆ”
“อ่อๆ” ซินแสฟังแล้วก็คิดคำนวณฤกษ์แต่งงาน เจ๋อหมิงรออยู่เงียบๆ สักพักซินแสก็เงยหน้าบอก “ฤกษ์ดีคืออีก 1 เดือน ผ่านฤกษ์นี้ไปต้องรอถึง 2 ปีทีเดียว”
“อ่อ ขอบคุณมาก” เจ๋อหมิงกุมมือคารวะแล้วยื่นถุงเงินให้ซินแส จากนั้นเขาก็รีบเอาฤกษ์ไปให้นายท่านดู
หลังจากดูฤกษ์ยามแล้ว หนานกงเยี่ยนก็พยักหน้า “เอาตามนี้แหละ”
“เช่นนั้นข้าจะรีบไปจัดงานแต่งให้ท่านขอรับ” เจ๋อหมิงบอกแล้วถอยออกไป เขายุ่งมากทีเดียวที่ต้องรีบเตรียมงานแต่งงานให้นายท่านอย่างเร่งรีบเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใด เขาก็ต้องทำให้สำเร็จ
ดังนั้น 1 เดือนต่อมา หนานกงเยี่ยนกับหว่านหรงจึงแต่งงานกัน ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาอวยพรอย่างล้นหลาม หว่านหรูอี้แอบเยาะเย้ยน้องสาวต่างมารดาอยู่ในใจ ‘นังโง่นั่นคิดว่าตัวเองได้ดิบได้ดี ไม่รู้เลยว่ากำลังจะตกนรกทั้งเป็น เฮอะๆๆๆ’
นางที่รอดจากนรกขุมนั้นมาได้จึงยืนกระหยิ่มยิ้มย่อง ลอยหน้าลอยตามองดูคุณชายรูปงามที่มาร่วมอวยพรงานแต่งงานนี้ แน่นอนว่านางคิดจะหาสามีดีๆ จากใครสักคนในงานนี้ แขกเหรื่อที่มาในวันนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของแคว้น มีตั้งแต่องค์ชาย คุณชายตระกูลใหญ่ๆ ต้องมีสักคนแหละที่ต้องตานางบ้าง ดังนั้นวันนี้นางจึงแต่งตัวงดงามที่สุดเท่าที่จะสวยได้ เรียกกว่าสวยไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว นางในฐานะญาติฝ่ายเจ้าสาวจึงชะม้อยชะม้ายชายตามองดูหนุ่มรูปงามทั้งหลายอย่างมีจริตจะก้าน
หว่านกัวฉายก็หน้าบานที่ได้เกี่ยวดองกับตระกูลหนานกงซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ของเมือง ความร่ำรวยของตระกูลหนานกงนั้นครอบคลุมไปถึงครึ่งเมืองเลยทีเดียว ร้านค้าต่างๆ ที่เป็นกิจการของตระกูลหนานกงมีมากมายนับไม่ถ้วน องค์ชายบางคนยังร่ำรวยไม่เท่าตระกูลหนานกงเลยด้วยซ้ำ คิดดูซิ เขาได้เป็นพ่อตาของลูกเขยที่ร่ำรวยขนาดนี้จะไม่ยินดีได้อย่างไร ฮ่าๆๆๆ…
ภายในห้องหอ หลังจากเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวแล้ว หนานกงเยี่ยนก็บอกว่า “เดี๋ยวข้าช่วยถอดมงกุฎหงส์ให้นะ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงพยักหน้ารับอย่างเอียงอาย นางใจเต้นตึกๆ ถึงแม้ว่าเวลา 1 เดือนที่ผ่านมานางเริ่มคุ้นเคยกับคู่หมั้นบ้างแล้ว แต่นางก็ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรเกินเลยกับเขา นอกจากครั้งนั้นที่นางถูกวางยา นางก็เพิ่งรู้ภายหลังว่าเรือนที่นางอยู่เป็นเรือนนอนของหนานกงเยี่ยน เขายกเรือนนอนของเขาให้นางอยู่ ส่วนตัวเขาก็ไปนอนเรือนอื่น ระหว่างนั้นนางกับเขาเจอกันบ่อยๆ เขามากินข้าวร่วมโต๊ะกับนาง พูดคุยซักถามความเป็นอยู่ของนางอย่างเอาใจใส่ ความเอาใจใส่ของเขาทำให้แม่นมจางเบาใจยิ่งนัก นางคิดว่าหลังจากคุณหนูแต่งงานกับนายท่านหนานกงแล้วคงไม่ถูกทิ้งให้ตกระกำลำบากใดๆ แน่นอน ส่วนเรื่องที่ต่อไปนายท่านหนานกงจะมีอนุอีกหรือไม่ก็เป็นเรื่องในอนาคตล่ะ มันเป็นธรรมดาที่บุรุษจะมีเมียหลายคน ยิ่งนายท่านหนานกงร่ำรวยถึงเพียงนี้เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้จริงๆ
หนานกงเยี่ยนช่วยถอดมงกุฎหงส์ออก เขาวางมงกุฎหงส์ที่งดงามและหนักอึ้งนั้นบนถาด หว่านหรงรู้สึกเบาศีรษะขึ้นมาทันที นางแอบบ่นเรื่องมงกุฎหงส์ที่หนักอึ้งนี้กับแม่นมจาง แต่แม่นมจางกลับปลอบว่า ‘น้ำหนักของมงกุฎหงส์ของเจ้าสาวก็คือน้ำหนักของความรับผิดชอบต่อครอบครัวในอนาคตเจ้าค่ะ คำนี้ข้าก็จำมาจากแม่สื่อตอนที่ท่านแม่คุณหนูแต่งกับนายท่านเจ้าค่ะ’
หว่านหรงแอบเบะปาก ‘แต่มันหนักมากเลยนะ ข้าคอจะหักแล้วเนี่ย!’
หนานกงเยี่ยนเห็นฮูหยินบิดคอเหมือนเมื่อยขบเขาจึงวางมือบนไหล่นาง หว่านหรงสะดุ้ง “อุ้ย!”
“ข้านวดให้นะ” หนานกงเยี่ยนบอก เขานวดไหล่ให้นาง หว่านหรงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมาก ความเอาใจใส่ของเขาทำให้นางรักเขาเข้าแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ว่านางจะรู้จักเขาเพียงแค่เดือนเดียว แต่ว่าความเอาใจใส่ของเขาที่ดูแลนางอย่างดีไม่เคยขาดตกบกพร่องทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้แต่งงานกับเขา ซึ่งจนป่านนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดพี่สาวต่างมารดาถึงได้ทิ้งคู่หมั้นที่แสนดีถึงเพียงนี้ได้ลงคอ
หนานกงเยี่ยนนวดไหล่นวดคออยู่สักพัก เขาก็หยุดมือแล้วบอกว่า “ไปดื่มเหล้ามงคลก่อนเถอะ หลังจากดื่มเหล้าจอกนี้แล้วพวกเราจึงจะถือว่าเป็นสามีภรรยากัน”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ หน้าแดงๆ อย่างเอียงอาย หนานกงเยี่ยนประคองฮูหยินไปที่โต๊ะอาหาร เขารินเหล้ามงคลแล้วยื่นจอกเหล้าให้นาง หว่านหรงรับจอกเหล้ามา หนานกงเยี่ยนก็คล้องแขนดื่มเหล้า หว่านหรงก็ดื่มเหล้าเช่นกัน นางหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งเหล้าไหลลงคอไปแล้วทำให้ในท้องนางรู้สึกร้อนวาบขึ้นมา หนานกงเยี่ยนวางจอกเหล้า หยิบตะเกียบมาคีบกับให้นาง “เจ้าต้องกินเยอะๆ นะ ราตรีนี้ยังอีกยาว”
หว่านหรงพยักหน้ารับ หน้าแดงๆ นางคีบกับกินอย่างเขินอาย คำพูดของเขาสื่อว่า คืนนี้เขากับนางจะร่วมเข้าหอกัน คิดมาถึงตรงนี้นางก็เขินจนหน้าแดงอีก ก่อนหน้านี้แม่นมจาง เอาตำราเข้าหอให้นางดู นางมองภาพวาดพวกนั้นแล้วหน้าแดงแล้วแดงอีก แม่นมจางบอกยิ้มๆ ‘คุณหนูต้องดูไว้เจ้าค่ะ นี่คือเรื่องสำคัญที่จะมัดใจสามีเลยนะเจ้าคะ’
จางลี่ก็มองตำรานั้นพร้อมกับคุณหนู นางดูภาพไปพลางหน้าแดงๆ เช่นกัน สตรีหม้ายอย่างนางเคยทำเรื่องนั้นกับสามีแล้ว แต่มันก็นานนมมาแล้ว ตั้งแต่สมัยนางยังเป็นสาวรุ่นๆ แต่งงานยังไม่ทันไร สามีก็ไปถูกเกณฑ์ไปรบจนตัวตาย นางที่ยังไม่มีลูกไว้สืบสกุลจึงถูกพ่อผัวแม่ผัวขับไล่ออกจากบ้าน หาว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีตาย ทำนองว่านางมีดวงชะตา ‘ดวงกินผัว’ พวกเขาจึงขับไล่นาง นางถูกขับไล่ออกมาจึงซมซานเร่ร่อนไปจนกระทั่งเจอกับคุณหนูตระกูลจาง คุณหนูจางจึงรับนางไว้เป็นสาวใช้ข้างกาย ตระกูลจางไม่ได้ร่ำรวยมาก เป็นตระกูลปักผ้าเล็กๆ นางจึงได้เรียนการปักผ้ามาจากตระกูลจาง จนคุณหนูแต่งงานกับนายท่านหว่าน นางก็ตามคุณหนูไปอยู่ที่ตระกูลหว่าน ตอนนี้นางก็ตามคุณหนูหว่านหรงมาอยู่ที่ตระกูลหนานกง นางอยู่ที่ตระกูลหนานกงคอยรับใช้คุณหนูไม่ได้รับความลำบากอะไรเลย ความเป็นอยู่ของนางกับแม่นมจางดีเสียกว่าตอนที่อยู่จวนตระกูลหว่านซะอีก
Chapter 5 (18+)เข้าหอ
หลังจากกินอิ่มแล้วหว่านหรงก็วางตะเกียบลง หนานกงเยี่ยนก็วางตะเกียบเช่นกัน เขามองนางพลางบอก “ไปที่เตียงเถอะ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำเสียงเบา ใจเต้นตึกๆ หนานกงเยี่ยนประคองฮูหยินไปที่เตียง หว่านหรงนั่งลง ใจยิ่งเต้นตึกตักๆ หน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย นางมองตะเกียงแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพี่ไม่ดับไฟหรือเจ้าคะ?”
“ดับไฟแล้วจะเห็นเจ้าได้อย่างไร ข้าอยากดูเจ้า” หนานกงเยี่ยนบอก เขายื่นมือไปค่อยๆ ถอดชุดแต่งงานสีแดงบนตัวนางออก หว่านหรงอายแสนอาย แต่ว่านางก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ เรื่องนี้จะอย่างไรนางก็ต้องทำ ไม่ทำแล้วจะเป็นฮูหยินของท่านพี่ได้อย่างไร
หนานกงเยี่ยนค่อยๆ ถอดชุดแต่งงานออกเหมือนแกะห่อของขวัญ เขาถอดออกทีละชั้น…ทีละชั้น มองดูผิวขาวผ่องที่แดงระเรื่อเพราะความอายของนาง ผิวนางนุ่มราวกับผ้าไหม ขาวราวกับหิมะ แต่ตอนนี้ผิวขาวๆ ซับสีแดงระเรื่อ ช่างดูเย้ายวนยิ่งนัก ภาพนี้ทำให้บุรุษตื่นตัวอย่างยิ่ง!
เขาถอดจนกระทั่งนางเปลือยเปล่า หว่านหรงอายแสนอาย นางยกมือปิดอกกับเนินกลางตัวเอาไว้ ตัวนางสั่นสะท้านราวกับลูกนกต้องลมหนาว หน้านางแดงก่ำราวกับจะคั้นเลือดออกมาได้ หนานกงเยี่ยนจับมือนางออก “อย่าปิดซิ ข้าอยากดู”
“แต่ว่า…ข้าอาย…” หว่านหรงบอกเสียงเบาหวิว นางอายจนอยากจะวิ่งหนีจริงๆ ข้อมือทั้งสองข้างถูกจับเอาไว้ เปิดเนินอกกับดอกไม้กลางตัวให้สามีได้ยลโฉม หนานกงเยี่ยนชม “เจ้าสวยมาก”
หว่านหรงหน้าแดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไรแล้ว หนานกงเยี่ยนดันตัวนางนอนลงบนเตียง หว่านหรงเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มมา หนานกงเยี่ยนจับข้อมือนาง สั่งว่า “อย่าปิด”
“แต่ข้าอายนี่” หว่านหรงบอก นางอายจนไม่รู้จะอายอย่างไรแล้ว ใจนางเต้นโครมครามจนเหมือนมันจะระเบิดออกมาได้ หนานกงเยี่ยนหยิบผ้าสีแดงผืนหนึ่งมา พลางบอก “ถ้าเจ้าอาย เช่นนั้นก็ปิดตาเถิด”
เขาบอกพลางผูกผ้าผืนนั้นปิดตาของนางเอาไว้ หว่านหรงมองไม่เห็นสิ่งใด ใจนางยิ่งเต้นตึกๆ หนานกงเยี่ยนจับข้อมือนางข้างหนึ่ง แล้วเอาเชือกผ้าไหมสีแดงที่เตรียมเอาไว้ มัดข้อมือนางข้างนั้น หว่านหรงสะดุ้ง “อุ้ย! ท่านพี่จะทำอะไรเจ้าคะ?”
นางใช้มืออีกข้างดึงผ้าปิดตาออก มองสามีอย่างงุนงง
“ข้าจะมัดมือเจ้าทั้งสองข้างเอาไว้ เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำให้เจ้าเจ็บหรอก” หนานกงเยี่ยนบอกน้ำเสียงนุ่มนวล หว่านหรงมองเขา หนานกงเยี่ยนจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากนาง แล้วผละออกห่างนิดหนึ่ง พูดว่า “อย่ากลัวไป ข้าสัญญา ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้าต้องเจ็บ เพียงแต่ว่าข้าชอบเห็นเจ้าถูกมัดน่ะ เจ้าก็ตามใจข้าเถอะนะ”
“ไม่เจ็บแน่นะเจ้าคะ?” หว่านหรงถาม หนานกงเยี่ยนพยักหน้า “อื้ม ไม่เจ็บหรอก ข้าจะค่อยๆ ทำให้เจ้ามีความสุขที่สุด”
เขาจับข้อมือนางอีกข้างอย่างอ่อนโยน บอกเสียงนุ่มว่า “ข้าจะมัดเจ้าไว้ ปิดตาเจ้า ให้เจ้ารับรู้สัมผัสได้ดีขึ้น”
เขาบอกแล้วก็ดึงเชือกมามัดข้อมือนางข้างนั้น หว่านหรงมองข้อมือทั้งสองที่ถูกมัดด้วยเชือกผ้าสีแดง ตัวนางจึงอยู่ในสภาพนอนกางแขนอยู่บนเตียง หนานกงเยี่ยนยิ้มอ่อนโยนพลางจับผ้าปิดตาผูกปิดตาให้นางใหม่ หลังจากปิดตานางแล้ว เขาก็จูบนาง หว่านหรงรู้สึกถึงลิ้นอุ่นๆ แทรกเข้ามาในปากตัวเอง นางถูกลิ้นเขาเกี่ยวไปเกี่ยวมา รสจูบที่นางได้สัมผัสเป็นครั้งที่ 2 ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้น อีกทั้งดวงตานางถูกปิดเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นสิ่งใด จึงทำให้นางรู้สึกถึงสัมผัสบนตัวได้ดีขึ้น
หนานกงเยี่ยนจูบอยู่นานมาก เขาจูบจนคนใต้ร่างแทบจะขาดใจตาย ตอนที่เขาถอนปากออก หว่านหรงหอบหายใจถี่ๆ
ท่าทางพอใจกับรสสัมผัสที่เขามอบให้ เขาเลื่อนปากลงไปจูบไปตามลำคอ หว่านหรงครางออกมา “อือ…”
“ฮูหยิน เจ้าอยากครางก็คราง ไม่ต้องกลัวใครจะได้ยินหรอก คืนเข้าหอ ยิ่งเจ้าสาวครางดังเท่าไหร่ แสดงว่าสามีเจ้ามากความสามารถรู้ไหม” หนานกงเยี่ยนบอกเสียงเบา หว่านหรงครางรับ “อือ…ท่านพี่…”
หนานกงเยี่ยนพรมจูบต่อ เขาและเล็มไปตามผิวแดงก่ำราวกับกลีบดอกไม้สีหวาน หว่านหรงเสียวสยิวจนคราง “อือ…”
หนานกงเยี่ยนพรมจูบไปทั่วลำคอ แล้วเลื่อนปากลงไปหาไหล่เล็ก เขาจูบผิวนางราวกับจะไม่ยอมให้มีส่วนไหนที่ไม่ถูกปากเขาสัมผัส หว่านหรงเสียงสยิวจนตัวเกร็ง “อือ…ท่านพี่เจ้าขา…”
หนานกงเยี่ยนเลื่อนปากไปครอบดอกบัวตูม หว่านหรงสะดุ้งกระถดตัวหนี “อื้อ…”
แต่หลังของนางติดฟูกนุ่มๆ แล้ว อีกทั้งมือทั้งสองข้างก็ถูกมัดเอาไว้ นางหนีไม่ได้ หนานกงเยี่ยนตามประกบดูดดุนราวกับหิวกระหาย ดอกบัวอีกข้างเขาก็ใช้มือเค้นคลึงปลุกเร้าอารมณ์นางให้ลุกโชน หว่านหรงครางดังขึ้น “อื้อ…ท่านพี่…ข้า…ข้า…”
หนานกงเยี่ยนดูดดุนดอกบัวข้างนั้นจนนางขนลุกชันไปทั้งตัว ยิ่งเห็นนางเสียวซ่านเขาก็ยิ่งชอบใจ เขาดูด ขบเม้ม เลียดุนไปดุนมา อีกข้างเขาก็คลึงบีบ บี้ยอดดอกบัวไปมา หว่านหรงบิดตัวไปมา นางเสียวจนแทบขาดใจตาย คิดไม่ถึงว่าการเสพสมจะเสียวถึงเพียงนี้ “อื้อ…ท่านพี่เจ้าขา…พอก่อนเจ้าค่ะ ข้าไม่ไหวแล้ว”
หนานกงเยี่ยนผละจากยอดดอกบัว หว่านหรงคลายความเสียวครู่หนึ่งแล้วนางก็รู้สึกเสียวต่อเมื่อสามีดูดยอดดอกบัวอีกข้าง “อื้อ…ท่านพี่…”
หนานกงเยี่ยนดูดดุนดอกบัวข้างนั้นอย่างไม่ให้มันน้อยหน้าอีกข้างหนึ่ง มือเขาก็เค้นคลึงดอกบัวอีกข้างไปด้วย หว่านหรงบิดตัวไปมา “อื้อ…อื้อ…”
กว่าหนานกงเยี่ยนจะยอมปล่อยดอกบัวทั้งสอง หว่านหรงก็ครางจนเสียงแหบแล้ว หนานกงเยี่ยนเลื่อนริมฝีปากไปคลุกเคล้ากับหน้าท้องนวลเนียน เขาพรมจูบจนทั่วผิวหน้าท้อง หว่านหรงเสียวจนทรมานยิ่งนัก นางรู้สึกทั้งเสียวทั้งจั๊กจี้ “อื้อ…ท่านพี่ พอก่อน”
จนกระทั่งหนานกงเยี่ยนเลื่อนตัวต่ำลงไป เขาจับขานางที่หนีบแน่นออก พลางสั่ง “อ้าขาซิ”
“อื้อ ท่านพี่ ข้าอาย” หว่านหรงบอก หนานกงเยี่ยนสั่งอีกครั้ง “อ้าขาซิฮูหยิน ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขอย่างไรล่ะ”
หว่านหรงยอมอ้าขาออก นางอายจนไม่อยากทำตาม แต่ว่านางจะขัดสามีได้อย่างไร หนานกงเยี่ยนจับขานางอ้าออกไป เขามองดูเนินที่มีเพียงขนอ่อนๆ รำไร ขนของนางไม่รกเหมือนสตรีคนอื่นๆ ขนบางๆ จนดูเหมือนเนินของเด็กสาวที่ขนเพิ่งเริ่มขึ้นทำให้เขารู้สึกยิ่งรักใคร่ฮูหยินของเขามากขึ้นอีก นางช่างงดงามไปทั้งตัว เขาโชคดีจริงๆ ที่ได้นางมาเป็นฮูหยิน ฮ่าๆๆๆ…
กลีบดอกไม้เป็นสีชมพูจางๆ กลีบนางปิดสนิท สมกับที่นางยังเป็นสตรีพรหมจรรย์ เขามองจ้องเนินอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้มลงไปใช้ลิ้นเลียกลีบดอกไม้อ่อนนุ่ม หว่านหรงตกใจ “อ้า! ท่านพี่ ท่านทำอะไร! อย่าเจ้าค่ะ มันสกปรก”
หนานกงเยี่ยนเงยหน้าบอก “เจ้าอยู่นิ่งๆ เถอะ ข้าจะทำให้เจ้าขึ้นสวรรค์”
เขาบอกแล้วก้มหน้าลงไปเลียต่อ หว่านหรงบิดเอวหนีเพราะนางรู้สึกจั๊กจี้ “อื้อ…ท่านพี่ อย่าเจ้าค่ะ ข้าจั๊กจี้”
นางอยากหนี แต่ว่านางหนีไม่ได้ เขาจับเอวนางแน่น ทั้งนางยังถูกมัดมือทั้งสองข้างล่ามเอาไว้กับเตียง นี่คือเหตุผลที่เขามัดนางซินะ เพราะเขากลัวนางจะหนี กลัวนางจะไม่ยอมให้เขาทำอย่างที่เขาทำกับนางตอนนี้ หนานกงเยี่ยนเลียกลีบอ่อนนุ่มครู่หนึ่งแล้วเขาก็แทรกลิ้นเข้าไปในรอยแยกของกลีบดอกไม้ หว่านหรงร้องเสียงหลง “อ้า! ท่านพี่!”
หนานกงเยี่ยนเลียไล้ไปทั่วรอยแยก น้ำหวานฉ่ำชื้นถูกเขากลืนเข้าปากไป หว่านหรงเสียวปนจั๊กจี้ นางดิ้นหนีเขา “อ้า…ท่านพี่…อย่า!”
หนานกงเยี่ยนจับสะโพกนางไว้แน่น เขาเลียไล้ไปมา ยิ่งเลียน้ำหวานก็ยิ่งหลั่งไหลออกมา น้ำหวานนั้นเปื้อนปาก เปื้อนจมูก เปื้อนหน้าเขาไปแทบจะครึ่งหน้าแล้ว หว่านหรงจั๊กจี้จนไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นหายไปตอนไหน นางรู้สึกเสียวมากขึ้น จนตัวนางจากที่ดิ้นหนีก็เบียดเข้าหาปากของสามีโดยไม่รู้ตัว “อ้า…ท่านพี่เจ้าขา…ข้า…ข้า…อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนเลียไม่หยุด เขาต้องทำให้นางสุขสมเสียก่อนแท่งหยกถึงจะสอดใส่เข้าไปได้ง่ายโดยที่นางไม่เจ็บมาก เขาเห็นนางไม่ดิ้นหนีแล้วจึงจับขานางอ้าออกกว้างจนกลีบดอกไม้แบะออก เขาเลียเกสรกลางดอกไม้ ทำให้นางครางกระเส่า “อ้า…อื้อ…อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนเลียๆ ดูดๆ หว่านหรงรู้ซึ้งถึงคำว่า ‘เสียวใจจะขาด’ ก็คราวนี้เอง นางครางเสียงดังขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่ “อ้า…อ้า…”
จนกระทั่งนางตัวเกร็งกระตุก “อ้าาาาา…”
นางสุขสมจนหอบหายใจถี่ๆ การเสพสมทำให้นางรู้สึกมีความสุขถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หนานกงเยี่ยนเลียน้ำหวานของนางกินแล้วผละออก เขาลุกออกจากเตียง เจ๋อหมิงที่รออยู่แล้วก็เดินเข้าไปที่ข้างเตียง เขายืนเปลือยตั้งแต่ตอนที่ฮูหยินถูกมัดมือปิดตาแล้ว เขายืนอยู่ตรงปลายเตียงมองดูนายท่านปรนเปรอนายหญิงจนแท่งหยกของเขาแข็งขึงปวดหนึบ หนานกงเยี่ยนส่งสายตาสั่ง เจ๋อหมิงจึงก้าวขึ้นไปบนเตียง จับขานายหญิงอ้าออก เอาแท่งหยกถูกับดอกไม้งามกลางกายนายหญิง
“อื้อ…ท่านพี่…” หว่านหรงคราง นางเสียวๆ ไร้เรี่ยวแรง เจ๋อหมิงถูไถไปมาจนส่วนหัวเหมือนดอกเห็ดเปียกน้ำหวานเป็นมันเลื่อม แล้วเขาก็ค่อยๆ กดแท่งหยกเข้ารูเล็กคับแคบ หว่านหรงร้อง “อื้อ…ท่านพี่…เจ็บ…”
เจ๋อหมิงพยายามค่อยๆ ดันแท่งหยกเข้าไปอย่างทนุถนอม หนานกงเยี่ยนก้มลงไปพูดข้างหูฮูหยินว่า “ทนหน่อยนะฮูหยิน ครั้งแรกของสตรีล้วนเจ็บเช่นนี้ทุกคนแหละ ครั้งต่อๆ ไปเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว”
“อื้ม” หว่านหรงพยักหน้ารับ เจ๋อหมิงค่อยๆ ดันแท่งหยกกระแซะๆ เข้าไป เขาทะลวงเยื่อพรหมจรรย์จนฉีกขาด ปึด!
“อื้อ!” หว่านหรงสะดุ้งเจ็บ นางกัดปากอดทนต่อความเจ็บนั้น เจ๋อหมิงจึงก้มลงไปดูดดอกบัวตูมข้างหนึ่ง หว่านหรงรู้สึกเสียวๆ จึงลืมความเจ็บตรงดอกไม้กลางกายไปชั่วครู่ เจ๋อหมิงดูดดอกบัวไปพลางค่อยๆ กระแซะๆ ดันแท่งหยกเข้าไปทีละนิด…ทีละนิด
หนานกงเยี่ยนมองแท่งหยกของเจ๋อหมิงที่กำลังทะลวงรูฮูหยินของเขา หากว่าเขายังมีแท่งหยกอยู่ ไหนเลยเขาจะยอมให้เจ๋อหมิงทำแบบนี้กับฮูหยินของเขา แต่น่าเสียดายที่แท่งหยกของเขาไม่มีแล้ว ดังนั้นหน้าที่ทะลวงรูเขาจึงให้เจ๋อหมิงมาทำแทน
ตอนแรกเจ๋อหมิงก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ว่าเขาถูกนายท่านทั้งกล่อมทั้งบังคับขู่เข็นจนเขาไม่ยอมก็ไม่ได้ นายท่านจำเป็นต้องมีทายาทสืบสกุล หากว่าเป็นลูกของคนอื่น หนานกงเยี่ยนก็ทำใจรับเป็นพ่อไม่ลง แต่ถ้าเป็นลูกของเจ๋อหมิง เขาก็ทำใจยอมเป็นพ่อเด็กได้
“อื้อ…ท่านพี่…” หว่านหรงคราง นางเริ่มเสียวๆ ขึ้นมา เจ๋อหมิงจึงค่อยๆ ขยับดึงแท่งหยกออกแล้วดันเข้าไปเบาๆ หนานกงเยี่ยนยืนดูเจ๋อหมิงทะลวงรูฮูหยินของเขา นี่แหละคือเหตุผลที่เขามัดมือนางและปิดตานาง นางจะได้ไม่รู้ว่าคนที่ทะลวงรูนางอยู่ไม่ใช่เขา แต่เป็นเจ๋อหมิง!
“อื้อ…ท่านพี่เจ้าขา…” หว่านหรงเสียวซ่าน ความเจ็บไม่รู้หายไปตอนไหน นางในตอนนี้รู้สึกแต่คำว่าเสียวกับเสียว ดอกบัวก็ถูกดูด รูก็ถูกแทง มันทำให้นางเสียวทั้งบนเสียวทั้งล่าง อา…นางมีความสุขจริงๆ ท่านพี่ของนางเยี่ยมที่สุด!
เจ๋อหมิงเห็นว่านายหญิงเสียวจนควรที่จะเร่งความเร็วได้แล้ว เขาจึงผละจากดอกบัวตูม ยันตัวขึ้นขยับเอวกระแทกกระทั้นแรงขึ้น เขากระแทกถี่ๆ หว่านหรงเสียวจนรู้สึกเหมือนใกล้จะแตะขอบสวรรค์อีกครา นางจึงครางกระเส่าอย่างกลั้นไม่อยู่ “อ้า…ท่านพี่…อื้อ…”
จนกระทั่งนางตัวเกร็งกระตุก สุขสมอีกครั้ง “อ้าาาาา…”
แต่เจ๋อหมิงยังไม่ถึงขอบสวรรค์เลย เรียกว่ายังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ เขาจึงตะบันเอวใส่นายหญิงต่อไป จนนางหัวสั่นหัวคลอน “อ้า…ท่านพี่…ท่านหยุดก่อน ข้าไม่ไหวแล้ว”
เจ๋อหมิงไม่หยุด เขาเสียวมาก เสียวจนหยุดไม่ได้ เขากระแทกกระทั้นตะบันเอวใส่ไม่ยั้ง ขบปากกลั้นเสียงครางไม่ให้หลุดรอดออกมา สีหน้าเขายามนี้จึงดูถมึงทึง หนานกงเยี่ยนยืนดู เขากำมือแน่น ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรดี หึงหวง? แน่นอนว่าเขาย่อมหึงหวง เขาชอบหว่านหรง จนออกจะแน่ใจด้วยซ้ำว่าเขารักนาง ดังนั้นเขาจึงหึงหวงนาง แต่ว่าเขาไม่มีแท่งหยก เขาให้ความสุขกับนางไม่ได้ เขาทำให้นางมีลูกไม่ได้ ข้อนี้เขาเข้าใจดี ไม่เช่นนั้นเขาจะบังคับขู่เข็นให้เจ๋อหมิงมาทำหน้าที่นี้แทนเรอะ!
แต่ว่าเขากลับมีความรู้สึกที่ไม่ควรมีขึ้นมา นั่นคือเขารู้สึกพออกพอใจที่เห็นเจ๋อหมิงกำลังทะลวงรูฮูหยินของเขา เขาถึงขั้นจินตนาการว่าถ้าหากเขาบอกให้นางรู้ความจริง ทำให้นางยอมรับเรื่องนี้ได้ บางทีเขาอาจจะได้ร่วมเสพสมกับนางไปพร้อมๆ กับเจ๋อหมิง เขาลูบไล้ดูดเลียนาง ส่วนเจ๋อหมิงก็ทะลวงรูนางไป ถ้าเป็นเช่นนี้ได้จริงๆ เขาจะมีความสุขขนาดไหนนะ? อืม?
เขากำลังจินตนาการว่าตัวเองก้มลงไปดูดเลียดอกบัวตูมคู่นั้นในขณะที่เจ๋อหมิงกำลังทะลวงรูนางอยู่ อา…
เขาอยากทำแบบนั้นใจจะขาด แต่ว่าเขาก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ ไม่งั้นเขาจะทำให้ความลับแตกเสียเอง แล้วถ้านางทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นมา นางหนีเขาไป เขาได้เสียใจจนตายแน่ๆ
หว่านหรงถูกกระแทกกระทั้นจนนางสุขสมอีกครั้ง “อ้าาาาา…”
เจ๋อหมิงยังคงกระแทกกระทั้นต่อไป เขายังไม่ถึงครึ่งทางเลย รูนายหญิงช่างรัดแน่นเหลือเกิน หากว่าเป็นพวก ‘ไก่อ่อน’ คงสุขสมไปนานแล้วกระมัง แต่ว่าเขาดันเป็นพวก ‘โคถึก’ หรือไม่ก็ ‘ม้าป่าคะนองไพร’ ดังนั้นเขาจึงยังไม่สุขสมง่ายๆ
จนกระทั่งหว่านหรงสุขสมไปอีกเจ็ดแปดครั้ง เจ๋อหมิงจึงได้สุขสม “โอ…”
เขาหลุดปากครางออกมา ครั้นรู้ตัวก็รีบเม้มปากแน่น หลั่งน้ำไว้ในกายนายหญิงจนชุ่มโชก หลังจากสุขสมแล้วเขาก็ถอนแท่งหยกออกมา แล้วลงจากเตียง เดินหายไปทางช่องทางลับที่ข้างผนังห้อง หนานกงเยี่ยนมองฮูหยินของเขาที่นอนอ้าขา มีน้ำขาวขุ่นไหลออกมาจากรูสวรรค์ เขามองนางอยู่นานมาก มองจนกระทั่งเห็นนางผล็อยหลับไป เขาจึงละสายตาจากนาง ถอดชุดแต่งงานออกจนเหลือเพียงอาภรณ์ตัวในแล้วนั่งลงบนเตียง แก้เชือกที่มัดข้อมือนางออก เขานอนลงข้างๆ นาง กอดนางเอาไว้ ถึงเขาไม่มีแท่งหยก แต่ว่าเขาก็จะทำให้นางมีความสุขที่สุด!
ตอนเช้าบ่าวไพร่ต้มน้ำร้อนไว้รอท่า แต่ว่าพวกเขารอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่มีเสียงนายท่านเรียกหาให้ยกน้ำร้อนเข้าไป พวกเขาชะเง้อคอมองจนคอยืดคอยาว รอแล้วรออีก รอต่อไป จนกระทั่งเกือบเที่ยงวันถึงได้ได้ยินเสียงนายท่านเรียก “ยกน้ำร้อนเข้ามาที”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำแล้วรีบวิ่งไปเทน้ำร้อนใส่อ่าง จากนั้นก็ยกเข้าไปในห้อง หนานกงเยี่ยนลุกออกจากเตียง ทำให้หว่านหรงสะดุ้งตื่นขึ้นมา นางมองไปเห็นสาวใช้เข้ามาวางอ่างน้ำร้อน นางจึงลุกขึ้นนั่ง นางรู้สึกถึงลมเย็นๆ พัดผ่านผิวนางจึงก้มลงมองตัวเอง พบว่านางไม่ได้สวมอาภรณ์สักชิ้น นางจึงหลุดอุทานออกมา “อุ้ย!”
นางห่อไหล่ รีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัว หนานกงเยี่ยนหันไปมองฮูหยินพลางบอก “เจ้าจะนอนต่อก็ได้ ไม่ต้องรีบลุกหรอก”
“จะได้อย่างไรกันเจ้าคะ เวลาใดแล้วเจ้าคะ?” หว่านหรงถาม หนานกงเยี่ยนหลิ่วตาถามสาวใช้ สาวใช้จึงบอก “ยามอู่* แล้วเจ้าค่ะ”
(ยามอู่ (午:wǔ) คือ 11.00 – 12.59 น.)
“ตายจริง ข้าตื่นสายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” หว่านหรงตกใจ สาวใช้ก้มหน้ายิ้ม นางเคยได้ยินว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คู่แต่งงานใหม่จะตื่นสาย ก็เขาว่ากันว่า คืนเข้าหอบ่าวสาวมักจะทำเรื่องในม่านมุ้งกันเกือบทั้งคืนนี่นา แล้วถ้านางจำไม่ผิด เมื่อคืนนี้ตอนยามโฉ่ว* นางตื่นขึ้นมายังได้ยินเสียงฮูหยินครางแว่วๆ อยู่เลย
(ยามโฉ่ว (丑:chǒu) คือ 01.00 – 02.59 น.)
“เอ่อ…อาภรณ์ข้า…” หว่านหรงถามอย่างกระอักกระอ่วนใจ หนานกงเยี่ยนจึงสั่ง “นายหญิงเจ้าเรียกหาอาภรณ์ เจ้ารีบไปหยิบให้นางซิ”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วถอยออกไป หนานกงเยี่ยนจึงหันไปพูดกับฮูหยินว่า “เดี๋ยวข้าไปอาบน้ำที่เรือนข้าง เจ้าก็อาบน้ำแต่งตัวเถอะ ข้าจะไปรอที่ห้องโถง”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ หนานกงเยี่ยนจึงเดินออกไปจากห้องหอ ซึ่งก็คือห้องนอนเดิมของเขานั่นเอง ห้องนอนที่เขายกให้หว่านหรงอยู่ ส่วนเขาก็ไปนอนที่เรือนข้างๆ กัน หากว่าเขามีแท่งหยก เขาคงอยากอาบน้ำร่วมกับนางแล้วล่ะ แต่นี่เขาไม่มีแท่งหยก เขาจึงไม่อาจอาบน้ำร่วมกับนางได้ และไม่อาจให้นางเห็นร่างกายเปลือยของเขาได้
หลังจากนายท่านหนานกงเดินออกไปแล้วแม่นมจางกับจางลี่ก็รีบเข้าไปรับใช้นายหญิง จางลี่แอบกระซิบถาม “เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
ฉ่า! หว่านหรงหน้าแดงทันตา
“นังคนนี้นี่ ถามอะไรอย่างนั้น” แม่นมจางดุจางลี่พลางถลึงตาใส่ แล้วหันไปถามคุณหนูของนางว่า “นายท่านอ่อนโยนกับคุณหนูไหมเจ้าคะ?”
ฉ่า! หว่านหรงหน้าแดงอีกรอบ นางก้มหน้างุดๆ ดุสาวใช้ทั้งสองว่า “พวกเจ้าถามอะไรห๊ะ!”
แม่นมจางกับจางลี่เห็นปฏิกิริยาของคุณหนูเช่นนั้นก็แอบยิ้มให้กัน พวกนางเองก็ได้ยินเสียงครางของคุณหนูดังแว่วๆ เหมือนกัน เสียงนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเมื่อคืนคุณหนูของพวกนางมีความสุขขนาดไหน เดาว่าฝนคงตกจนท่วมท้นเลยกระมัง ฮี่ๆๆๆ…
“นายหญิงเจ้าคะ น้ำร้อนเต็มอ่างแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้บอกอยู่หน้าประตู หว่านหรงจึงร้องบอก “ดี”
จากนั้นนางก็ลุกออกจากเตียงอย่างกระมิดกระเมี้ยน ใช้ผ้าห่มคลุมร่างเดินไปทางห้องอาบน้ำด้านหลัง จางลี่รีบเดินตามไปรับใช้ ส่วนแม่นมจางก็มองผ้าปูเตียงสีขาวที่ปูทับผ้าปูเตียงสีแดง บนผ้าขาวมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ นางก็จัดแจงดึงผ้าปูเตียงผืนนั้นออกมาแล้วเอาไปส่งให้สาวใช้เอาไปแขวนตากไว้หน้าบ้าน นี่เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งที่ใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเจ้าสาว ถ้าเจ้าสาวไม่มีเลือดพรหมจรรย์เปื้อนผ้าปูเตียงแสดงว่าเจ้าสาวเคยผ่านมือชายคนอื่นมาแล้ว หากว่าเจ้าสาวเคยผ่านมือชายอื่นมาแล้ว เจ้าบ่าวที่ถูกหลอกลวงก็จะสามารถขอหย่าร้างได้ ซ้ำยังขอคืนสินสอดและของหมั้นได้ด้วย
ถางซือที่รอสืบข่าวอยู่หน้าบ้านตระกูลหนานกง พอเห็นผ้าสีขาวมีรอยเลือดถูกแขวนขึ้นไปนางก็รีบกลับจวนไปรายงานคุณหนูใหญ่ทันที หว่านหรูอี้ฟังรายงานจากสาวใช้แล้วก็คิดๆ นางเดาว่าคืนเข้าหอ หนานกงเยี่ยนคงใช้นิ้วแทงทะลวงแทนแท่งหยกจนพรหมจรรย์ของหว่านหรงขาดกระมัง เขาพิการไม่มีแท่งหยก แล้วจะเอาแท่งหยกที่ไหนมาทำเรื่องนั้นได้ล่ะ หึ! บุรุษต่อให้รูปงามเพียงใด แต่ถ้าพิการไปแล้ว ไม่มีแท่งหยกแล้วยังจะนับว่าเป็นบุรุษได้อย่างไร หนานกงเยี่ยนก็ไม่ต่างจากขันทีในวังหรอก นางไม่รู้ว่าเขาพิการได้อย่างไร แต่ว่าข่าวๆ นี้เชื่อถือได้มากทีเดียว เพราะว่าคนที่ให้ข่าวนี้กับนางคือหนึ่งในสาวใช้อุ่นเตียงของหนานกงเยี่ยนนั่นเอง นางจึงได้หาทางถอนหมั้นกับหนานกงเยี่ยน จนถึงขั้นยอมผลักนังน้องสาวหน้าโง่นั่นลงนรกแทนนางอย่างไรล่ะ
ส่วนนางก็กำลังจะสานสัมพันธ์กับหนุ่มๆ รูปงามที่พบเจอเมื่อวาน แน่นอนว่าเมื่อวานนี้มีบุรุษหลายคนทีเดียวที่เข้ามาพูดคุยกับนาง ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายสาม คุณชายตระกูลหยาง คุณชายตระกูลกวน ฯลฯ พวกเขาล้วนเกี้ยวพานางอย่างออกหน้าออกตา ซ้ำแต่ละคนยังรูปงามทีเดียว ไม่ว่านางจะแต่งกับใครล้วนไม่น้อยหน้านังน้องหน้าโง่นั่นแน่นอน ฮ่าๆๆๆ…
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว หว่านหรงก็เดินไปที่ห้องโถง เห็นสามีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นางจึงเดินไปนั่งลงตรงข้ามเขา หนานกงเยี่ยนชี้นิ้วบอก “หรงเอ๋อร์ เจ้าต้องมานั่งตรงนี้ซิ เราแต่งงานกันแล้วนะ เจ้าจะนั่งเสียห่างข้าอีกทำไม”
“เอ่อ…เจ้าค่ะ” หว่านหรงจึงลุกขึ้นย้ายไปนั่งข้างๆ เขา จางลี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ข้าวใหม่ปลามันก็อย่างนี้แหละ ฮี่ๆๆๆ…
Chapter 6 (18+)ปรนเปรอฮูหยิน 1
สาวใช้ก็ยกอาหารไปวางบนโต๊ะแล้วพากันถอยออกไปอย่างเป็นระเบียบ หนานกงเยี่ยนมองจางลี่ที่ยังยืนหัวโด่อยู่ เขาถามนาง “แล้วเจ้าทำไมยังไม่ออกไปอีก จะอยู่เกะกะสายตาข้าทำไม”
“อ่า…” จางลี่อึ้งไป นางรีบถอยออกไปอย่างเร็วรี่ หนานกงเยี่ยนไม่สนใจสาวใช้อีก ตอนนี้ในห้องเหลือแค่เขากับฮูหยิน เขาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับให้นาง “เจ้ากินเยอะๆ หน่อย จะได้มีแรง”
หว่านหรงหน้าร้อนฉ่า! นางก้มหน้างุดๆ กินข้าวอย่างเอียงอาย
หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว หนานกงเยี่ยนก็พาฮูหยินออกไปดูกิจการของตระกูลด้วยกัน จางลี่กับแม่นมจางก็ตามคุณหนูของพวกนางไปด้วย วันนี้หนานกงเยี่ยนเลือกไปที่ร้านขายเครื่องประดับก่อน เถ้าแก่ก็รีบออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี ซ้ำยังให้ความเคารพนายหญิงอย่างดียิ่ง หนานกงเยี่ยนตรวจบัญชีไปเรื่อยๆ หว่านหรงนั่งดูอยู่ข้างๆ นางมองสามีทำงานอย่างเพลินตา แม่นมจางกับจางลี่ก็กระซิบกระซาบคุยกันอยู่ตรงมุมห้อง พวกนางเห็นกิจการของตระกูลหนานกงแล้วก็อ้าปากค้างไปรอบหนึ่ง นี่เป็นเพียงร้านหนึ่งเท่านั้นเองนะ พวกนางแอบรู้มาว่าตระกูลหนานกงมีร้านค้ามากมายจนนับด้วยนิ้วมือนิ้วเท้าของพวกนาง 2 คนก็ยังไม่พอให้นับเลย คุณหนูของพวกนางช่างวาสนาดีจริงๆ ฮี่ๆๆๆ…
ตกเย็น หนานกงเยี่ยนก็พาฮูหยินไปกินอาหารที่โรงเตี้ยมฮุ่ยหมิ่น เขาสั่งอาหารมากมาย ซ้ำยังสั่งเผื่อสาวใช้ของภรรยาด้วย สาวใช้ทั้งสองได้แยกตัวไปนั่งกินข้าวที่โต๊ะชั้นล่าง ส่วนหนานกงเยี่ยนกับหว่านหรงก็นั่งกินอาหารอยู่ในห้องส่วนตัวบนชั้นที่สอง และห้องส่วนตัวก็เป็นห้องเดิมที่เขาใช้เป็นประจำ จนแทบจะกลายเป็นห้องประจำของเขาไปแล้ว
ขณะที่กินข้าว หนานกงเยี่ยนก็กระเซ้าฮูหยินว่า “จำได้ไหม ห้องนี้ที่เรามากินข้าวด้วยกันอย่างไรล่ะ”
“จำได้เจ้าค่ะ” หว่านหรงตอบเสียงเบา แก้มแดงๆ นางจะจำไม่ได้ได้อย่างไร เหตุการณ์ในวันนั้นได้เปลี่ยนชีวิตนางไปตลอดกาล
“ต้องขอบคุณพี่สาวเจ้าจริงๆ ที่วางยาข้ากับเจ้าในวันนั้น” หนานกงเยี่ยนพูดยิ้มๆ “ทำให้ข้าได้ฮูหยินงามถึงเพียงนี้”
เขาเชยคางนางแล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มนาง หว่านหรงหน้าแดง ฉ่า!
นางก้มหน้างุดๆ อย่างเขินอาย หนานกงเยี่ยนยิ้มถูกใจ แล้วรอยยิ้มของเขาก็หุบลงเมื่อคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา “เสียแต่ว่าทำให้คนอื่นเข้าใจเจ้าผิดนี่ซิ คิดว่าเจ้าแย่งคู่หมั้นพี่สาวตัวเอง เจ้าอยากจะแก้ข่าวไหม? ข้าจะช่วยแก้ข่าวให้”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ใครจะเข้าใจผิดอย่างไรก็ช่างเถอะเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านพี่ไม่เข้าใจผิดข้าก็พอ” หว่านหรงบอกอย่างไม่อยากคิดแค้นอาฆาตอะไร หนานกงเยี่ยนยิ้ม “ก็ได้ ข้าตามใจเจ้า”
ฮูหยินของเขาจิตใจดีงามถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นโชคดีของเขาจริงๆ
หลังจากกินอิ่มแล้ว หนานกงเยี่ยนก็พาฮูหยินกลับบ้าน
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว หว่านหรงก็นั่งรอสามีอยู่ในห้องนอน หนานกงเยี่ยนอาบน้ำแล้วสวมเพียงอาภรณ์ตัวในเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องนอน หว่านหรงมองสามีที่กำลังเดินเอื่อยๆ เข้ามา นางใจเต้นตึกๆ หน้าแดงระเรื่อ หนานกงเยี่ยนนั่งลงบนเตียงมองฮูหยินของเขา สายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก เขาจับไหล่นาง แล้วถอดอาภรณ์ตัวในออกจากตัวนาง หว่านหรงอายแสนอาย แต่ว่านางก็พยายามฝืนข่มความอายเอาไว้ ถึงอย่างไรเมื่อคืนสามีก็เห็นเรือนร่างนางหมดแล้ว เขาเห็นทุกซอกทุกมุม นางยังจะต้องอายอะไรอีก แต่ว่ามันก็ยังอายอยู่ดีนั่นแหละ ฉ่า!
“หรงเอ๋อร์ นอนลงซิ” หนานกงเยี่ยนสั่ง หว่านหรงนอนลงไป หนานกงเยี่ยนก็เอาเชือกผ้าสีแดงที่ผูกกับเสาเตียงมามัดข้อมือนาง หว่านหรงไม่ขัดขืน นางใจเต้นตึกๆ ด้วยซ้ำ รอคอยให้เขามอบความสุขให้นาง
หนานกงเยี่ยนมัดข้อมือข้างนี้เสร็จแล้ว เขาก็ขยับไปมัดข้อมือนางอีกข้าง หว่านหรงนอนกางแขนเปลือยเปล่าอยู่บนผ้าปูเตียงสีแดงสด สีแดงของผ้าตัดกับผิวขาวผ่อง ทำให้นางดูเหมือนปฏิมากรรมชั้นยอดที่สวรรค์สรรสร้าง หนานกงเยี่ยนเอาผ้าปิดตานาง หว่านหรงใจเต้นตึกๆ หนานกงเยี่ยนขยับตัวลุกไปทางปลายเท้า เขาก้มลงจูบหลังเท้าขาวผ่องของนางพลางลูบไล้ท่อนขาเรียวสวยข้างนั้น หว่านหรงครางออกมา “อือ…ท่านพี่…”
เจ๋อหมิงซึ่งแอบอยู่ในช่องทางลับ เขามองลอดรูเล็กๆ ออกไป เห็นว่านายท่านมัดนายหญิงแล้ว ปิดตานายหญิงแล้วด้วย เขาจึงเปิดประตูทางลับเดินย่องไปที่เตียงด้วยฝีเท้าแผ่วเบาไร้เสียง ไปยืนอยู่ตรงหน้าเตียง มองดูนายท่านกำลังปรนเปรอนายหญิง หนานกงเยี่ยนเห็นเจ๋อหมิงมายืนดูก็ไม่สนใจ เขาพรมจูบขาเรียวงามของนางอย่างหลงใหล เขาคิดอยู่ในใจอยากจะให้เจ๋อหมิงช่วยปรนเปรอนางไปพร้อมๆ กัน แต่ว่าจะทำอย่างไรนางจึงจะไม่รู้ตัวนี่ซิ ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด
“อื้อ…ท่านพี่…ข้า…” หว่านหรงครางออกมา นางเสียวสยิวขาจนขนลุกชัน หนานกงเยี่ยนถาม “ข้าอะไรหรือหรงเอ๋อร์? เจ้ารู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาเถอะ ไม่ต้องอายหรอก ข้าจะได้รู้ว่าข้าทำให้เจ้าถูกใจหรือไม่”
เขาพูดแล้วพลางพรมจูบไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ มือก็ลูบไล้ไปด้วย หว่านหรงคราง “ข้า…ข้า…”
นางอายที่จะพูดออกมา หนานกงเยี่ยนก็ไม่ใส่ใจว่านางจะพูดหรือไม่พูด เขาเพียงแค่ปรนเปรอให้นางเยอะๆ ก็พอ ฮี่ๆๆๆ…
เจ๋อหมิงยืนมอง กำมือแน่น เขาอยากจะปรนเปรอนายหญิงแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังต้องรอต่อไป รอจนกว่านายท่านจะสั่ง หนานกงเยี่ยนเหล่อมองเจ๋อหมิงที่ยืนเป้ากลางกายตุงออกมา เขาละสายตากลับไปพรมจูบท่อนขาเรียวสวยต่อ เขาจูบขึ้นไปจนถึงเนินกลางกาย เขาขยับไปนั่งตรงกลางหว่างขานาง จับขานางอ้าออก ใช้มือจับกลีบดอกไม้แหวกออกจนเห็นเกสรสีแดงระเรื่อกลางดอกไม้งาม “เจ้างามเหลือเกินหรงเอ๋อร์ของข้า”
“อื้อ…ท่านพี่” หว่านหรงใจเต้นตึกๆ นางเสียวๆ จนอยากให้เขาพาไปแตะสวรรค์อีกครั้ง หนานกงเยี่ยนก้มลงไปเลียดอกไม้งาม หว่านหรงสะดุ้ง “อื้อ!”
แรกเริ่มนางรู้สึกจั๊กจี้ แต่ครู่ต่อมานางก็รู้สึกเสียว หนานกงเยี่ยนใช้สองมือแหวกกลีบดอกไม้จนเกสรเผยโฉมออกมา เขาเลียๆ ดูดๆ อย่างหิวกระหาย ทำหว่านหรงครางกระเส่าเลยทีเดียว “อ้า…ท่านพี่…อื้อ…ซี๊ด…”
ความรู้สึกที่ถูกแหกกลีบออก ถูกลิ้นร้อนๆ เลียไปทั่วทำให้หว่านหรงเสียวจนแทบขาดใจตาย นางร้องครางลั่นเลยทีเดียว “ซี๊ด…ท่านพี่…”
ยิ่งตอนที่เขาดูดๆ นางยิ่งเสียวจนแทบบ้าคลั่งเลยทีเดียว มันเสียวมาก เสียวจนนางบอกไม่ถูก ในตำรานั่นไม่เห็นมีภาพท่าทางแบบนี้เลย นางไม่รู้ว่าสามีไปจำท่าทางแบบนี้มาจากไหน แต่ว่านางชอบมากจริงๆ นางอยากนอนให้เขาเลียๆ ดูดๆ ทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว “อ้า…ซี๊ด…ท่านพี่…อ้า…”
เจ๋อหมิงเห็นนายหญิงครางกระเส่าบิดตัวเร่าๆ ทำเขารู้สึกอยากเอาแท่งหยกสอดใส่เข้าไปในตัวนางยิ่งนัก เขากำมือแน่น ยืนอดทนอดกลั้นอยู่ตรงนั้น แท่งหยกของเขามันแข็งขึงชี้เด่เลยทีเดียว
“อ้า…ท่านพี่…ข้า…ข้า…” หว่านหรงแอ่นสะโพกขึ้นบดเบียดกับปากสามี หนานกงเยี่ยนจึงยิ่งดูดๆ เลียๆ ดอกไม้งามดอกนั้นอย่างไม่ทนุถนอม เขาดูดจนเสียงดังจ๊วบๆ เลียจนเสียงดังแผล๊บๆ ใบหน้าเขาเปื้อนน้ำหวานของนางไปครึ่งหน้าแล้ว จนกระทั่งหว่านหรงทนไม่ไหว “อ้าาาาา…”
นางสุขสมถึงสวรรค์คาปากสามี หนานกงเยี่ยนเลียกินน้ำหวานของนางครู่หนึ่งแล้วผละออก เขาก้าวลงจากเตียง หลิ่วตาสั่งเจ๋อหมิง เจ๋อหมิงจึงถอดอาภรณ์ออกจนตัวเปลือยๆ แท่งหยกแข็งขึงชี้เด่ หากว่าหว่านหรงได้เห็นขนาดแท่งหยกของเจ๋อหมิงนางคงผวาแน่นอน เพราะว่ามันใหญ่เกือบเท่าข้อมือนางเลยเชียว
หนานกงเยี่ยนเดินไปยกเก้าอี้มาตั้งหน้าเตียง เขานั่งลงรอดู เจ๋อหมิงก็ขยับไปตรงหว่างขานายหญิง จับแท่งหยกถูไถกับดอกไม้งาม หว่านหรงสะดุ้งเสียว “อื้อ!”
เจ๋อหมิงถูๆ ไถๆ จนส่วนหัวเปียกเป็นมันวาว จากนั้นเขาจึงค่อยๆ กดแท่งหยกเข้ารูสวรรค์ หว่านหรงสะดุ้ง “อื้อ!”
นางรู้สึกเจ็บตึง “ท่านพี่ เจ็บ”
หนานกงเยี่ยนลุกขึ้น ก้าวไปชิดเตียงอย่างไร้เสียง เขาขยับไปใกล้ๆ กับเจ๋อหมิงแล้วก้มลงไปดูดดอกบัวตูมข้างหนึ่ง เขาพยายามให้ปากทำมุมใกล้เคียงกับเจ๋อหมิงมากที่สุด หากว่าเขากำลังแทงแท่งหยกเข้าไปแล้วก้มลงไปดูดดอกบัวก็ควรจะให้ปากอยู่ในลักษณะนั้น เพื่อที่ฮูหยินจะได้ไม่สงสัย เขาเลียๆ ดูดๆ ดอกบัวข้างนั้น เจ๋อหมิงก็ค่อยๆ ดันแท่งหยกเข้ารูสวรรค์อย่างทนุถนอม เขารู้ว่านายหญิงยังเจ็บๆ อยู่ ต่อให้เขาอยากทำแรงๆ ขนาดไหนเขาก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ จะทำให้นางเจ็บจนเข็ดขยาดไม่ได้!
“อา…ท่านพี่…” หว่านหรงครางออกมา นางเจ็บล่างแต่ว่าเสียวบนทำให้ความรู้สึกเจ็บๆ กลายเป็นพอทนได้ นางอยากเห็นหน้าสามี แต่ว่าเขาเอาผ้าปิดตานางเอาไว้ นางจึงมองไม่เห็นอะไรนอกจากผ้า กับแสงตะเกียงรางๆ ที่ลอดเข้ามาใต้ตา นางพยายามถูศีรษะกับฟูกนอน หวังให้ผ้าปิดตาหลุดออกแต่ว่าผ้าก็มัดเอาไว้แน่นจนไม่อาจหลุดหรือขยับเขยื้อนได้เลย
หนานกงเยี่ยนเหลือบเห็นนางพยายามเอาผ้าปิดตาออก เขาจึงผละจากดอกบัวบอกน้ำเสียงดุๆ ว่า “หรงเอ๋อร์ อย่าเอาผ้าออก ไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธเจ้าแล้ว”
“ท่านพี่ แต่ว่าข้าอยากเห็นหน้าท่านนี่” หว่านหรงบอกเสียงอ่อน หนานกงเยี่ยนกล่อม “เด็กดี เชื่อฟังข้านะ อย่าพยายามเอาผ้าปิดตาออกอีกนะ แล้วข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขที่สุด”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำอย่างเชื่อฟัง เขาชอบมัดนางแบบนี้นางก็ไม่ขัดขืนอะไร ตราบเท่าที่เขาไม่ได้ทำอะไรที่วิตถารหรือทำให้นางเจ็บปวด นางจะยอมเชื่อฟังเขาก็ได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีของนางแล้ว อีกทั้งคืนที่ผ่านมาเขาก็ทำให้นางมีความสุขมากจริงๆ
เจ๋อหมิงแอบถอนหายใจโล่งอก เขากลัวว่าผ้าปิดตาจะหลุดแล้วนายหญิงจะเห็นว่าคนที่กำลังทะลวงรูนางเป็นเขา ไม่ใช่นายท่าน!
เขาค่อยๆ ดันแท่งหยกเข้าไปจนสุดแล้วค่อยๆ ขยับแทงเข้าออกเบาๆ หว่านหรงเสียวจนเริ่มคราง “อา…”
หนานกงเยี่ยนก้มลงไปดูดดอกบัวต่อ ผิวนางเนียนนุ่มจริงๆ ทำเขาอดทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ไหว ต้องเข้ามาร่วมปรนเปรอนางอีกคน หว่านหรงเสียวบนเสียวล่างจนเริ่มครางกระเส่า “อ้า…ท่านพี่…อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนอยากลูบไล้นางแต่ว่าถ้าเขาทำแบบนั้น นางได้รู้แน่ว่ามีคนจับต้องนาง 2 คน เขาจึงได้แต่ใช้ปากอย่างเดียว เขาดูดๆ เลียๆ ยอดดอกบัวที่ชูชันสู้ลิ้น อา…ดอกบัวนางช่างอร่อยเหลือเกิน!
เจ๋อหมิงขยับกระแทกกระทั้นเร็วขึ้น รูสวรรค์รัดเขาแน่นมาก ทำเขาทนไม่ไหวต้องทะลวงรูนายหญิงแรงๆ หว่านหรงครางกระเส่า “อ้า…ท่านพี่…ข้า…ข้า…ซี๊ด…”
หนานกงเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งดูดๆ เลียๆ ดอกบัวงาม หว่านหรงยิ่งครางดังขึ้น “อ้า…ท่านพี่…ท่านพี่…”
เจ๋อหมิงทะลวงรูตับๆๆๆ…
เขากัดปากกลั้นเสียงครางจนริมฝีปากล่างเป็นรอยฟันจางๆ หนานกงเยี่ยนเลียๆ ดูดๆ อย่างเอร็ดอร่อย จนหว่านหรงตัวเกร็ง ครางเสียงดังลั่น “อ้าาาาา…”
นางหอบหายใจสะท้อนสะท้าน “แฮ่กๆ ท่านพี่ พอก่อน ข้าไม่ไหว มันสะ…เสียวเกินไป”
หนานกงเยี่ยนผละจากดอกบัวงาม เขามองดูนางอย่างรักใคร่ ถามว่า “มีความสุขไหม?”
“อื้อ…เจ้าค่ะ” หว่านหรงครางตอบ “ท่านพี่ หยุดก่อน…”
เจ๋อหมิงไม่หยุด เขายังคงกระแทกกระทั้นทะลวงรูนายหญิงอย่างอดทนอดกลั้นไม่ไหวแล้ว หว่านหรงเสียวจนสุขสมอีกครั้ง “อ้าาาาา…”
นางหอบหายใจ นอนหมดเรี่ยวหมดแรง ครางเสียงแหบแห้ง “อื้อ…ท่านพี่ พอก่อน”
หนานกงเยี่ยนมองดูนาง เขาไม่ได้สั่งให้เจ๋อหมิงหยุด เขาปล่อยให้เจ๋อหมิงทำต่อไป จะว่าเขาจิตใจวิปริตก็ได้ เขาชอบเห็นนางเสียวแทบขาดใจตาย ใบหน้านางช่างเย้ายวนปลุกความเป็นชายให้ตื่นตัว ถึงเขาจะไม่มีแท่งหยกแล้ว แต่ว่าอารมณ์ความต้องการปลดปล่อยยังมีอยู่ ทุกครั้งที่เห็นนางสุขสม เขาก็จะรู้สึกเหมือนตนเองเป็นผู้ชนะ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่ว่าตอนที่เขามองนางอย่างนี้เขาถูกกระตุ้นจนสัญชาตญาณความเป็นชายตื่นตัวถึงขีดสุด แล้วเขาก็จะรู้สึกสุขสมจนเหมือนยังมีแท่งหยกอยู่ ตรงนั้นจะมีน้ำขาวขุ่นไหลออกมา
เจ๋อหมิงกระแทกกระทั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนายหญิงสุขสมอีกเจ็ดแปดครั้ง เขาจึงได้สุขสม แท่งหยกเกร็งกระตุก “โอ…”
เขารีบกัดปากกลั้นเสียงคราง ปลดปล่อยธารขุ่นไว้ในกายนายหญิง หว่านหรงหอบหายใจถี่ๆ นางเหน็ดเหนื่อยจนแทบอยากจะหลับไปเสียเดี๋ยวนั้น ท่านพี่ของนางช่างมีแรงล้นเหลือจริงๆ นางไม่รู้ว่าตัวเองเสพสมกับสามีนานเท่าไหร่ นางรู้แต่ว่าคล้ายกับเนิ่นนานมาก
เจ๋อหมิงดึงแท่งหยกออกมา เขาก้าวลงจากเตียง หยิบอาภรณ์ขึ้นมาสวมแล้วเดินไปทางช่องทางลับ หนานกงเยี่ยนก็ยกเก้าอี้ไปวางที่เดิมอย่างแผ่วเบายิ่ง เขาล่ะอยากจะถีบเจ๋อหมิงสักที มันสุขสมแล้วก็ไม่ช่วยเขาเก็บเก้าอี้เลย! มันน่ากระโดดถีบขาคู่จริงๆ ชิ!
เขาเก็บเก้าอี้แล้วจึงย้อนกลับไปที่เตียง นั่งลงบนเตียง แกะเชือกออกจากข้อมือฮูหยิน หว่านหรงนอนหมดเรี่ยวหมดแรง จนผ้าปิดตาถูกแก้ออกไปนางจึงมองสามีตาปรือๆ “ท่านพี่…”
หนานกงเยี่ยนยิ้มให้นาง หว่านหรงบอกเสียงแหบ “ขอน้ำสักถ้วยเถอะเจ้าค่ะ”
หนานกงเยี่ยนขยับตัวไปรินน้ำชาให้นาง พลางประคองศีรษะนางขึ้น หว่านหรงจิบน้ำชาอึกๆ นางมองสามีอย่างรักใคร่สุดหัวใจ เขาดีกับนางถึงเพียงนี้ นางจะไม่รักเขาได้อย่างไร
จนนางดื่มน้ำชาหมดถ้วยแล้วหนานกงเยี่ยนจึงถาม “เอาน้ำอีกไหม?”
“พอแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากนอนแล้ว” หว่านหรงบอก หนานกงเยี่ยนจึงดึงถ้วยชาไปจากมือนาง เขาวางถ้วยชาไว้ในถาดแล้วขยับไปนอนข้างๆ นาง ดึงนางมากอด หว่านหรงขยับตัวซุกสามีอย่างรู้สึกอบอุ่นใจ หนานกงเยี่ยนนอนกอดนาง ทั้งสองหลับไปด้วยกัน
จนกระทั่งเกือบเที่ยง หนานกงเยี่ยนจึงได้ตื่นขึ้นมา เขาขยับตัวลุกขึ้น ทำให้หว่านหรงลืมตาตื่น “เวลาใดแล้วเจ้าคะ?”
หนานกงเยี่ยนหันไปมองแสงแดดนอกหน้าต่าง “ยามอู่แล้วกระมัง”
เขาลูบๆ ศีรษะนาง “เจ้านอนต่อเถอะ”
“ท่านพี่ตามใจข้าเช่นนี้ไม่ดีนะเจ้าคะ” หว่านหรงเย้า หนานกงเยี่ยนยิ้มให้นาง “เจ้าเป็นฮูหยินข้า ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก แค่คอยดูแลบ่าวไพร่ทำงานก็พอ อีกทั้งพ่อแม่ข้าก็ตายหมดแล้ว เจ้าจึงไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปคารวะพ่อแม่สามี ไม่ดีหรือ?”
“ก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่ว่าท่านพี่คงจะเหงามากเลยใช่ไหมเจ้าคะ?” หว่านหรงมองสามีอย่างเห็นอกเห็นใจ นางรู้ว่าเขาสูญเสียพ่อแม่ไปในช่วงสงคราม นางเคยได้ยินบ่าวเก่าแก่เล่าว่าครอบครัวของสามี พ่อแม่ลูกรักใคร่กลมเกลียวกันดี เขาต้องสูญเสียคนในครอบครัวไปย่อมเสียใจมากแน่นอน หนานกงเยี่ยนพยักหน้า “อืม เมื่อก่อนเหงา แต่ว่าตอนนี้ข้ามีเจ้าแล้ว ไม่เหงาแล้วล่ะ”
หว่านหรงยิ้ม หนานกงเยี่ยนบอก “ข้าไปอาบน้ำก่อน เจ้าก็อาบน้ำเถอะ กินข้าวแล้วข้าจะพาเจ้าไปดูร้านขายผ้าของเรา”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ หนานกงเยี่ยนลุกออกจากเตียงเดินไปที่เรือนข้างๆ
แม่นมจางกับจางลี่ที่คอยเตร็ดเตร่อยู่หน้าเรือน พอเห็นนายท่านออกจากห้องไปแล้ว พวกนางก็แง้มประตูยื่นหน้ามองเข้าไปในห้อง “คุณหนูเจ้าคะ”
หว่านหรงเห็นแม่นมจางกับจางลี่จึงสั่ง “เตรียมน้ำร้อนให้ข้าเร็ว ข้าจะอาบน้ำ”
“เจ้าค่ะ” จางลี่รับคำสั่ง สาวใช้ที่อยู่แถวนั้นก็รีบไปเตรียมน้ำร้อนให้นายหญิงทันที แม่นมจางเดินเข้าไปในห้อง นางจัดแจงรวบม่านมุ้งไปไว้ด้านข้าง พลางถามเสียงเบาว่า “เมื่อคืนนายท่านดีกับคุณหนูไหมเจ้าคะ?”
“แหม ต้องดีซิป้า เมื่อคืนข้าได้ยินเสียงคุณหนูร้องดังซะขนาดนั้น” จางลี่พูดแทรกขึ้นมา หว่านหรงหน้าแดง ฉ่า!
เห็นทีนางต้องพยายามกลั้นเสียงบ้างแล้ว แต่ว่าเพราะท่านพี่นั่นแหละ ทำให้นางเสียวถึงขนาดนั้น นางเลยเผลอร้องเสียงดังจนต้องอับอายบ่าวไพร่เช่นนี้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษท่านพี่ของนางนั่นแหละ
“พรุ่งนี้นายท่านจะพาคุณหนูไปเยี่ยมบ้านเดิมเวลาใดเจ้าคะ?” จางลี่ถาม เพราะตามธรรมเนียมแล้ว สตรีที่แต่งงานแล้ว ในวันที่ 3 หลังจากแต่งงานต้องพาเขยกลับไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยายที่บ้านเดิมของภรรยา
“อืม ไม่รู้ซิ ถ้าอย่างไรข้าจะถามท่านพี่อีกทีล่ะกัน” หว่านหรงบอก นางขยับตัวออกจากผ้าห่ม แล้วนางก็นึกได้ว่านางไม่ได้สวมอะไรเลย นางจึงหน้าแดงๆ จับผ้าห่มเอาไว้ แล้วกระมิดกระเมี้ยนลุกออกจากเตียงโดยเอาผ้าห่มคลุมตัวอีกหน แม่นมจางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จางลี่ก็เช่นกัน ก็นะ นายท่านกับคุณหนูของพวกนางกำลังข้าวใหม่ปลามันนี่นา ฮี่ๆๆๆ…
“นายหญิงเจ้าคะ น้ำร้อนเต็มอ่างแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ร้องบอกอยู่หน้าประตู หว่านหรงจึงตอบ “อืม”
แล้วนางก็จับผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้เดินไปทางห้องอาบน้ำด้านหลัง จางลี่รีบตามไปรับใช้ แม่นมจางก็จัดแจงเก็บที่หลับจัดที่นอน ตอนที่นางจัดที่นอนอยู่นั้นนางบังเอิญเห็นเชือกผ้าสีแดง 2 เส้นผูกอยู่กับเสาเตียงตรงหัวเตียงทั้ง 2 ต้น นางคิดว่าเป็นเชือกที่ใช้ผูกม่านมุ้งกระมัง นางจึงไม่ได้เก็บออกไป เพียงแต่จับเชือกทั้ง 2 เส้นนั้นไปไว้ที่ด้านข้างหัวเตียง นางเห็นผ้าผืนหนึ่งคล้ายสายรัดเอวนางจึงเก็บผ้าผืนนั้นไปใส่ตะกร้า รอให้สาวใช้เอาไปซัก
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว หว่านหรงก็ไปที่ห้องโถง นางนั่งกินข้าวกับสามี ขณะที่กินอยู่นั้นนางก็ถามว่า “ท่านพี่เจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม ท่านพี่จะไปเวลาใดเจ้าคะ?”
“ตื่นเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้นเถอะ” หนานกงเยี่ยนบอกอย่างไม่ใส่ใจ กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมภรรยาไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจจริงๆ นั่นแหละ เขาใส่ใจแค่ว่าฮูหยินของเขาต้องพักผ่อนให้เพียงพอก็พอแล้ว ดังนั้นนางตื่นตอนไหน ก็เอาที่นางสะดวกเถอะ
“เอ่อ…แล้วถ้าข้าตื่นยามอู่เหมือนเช่นวันนี้อีกล่ะเจ้าคะ ท่านพ่อมิรอแย่หรือเจ้าคะ?” หว่านหรงมองสามี หนานกงเยี่ยนบอก “เจ้าจะตื่นตอนไหนก็ตอนนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องรีบตื่นแต่เช้า การนอนพักผ่อนของเจ้าสำคัญกว่าเรื่องอื่น ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวว่าใครจะว่าเจ้าหรอก ข้าไม่ว่า แล้วใครหน้าไหนจะกล้าว่าฮูหยินข้าล่ะ”
“แต่ถ้าพรุ่งนี้พวกเราไม่ไปแต่เช้า ท่านพ่อต้องว่าข้าแน่ๆ เจ้าค่ะ” หว่านหรงบอกอย่างกังวล หนานกงเยี่ยนวางตะเกียบลง จับมือนางกุมเอาไว้ “เจ้าไม่ต้องกังวลไป พ่อตาไม่กล้าว่าเจ้าหรอก ถ้าเขากล้าดุด่าเจ้าแม้ครึ่งคำ ข้าจะตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลหว่านเสียเลย”
“ท่านพี่ก็พูดเกินไป” หว่านหรงบอก หนานกงเยี่ยนยิ้ม “เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลหว่านอีกแล้ว สตรีที่แต่งงานออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้วนั่นแหละ ตอนนี้เจ้าเป็นคนตระกูลหนานกง ดังนั้นเจ้าต้องวางท่าทางให้สง่าผ่าเผยให้สมกับที่เป็นฮูหยินข้า ข้าไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ดังนั้นฮูหยินข้าจะกลัวฟ้ากลัวดินได้อย่างไร เจ้ากลัวคนได้แค่คนๆ เดียว นั่นก็คือข้าอย่างไรล่ะ”
Chapter 7 (18+)ปรนเปรอฮูหยิน 2
หว่านหรงฟังคำพูดอหังการของสามีแล้วรู้สึกฮึกเหิมตามเขา นั่นซิ นางเป็นฮูหยินของเขาแล้ว นางจะทำตัวขลาดเขลาได้อย่างไร
“กินเถอะ” หนานกงเยี่ยนคีบกับให้นาง หว่านหรงจึงกินข้าวต่อ
หลังจากกินข้าวอิ่มแล้วหนานกงเยี่ยนก็พาฮูหยินไปดูกิจการร้านขายผ้าของตระกูล แม่นมจางกับจางลี่ก็ตามไปด้วย พวกนางแทบจะไม่ยอมห่างจากคุณหนูของพวกนางเลย หนานกงเยี่ยนเห็นว่าสาวใช้ 2 คนนี้ซื่อสัตย์จงรักภักดีกับหว่านหรง เขาจึงไม่ว่าอะไร ปล่อยให้พวกนางตามไปคอยดูแลรับใช้ฮูหยินของเขา
เมื่อไปถึงร้านขายผ้า ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลหนานกง รถม้าเพิ่งจะหยุดลงตรงหน้าร้าน เถ้าแก่เห็นรถม้าของนายท่านมาจอดก็รีบก้าวเร็วๆ ไปต้อนรับถึงข้างรถม้าทันที “นายท่านขอรับ”
หนานกงเยี่ยนลงจากรถม้า เขามองเถ้าแก่ทีหนึ่งแล้วหันไปยื่นมือให้ฮูหยินของเขา “หรงเอ๋อร์ ลงมาซิ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงก้าวออกจากรถม้า จับมือสามีก้าวลงจากรถม้า เถ้าแก่รีบกุมมือคารวะ “นายหญิง”
หว่านหรงยิ้มให้เถ้าแก่ ตอนนั้นนางมาที่ร้านขายผ้าแห่งนี้กับพี่สาวต่างมารดา นางในตอนนั้นยังเป็นแค่บุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อผ้าสักผืนจากร้านนี้ มาวันนี้นางกลายเป็นฮูหยินของเจ้าของร้าน เถ้าแก่จึงให้ความเคารพนบนอบเช่นนี้ อำนาจของเงินช่างเปลี่ยนคนได้จริงๆ
“มาเถอะหว่านหรง เข้าไปดูผ้าในร้านซิ เจ้าชอบผ้าพับไหนก็เลือกเอาตามใจชอบเลย” หนานกงเยี่ยนบอก เขาไม่อยากเห็นนางยิ้มให้คนอื่น หว่านหรงหันไปมองสามี ถามเย้าว่า “แล้วถ้าข้าต้องการผ้าทั้งร้านล่ะเจ้าคะ?”
“ก็ขนกลับไปให้หมด” หนานกงเยี่ยนบอกอย่างไม่ใส่ใจ เถ้าแก่อ้าปากค้าง “หา!?”
“ท่านพี่ก็พูดเกินไป อาภรณ์ข้ามีตั้งเยอะแล้ว ข้ายังใส่ไม่ครบทุกชุดเลย หากว่าขนผ้ากลับไปหมดทั้งร้านจริงๆ เดือนไหนปีไหนข้าจะใส่ครบล่ะเจ้าคะ” หว่านหรงหัวเราะเบาๆ สามีช่างตามใจนางเหลือเกิน เช่นนี้แล้วนางจะไม่รักเขาได้อย่างไร นางรักเขา รักมาก มากจนนางเองก็ไม่รู้ว่ามากเท่าไหร่ มากเท่าใบไม้ในผืนป่า หรือมากเท่าเม็ดทรายทั้งหมดในทะเลทรายกระมัง
หนานกงเยี่ยนเห็นนางหัวเราะก็รู้สึกอารมณ์ดียิ่ง แต่พอเขาเหลือบมองเถ้าแก่ที่กำลังมองฮูหยินของเขา เขาจึงกระแอมไอ “อะแฮ่มๆ”
พลางถลึงตาใส่เถ้าแก่ “เจ้ามัวยืนทื่ออะไรอยู่ ยังไม่รีบไปเอาสมุดบัญชีมาให้ข้าตรวจอีกรึ”
“อ่า…ขอรับๆ” เถ้าแก่ที่ได้สายตาดุๆ จากนายท่านรีบตั้งสติกลับมา เขาหันหลังไป ก้าวเร็วๆ เข้าร้านไปทันที พลางคิดว่า ‘ดูเหมือนนายท่านจะหวงนายหญิง’
เขาเป็นเถ้าแก่ร้านมาหลายปี เจอคนมากมาย ดังนั้นสายตาและอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เป็นสิ่งที่เขาต้องคาดเดาให้ออก จะซื้อผ้าหรือไม่? ชอบผ้าแบบใด? น่าจะมีเงินในถุงเงินเท่าไหร่? สิ่งเหล่านี้เขาล้วนคาดเดาได้ค่อนข้างแม่นยำ ยิ่งถ้าบุรุษพาสตรีมาซื้อผ้า เขายิ่งต้องสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของบุรุษให้แจ่มแจ้ง หากเขามองสตรีนางนั้นมากหน่อย อาจได้รับสายตาหึงหวงจากบุรุษที่มากับนาง สายตาของนายท่านก็เป็นเช่นนั้น แสดงออกชัดว่าหึงหวงนายหญิง ก็น่าจะหึงหวงอยู่หรอก นายหญิงงามถึงเพียงนั้น หึๆๆๆ…
เขาคิดๆ อยู่ในใจพลางหยิบสมุดบัญชีไปวางไว้บนโต๊ะ รอให้นายท่านตรวจดู หนานกงเยี่ยนจูงมือฮูหยินเดินเข้าไปด้วยกัน เขาพานางไปที่ห้องด้านใน เถ้าแก่หลุบตาลงไม่มองนายหญิง เขามองนายท่านแล้วบอกว่า “สมุดบัญชีอยู่บนโต๊ะขอรับ ข้าไปยกน้ำชาก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะ” หนานกงเยี่ยนโบกมือไล่ เถ้าแก่กุมมือถอยออกไป หนานกงเยี่ยนนั่งลงที่โต๊ะ
หว่านหรงนั่งลงด้านข้าง นางหยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนหมึกให้สามี เถ้าแก่ก็สั่งลูกน้องในร้านให้ยกน้ำชาไปให้นายท่าน เมื่อก่อนเขามักจะยกน้ำชาไปให้เอง แต่ว่าตอนนี้ถ้าเขายกเข้าไปเอง มีหวังได้เห็นสายตาดุๆ จากนายท่านแน่นอน ดังนั้นให้ลูกน้องที่เป็นสตรียกเข้าไปแทนย่อมดีกว่า เหอๆๆๆ…
หนานกงเยี่ยนนั่งตรวจบัญชีทีละเล่มอย่างละเอียดลออ หว่านหรงนั่งฝนหมึกอยู่ข้างๆ มองดูสามีทำงานไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงเวลาเย็น หนานกงเยี่ยนก็พาฮูหยินออกจากร้านขายผ้า เถ้าแก่ยืนส่งถึงข้างรถม้า เขาพยายามไม่มองนายหญิงมากนัก ไม่เช่นนั้นอาจได้รับสายตาดุๆ จากนายท่านอีกก็เป็นได้ รถม้าขับออกไป เถ้าแก่ถอนหายใจพรู “เฮ้อ…”
“เถ้าแก่ ท่านมีเรื่องหนักใจอะไรหรือเจ้าคะ?” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยปากถาม เถ้าแก่จึงบอก “ไม่มีอะไรหรอก ไปๆ เก็บของปิดร้านเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว”
“เจ้าค่ะ” ลูกน้องรับคำแล้วรีบก้าวเร็วๆ ไปเก็บของทันที เถ้าแก่เดินตามไปช่วยเก็บของ
รถม้าวิ่งกลับบ้าน เมื่อถึงบ้าน หนานกงเยี่ยนก็ลงจากรถม้า เขายื่นมือไปประคองฮูหยินลงมา “เจ้าไปอาบน้ำเถอะ ข้าจะไปรอที่ห้องโถง”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ นางเดินเข้าเรือนไปพร้อมกับแม่นมจางและจางลี่ หนานกงเยี่ยนก็แยกไปที่เรือนข้าง เจ๋อหมิงก้าวไปหาพลางกุมมือ “นายท่าน พรุ่งนี้ท่านจะไปบ้านพ่อตาเวลาใดขอรับ?”
“ขึ้นอยู่กับว่าหรงเอ๋อร์ตื่นเมื่อไหร่ เจ้าก็เตรียมข้าวของไว้ให้เรียบร้อยเถอะ” หนานกงเยี่ยนบอก เจ๋อหมิงรับคำ “ขอรับ”
หนานกงเยี่ยนเดินเข้าเรือนไป เจ๋อหมิงตามไปคอยรับใช้อยู่ข้างกาย
หลังจากกินมื้อเย็นอิ่มแล้ว หนานกงเยี่ยนก็จูงมือฮูหยินเข้าเรือนนอน แม่นมจางกับจางลี่ก็กลับไปพักผ่อน พวกนางจะกล้าตามไปเป็น ‘ก้างขวางคอ’ ได้อย่างไร ฮี่ๆๆๆ…
เมื่ออยู่ในห้องตามลำพังแล้ว หนานกงเยี่ยนก็จับฮูหยินถอดอาภรณ์ออก หว่านหรงหน้าแดงระเรื่อ ใจเต้นตึกตักๆ หนานกงเยี่ยนประคองนางที่เปลือยเปล่าไปที่เตียง เขาปล่อยนางยืนอยู่หน้าเตียง แล้วขยับไปแก้เชือกผ้าสีแดงมาเส้นหนึ่ง เขาเอาเชือกผูกกับคานด้านบน ปล่อยปลายเชือกลงมา แล้วเขาก็แก้เชือกอีกเส้น เอามาผูกกับคานด้านบนปล่อยปลายเชือกลงมา จากนั้นเขาก็หันไปดึงฮูหยิน “มาซิ หรงเอ๋อร์ วันนี้เปลี่ยนท่านะ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำเสียงเบา หนานกงเยี่ยนจับข้อมือนางผูกกับเชือกผ้าสีแดงนั้น โยงนางไว้กลางเตียง หว่านหรงถูกมัดข้อมือห้อยโยงแบบนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด นางไม่รู้ว่าสามีจะมอบความสุขแบบไหนให้นาง หนานกงเยี่ยนหาผ้าผูกตา แต่ว่าหาไม่เจอ เขาจึงเดินไปเปิดหีบใบหนึ่ง หยิบผ้าปิดตาที่เตรียมเอาไว้ออกมา เขาใช้ผ้าผืนนั้นผูกปิดตานาง หว่านหรงมองไม่เห็นอะไร นางได้ยินเสียงสามีเคลื่อนไหวอยู่ข้างกาย หนานกงเยี่ยนขยับไปยืนด้านหน้านาง เขามองนางที่ถูกมัดโยงคุกเข่าอยู่กลางเตียง ผิวขาวตัดกับเชือกสีแดง ทำให้นางดูเหมือนปฏิมากรรมชั้นยอด เขายื่นมือไปบีบดอกบัวงาม หว่านหรงคราง “อื้อ…ท่านพี่”
“หรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนครางเสียงแหบพร่า เขาคุกเข่าลงตรงหน้านาง ก้มลงไปดูดดอกบัวงาม มือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปบีบคลึงดอกไม้งามกลางลำตัว หว่านหรงเสียวจนคราง “อู…ท่านพี่เจ้าขา…”
เจ๋อหมิงได้ยินเสียงคราง เขามองตรงรูเล็กๆ ออกไป เห็นนายท่านกำลังปรนเปรอนายหญิงอยู่ นางถูกปิดตาแล้ว เขาจึงเปิดประตูลับเดินออกไป เขาไปหยุดยืนอยู่หน้าเตียงด้วยฝีเท้าไร้เสียง หนานกงเยี่ยนรู้สึกถึงเจ๋อหมิง เขาเหล่มองเจ๋อหมิงแวบหนึ่ง แล้วขยับตัวอ้อมไปด้านหลังฮูหยิน เขากอดนางจากด้านหลัง มือขยำดอกบัวตูมข้างหนึ่ง อีกข้างก็บีบคลึงดอกไม้งามกลางลำตัว เจ๋อหมิงมองดูฮูหยินที่ถูกปรนเปรอ ใบหน้านางช่างเย้ายวนชวนให้กระแทกให้ลึกสุดรูจริงๆ
หนานกงเยี่ยนบีบคลึงฮูหยิน ดวงตามองเจ๋อหมิงที่มองมา ราวกับจะบอกเจ๋อหมิงว่า ‘เจ้าดูซิ ข้าทำให้นางเสียวถึงขนาดนี้ นางเป็นของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ในตัวนาง’
เจ๋อหมิงอ่านสายตานายท่านออก เขากำมือแน่น เข้าใจดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ใดๆ เลย แต่ว่าถึงจะไม่มีสิทธิ์ เขาก็รักนางเข้าให้แล้ว!
หนานกงเยี่ยนแทงนิ้วทะลวงรู หว่านหรงสะดุ้งเสียวซ่าน “อื้อ…ท่านพี่…”
“หรงเอ๋อร์ บอกให้ข้าชื่นใจหน่อยซิ ข้าทำให้เจ้าเสียวขนาดไหน” หนานกงเยี่ยนบอกอยู่ข้างหู พลางขบใบหูของนางเบาๆ หว่านหรงครางตอบ “อื้อ…สะ…เสียวมากเจ้าค่ะ อื้อ…อู…”
หนานกงเยี่ยนยิ้มอย่างผู้ชนะ เขามองสบตากับเจ๋อหมิง ‘เห็นรึยังล่ะ’
เจ๋อหมิงมองตอบ เขากำมือแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ แท่งหยกแข็งขึงชี้เด่อยู่ใต้อาภรณ์
“อื้อ…อา…” หว่านหรงครางออกมา นางพยายามกลั้นเสียงครางเอาไว้ หนานกงเยี่ยนบอกอยู่ข้างหู “เจ้าอยากร้อง เจ้าก็ร้องออกมา ไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยินหรอกหรงเอ๋อร์ เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ใครจะได้ยินก็ช่างมันเถอะ”
“อื้อ…ตะ…แต่ว่า…ข้า…อายนี่” หว่านหรงครางบอก “อื้อ…พวกบ่าวได้ยินเสียงข้า พวกเขาจะคิดอย่างไร…”
“ก็คิดว่าข้าเก่งอย่างไรล่ะ” หนานกงเยี่ยนบอก นิ้วยิ่งทะลวงรูถี่ๆ หว่านหรงเสียวจนบิดตัวไปมา ครางกระเส่า “อื้อ…อื้อ…ท่านพี่…ข้าจะ…ข้าจะ…”
หนานกงเยี่ยนยิ่งแทงนิ้วเข้าๆ ออกๆ เร็วขึ้นอีก เขารู้สึกว่ารูนางบีบรัดแน่นมาก น้ำหวานของนางไหลเยิ้มจนเปื้อนมือเขาเต็มไปหมด หว่านหรงเสียวจนสุดจะทนไหว นางตัวเกร็งครางเสียงหวาน “อ้าาาาา…”
หนานกงเยี่ยนแทงนิ้วเข้าๆ ออกๆ รูนางอีกครู่หนึ่งก็ดึงนิ้วออกมา น้ำหวานของนางชโลมเปื้อนมือเขาจนชุ่มโชก เขายกมือข้างนั้นขึ้นดู คล้ายกับจะอวดเจ๋อหมิงไปในตัว หว่านหรงหอบหายใจสะท้อนสะท้าน “แฮ่กๆ”
นางคุกเข่าหมดเรี่ยวหมดแรง หากว่าข้อมือไม่ได้ถูกมัดโยงเอาไว้ ตัวนางคงทรุดลงไปกองกับฟูกนิ่มแน่นอน หนานกงเยี่ยนอ้อมตัวนางลงจากเตียง หลิ่วตาสั่งเจ๋อหมิง เจ๋อหมิงจึงถอดอาภรณ์ออกจนตัวเปลือยเปล่า หนานกงเยี่ยนใช้นิ้วเขียนอักษรบนแผ่นหลังเจ๋อหมิง เจ๋อหมิงรอจนนายท่านเขียนจบแล้วเขาจึงก้าวขึ้นเตียง อ้อมไปด้านหลังนายหญิง หนานกงเยี่ยนก้าวไปยกเก้าอี้มาตั้งหน้าเตียง นั่งลงรอดู เจ๋อหมิงเข้าซ้อนด้านหลังนายหญิง เขาจับขานางสอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปใต้ข้อพับเข่า ยกขาข้างนั้นขึ้นสูง ทำให้ดอกไม้งามแบะกลีบอ้าออก เขาจับแท่งหยกถูไถกับดอกไม้งามดอกนั้นจากทางด้านหลัง หนานกงเยี่ยนจ้องมองแท่งหยกที่กำลังถูไถดอกไม้งาม
“อื้อ…ท่านพี่…” หว่านหรงคราง เจ๋อหมิงค่อยๆ ดันแท่งหยกเข้ารู หว่านหรงเม้มปาก นางรู้สึกเจ็บๆ ตึงๆ คับแน่นมาก เจ๋อหมิงดันแท่งหยกเข้ารูไปได้นิดหนึ่ง เขาก็สอดแขนเข้าไปใต้ข้อพับเข่าอีกข้างของนายหญิง ยกขานางขึ้น ทำให้นางอยู่ในท่ากางขาอ้าออก เจ๋อหมิงค่อยๆ ดันแท่งหยกกระแซะๆ เข้าไป หว่านหรงคราง “อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนอยากจะดูให้ชัดๆ เขาจึงขยับลุกไปนั่งบนเตียง มองจ้องดอกไม้งามที่กำลังถูกแท่งหยกทะลวงเข้าไป ขณะที่มองอยู่นั้น เขาเกิดความคิดอยากเลียดอกไม้งามไปด้วย แต่ว่าถ้าเขาทำแบบนั้น นางรู้แน่นอนว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย เขาข่มใจตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ทำแบบนั้น เขามองจ้องดอกไม้งามดอกนั้นเขม็ง เจ๋อหมิงทะลวงเข้าไปจนสุดแล้วก็ยกตัวนายหญิงขึ้น ทำให้ดอกไม้งามรูดแท่งหยกขึ้นไป
“อื้อ…” หว่านหรงคราง รู้สึกคับแน่นมาก เจ๋อหมิงปล่อยตัวนายหญิงลง ทำให้ดอกไม้งามกลืนแท่งหยกเข้าไป หนานกงเยี่ยนเห็นกลีบเนื้ออ่อนนุ่มยู่เข้ายู่ออก มันช่างทำให้เขาตื่นตัวจริงๆ เจ๋อหมิงยกตัวนายหญิงขึ้นๆ ลงๆ แท่งหยกทะลวงเข้าๆ ออกๆ ทำเขาเสียวจนอยากร้องครางยิ่งนัก แต่เขาก็ต้องกลั้นเสียงเอาไว้ หว่านหรงเสียวจนกลั้นเสียงครางไม่อยู่ “อื้อ…ท่านพี่…ซี๊ด…”
หนานกงเยี่ยนจ้องมองแท่งหยกที่เปื้อนน้ำหวานเป็นมันวาวกำลังทะลวงเข้าๆ ออกๆ รูเล็กแดงแจ๋ ทำเขานึกถึงตอนที่ยังมีแท่งหยกอยู่ ความรู้สึกนั้นมันยากจะลืมจริงๆ เขาจินตนาการว่าตัวเองกำลังทำกับฮูหยิน คิดว่าแท่งหยกของเจ๋อหมิงก็คือแท่งหยกของเขา อา…
เขาจ้องมองตาไม่กะพริบ มองดูน้ำหวานไหลย้อยชโลมแท่งหยกจนเป็นมันวาว กลิ่นน้ำหวานของนางช่างเย้ายวนใจยิ่ง อู…
เขาอดใจไม่ไหวจนต้องยื่นมือไปบี้เกสรของนาง หว่านหรงเสียวสะท้านทันที “อ้า…ซี๊ด…”
เจ๋อหมิงถูกรูน้อยรัดแน่นติ้ว ทำเขาแทบเกือบถึงสวรรค์ทันใด รูนางบีบรัดแน่นมาก หนานกงเยี่ยนเห็นฮูหยินครางกระเส่าก็ยิ่งบี้เกสรแรงๆ หว่านหรงเสียวแทบขาดใจ “อ้า…ท่านพี่…อื้อ…”
ใบหน้านางเหยเกคล้ายกับทรมานปนสุขเสียว ครางกระเส่าฟังไม่ได้ศัพท์ “อ้า…อ้า…”
ยิ่งนางครางเสียงดัง เจ๋อหมิงก็ยิ่งยกตัวนางขึ้นๆ ลงๆ ถี่ๆ หนานกงเยี่ยนก็บี้เกสรแรงๆ ไม่หยุดไม่พัก หว่านหรงเสียวจนลืมคิดถึงความผิดปกตินี้ไป ในเมื่อแขนทั้งสองสอดอยู่ใต้ข้อพับ แล้วยังจะใช้มือบี้เกสรได้อีกหรือ? ความผิดปกตินี้นางไม่ทันคิดจริงๆ นางถูกทำให้เสียวจนจะขาดใจตาย ไหนเลยจะมีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่นอีก นางรู้แต่ว่าเขาทำให้นางเสียวมาก!
“อ้า…อ้า…อ้าาาาา…” นางครางเสียงดัง ตัวเกร็งกระตุก สุขสมอีกครา น้ำหวานหลั่งชโลมแท่งหยกจนหยดลงบนฟูกแหมะๆ
“อ้า…ท่านพี่พอก่อน ข้าเสียวมาก” นางร้องบอก นางเพิ่งจะสุขสมไป ทำให้ตรงส่วนนั้นรู้สึกอ่อนไหวมากขึ้น เขายังทะลวงรูไม่หยุด ซ้ำยังบี้เกสรไม่พัก มันทำให้นางเสียวจนทนไม่ไหวจริงๆ แต่บุรุษทั้งสองกลับไม่หยุดตามที่นางขอ พวกเขายังคงกระทำการเช่นเดิมต่อไป เจ๋อหมิงยกนายหญิงขึ้นๆ ลงๆ รูนางรัดแน่นติ้วทำเขาเสียวมาก หนานกงเยี่ยนเห็นนางเสียวจนตัวสั่นก็ยิ่งรู้สึกสะใจ ใบหน้านางยามนี้ช่างกระตุ้นอารมณ์เขามากจริงๆ หว่านหรงถูกเขา 2 คนร่วมมือกันปรนเปรอนาง นางจึงได้แต่ร้องครางเสียงแหบเสียงแห้ง “อ้า…ท่านพี่…ซี๊ด…”
สาวใช้บ่าวไพร่ที่เข้าเวรกลางคืน พวกเขาล้วนเอาฝ้ายอุดหูเอาไว้ นายท่านกับนายหญิงกำลังใช้วิชา ‘เสกเด็ก’ พวกเขามีแต่ความยินดี เชื่อว่าอีกไม่นานนายหญิงต้องมีคุณชายน้อยๆ แน่นอน ฮี่ๆๆๆ…
เจ๋อหมิงยกนายหญิงขึ้นๆ ลงๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หว่านหรงเสียวแทบขาดใจตายคาแท่งหยก หนานกงเยี่ยนก็บี้เกสรไปเรื่อยๆ เขาชอบสีหน้านางในตอนนี้ยิ่งนัก ช่างเย้ายวนยิ่งนัก ปลุกเร้าอารมณ์เขาจนแทบจะบ้าคลั่งแล้ว หว่านหรงครางเสียงแหบแห้ง “อ้า…อ้า…”
จนกระทั่งนางสุขสมถึงสวรรค์ไปเจ็ดแปดครั้ง เจ๋อหมิงจึงได้ถึงคราวสุขสมบ้าง “อื้อ!”
เขากลั้นเสียงครางจนมันกลายเป็นเสียงคำรามอยู่ในลำคอ แท่งหยกกระตุกยึกๆ หลั่งธารขุ่น สายธารนั้นไหลย้อยออกมาหยดแหมะๆ
เขาปล่อยตัวนายหญิงลง ดึงแท่งหยกออกจากกายนาง หนานกงเยี่ยนก็ดึงมือกลับไปพร้อมกัน เจ๋อหมิงก้าวลงจากเตียง หยิบอาภรณ์ขึ้นมาสวมแล้วเดินไปที่ประตูลับ หนานกงเยี่ยนมองฮูหยินของเขาที่คุกเข่าหมดเรี่ยวหมดแรง เขารอจนประตูลับปิดสนิทแล้วจึงได้ก้าวไปแก้เชือกออกจากข้อมือฮูหยิน เขาประคองนางนอนลง หว่านหรงหอบหายใจสะท้อนสะท้าน นางผล็อยหลับไปทันทีที่นอนลงไป หนานกงเยี่ยนแก้ผ้าผูกตาออก เขาเห็นนางหลับไปแล้วเขาจึงหันไปยกเก้าอี้เก็บแล้วเดินกลับไปนอนกอดนางหลับไปด้วยกัน
เช้าวันที่ 3 หลังจากหว่านหรงแต่งงาน หว่านกัวฉายตื่นแต่เช้า เขากินข้าวเช้าแล้วก็ชะเง้อมองประตูเรือนตลอดเวลา เขากำลังรอลูกสาวกับลูกเขยกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมของภรรยาตามธรรมเนียม อนุรองก็ชะเง้อชะแง้รอคอยเช่นกัน แม้นางจะเกลียดหว่านหรงเข้ากระดูกดำที่กล้าแย่งวาสนาของลูกสาวนางไป แต่ว่านางก็ไม่กล้าแสดงออกนอกหน้า อีกทั้งตระกูลหนานกง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องพยายามผูกมิตรให้ดีที่สุด
ยามเหมา* ผ่านไป หว่านกัวฉายก็ลุกไปรออยู่ที่ห้องโถงหน้า เขานั่งรอจิบชารอไปเรื่อยๆ อนุรองและอนุคนอื่นๆ ก็พากันมารอต้อนรับเขยเยี่ยนเช่นกัน แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากจะผูกมิตรกับหนานกงเยี่ยน
(ยามเหม่า (卯:mǎo) คือ 05.00 – 06.59 น.)
จนกระทั่งยามเฉิน* ผ่านไป ก็ยังไม่มีวี่แววว่าหนานกงเยี่ยนกับหว่านหรงจะมาถึงเลย หว่านกัวฉายจึงสั่งบ่าว “ไปดูซิ ลูกเขยเยี่ยนมาถึงหรือยัง”
(ยามเฉิน (辰:chén) คือ 07.00 – 08.59 น.)
“ขอรับ” บ่าวรับคำแล้วรีบเดินออกไป เขาไปดูที่ประตูใหญ่ มองชะเง้อออกไปเบื้องนอกก็ยังไม่เห็นวี่แววรถม้าของตระกูลหนานกงเลย มีแต่คนเดินถนนผ่านไปผ่านมา เขามองๆ รอๆ มองแล้วมองอีก จึงกลับไปรายงานนายท่านว่า “ยังไม่มาขอรับ”
“จนป่านนี้ยังไม่มาอีก” หว่านหรูอี้บ่นเบาๆ นางมารอดูน้องสาวต่างมารดาหน้าโง่ที่ต้อง ‘หวานอมขมกลืน’ เพราะสามีพิการ นางรอที่จะเยาะเย้ยอยู่เลยเชียว นังนั่นเป็นลูกฮูหยินเอกแล้วอย่างไร อยู่ในจวนก็อยู่เหมือนคนไร้ค่าคนหนึ่ง อาหารการกิน อาภรณ์ผ้าผ่อน เรือนนอน ข้าวของทุกอย่างล้วนสู้นางที่เป็นลูกอนุรองไม่ได้สักอย่าง
“อี้เอ๋อร์” อนุรองรีบสะกิดลูกสาว แล้วเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “อาจจะกำลังมาก็ได้”
นางขึงตาใส่ลูกสาวเป็นเชิงบอกให้สงบปากสงบคำ หว่านหรูอี้เหยียดปากทีหนึ่งแล้วยกชาขึ้นจิบปิดบังสีหน้าเอาไว้ อนุรองรีบหันไปพูดกับสามีว่า “บางทีหรงเอ๋อร์อาจจะกำลังมากระมัง”
“อืม” หว่านกัวฉายพยักหน้า ยกชาขึ้นจิบ รอต่อไป
จนกระทั่งยามซื่อ* ผ่านไป หว่านกัวฉายก็มีสีหน้าทะมึนขึ้นมาแล้ว เขาวางถ้วยชากระแทกดังปึก! “ฮึ่ม!”
(ยามซื่อ (巳:sì) คือ 09.00 – 10.59 น.)
ปกติแล้วลูกสาวและลูกเขยจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของภรรยาก็ไม่ควรเกินยามเฉิน(07.00 – 08.59 น.) แต่นี่จนเลยยามซื่อ(09.00 – 10.59 น.)ไปแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา! เขยเยี่ยนทำเช่นนี้เหมือนไม่เห็นหัวบ้านเดิมภรรยาเลย! ถือว่าร่ำรวยกว่ารึ! ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นขุนนางในราชสำนักนะ! (แม้ว่าตำแหน่งจะไม่ใหญ่โตก็เถอะ)
เขาโมโหจนหน้าแดง จึงลุกขึ้นเดินกลับเรือนนอนไป เหล่าอนุก็คุยกัน “เอ…หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
อนุรองมองไปมองมา นางจึงสั่งบ่าวว่า “เจ้าไปดูที่บ้านตระกูลหนานกงที เหตุใดหรงเอ๋อร์กับเขยเยี่ยนจึงยังไม่มาสักที”
“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วถอยออกไป อนุรองก็ตามสามีไป แน่นอนว่านางต้องไปพูดปลอบใจสามีให้ใจเย็นลง
บ่าวจากจวนตระกูลหว่านรีบเดินไปที่บ้านตระกูลหนานกง เมื่อไปถึงบ้านตระกูลหนานกง เขาก็ถามยามเฝ้าประตูว่า “เหตุใดท่านเขยเยี่ยนกับคุณหนูรองถึงยังไม่ไปเยี่ยมท่านอาลักษณ์หว่านหรือ?”
“เจ้าเป็นใคร?” ยามเฝ้าประตูถาม บ่าวจึงบอกว่า “ข้าเป็นบ่าวจวนตระกูลหว่าน ฮูหยินให้ข้ามาถามเพราะว่าท่านอาลักษณ์หว่านรอคุณหนูกับท่านเขยตั้งแต่เช้าแล้ว”
“นายท่านข้ายังไม่ตื่น เรื่องไปเยี่ยมตระกูลหว่าน ต้องรอให้นายท่านตื่นเสียก่อน” ยามเฝ้าประตูบอก บ่าวอึ้งงันไป “ยังไม่ตื่น!”
ยามเฝ้าประตูไม่สนใจบ่าวคนนั้นอีก บ่าวพยายามตั้งสติกลับมาแล้วเดินกลับจวนไปรายงานอนุรอง
หลังจากอนุรองและหว่านกัวฉายได้ยินคำรายงานของบ่าว อนุรองก็อึ้งงันไปเหมือนกัน ส่วนหว่านกัวฉายโมโหจนหน้าดำหน้าแดงแล้ว “วะ! ไอ้เด็กนั่นมันเห็นหัวข้าไหม!?”
‘แน่นอนว่าไม่เห็นหรอก ไม่งั้นจะปล่อยให้รอแบบนี้เรอะ!’ นี่คือความคิดของอนุรอง แต่ว่านางก็ไม่กล้าพูดออกไป ทำได้เพียงปลอบสามีไปตามเรื่องตามราว “บางทีลูกเขยเยี่ยนอาจจะนอนดึกมากกระมังเจ้าคะ”
Chapter 8 (18+)เลียดอกไม้ตอนบ่าย
“นอนดึกอะไร! มันไม่เห็นหัวข้าเลยต่างหาก!” หว่านกัวฉายตะโกนอย่างโมโห “ดูอย่างตอนแรกที่มันมาขอหมั้นซิ มันหมั้นกับอี้เอ๋อร์ไม่กี่วัน มันก็ทำเรื่องบัดสีไปได้เสียกับหรงเอ๋อร์จนต้องแต่งกับหรงเอ๋อร์เนี่ยนะ มันถอนหมั้นง่ายๆ เลยนะ มันไม่เห็นหัวข้าเลยสักนิด!”
“ท่านพี่อย่าเพิ่งโมโหไปเจ้าค่ะ ใจเย็นๆ” อนุรองรินชาให้สามี นางประคองถ้วยชาส่งให้เขา “ท่านพี่น้ำชาเจ้าค่ะ”
“เฮอะ!” หว่านกัวฉายปัดถ้วยชาจนตกแตก เพล้ง!
“อ่ะ!” อนุรองตกใจ หว่านกัวฉายสะบัดแขนเสื้อนั่งหน้าทะมึน อนุรองจึงได้แต่หันไปสั่งสาวใช้ “เข้ามาเก็บไปซิ”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่ง รีบเข้าไปเก็บเศษถ้วยแตกออกไป อนุรองรินชาถ้วยใหม่ประคองส่งให้ “ท่านพี่ ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรเราก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยลูกเขยเยี่ยนอยู่ไม่น้อยเลย อย่างเช่นเรื่องตำแหน่งของท่านพี่ หากว่าได้ลูกเขยเยี่ยนช่วยพูดสักหน่อย ท่านต้องได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่โตมากกว่านี้แน่นอนเจ้าค่ะ”
“เฮอะ!” หว่านกัวฉายแค่นเสียงอย่างอารมณ์เสีย ก็เพราะเขาหวังจะพึ่งพาเจ้าเด็กหนานกงเยี่ยนน่ะซิ เขาถึงได้ยอมยกลูกสาวให้ ไม่เช่นนั้นเขาจะยอมยกลูกสาวให้ง่ายๆ ได้อย่างไร แต่ดูมันทำซิ มันปล่อยให้เขารอตั้งแต่เช้าจนสายป่านนี้ก็ยังไม่โผล่หัวมาเลย มันน่าแพ่งกระบาลนัก! ฮึ่ม!
อนุรองมองสีหน้าสามีแล้วจึงบอก “เช่นนั้น ข้าไปรอที่ห้องโถงนะเจ้าคะ ถ้าลูกเขยเยี่ยนมาถึงแล้วข้าจะให้เด็กมารายงานเจ้าค่ะ”
“หึ!” หว่านกัวฉายโบกมือไล่ อนุรองจึงเดินออกไป
จนกระทั่งยามอู่(11.00 – 12.59 น.) หนานกงเยี่ยนจึงลืมตาตื่น เขามองฮูหยินที่หลับอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขาไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวนางตื่น ร่วมเตียงกับนางมา 3 คืนแล้ว เขาจึงรู้ว่าทันทีที่เขาขยับตัวจะปลุกให้นางตื่นขึ้นมา นางเป็นคนหลับง่ายก็จริง แต่ตื่นไวเช่นกัน เขานอนนิ่งๆ มองนางอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งล่วงเข้ายามเว่ย* หว่านหรงจึงได้ตื่นขึ้นมา นางขยับตัวลุกขึ้น หนานกงเยี่ยนยิ้มให้นาง “ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำเถอะ”
(ยามเว่ย (未:wèi) คือ 13.00 – 14.59 น.)
“ท่านพี่ตื่นนานแล้วหรือเจ้าคะ” หว่านหรงถาม หนานกงเยี่ยนพยักหน้า “อืม”
เขามองนางพลางบอก “ดูเจ้านอนน้ำลายไหลก็น่ารักดีนะ”
หว่านหรงรีบลุกขึ้นยกมือเช็ดๆ มุมปากทั้งสองข้าง ครั้นพบว่าไม่มีคราบน้ำลายซะหน่อย นางจึงรู้ตัวว่าถูกสามีแกล้งเสียแล้ว นางจึงต่อว่าเขา “ท่านพี่แกล้งข้า”
นางทุบเขาทีหนึ่ง หนานกงเยี่ยนจึงดึงนางไปกอด ทำให้ดอกบัวชนกับหน้าเขา หว่านหรงร้อง “อ่ะ!”
หนานกงเยี่ยนจึงอ้าปากดูดดอกบัว หว่านหรงสะดุ้ง “อุ้ย!”
หนานกงเยี่ยนดูดยอดดอกบัวสีชมพูระเรื่ออย่างหิวกระหาย หว่านหรงเสียวซ่านจนคราง “อา…ท่านพี่…”
นางพยายามดันตัวออก แต่หนานกงเยี่ยนกดแผ่นหลังของนางเอาไว้ ซ้ำยังเอาหน้าคลุกเคล้ากับทรวงอกอ่อนนุ่มของนาง หว่านหรงเสียวซ่านจนตัวอ่อนระทวย “อือ…ท่านพี่…”
หนานกงเยี่ยนดูดดอกบัวทั้งสองข้างอยู่นาน ดูดจนหนำใจแล้วเขาจึงผละออก เขาจับเอวนางยกขึ้นจนนางตัวลอย หว่านหรงร้อง “อุ้ย!”
หนานกงเยี่ยนวางนางให้คร่อมศีรษะเขาพลางกดสะโพกนางลงมา เขาแลบลิ้นเลียดอกไม้งาม หว่านหรงเสียววาบ “อุ้ย! ท่านพี่…”
หนานกงเยี่ยนเลียไล้ไปทั่วกลีบดอกไม้งาม เขาใช้นิ้วแหวกกลีบดอกไม้ออกแล้วเลียเกสรกลางดอกไม้ หว่านหรงเสียวจนตัวอ่อนระทดระทวย “อา…ท่านพี่เจ้าขา…”
นางเกาะพนักหัวเตียง ยกสะโพกหนีลิ้น แต่หนานกงเยี่ยนจับสะโพกนางกดลงไม่ยอมให้หนี แลบลิ้นเลียระรัวไปทั่ว หว่านหรงเสียวจนคราง “อื้อ…ท่านพี่…”
นางถูกเขาเลียๆ ดูดๆ จนนางเสียวไปหมด นางไม่รู้ตัวเลยว่านางกำลังบดสะโพกใส่ปากเขา ลิ้นเขาช่างร้ายกาจทำนางเสียวไปหมด เสียวจนแทบขาดใจตายแล้ว “อา…ซี๊ด…ท่านพี่เจ้าขา…”
หนานกงเยี่ยนดูดจ๊วบๆ เลียแผล๊บๆ ยิ่งดูดยิ่งเลีย น้ำหวานยิ่งหลั่งรินออกมาจนหน้าเขาเปียกเปื้อนไปครึ่งหน้าแล้ว
จนกระทั่งหว่านหรงตัวเกร็งกระตุก “อ้าาาาา…”
น้ำหวานไหลเยิ้มออกมา หนานกงเยี่ยนเลียกินจนหมด หว่านหรงยันตัวลุกขึ้นไปนอนหอบอยู่ข้างๆ เขา นางมองเขาอย่างรักใคร่หลงใหล พลางต่อว่าต่อขานเสียงเบา “ท่านพี่น่ะ รังแกข้า”
“ก็เมียข้าน่ารังแกถึงเพียงนี้ข้าจะอดใจไหวได้อย่างไร ต้องโทษเจ้า” หนานกงเยี่ยนปัดความผิดให้นาง หว่านหรงเขินอายจนสู้สายตาเขาไม่ไหว นางจึงจับผ้าห่มมาพันตัวแล้วลุกออกจากเตียงไป หนานกงเยี่ยนหัวเราะเบาๆ พลางลุกขึ้นจัดอาภรณ์ให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินออกจากห้องนอนไป ไปอาบน้ำที่เรือนข้างๆ
หว่านหรงก้าวเข้าไปในห้องอาบน้ำด้านหลัง นางร้องสั่งสาวใช้ว่า “เติมน้ำร้อนที”
“เจ้าค่ะนายหญิง” สาวใช้รับคำ หว่านหรงนั่งลงที่เก้าอี้ รอให้สาวใช้เติมน้ำร้อนใส่อ่าง
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว หว่านหรงก็ไปนั่งกินข้าวร่วมกับสามี หนานกงเยี่ยนคอยเอาอกเอาใจฮูหยินจนพวกบ่าวไพร่แทบจะเคลิ้มละลายไปกับบรรยากาศที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักของนายท่านแล้ว
หลังจากนั้นหนานกงเยี่ยนก็พาฮูหยินไปเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม รถม้าขับออกจากบ้านตระกูลหนานกง มุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลหว่าน
เมื่อไปถึงจวนตระกูลหว่าน รถม้าก็จอด หนานกงเยี่ยนลงจากรถม้า หว่านหรงก้าวลงตามสามี หนานกงเยี่ยนประคองนางราวกับแก้วตาดวงใจทำให้บ่าวไพร่จวนตระกูลหว่านแทบเคลิ้มละลายไปกับบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยความรักของคู่ข้าวใหม่ปลามันคู่นั้น
หว่านหรูอี้ที่เห็นภาพเช่นนั้น นางกัดฟันกรอดๆ กำมือแน่นอย่างโกรธขึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิจฉาหรือว่าริษยากันแน่
อนุรองเดินไปต้อนรับอย่างวางท่าของเจ้าบ้าน มีความเย่อหยิ่งถือตัวแฝงอยู่ในท่าทีนั้น นางเอ่ยว่า “หรงเอ๋อร์มาแล้ว มาๆ เข้าบ้านก่อน ท่านพี่รอเจ้าตั้งแต่เช้า ไยจึงเพิ่งมาเอาป่านนี้เล่า?”
หว่านหรงยังไม่ทันตอบอะไร หนานกงเยี่ยนก็พูดแทรกว่า “ข้าตื่นสาย พวกท่านก็เคยผ่านคืนเข้าหอมาแล้วคงรู้ดีว่าเพราะอะไรถึงทำให้ตื่นสายกระมัง”
เขาพูดพลางมองกราดไปทางทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ทำให้อนุรองและอนุคนอื่นๆ ทำหน้าไม่ค่อยถูก แก้มคล้ายจะเห่อร้อนกันหน่อยๆ คิดไม่ถึงว่านายท่านหนานกงจะพูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไม่อายปากเช่นนี้ เรื่องแบบนี้มันใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้เรอะ!
หว่านหรงหน้าแดงระเรื่อ เขินอายจนได้แต่ก้มหน้ามองพื้น นางแอบหยิกสามีเบาๆ ทีหนึ่ง หนานกงเยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ข้างนอกแดดร้อนนัก” เขาประคองฮูหยินเดินเข้าไปในห้องโถง แม่นมจางกับจางลี่เดินตามหลังไปติดๆ อนุรองจึงรีบก้าวนำไปในฐานะเจ้าบ้าน อนุคนอื่นๆ ก็เดินตามเข้าไป พวกสาวใช้ก็ตามเจ้านายของตนไปเป็นโขยงหนึ่ง
“ลูกเขยเยี่ยน เชิญนั่ง” อนุรองกล่าวพลางผายมือ หนานกงเยี่ยนมองอนุรองแล้วบอกว่า “อนุรอง เจ้าควรจะเรียกข้าว่านายท่านหนานกงนะ เจ้าเป็นเพียงแค่อนุรองมีสิทธิ์อะไรมาเรียกข้าว่าลูกเขย ข้าจำได้ว่าคนที่มีสิทธิ์เรียกข้าเช่นนี้มีแค่ท่านพ่อตากับท่านแม่ยาย ซึ่งก็คือฮูหยินเอกผู้ล่วงลับไปแล้ว”
“เอ่อ…” อนุรองหน้าม้านไป อนุคนอื่นๆ แอบยิ้มเยาะ หว่านหรูอี้ได้ยินหนานกงเยี่ยนพูดเช่นนั้น นางรีบก้าวไปยืนข้างท่านแม่ทันที “น้องเขย เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ถูกนะ ถึงอย่างไรท่านแม่ข้าก็เป็นฮูหยินของท่านพ่อ ถือว่าเป็นแม่ยายของเจ้าคนหนึ่งเช่นกัน”
หนานกงเยี่ยนประคองฮูหยินนั่งลง เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ นางแล้วมองหว่านหรูอี้ด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยน้ำเสียงเฉยชาว่า “ฮูหยินเหรอ? ข้าไม่ยักได้ยินข่าวว่าท่านพ่อตายกย่องอนุรองเป็นฮูหยินตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูกอนุเช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้าแบบนี้ จะให้ข้ายกย่องนางบำเรอของท่านพ่อตาเป็นแม่ยายเนี่ยนะ”
“เจ้า!” หว่านหรูอี้โกรธจนหน้าแดง นางยกมือชี้หน้าหนานกงเยี่ยนอย่างโกรธจัด
อู้ว! อนุคนอื่นๆ ชมดูงิ้วฉากนี้อย่างสนุก พวกนางล้วนมองอย่างสะใจยิ่ง แม่ลูกคู่นี้ถือว่าตัวเองเป็นคนโปรดของท่านพี่จึงได้ทำตัวอวดเบ่งมานานมาก มาวันนี้เจอคนไม่ไว้หน้าอย่างนายท่านหนานกง นี่ช่างสนุกจริงๆ ฮ่าๆๆๆ…
หนานกงเยี่ยนนั้นไม่เคยไว้หน้าใครอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าแม่ลูกคู่นี้ เอาจริงๆ เขายังไม่ได้เอาเรื่องที่แม่ลูกคู่นี้หลอกลวงเขาเลย เริ่มแรกที่เขาส่งคนมาขอหมั้นหมาย เขานั้นต้องการสู่ขอลูกสาวของฮูหยินเอก แต่ว่าในตอนนั้นอายุของหว่านหรงยังไม่ถึงวันปักปิ่นจึงยังถือว่าเป็นเด็กไม่ถึงวัยออกเรือน อนุรองเห็นหนานกงเยี่ยนทั้งร่ำรวยและรูปงามจึงคิดอยากจะได้เป็นลูกเขย นางจึงเสนอกับสามีว่าให้หว่านหรูอี้หมั้นกับหนานกงเยี่ยนแทนหว่านหรง หว่านกัวฉายเห็นดีเห็นงามด้วยจึงได้ตอบตกลงไป
หนานกงเยี่ยนในตอนนั้นก็ไม่ได้ตรวจสอบอะไรมากนัก รู้แค่ว่าหว่านหรูอี้เป็นคุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลหว่าน เขาก็คิดว่านางเป็นลูกฮูหยินเอกจึงได้ตกลงหมั้นด้วย เขามารู้ทีหลังว่าหว่านหรูอี้เป็นลูกอนุรองก็จนการหมั้นหมายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาในตอนนี้ขี้เกียจที่จะเอาเรื่องเอาราวจึงได้ปล่อยผ่านไป คิดจะรับหว่านหรูอี้เป็นฮูหยินของเขา แต่ว่านางกลับไม่อยากแต่งกับเขาเอง วางแผนผลักน้องสาวต่างมารดามาแทน ซ้ำยังวางแผนให้เขากลายเป็นคนชั่วช้าในสายตาคนอื่น ความผิดนี้เขายังไม่ได้เอาเรื่องเอาราว คิดจะปล่อยผ่านไป แต่วันนี้นางกลับจะให้เขาเรียกแม่ของนางว่า ‘แม่ยาย’ เนี่ยนะ! เฮอะ!
“คนพิการเช่นเจ้าต่อให้ร่ำรวยล้นฟ้า ข้าก็ไม่อยากแต่งด้วยหรอก” หว่านหรูอี้พูดโพล่งออกมา “เจ้ากลายเป็นขันทีแล้วยังอยากจะแต่งภรรยา ช่างน่าขันนัก ฮ่าๆๆๆ…”
นางหันไปมองหว่านหรงแล้วพูดว่า “ต่อให้เจ้าเสพสุขบนกองเงินกองทองแล้วอย่างไร แต่เจ้าก็ไม่ได้เสพสุขรสชาติความเป็นผัวเมีย ชีวิตเจ้าก็ไม่ต่างจากแม่หม้ายหรอก”
หนานกงเยี่ยนมีสีหน้าทะมึนขึ้นมา อ่อ ที่แท้นางก็รู้ความลับของเขาแล้วนี่เองถึงได้ไม่อยากแต่งงานกับเขา!
สิ้นเสียงหัวเราะของหว่านหรูอี้แล้ว ทั้งห้องพลันเงียบกริบ! ทุกคนต่างมีสีหน้าอึ้งงันไป สายตาของแต่ละคนตกลงบนตัวหนานกงเยี่ยน มองไปที่ตรงกลางกายของเขาเป็นจุดเดียว คำว่า ‘พิการ’ คำว่า ‘ขันที’ ดังก้องอยู่ในหัวพวกเขาวนไปวนมา
หนานกงเยี่ยนหันไปมองฮูหยินของเขา เห็นนางมองเขา มองจ้องตรงกลางกายของเขา เขาจึงลุกขึ้นคว้าข้อมือนางดึงให้เดินไปขึ้นรถม้า เขาสั่งสารถีด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “กลับ!”
“เอ่อ…ขอรับๆ” สารถีรับคำสั่งอย่างงงๆ หนานกงเยี่ยนแทบจะอุ้มพาฮูหยินเข้ารถม้า
หว่านหรงซึ่งยังอึ้งๆ งงๆ ไม่หายจึงเข้าไปนั่งในรถม้าด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ในหัวนางเต็มไปด้วยคำว่า ‘พิการ’ คำว่า ‘ขันที’ ดังก้องอยู่ในหัว คำพูดของพี่สาวต่างมารดาดังวนไปวนมาอยู่ในหัวนาง จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่นางถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา “ท่านพี่…”
หนานกงเยี่ยนมีสีหน้าทะมึน แผ่กลิ่นอายน่ากลัว จนหว่านหรงรู้สึกกลัวๆ นางจึงไม่กล้าถามไม่กล้าพูดอะไรอีก แม่นมจางกับจางลี่ที่นั่งอยู่ข้างสารถียังรู้สึกหนาวเยือก พวกนางขนลุกชันอย่างประหลาด แอบมองไปทางประทุนรถม้าด้านหลังเป็นระยะๆ พวกนางก็สงสัยคำพูดของคุณหนูใหญ่หว่านหรูอี้ สามีของคุณหนูของพวกนาง ‘พิการ’ จริงหรือ?
เป็น ‘ขันที’ จริงๆ อย่างที่คุณหนูใหญ่บอกหรือ?
หลังจากหนานกงเยี่ยนกลับไปแล้ว อนุรองก็หันไปถามลูกสาว “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไรอี้เอ๋อร์?”
อนุคนอื่นๆ กับสาวใช้บ่าวไพร่ก็รอฟังกันหูผึ่ง หว่านหรูอี้บอก “หนานกงเยี่ยนก็เป็นขันทีอย่างที่ข้าบอกนั่นแหละท่านแม่ เขาไม่มีแท่งหยกแล้วจริงๆ เรื่องนี้ข้ารู้มาจากสาวใช้อุ่นเตียงของเขา ข้าถึงไม่อยากแต่งงานกับเขา ใครจะอยากได้สามีเป็นขันทีกัน”
“โอ!” ผู้คนอุทานออกมา อนุรองตกตะลึงไป “นี่!”
กว่าทุกคนจะตั้งสติได้และแยกย้ายกันไปก็ผ่านไปพักใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่หนานกงเยี่ยนกลายเป็น ‘ขันที’ แล้วย่อมแพร่กระจายไปในไม่ช้านี้แน่ๆ
รถม้ากลับถึงบ้านตระกูลหนานกง สารถีร้องบอก “นายท่านขอรับ ถึงบ้านแล้วขอรับ”
“อืม” หนานกงเยี่ยนส่งเสียงรับรู้ เขาสั่งว่า “จางลี่ แม่นมจาง พวกเจ้าลงไปซะ”
“เอ่อ…เจ้าค่ะ” จางลี่กับแม่นมจางรับคำอย่างงงๆ พวกนางลงจากรถม้า หนานกงเยี่ยนก็สั่งอีก “ใครก็ได้ไปตามเจ๋อหมิงมา ข้าจะไปแช่น้ำพุร้อน”
“ขอรับ” บ่าวคนหนึ่งรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งไปตามพ่อบ้านเจ๋อหมิง หว่านหรงที่นั่งอยู่ในรถม้าจึงถาม “ท่านพี่ไม่ลงจากรถหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวเจ๋อหมิงมาแล้ว ข้าก็จะไปเลย” หนานกงเยี่ยนบอก หว่านหรงได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ นางรู้สึกอึดอัดใจ อยากจะถามเรื่องราวให้กระจ่างแจ้ง แต่ว่าสามีทำหน้าขรึม ดูดุดัน เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันตราย ราวกับว่าถ้าเปิดปากถามเรื่องนั้นแม้ครึ่งคำ อาจจะถูกฆ่าตายตั้งแต่ถามยังไม่จบเลยด้วยซ้ำ นางจึงได้แต่นั่งตัวเกร็งๆ กลัวๆ ตั้งแต่ขึ้นรถม้าแล้ว
จนกระทั่งเจ๋อหมิงมาถึงข้างรถม้า เขากุมมือ “นายท่าน”
“ข้าจะไปเรือนเหมันต์ เจ้าสั่งคนให้ดูแลบ้านดีๆ แล้วตามข้าไปเร็วๆ” หนานกงเยี่ยนสั่ง เจ๋อหมิงรับคำสั่ง “ขอรับ”
“ไปเรือนเหมันต์” หนานกงเยี่ยนสั่ง สารถีรับคำสั่ง “ขอรับ”
จากนั้นเขาก็ขับรถม้าออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังเรือนเหมันต์ ซึ่งเป็นเรือนพักในหุบเขาธารร้อน ที่นั่นมีธารน้ำร้อนไหลผ่านตลอดปี อากาศอบอุ่นทุกฤดูกาล แม้หน้าหนาวก็ไม่หนาวมาก หุบเขาแห่งนั้นอยู่นอกเมือง นั่งรถม้าไปราวๆ 2 ชั่วยามก็ถึง หุบเขาแห่งนั้นเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของเหล่าคนรวยของเมืองนี้ ตรงต้นแม่น้ำเป็นพระราชวังเหมันต์ ซึ่งฮ่องเต้และคนในราชวงศ์มักจะไปอยู่ที่นั่นในช่วงฤดูหนาว
ถัดจากพระราชวังเหมันต์ก็เป็นเรือนเหมันต์ของตระกูลหนานกง ส่วนเรือนพักผ่อนของเศรษฐีคนอื่นๆ ก็เรียงรายลดหลั่นกันไป ตรงปลายๆ แม่น้ำจะเป็นโรงเตี้ยมเล็กใหญ่ แน่นขนัดไปหมด เรือนเหมันต์ของตระกูลหนานกงอยู่ติดกับอาณาเขตของพระราชวังเหมันต์ แสดงให้เห็นถึงอำนาจของตระกูลหนานกงที่มีอำนาจรองจากฮ่องเต้ แน่นอนว่าราคาที่ดินในหุบเขาธารร้อนแพงพอๆ กับที่ดินรอบๆ พระราชวังในเมืองหลวงเลยทีเดียว
ดังนั้นใครที่เป็นเศรษฐีจึงต้องพยายามซื้อที่ดินในเขตหุบเขาธารร้อนให้ได้ เพราะมันไม่ได้แสดงถึงความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว แต่ยังแสดงถึงอำนาจในมืออีกด้วย แต่ว่าตอนนี้เป็นฤดูคิมหันต์ ทำให้หุบเขาธารร้อนไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ จึงมีน้อยคนที่จะไปที่นั่น หุบเขาธารร้อนจะคึกคักมากในช่วงฤดูเหมันต์ ในฤดูคิมหันต์ที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้จึงเงียบเหงามากจริงๆ
รถม้าขับไปได้สักพัก เจ๋อหมิงกับเหล่าผู้คุ้มกันก็ขี่ม้าตามไปทัน พวกเขาเข้าล้อมรถม้าจัดรูปขบวนอารักขาความปลอดภัยโดยที่รถม้าไม่จำเป็นต้องหยุดเลย หนานกงเยี่ยนเลิกม่านหน้าต่างขึ้นมอง เห็นเจ๋อหมิงขี่ม้าอยู่ข้างรถม้าก็เบาใจ เขาแน่ใจว่าหลังจากวันนี้ไปข่าวที่ว่าเขากลายเป็นคน ‘พิการ’ กลายเป็น ‘ขันที’ ย่อมแพร่ออกไปเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งเสียอีก เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่ว่าเขาต้องหาทางทำให้ฮูหยินของเขาทำใจยอมรับเรื่องนี้ให้ได้ ถ้านางทิ้งเขาไป เขาทำใจไม่ได้จริงๆ ดังนั้นเขาจึงได้คิดที่จะไปหาสถานที่สงบๆ ปรับความเข้าใจกับนาง เขาคิดที่จะ ‘กล่อม’ นางให้เชื่องเชื่อ ทำใจยอมรับเรื่องนี้ให้ได้!
เขามองฮูหยินแล้วส่งถุงหนังใส่น้ำให้นาง “หิวน้ำหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับถุงน้ำมาเปิดจุกยกขึ้นดื่ม อยู่ในรถม้าที่กำลังวิ่งไปด้วยความเร็วระดับนี้ไม่สะดวกที่จะรินชาใส่ถ้วยดื่ม เพราะน้ำชาจะกระฉอกหกออกมาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนได้ นางดื่มน้ำอึกๆ แล้วปิดจุก หนานกงเยี่ยนดึงนางเข้าไปกอด หว่านหรงเบียดตัวกอดเขา เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูถมึงทึง เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพี่เจ้าคะ…”
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยนะหรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนพูดแทรก น้ำเสียงค่อนข้างดุ เขาจับเอวนางยกขึ้น หว่านหรงร้องคำหนึ่ง “อ่ะ”
หนานกงเยี่ยนยกนางมานั่งบนตักตัวเอง หว่านหรงหน้าแดงเขินอาย “ท่านพี่”
หนานกงเยี่ยนไม่พูดอะไร เขาล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของนาง หว่านหรงสะดุ้ง “อ่ะ!”
นางจับมือเขาเอาไว้ กระซิบบอกเสียงเบาว่า “อย่าเจ้าค่ะ”
“หรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนเรียกเสียงแหบพร่าอยู่ข้างหูนาง หว่านหรงได้ยินเสียงเขาแล้วหน้ายิ่งแดงมากขึ้น หนานกงเยี่ยนล้วงเข้าไปใต้เอี๊ยมบีบคลึงดอกบัวตูมคู่นั้น หว่านหรงอยากจะห้ามแต่ว่านางสู้แรงสามีไม่ไหว นางจับมือเขายื้อยุดไว้แต่ว่าเขาก็ยังล้วงเข้าไปได้อยู่ดี
หนานกงเยี่ยนก้มลงไปซุกไซ้ต้นคอขาวที่ซับสีเลือดจางๆ เพราะความอาย หว่านหรงเสียวสยิวจนขนลุกชัน นางเม้มปากกลั้นเสียงครางเอาไว้แน่น ใจเต้นตึกๆ หนานกงเยี่ยนบีบคลึงดอกบัวตูมคู่นั้นไปมา นิ้วคลึงบี้ยอดดอกบัวจนมันชูชันสู้มือ หว่านหรงบิดตัวไปมา นางอยากจะลุกหนีแต่ว่ามือไม้อ่อนแรงไปหมด นางรู้สึกเสียวซ่านจนไร้แรงจะต่อต้านขัดขืน นางกลั้นเสียงครางอยู่ในปากจนเสียงดังอือๆ
หนานกงเยี่ยนบีบคลึงดอกบัวคู่นั้นจนคนตัวเล็กบนตักได้แต่พิงหลังซบอกเขาอย่างอ่อนระทวย เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปใต้กระโปรงพลางสั่งเสียงเบาข้างหูว่า “อ้าขาซิหรงเอ๋อร์”
“อื้อ!” หว่านหรงส่งเสียงประท้วงไม่ยอมทำตาม นางหนีบขาเอาไว้ไม่ยอมให้มือเขาล้วงได้สะดวกๆ หนานกงเยี่ยนสั่งอีก “อ้าขาซิ ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขอย่างไรล่ะ หรงเอ๋อร์ไม่ชอบหรือ? อ้าขาซิ เด็กดี”
มือเขาก็ดันต้นขานางให้อ้าออก หว่านหรงอยากจะขัดขืนแต่ว่านางก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามจนได้ นางถูกเขาบีบดอกบัวจนรู้สึกเสียวซ่านไปหมด นางต้องการมากกว่านี้ ต้องการให้เขาพานางไปแตะขอบสวรรค์ หนานกงเยี่ยนสอดมือเข้าไปจับเนินเนื้อนุ่มนิ่ม หว่านหรงนั่งตัวเกร็งเสียวซ่าน นางขบริมฝีปากกลั้นเสียงคราง หน้าแดงระเรื่อ “อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนบีบคลึงกลีบดอกไม้อ่อนนุ่ม แทรกนิ้วเข้าไปในรอยแยกเขี่ยคลึงเกสรกลางดอก หว่านหรงเดี๋ยวตัวเกร็งเดี๋ยวตัวอ่อนระทดระทวย นางแทบจะกลั้นเสียงครางไม่อยู่แล้ว ท่วงท่าของสามีช่างร้ายเหลือ “อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนแทรกนิ้วกลางเข้ารู นิ้วโป้งก็บี้คลึงเกสรไปด้วย เขาแทงนิ้วเข้าๆ ออกๆ ในขณะที่นิ้วโป้งก็บี้เกสรไปด้วย ท่วงท่านี้ทำให้หว่านหรงตัวเกร็งเสียวซ่านใจจะขาด นางกลั้นเสียงครางแทบไม่ไหวแล้วนางจึงยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง “อื้อ…”
Chapter 9 (18+)เสียวซ่านตลอดทาง
หนานกงเยี่ยนยิ้มอย่างพอใจที่สามารถทำให้นางเสียวได้ เขาไม่เร่งร้อน ค่อยๆ แทงนิ้วเข้าๆ ออกๆ รูนิ่มเป็นจังหวะช้าๆ อีกมือก็บีบดอกบัวตูมสลับไปสลับมา จมูกก็ซุกไซ้ต้นคอหอมกรุ่นของนางไปพลางๆ
รถม้าขับออกจากประตูเมืองโดยไม่ต้องถูกตรวจค้นเหมือนรถม้าคันอื่นๆ เพราะว่าหนานกงเยี่ยนได้รับอภิสิทธิ์พิเศษจากฮ่องเต้ให้สามารถเข้าออกเมืองโดยไม่ต้องถูกตรวจค้น เพียงแค่เจ๋อหมิงยื่นป้ายทองที่ได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้กับนายกองทหารเฝ้าประตูเมือง รถม้าของหนานกงเยี่ยนก็ถูกปล่อยผ่านไปทันที ตอนที่รถม้าหยุดรออยู่ตรงประตูเมือง เขามองเข้าไปทางหน้าต่างรถม้า จังหวะที่ม่านถูกลมพัดพลิ้วขึ้นไป ทำให้เขาเห็นคนในรถม้าแวบหนึ่ง นายหญิงนั่งอยู่บนตักนายท่าน กำลังถูกนายท่านปรนเปรออยู่ สีหน้าของนางทำให้เขารู้สึกแข็งขึงทันที เขาเกิดภาพในหัวขึ้นมา นางนั่งอยู่บนตักนายท่านเช่นนั้น ถูกเขาจับขาอ้าออกแล้วแทงแท่งหยกเข้าๆ ออกๆ จนนางครางเสียงดังลั่น มันช่างทำให้เขาอยากลองทำแบบนั้นสักครั้งจริงๆ
รถม้าขับต่อไป หนานกงเยี่ยนก็ยังคงปรนเปรอฮูหยินของเขาไม่หยุดไม่พักเลย นิ้วเขาชุ่มโชกไปด้วยน้ำหวานของนาง ทำให้เวลาเขาแทงนิ้วเข้าๆ ออกๆ เกิดเสียงดังแจ๊ะๆ ช่างเป็นเสียงที่กระตุ้นอารมณ์เขาได้ดีจริงๆ การทำให้นางเสียวซ่านกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเขาไปแล้ว หว่านหรงถูกสามีรังแกอยู่อย่างนั้น บางคราวเขาก็แทงนิ้วเร็วๆ แต่พอนางใกล้จะแตะขอบสวรรค์เขากลับแทงนิ้วช้าลง เขาช่างทรมานนางได้เก่งจริงๆ จนนางต้องกระซิบขอ “ท่านพี่เจ้าขา ได้โปรด…”
“ได้โปรดอะไรหรือหรงเอ๋อร์?” หนานกงเยี่ยนแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจ หว่านหรงค้อนเขา “ฮึ!”
“เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไรก็พูดมาซิ” หนานกงเยี่ยนบอกยิ้มๆ นิ้วยังคงแทงรูเนิบช้า หว่านหรงกัดริมฝีปาก หน้าแดงก่ำอย่างเอียงอาย นางค้อนเขาอีกที “ฮึ!”
“เจ้าไม่พูด ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าต้องการอะไร” หนานกงเยี่ยนเอ่ยยิ้มๆ หว่านหรงไม่ยอมพูดออกไป หนานกงเยี่ยนก็ยังคงขยับนิ้วเนิบช้าอยู่เช่นเดิม มันช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานใจจริงๆ จนหว่านหรงทนไม่ไหว กลั้นใจพูดออกไป “แทงเร็วๆ ซิเจ้าคะ”
“ดีมากเด็กดี” หนานกงเยี่ยนยิ้มกว้าง เขาแทงนิ้วเร็วขึ้นจนเสียงดังแจ๊ะๆๆๆ…
“อื้อ…” หว่านหรงหลุดเสียงคราง นางรีบยกมือปิดปาก ขยุ้มชายแขนเสื้อเป็นก้อนกัดเอาไว้ในปาก ทำให้เสียงของนางดังอือๆ เหมือนเสียงนกกลางคืน นิ้วเรียวยาวแทงเข้าแทงออกรัวๆ นิ้วโป้งก็บี้เกสรไปด้วย ทำให้หว่านหรงเสียวแทบขาดใจ นางตัวเกร็งมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดนางก็สุขสมแตะขอบสวรรค์ “อื้ออออ…”
หนานกงเยี่ยนเปลี่ยนจังหวะมาเป็นเนิบช้าอีกครั้ง หว่านหรงนั่งตัวอ่อนระทดระทวยพิงอกสามี นางหอบหายใจสะท้อนสะท้านจนอกกระเพื่อมไหวขึ้นๆ ลงๆ นางรู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมตามไรผม นางเงยหน้ามองสามี กระซิบเสียงแผ่วว่า “ท่านพี่หยุดก่อน”
“หยุดไม่ได้หรอกหรงเอ๋อร์ ข้าชอบเห็นเจ้าทำหน้าแบบนี้” หนานกงเยี่ยนบอก นิ้วยังคงแทงรูนุ่มเป็นจังหวะช้าๆ มืออีกข้างก็บีบคลึงดอกบัวทั้งสองข้างสลับไปสลับมา หว่านหรงไม่อาจห้ามเขาได้ นางจึงได้แต่นั่งเสียวไปตลอดทาง
รถม้าเร่งไปให้เรือนเหมันต์ก่อนค่ำมืดจึงวิ่งตะบึงไปอย่างไวยิ่ง ผู้คุ้มกันก็ขี่ม้านำหน้าและตามหลังรถม้าเป็นกลุ่มใหญ่
ขณะที่ขี่ม้าอยู่นั้น เจ๋อหมิงก็คิดท่วงท่าอยู่ท่าหนึ่งในหัว นั่นคือ เขาขี่ม้า นายหญิงนั่งคร่อมม้าตัวเดียวกับเขา นางหันหน้ากอดเขา แท่งหยกของเขาอยู่ในกายนาง ภาพนั้นแจ่มชัดอยู่ในหัวเขา ทำให้แท่งหยกของเขาแข็งขึงจนปวดหนึบ เขามองรถม้าที่อยู่ข้างหน้า เดาว่านายท่านคงปรนเปรอนายหญิงไปตลอดทางแน่นอน นายท่านหลงใหลนายหญิงมากเหลือเกิน เขาเองก็เช่นกัน อยากจะเสพสมกับนางทั้งวันทั้งคืนเลยเชียว นางเหมือนปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้คนหลงใหลติดอกติดใจยอมเป็นทาสนางอย่างโงหัวไม่ขึ้น
จนกระทั่งรถม้าจอดหน้าประตูรั้ว บ่าวเฝ้าเรือนรีบเปิดประตูรั้วให้ทันทีที่เห็นรถม้าของนายท่านมาจอดหน้าประตู รถม้าขับเข้าไปจอดหน้าเรือน สารถีร้องบอก “นายท่านขอรับ ถึงแล้วขอรับ”
“อืม” หนานกงเยี่ยนส่งเสียงตอบ เขาดึงมือออกจากใต้กระโปรง จับเอวฮูหยินยกลงจากตัก หันไปจัดอาภรณ์นางให้เข้าที่เข้าทาง หว่านหรงนั่งตาปรืออย่างอ่อนล้า นางนั่งเสียวมาตลอดทาง สุขสมไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หนานกงเยี่ยนจัดอาภรณ์เข้าที่เข้าทางแล้วจึงประคองนางออกจากรถม้า หว่านหรงลุกขึ้นยืนขาสั่นๆ นางหมดเรี่ยวหมดแรงจริงๆ หนานกงเยี่ยนยิ้มบางๆ เขาประคองนางจนกระทั่งเดินลอดประตูรถม้าออกไป จากนั้นเขาก็อุ้มนางขึ้นมาแล้วดีดเท้าลงจากรถม้า ผู้คุ้มกันมองแวบหนึ่งแล้วเบนสายตาไป ส่วนบ่าวไพร่เฝ้าเรือนก็มองอย่างตกตะลึง นายท่านของพวกเขาอุ้มสตรีงั้นรึ!
“มัวมองอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปเตรียมอาหารให้นายท่านกับนายหญิงอีก” เจ๋อหมิงดุบ่าวเฝ้าเรือน พวกบ่าวจึงได้รีบตั้งสติกลับมา ที่แท้สตรีนางนั้นคือนายหญิงหรือนี่ พวกเขาได้ข่าวว่านายท่านจะแต่งงาน พวกเขาไม่ได้ไปร่วมอวยพรเพราะมีหน้าที่เฝ้าเรือนจึงได้แต่รอพบนายหญิงตอนฤดูเหมันต์ คิดไม่ถึงว่านายท่านจะพานายหญิงมาที่นี่ในเวลานี้
“เอ้า ยังไม่รีบไปอีก” เจ๋อหมิงเร่ง พวกบ่าวจึงรีบไปเตรียมอาหารให้ทุกคน
ผู้คุ้มกันก็เอาม้าไปผูกแล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่คุ้มกัน เรือนเหมันต์นี้เป็นเรือนที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางเกือบเทียบเท่าพระราชวังเหมันต์ของฮ่องเต้เลยทีเดียว มีบ่าวไพร่คอยดูแลเรือนหลายสิบคน เจ๋อหมิงมองบ่าวไพร่พวกนั้นแล้วเดินตามนายท่านไป หนานกงเยี่ยนอุ้มฮูหยินที่ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนเขา เขาพานางไปนอนในห้องนอน เจ๋อหมิงเดินตามไปช่วยจัดที่นอน หนานกงเยี่ยนวางฮูหยินลง หว่านหรงหลับสนิทไปแล้ว หนานกงเยี่ยนยืดตัวขึ้น ส่งสายตาสั่งแล้วเดินไปทางห้องข้าง เจ๋อหมิงเดินตามไป หนานกงเยี่ยนกวักมือเรียกเจ๋อหมิง เจ๋อหมิงก้าวไปชิดนายท่าน หนานกงเยี่ยนกระซิบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จวนตระกูลหว่านให้ฟัง “คือว่า……..”
เจ๋อหมิงฟังจบแล้วจึงขยับตัวออกห่างพลางถามเสียงเบา “ท่านจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ?”
“ข้าจะทำให้นางยอมรับเรื่องนั้นให้ได้” หนานกงเยี่ยนบอก เจ๋อหมิงรู้ว่านายท่านหมายถึงเรื่องอะไร เขาเกิดแววตามาดหมายขึ้นมา หากว่านายหญิงยอมรับได้ ต่อไปเขาก็ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว เขาจะสามารถกอดนางได้อย่างเปิดเผยเสียที
“เจ้าไปดู อย่าให้ใครเข้าใกล้เรือนข้า จัดการเสร็จแล้วก็กลับมาอยู่ข้างๆ ข้า” หนานกงเยี่ยนสั่ง เจ๋อหมิงรับคำสั่ง “ขอรับ”
เขาถอยออกไป หนานกงเยี่ยนก็เดินกลับไปที่ห้องนอน ถอดรองเท้าแล้วเอนตัวลงนอนกอดฮูหยินเอาไว้
จนกระทั่งหว่านหรงตื่นขึ้นมา นางขยับตัว หนานกงเยี่ยนถามเสียงนุ่ม “หิวหรือยัง?”
“เอ่อ…เจ้าค่ะ” หว่านหรงตอบ หนานกงเยี่ยนลุกขึ้น ร้องสั่ง “เจ๋อหมิง ยกอาหารเข้ามา”
“ขอรับ” เจ๋อหมิงรับคำอยู่หน้าประตู หนานกงเยี่ยนลงจากเตียง ยื่นมือไปประคองฮูหยิน “มาเถอะ”
หว่านหรงลุกขึ้นลงจากเตียง นางกำลังจะอ้าปากถาม หนานกงเยี่ยนก็พูดแทรกว่า “เรื่องที่เจ้าอยากรู้ ไว้รอให้กินอิ่มแล้ว ข้าจะบอก”
“บอกตอนนี้เลยไม่ได้หรือเจ้าคะ?” หว่านหรงถาม นางอยากรู้จนอึดอัดคับอกคับใจไปหมดแล้ว หนานกงเยี่ยนลูบแก้มนาง “เด็กดี เชื่อข้านะ กินข้าวก่อน ข้าหิวแล้ว”
“เอ่อ…ก็ได้เจ้าค่ะ” หว่านหรงพยักหน้ารับ หนานกงเยี่ยนจูงนางออกจากห้องนอน พานางไปนั่งที่โต๊ะ สักพักบ่าวไพร่ก็ยกอาหารเข้ามาวางแล้วถอยออกไปอย่างเป็นระเบียบ หนานกงเยี่ยนหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับให้นาง “กินเยอะๆ นะ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ นางคีบกับกิน นางหิวมากจริงๆ นางไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ มองไปที่หน้าต่างเห็นแต่ความมืด
“เวลาใดแล้วเจ้าคะ?” นางถาม หนานกงเยี่ยนตอบ “ยามไฮ่* แล้ว”
(ยามไฮ่ (亥:hài) คือ 21.00 – 22.59 น.)
“อ่อ” หว่านหรงส่งเสียงคำหนึ่งแล้วกินต่อ จำได้ว่ามาถึงที่นี่ก็เย็นมากแล้ว นางหลับไปชั่วยามกว่าๆ กระมัง หนานกงเยี่ยนไม่พูดอะไร เขาคีบกับให้นาง พลางกินข้าวสะสมแรงไว้ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล หึๆๆๆ…
เมื่อกินอิ่มแล้ว บ่าวไพร่ก็เข้ามาเก็บจานชามออกไป หนานกงเยี่ยนลุกขึ้น ยื่นมือไป “ตามมาซิ”
หว่านหรงมองสามี หนานกงเยี่ยนจึงคว้าข้อมือนางจูงเดินออกจากห้องไป เขาพานางไปที่บ่อน้ำร้อน หว่านหรงมองไปรอบๆ นางมองไม่เห็นอะไรมากนักเพราะมีเพียงแสงตะเกียงจุดไว้เป็นระยะๆ แสงจากตะเกียงสว่างสลัวๆ มองเห็นได้ไม่ไกลนัก
จนกระทั่งไปถึงบ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง หนานกงเยี่ยนก็หันไปมองนาง เขาจับนางถอดอาภรณ์ออก หว่านหรงไม่ขัดขืน นางปล่อยให้อาภรณ์ร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น หนานกงเยี่ยนถอดอาภรณ์ออกเช่นกัน หว่านหรงมองเขาตาไม่กะพริบ แผงอกของสามีช่างดูแข็งแกร่งมาก นางยื่นมือไปแตะแผงอกเขาอย่างกลัวๆ กล้าๆ หนานกงเยี่ยนวางมือทับบนหลังมือของนาง จับมือนางถูไปบนแผงอกตัวเอง หว่านหรงหน้าแดงระเรื่อ “อุ้ย!”
หนานกงเยี่ยนปล่อยมือนางแล้วแก้กางเกงออก หว่านหรงก้มลงมองแท่งหยกของสามี นางไม่รู้ว่าแท่งหยกของบุรุษเป็นอย่างไร นางไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง หนานกงเยี่ยนจับมือนางไปจับตรงกลางกายของเขา ที่มีแท่งหยกยาวไม่ถึง 1 ข้อนิ้วกับพวงไข่ ใช่ แท่งหยกที่น่าภาคภูมิใจของเขาถูกตัดขาดไป มันจึงเหลืออยู่แค่นี้เอง หว่านหรงหน้าแดง “อุ้ย!”
หนานกงเยี่ยนจับข้อมือนางออก พลางจูงนางลงบ่อน้ำร้อน หว่านหรงรู้สึกว่าน้ำร้อนจนเกือบทนไม่ได้ นางสะดุ้งทีหนึ่ง “ร้อนจัง”
“ลงมาเถอะ แรกๆ เจ้าจะรู้สึกว่ามันร้อนมากหน่อย แต่ว่าดีกับสุขภาพนะ” หนานกงเยี่ยนบอกพลางจูงนางลงไปในบ่อน้ำร้อน หว่านหรงเดินตามไป สายตาก็วนเวียนอยู่บนเรือนกายสามี ใช่ นางไม่เคยเห็นเรือนกายเปลือยๆ ของสามีเลยสักครั้ง หนานกงเยี่ยนนั่งลง เขาดึงนางนั่งลงข้างๆ เขาลูบๆ ถูๆ ตัวให้นาง หว่านหรงนั่งหน้าแดงระเรื่อ รู้สึกมือไม้เกะกะไปหมด หนานกงเยี่ยนจับมือนางไปวางบนตัวเขา “ถูให้ข้าบ้างซิ”
“อ่า…เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำหน้าแดงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำร้อนหรือว่าเขินอายกันแน่ บางทีอาจจะทั้งสองอย่างเลยก็ได้ นางถูตัวให้สามีอย่างเก้ๆ กังๆ ทั้งสองถูตัวให้กันไปมาจนทั่วแล้ว หนานกงเยี่ยนจึงอุ้มนางขึ้นจากบ่อ
“อ่ะ!” หว่านหรงกอดคอสามีเอาไว้ หนานกงเยี่ยนอุ้มนางไปนั่งบนตั่งไม้ข้างบ่อ เขาวางนางลงบนตักตัวเอง ประกบปากจูบอย่างดูดดื่ม หว่านหรงจูบตอบอย่างไม่ค่อยประสีประสา หนานกงเยี่ยนใช้มือข้างหนึ่งคลึงเค้นดอกบัวตูม หว่านหรงตัวเกร็งเสียวซ่านจนขนลุก หนานกงเยี่ยนจูบจนหนำใจแล้วจึงถอนปากออก เขาหยิบผ้าที่วางอยู่บนตั่งมาเช็ดตัวให้นางจากนั้นก็เช็ดๆ ตัว ตัวเอง
ครั้นเช็ดตัวเสร็จแล้วเขาก็อุ้มนางขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเปลือยๆ กลับไปที่ห้องนอน หว่านหรงหน้าแดงแล้วแดงอีก ดูเหมือนตั้งแต่แต่งงานนางถูกจับเปลือยกายบ่อยมาก นางไม่รู้ว่าสามีภรรยาคู่อื่นเป็นเช่นนี้หรือไม่ นางไม่รู้จริงๆ ตำราในห้องหนังสือของท่านพ่อก็ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับสามีภรรยาเลย ตำราภาพที่แม่นมจางเอาให้นางดูก็เป็นตำราที่แม่นมจางไปซื้อมาจากข้างนอก
จนถึงห้องนอน หนานกงเยี่ยนก็วางนางลง เขาดันตัวนางลงนอนบนเตียง จับข้อมือนางคว้าเชือกที่เจ๋อหมิงเตรียมเอาไว้มัดข้อมือนางเอาไว้ หว่านหรงยอมให้เขามัดไม่ขัดขืน หนานกงเยี่ยนมัดมือข้างนั้นเสร็จแล้วเขาก็จับข้อมืออีกข้างของนางไปมัดล่ามไว้ หว่านหรงนอนหงายกางแขนอยู่บนเตียง ข้อมือทั้งสองข้างถูกล่ามกับเตียงเหมือนครั้งแรกที่นางเข้าหอ เพียงแต่ว่าคราวนี้หนานกงเยี่ยนไม่ได้ปิดตานาง เขาคร่อมอยู่เหนือตัวนาง ก้มลงไปดูดดอกบัวข้างหนึ่ง หว่านหรงคราง “อื้อ…ท่านพี่…”
นางมองเขากำลังดูดดอกบัวของนาง เห็นลิ้นเขาเลียแผล๊บๆ ดวงตาเขามองหน้านาง ทำให้นางรู้สึกเขินอายจนต้องเบือนหน้าไปด้านข้าง หนานกงเยี่ยนดูดดุนดอกบัวงามอย่างหิวกระหาย นางทำให้เขาเกิดอารมณ์ได้ตลอดเวลาจริงๆ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมักมากได้ถึงขนาดนี้ เขาดูดดอกบัวข้างนี้จนหนำใจแล้วจึงย้ายไปดูดดอกบัวอีกข้างหนึ่ง มือก็คลึงดอกบัวอีกข้างไปด้วย
หว่านหรงเสียวจนคราง “อื้อ…อา…”
หนานกงเยี่ยนดูดดอกบัวข้างนั้นอยู่นาน จากนั้นเขาก็เลื่อนปากลงต่ำไปหาดอกไม้งามกลางลำตัว ขณะที่ลากริมฝีปากผ่านหน้าท้องเขาก็คลุกเคล้าชิมรสไปด้วย หว่านหรงเสียวบิดตัวไปมา นางมองดูสามีใช้ปากจูบเรือนร่างนาง ริมฝีปากของเขาทำให้นางเสียวสยิวไปทั้งตัว ผิวนางซับสีแดงระเรื่อไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์กำหนัดที่กำลังลุกโชนหรือว่าเพราะความเขินอายกันแน่ บางทีอาจจะทั้งสองอย่างเลยกระมัง “อา…ท่านพี่…”
หนานกงเยี่ยนเลื่อนตัวต่ำลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากจูบเนินขนรำไร เขาจับขานางกางออก หว่านหรงหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม หนานกงเยี่ยนแหวกกลีบดอกไม้ออก แลบลิ้นเลีย หว่านหรงคราง “อื้อ…ท่านพี่เจ้าขา…อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนเลียแผล๊บๆ บางคราวเขาก็ดูดจ๊วบๆ หว่านหรงเสียวจนหน้าแดงตัวแดงระเรื่อไปทั้งตัว นางอยากเอามือดันศีรษะเขาออก แต่ว่าข้อมือทั้งสองของนางถูกมัดเอาไว้ ครั้นนางเสียวจนใจจะขาด นางก็แอ่นสะโพกขึ้นเบียดปากเขาโดยไม่รู้ตัว นางดิ้นบิดตัวไปมา เดี๋ยวหนีเดี๋ยวเบียด นางครางกระเส่า “อ้า…ท่านพี่…อื้อ…อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนยังคงปรนเปรอนางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหว่านหรงตัวเกร็งกระตุก สุขสมถึงสวรรค์ “อ้าาาาา…”
น้ำหวานไหลออกมา หนานกงเยี่ยนเลียกินราวกับเป็นน้ำทิพย์จากสวรรค์ เขาผละจากดอกไม้งาม ยืดตัวขึ้นพลางเรียก “เจ๋อหมิง”
“ขอรับ” เจ๋อหมิงเดินออกมาจากหลังม่านมุ้งตรงหัวเตียง เขาก้าวไปยืนหน้าเตียงในสภาพเปลือยกาย หว่านหรงตกใจ “อ่ะ! เจ้า!”
นางมองสามีอย่างงุนงงปนตกใจ “นี่มันหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
หนานกงเยี่ยนขยับตัวไปทางด้านข้างนาง เจ๋อหมิงก้าวขึ้นเตียงไปนั่งแทนที่นายท่าน หว่านหรงหุบขาหนีบเข้าหากันทันที แต่เจ๋อหมิงจับขานางเอาไว้ หว่านหรงตวาด “เจ้าปล่อยข้านะ!”
“หรงเอ๋อร์ อย่าขัดขืนเลย ข้าอนุญาตให้เขาทำแบบนี้เอง หากไม่ทำแบบนี้เจ้าก็ไม่มีลูกให้ข้า ไม่ต้องกลัวไป ลูกเจ้าก็คือลูกของข้า ข้ากับเขาจะช่วยกันเลี้ยงลูกของเรา” หนานกงเยี่ยนกล่อม หว่านหรงตกตะลึงเหมือนถูกฟ้าผ่า “ท่านพี่!”
จังหวะที่หว่านหรงกำลังตกตะลึงอยู่นั้น หนานกงเยี่ยนก็หลิ่วตาสั่ง เจ๋อหมิงจึงจับขานายหญิงถ่างออก หนานกงเยี่ยนก็ช่วยจับขานางเอาไว้ เจ๋อหมิงจับแท่งหยกถูไถดอกไม้งาม หว่านหรงร้องอย่างไม่ยินยอม “ไม่นะ ไม่เอาแบบนี้ ข้าไม่อยากมีหลายผัว!”
“หรงเอ๋อร์ บุรุษยังมีหลายเมียได้เลย แล้วทำไมเจ้าจะมีหลายผัวไม่ได้ล่ะ เรื่องนี้เจ้าไม่ผิด เป็นข้ายินยอมเอง ข้าไม่มีแท่งหยก ไม่อาจทำให้เจ้าตั้งครรภ์ได้ ข้าจึงต้องใช้เขาทำให้เจ้าตั้งครรภ์ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้พวกเราจะเก็บเป็นความลับรู้กันเฉพาะพวกเรา ลูกจะมีข้าเป็นพ่อ ส่วนเขาเป็นท่านอา” หนานกงเยี่ยนกล่อมฮูหยินน้ำเสียงอ่อนนุ่มชักจูงให้นางยินยอมคล้อยตาม หว่านหรงส่ายหน้า “ท่านพี่ ไม่เอาๆ ข้ารักท่าน ข้าไม่ต้องการให้เขาเป็นผัวข้า”
“เขาไม่ดีตรงไหนรึ?” หนานกงเยี่ยนถามชี้นำ “รูปร่างเขาก็ดี หน้าตาเขาก็หล่อเหลา เขาแข็งแรงไม่มีโรค ข้าเชื่อว่าลูกคลอดออกมาต้องหล่อเหลาเหมือนข้าแน่นอน”
หว่านหรงอึ้งไป สามีนางใช้ตรรกะอะไรมาคิดเนี่ย! ตามตำราแพทย์ที่นางเคยอ่าน หน้าตาลูกย่อมเหมือนพ่อเหมือนแม่ แต่ว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำลูกแล้วเด็กจะหน้าตาเหมือนเขาได้อย่างไร!
ขณะที่นางอึ้ง เจ๋อหมิงก็ดันแท่งหยกเข้ารูแล้ว หว่านหรงรู้สึกเจ็บตึง “อื้อ!”
นางหน้าเหยเก หนานกงเยี่ยนจึงก้มลงไปดูดดอกบัวข้างหนึ่ง อีกข้างก็ใช้มือขยำ หว่านหรงเสียววาบ “อื้อ…ท่านพี่…เจ้าเอาของเจ้าออกไปนะ!”
ประโยคหลังนางสั่งเจ๋อหมิง เจ๋อหมิงไม่ฟังคำสั่งนายหญิง เขาค่อยๆ ดันแท่งหยกทะลวงรูเล็กคับแคบ เขาครางออกมา “อืมมม…”
เขาไม่ต้องกลั้นเสียงครางอีก ทำให้รู้สึกมีความสุขมากขึ้น หว่านหรงรู้สึกว่าแท่งหยกนี้คุ้นเคยนางหลับตาลง จับความรู้สึก ใช่ ความรู้สึกแบบนี้แหละ!
นางลืมตาขึ้นมอง จ้องหน้าเจ๋อหมิง ถามว่า “คืนเข้าหอ เจ้าเป็นคนทำลายพรหมจรรย์ข้าซินะ”
“ขอรับ” เจ๋อหมิงยอมรับโดยดี เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดบังนางไม่ได้แล้วจริงๆ หว่านหรงกัดริมฝีปาก เอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ดีๆๆ”
“ที่ท่านพี่ปิดตาข้าก็เพราะไม่ต้องการให้ข้าเห็นซินะว่าเขาเป็นคนทำลายพรหมจรรย์ของข้า?” นางถามสามี หนานกงเยี่ยนเงยหน้าตอบ “ใช่”
มือก็ยังคงบีบคลึงดอกบัวงาม หว่านหรงรู้สึกอยากร้องไห้ออกมา แต่ว่านางก็ร้องไม่ออก ร่างกายนางกำลังเสียวซ่าน จะร้องไห้ออกได้อย่างไร นางมองจ้องสามีถามต่อ “คืนต่อๆ มาก็เป็นเขาใช่ไหม?”
“ใช่ ทุกคืนล้วนเป็นเขา ข้าทำได้แค่ใช้มือใช้ปากช่วยปรนเปรอเจ้า แต่ว่าข้าทำลูกไม่ได้ ข้าจึงให้เขาทำแทน” หนานกงเยี่ยนตอบ แล้วก้มลงไปดูดดอกบัวต่อ หว่านหรงเสียววูบวาบ “อื้อ…”
นางอยากขัดขืน แต่ว่านางถูกมัดข้อมือเอาไว้ นี่ซินะเหตุผลแท้จริงที่เขามัดนาง ปิดตานาง เขาช่างชั่วร้ายเหลือเกิน! ยอมให้คนอื่นมาเสพสมกับนางเพื่อให้นางตั้งครรภ์!
เจ๋อหมิงกระแทกกระทั้นเข้าๆ ออกๆ เขาครางอย่างสุขเสียว “อา…”
“อื้อ…” หว่านหรงก็เสียวเช่นกัน นางเสียวทั้งบนและล่าง บุรุษ 2 คนรุมอยู่บนตัวนาง คนหนึ่งทะลวงรู อีกคนดูดดอกบัว พวกเขาช่างรวมหัวกันดีจริงๆ! ดีจนนางอยากฆ่าคนขึ้นมาแล้ว! แต่ถ้าทำจริงๆ นางจะทำลงหรือ? ข้อนี้นางแน่ใจเลยว่านางทำไม่ลง นางรักสามีของนาง นางฆ่าเขาไม่ลงจริงๆ ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำกับนางจะชั่วร้ายเกินรับได้แบบนี้!
ความรู้สึกเสียวซ่านปะทุมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนกระทั่งนางตัวเกร็งสุขสม “อ้าาาาา…”
หนานกงเยี่ยนผละจากดอกบัวตูม เงยหน้ามองใบหน้าของนาง เขายิ้มแล้วย้ายไปดูดดอกบัวอีกข้าง เจ๋อหมิงก็ยังคงกระแทกกระทั้นไม่หยุดไม่พัก พลางครางกระเส่า “อืมมมม…อาาาา…”
หว่านหรงมองใบหน้าเจ๋อหมิง เมื่อก่อนนางไม่ค่อยดูหน้าเขาชัดๆ สักเท่าไหร่ รู้แค่ว่าเขาเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง มาตอนนี้นางมองใบหน้าเขาอย่างพินิจ ต้องยอมรับเลยว่าเขาหล่อเหลาจริงๆ นั่นแหละ ความหล่อเหลาของเขาน่าจะเทียบเท่าสามีของนางได้กระมัง เพียงแต่ว่าใบหน้าของเจ๋อหมิงดูหล่อแบบดุๆ ส่วนสามีของนางหล่อเหลาอ่อนโยน เป็นความหล่อคนละแบบจริงๆ รูปร่างเขาก็กำยำล่ำสัน นางมองดูเขาขยับเอวถี่ๆ ทำนางเสียวซ่านตรงกลางกายยิ่งนัก “อื้อ…เจ๋อหมิง เจ้าคนเลว!”
นางมองสามีแล้วต่อว่าต่อขาน “อื้อ…ท่านพี่ท่านก็เลวเหมือนกัน อา…ข้าจะไม่รักท่านแล้ว อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนผละจากดอกบัวตูม มองหน้านางอย่างเศร้าเสียใจ “หรงเอ๋อร์ อย่าเกลียดข้าเลยนะ ข้าจำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะมีลูกให้ข้าได้อย่างไร ข้าทำให้เจ้าตั้งครรภ์ไม่ได้ ข้าไม่มีแท่งหยกแล้ว ข้ามันพิการ ข้ากลายเป็นขันทีไปแล้วแบบนี้ แต่ว่าข้าอยากแต่งงาน อยากมีลูกไว้สืบสกุล มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าตั้งครรภ์ได้ เจ้าจะโกรธข้าก็ได้ แต่อย่าไม่รักข้า ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้าจะไม่รักข้าไม่ได้หรอก”
เขาก้มลงไปซุกไซ้ลำคอนาง หว่านหรงเสียวสยิว “อื้อ…ท่านพี่…”
เจ๋อหมิงกระแทกกระทั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนายหญิงสุขสมไปอีกเจ็ดแปดหน เขาถึงได้สุขสมถึงสวรรค์ “อาาาา…”
Chapter 10 (18+)หลอกล่อให้นางยอม
เจ๋อหมิงหลั่งธารขุ่นไว้ในกายนายหญิง หว่านหรงแทบจะหลับไปทันที นางครางจนเสียงแหบแห้ง สุขสมจนล้นปรี่ เจ๋อหมิงดึงแท่งหยกออกมา เขาลุกขึ้นลงจากเตียง หว่านหรงเห็นแท่งหยกของเขา มันเป็นสีน้ำตาลอ่อน น่าจะยาวเกินคืบนิ้วมือของนาง ขนาดมันใหญ่เกือบๆ เท่าข้อมือนาง นางมองแท่งหยกนั้นอย่างตกตะลึง สิ่งนั้นน่ะหรือที่เข้าไปในตัวนาง!
นางไม่รู้ว่าแท่งหยกของบุรุษคนอื่นเป็นอย่างไร นางเห็นแท่งหยกของสามี ถ้าเทียบกับแท่งหยกของเจ๋อหมิงแล้วของสามีมันดูกุดๆ ด้วนๆ ส่วนแท่งหยกของเจ๋อหมิงก็ตามขนาดที่เห็นนั่นแหละ นางมองจ้องแท่งหยกของเจ๋อหมิง นึกถึงความเสียวที่ได้รับ ก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ นางชอบความเสียวนั้น แต่นางก็เกลียดเขา โกรธเขา แล้วก็เกลียดสามี โกรธสามีด้วย “อึก…อึก…”
น้ำตานางคลอในดวงตา หนานกงเยี่ยนได้ยินเสียงนั้นเขาเงยหน้าจากเนินอกนาง เห็นนางน้ำตาคลอเขาก็ร้อนรนแล้ว “ไอหยา!ๆ หรงเอ๋อร์อย่าร้อง อย่าร้อง”
“อึก…อึก…อึก…” หว่านหรงเม้มปากกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางเบือนหน้าไปด้านข้าง ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของนาง หนานกงเยี่ยนไม่รู้จะปลอบนางอย่างไรดี เขาไม่ถนัดปลอบใจสตรีร้องไห้จริงๆ เขามองเจ๋อหมิง “เจ้าช่วยข้าหน่อยซิ”
เจ๋อหมิงจึงก้าวขึ้นเตียง เขาแก้เชือกที่มัดข้อมือนายหญิงออก ทันทีที่เชือกหลุดออกหว่านหรงก็ลุกขึ้นกระถดตัวหนี พลางตวาดใส่พวกเขาอย่างโกรธเคือง “พวกเจ้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร!? ท่านพี่! ท่านทำอย่างนี้กับข้าได้อย่างไร!? ข้าเกลียดท่าน!”
เจ๋อหมิงดึงนายหญิงเข้ามากอดรัดแน่น หว่านหรงทุบตีเขาปึก! ปัก! “ปล่อยข้า! เจ้าปล่อยข้านะ!”
เจ๋อหมิงไม่ปล่อย เขากอดนางแน่น ปล่อยให้นางทุบตีเขาระบายอารมณ์ไป หว่านหรงทุบปึกปักๆ… “ปล่อยข้า! ข้าบอกให้ปล่อย!”
นางทุบเขาปึกปักๆ จนนางเจ็บมือ นางร้องไห้ออกมา “ฮือๆๆๆ…ปล่อยข้าซิ ข้าบอกให้ปล่อย! ฮือๆๆๆ…”
นางทุบเขาอีกสองสามทีแล้วก็รามือพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฮือๆๆๆ…”
“หรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนยื่นมือไปจับไหล่นาง หว่านหรงสะบัดไหล่ออก หันไปมองสามีตาขุ่น “อึก…อึก…”
“นายหญิง ท่านรังเกียจข้ารึ?” เจ๋อหมิงถามหลังจากที่เห็นนางไม่ร้องไห้ฮือๆ แล้ว หว่านหรงหันไปมองเจ๋อหมิง รังเกียจหรือ?
ไม่ นางไม่ได้รังเกียจเขา นางโกรธเขา เกลียดเขา เกลียดที่เขาทำตามคำสั่งของสามีนางต่างหาก
“นายหญิง ข้าดีใจที่ท่านเป็นนายหญิงของข้า หากว่าเปลี่ยนเป็นแม่นางหว่านหรูอี้ ข้าคงเสพสมกับนางไม่ลง” เจ๋อหมิงพูดขึ้นมา หว่านหรงกะพริบตาปริบๆ มองเขา “ไยเจ้าจึงจะเสพสมกับนางไม่ลง?”
“นางน่าเกลียด” เจ๋อหมิงบอก หว่านหรงอึ้งงันไป พี่สาวต่างมารดาของนางออกจะงดงามปานนั้น กลับถูกบ่าวคนหนึ่งบอกว่า ‘น่าเกลียด’ งั้นรึ!?
“นางงดงามถึงเพียงนั้นเจ้าบอกว่านางน่าเกลียดได้อย่างไร? เจ้าตาบอดแล้วกระมัง?” นางถามพลางจ้องเจ๋อหมิง เจ๋อหมิงมองนายหญิง เอ่ยว่า “ถ้าเทียบกับสตรีทั่วไป นางก็ถือว่างดงามอยู่ แต่ถ้าเทียบกับท่าน นางน่าเกลียด โดยเฉพาะจิตใจนางยิ่งน่าเกลียด นางจิตใจชั่วช้าหาความดีงามไม่เจอ ข้าดีใจที่ท่านเป็นนายหญิงของข้า หากว่าเป็นนางต่อให้นายท่านจะฆ่าข้าให้ตายข้าก็ไม่มีวันเสพสมกับนาง”
หว่านหรงฟังแล้วรู้สึกหัวใจชุ่มฉ่ำอย่างประหลาด ความรู้สึกนี้ทำให้นางเกลียดเขาน้อยลงนิดหนึ่งกระมัง
“หากนายหญิงรังเกียจข้า ท่านก็ตัดแท่งหยกของข้าเลยซิ” เจ๋อหมิงบอก พลางจับมือนายหญิงไปจับแท่งหยกของเขา หว่านหรงอึ้งงันไป นางมองมือตัวเองที่ทาบอยู่บนแท่งหยกแท่งนั้น มันนุ่มๆ ทำให้นางเผลอจับๆ คล้ายกับอยากรู้อยากเห็น พลัน! มันเหยียดขยายออก
นางมองมันอย่างอึ้งๆ นางจับๆ แตะๆ สงสัยว่ามันโตขึ้นได้อย่างไร? “นี่?”
เจ๋อหมิงจับมือนายหญิงกำรอบแท่งหยก รูดขึ้นรูดลง ทำให้แท่งหยกเหยียดขยายใหญ่ขึ้นอีก หว่านหรงมองอย่างสงสัยใคร่รู้ “มันโตขึ้น!”
เจ๋อหมิงทำหน้าเฉย ในดวงตามีแววอมยิ้ม นายหญิงเป็นสาวน้อยที่ไม่เคยรู้เรื่องร่างกายของบุรุษ นางก็เหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นนั่นแหละ “มันโตขึ้นเพราะท่าน มันอยากทำให้ท่านมีความสุข”
หว่านหรงกำลังสนใจแท่งหยก นางจึงไม่เห็นสายตาของเจ๋อหมิงที่ส่งสายตากับสามีของนาง พวกเขาสองคนส่งสายตากันไปส่งสายตากันมาครู่หนึ่งพลางขยับปากไร้เสียงพูด
“มันทำให้ท่านเสียวไหมขอรับ?” เจ๋อหมิงถามพลางจับมือนางรูดขึ้นรูดลง มือนางช่างนุ่มมาก ทำให้เขารู้สึกดีมาก มือเล็กๆ ของนางเทียบกับมือเขาแล้วมือเขาใหญ่กว่ามือนางเท่าตัวเลยทีเดียว
“อื้ม เสียว” หว่านหรงตอบอย่างหลุดปาก นางกำลังสนใจว่าแท่งหยกโตได้อย่างไร?
มันนุ่มๆ แข็งๆ และอุ่นมาก นางเห็นตรงปลายมีรูเล็กๆ มีน้ำใสๆ นิดหนึ่งอยู่ตรงรูนั้น นางมองอย่างสงสัยใคร่รู้
“นายหญิง ข้าอยากใส่มันเข้าไปในตัวท่านอีกครั้ง” เจ๋อหมิงบอก หว่านหรงชะงักงันไป นางจ้องมองแท่งหยกแท่งนั้นเขม็ง “ใส่เข้ามาอีกหรือ?”
นางคิดถึงตอนที่มันอยู่ในตัวนาง ก็รู้สึกเสียววูบวาบขึ้นมารางๆ เจ๋อหมิงค่อยๆ ลูบแผ่นหลังนางแผ่วเบา หว่านหรงยังคงจ้องมองแท่งหยกคล้ายกับกำลังคิด จะยอมให้ใส่เข้าไปหรือไม่ยอม?
ขณะที่นางกำลังคิด เจ๋อหมิงก็ลูบไล้แผ่นหลังของนางพลางส่งสายตากับนายท่าน หนานกงเยี่ยนขยับเข้าไปด้านหลังนาง ค่อยๆ ยื่นมือไปด้านหน้านางอย่างแผ่วเบา ลูบไล้ดอกบัวตูมคู่นั้นอย่างแผ่วเบายิ่ง หว่านหรงรู้สึกเสียววูบวาบ นางละสายตาจากแท่งหยกมองดอกบัวของนาง เห็นมือคู่หนึ่งกำลังลูบดอกบัวคู่นั้น นางหันไปมองด้านหลังก็พบว่าสามีเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “ฮื้อ! ท่านพี่!”
หนานกงเยี่ยนจับใบหน้านางประกบจูบ หว่านหรงอยากจะผลักเขาออกแต่ว่านางก็ลังเล ลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาในปากนาง พัวพันกับลิ้นนางไปมา เจ๋อหมิงก็เลื่อนมือไปจับดอกไม้งามคลึงบี้ หว่านหรงเสียววาบ นางหน้าแดงระเรื่อ ส่งเสียงอือๆ อยู่ในปาก
หนานกงเยี่ยนจูบอยู่พักใหญ่ก็ดันตัวนางลงนอน ตัวเขาเองก็ขยับไปด้านข้าง แล้วก้มลงไปดูดดอกบัวตูม หว่านหรงส่งเสียงคล้ายประท้วง “อื้อ!”
เจ๋อหมิงลูบคลึงดอกไม้งาม เขามองดูนางที่ยังมีท่าทีขัดขืน เขาบี้เกสรเบาๆ ไม่ได้สอดนิ้วเข้ารู เขาต้องการให้นางเป็นคนร้องขอเอง เมื่อนางร้องขอเอง นางก็จะเลิกขัดขืน หึๆๆๆ…
ใช่ นี่คือแผนของพวกเขา ต้องทำให้นางอ้อนวอนขอร้องพวกเขา ฮี่ๆๆๆ…
หนานกงเยี่ยนปลุกเร้าด้านบน เจ๋อหมิงปลุกเร้าด้านล่าง นางจะทนไปได้นานสักเท่าไหร่เชียว ฮี่ๆๆๆ…
“อื้อ…” หว่านหรงครางออกมา นางเสียวซ่าน รู้สึกต้องการมากกว่านี้ แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ทำให้นางแตะขอบสวรรค์เลย นางเหมือนกำลังลอยคออยู่กลางน้ำ ยังไปไม่ถึงฝั่ง พวกเขาทำให้นางเสียวซ่าน แต่ว่ามันไม่มากพอที่จะทำให้นางสุขสมแตะขอบสวรรค์!
“อื้อ…ท่านพี่…” นางครางเรียกเขา
“หืม?” หนานกงเยี่ยนส่งเสียงตอบ หว่านหรงจับแขนเขาเขย่าเบาๆ “อื้อ…ท่านพี่…”
หนานกงเยี่ยนผละจากดอกบัว ยืดตัวขึ้นมองหน้านาง “หรงเอ๋อร์ ต้องการอะไรรึ?”
“ฮื้อ!” หว่านหรงส่งเสียงสูงคล้ายขัดอกขัดใจ หนานกงเยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาต้องการให้นางเป็นฝ่ายร้องขอ ดังนั้นก็ต้องให้นางพูดออกมาซิ! ฮี่ๆๆๆ…
“ท่านพี่ ฮื้อ!” หว่านหรงเรียกเสียงสูงอย่างขัดอกขัดใจ หนานกงเยี่ยนบอก “เจ้าต้องการอะไรก็บอกซิ ข้าทำให้เจ้าทุกอย่างนั่นแหละ”
หว่านหรงหน้าแดงไม่กล้าบอก นางส่งเสียงขัดอกขัดใจ “ฮื้อ!”
“เจ้าไม่บอก ข้าก็ไม่รู้” หนานกงเยี่ยนบอกอย่างแกล้งโง่ หว่านหรงโมโหจึงพูดโพล่งว่า “ข้าอยากให้ท่านทำให้ข้ามีความสุข!”
“ทำให้เจ้ามีความสุข?” หนานกงเยี่ยนแกล้งโง่ต่อไป “ข้าควรจะทำแบบไหนล่ะ?”
“ท่านพี่น่ะ!” หว่านหรงโมโหจนทุบเขาไปทีหนึ่ง ปึก!
“โอ๊ย!” หนานกงเยี่ยนแกล้งร้อง “หรงเอ๋อร์ เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร เจ้าก็พูดออกมาซิ เจ้าไม่บอกแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรล่ะ”
“ข้าต้องการแท่งหยกของเขาใส่เข้ามาในตัวข้า!” หว่านหรงแทบจะตะโกนบอกอย่างโมโห หนานกงเยี่ยนยิ้มสมใจ “ได้ซิ หรงเอ๋อร์ต้องการ ข้าทำให้เจ้าทุกอย่างเลย”
เจ๋อหมิงที่รอจนแท่งหยดปวดหนึบจึงรีบจับแท่งหยกดันเข้ารูนุ่มทันที หว่านหรงส่งเสียง “อือ…”
หนานกงเยี่ยนก้มลงไปดูดดอกบัวต่อ มือเขาก็ลูบไล้ตัวนางไปด้วย เจ๋อหมิงดันแท่งหยกเข้าไปแล้วเริ่มต้นกระแทกกระทั้นถี่ๆ หว่านหรงคราง “อื้อ…อื้อ…”
นางเสียวจนแอ่นสะโพกรับจังหวะเขา เนื้อกระทบเนื้อจนส่งเสียงดัง ตับๆๆๆๆ…
บุรุษทั้งสองช่วยกันปรนเปรอนาง จนนางครางเสียงแหบเสียงแห้งอีกครา กว่าเจ๋อหมิงจะสุขสมเขาก็ทำให้นายหญิงแตะขอบสวรรค์ไปหลายหน หลังจากหลั่งธารขุ่นอีกครั้ง เจ๋อหมิงก็ถอนแท่งหยกออกมาแล้วล้มตัวลงนอนกอดนายหญิงเอาไว้ หนานกงเยี่ยนก็กอดฮูหยินของเขาเอาไว้เช่นกัน บุรุษทั้งสองนอนขนาบข้างหว่านหรง หว่านหรงนอนตรงกลางระหว่างพวกเขา ทั้ง 3 คนหลับไปด้วยกัน
จวบจนเกือบเที่ยงวัน เจ๋อหมิงก็ลืมตาตื่น เขายังไม่ขยับตัว เขามองนายหญิงที่นอนตะแคงหันหลังให้เขา เส้นผมนุ่มลื่นของนางระใบหน้าเขา เขาเกี่ยวเส้นผมปอยหนึ่งมาสูดดม หนานกงเยี่ยนลืมตาตื่น เขามองเห็นหน้าเจ๋อหมิงก็เกือบจะร้องออกมา ดีที่เขากลั้นไว้ทัน เขาจำได้ว่าเมื่อคืนนี้เจ๋อหมิงไม่ได้กลับออกไป เขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เป่าที่อก เขาก้มลงดูจึงเห็นศีรษะดำมันเงาของฮูหยินซุกอยู่กับอกเขา ทำเขายิ้มบางๆ
“อือ…” หว่านหรงส่งเสียงงัวเงีย นางลืมตาตื่นอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกถึงน้ำหนักที่พาดอยู่บนต้นแขนกับเอว นางจึงเหลือบมอง เห็นท่อนแขน 2 ท่อนพาดอยู่บนตัวนาง นางกะพริบตาปริบๆ ครั้นจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนางก็หน้าแดงแปร๊ด อีกทั้งนางยังไม่ได้สวมอาภรณ์ นางรีบลุกขึ้น ลงจากเตียงแบบคลานข้ามตัวสามีไป นางเห็นอาภรณ์ชุดหนึ่งพับวางอยู่บนชั้นข้างผนัง นางรีบก้าวเร็วๆ ไปคว้าอาภรณ์ชุดนั้นมาสวมอย่างเร่งรีบ หนานกงเยี่ยนมองฮูหยินตาปริบๆ เขาหันไปมองเจ๋อหมิงแล้วทำหน้าผวา “เย้ยยยย…”
นอนร่วมเตียงกับบุรุษด้วยกันเองทำให้เขาขนลุกขนพองขึ้นมา เขารีบก้าวลงจากเตียงไปทันที คว้ากางเกงมาใส่พลางหันไปไล่เจ๋อหมิง “เจ้าไปได้แล้ว”
เจ๋อหมิงทำหน้าเซ็ง เขาก็ไม่ได้อยากนอนร่วมเตียงกับบุรุษเช่นกัน เขาอยากนอนกอดนายหญิงต่างหาก เขาลุกออกจากเตียง คว้าอาภรณ์ของตัวเองที่กองอยู่ตรงพื้นข้างหัวเตียงขึ้นมาใส่ จากนั้นก็เปิดประตูห้องเดินออกไป
หว่านหรงมองตามเจ๋อหมิงไปอย่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ นางยังทำใจยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้
แต่ว่าเมื่อคืนเป็นนางที่เอ่ยปากให้เขาทำ นางได้แต่ด่าตัวเองในใจ ‘ไม่น่าปล่อยให้ตัณหาครอบงำเลยจริงๆ’
“หรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนเดินไปกอดฮูหยิน หว่านหรงมองเขาอย่างยังรู้สึกโกรธเคือง นางดันเขาออก มือหนึ่งก็จับสาบเสื้อเอาไว้ เพราะว่าเสื้อตัวนี้น่าจะเป็นของสามีกระมัง เมื่อสวมอยู่บนตัวนางมันจึงหลวมโพรก คอเสื้อตกไปถึงไหล่เลยทีเดียว สามีนางรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับเจ๋อหมิงนั่นแหละ ตัวนางเมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วต่างกันเกือบเท่าตัวเลย นางสูงแค่อกพวกเขาเอง
“หรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนเรียกเสียงนุ่ม เขาพยายามง้อนาง หว่านหรงถลึงตามองเขา “ข้าจะไปอาบน้ำ ท่านไม่ต้องตามมานะ”
“หรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนเรียกอีก หว่านหรงเดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูเดินออกไป นางเดินไปทางบ่อน้ำร้อนเมื่อคืนนี้ หนานกงเยี่ยนเดินตามนางไปห่างๆ เมื่อนางหันกลับมามองเขาทีไร เขาก็จะหยุดก้าวเดินแล้วหันหน้าไปทำเป็นมองต้นไม้ใบหญ้า หว่านหรงโกรธเคืองจนแทบอยากจะหาอะไรขว้างเขาจริงๆ แต่ว่าในบริเวณนั้นไม่มีสิ่งของอะไรพอให้หยิบมาขว้างได้เลย มีแต่กระถางต้นไม้ที่เป็นกระถางลายครามใบใหญ่มาก นางยกไม่ไหวหรอก หากว่ายกไหวนางคงยกทุ่มใส่สามีสักที ฮึ่ม!
“ฮึ!” นางค้อนขวับๆ แล้วเดินต่อไป
เมื่อไปถึงบ่อน้ำร้อน นางหันไปมองสามีทีหนึ่ง แล้วปล่อยอาภรณ์ให้หลุดจากตัว อาภรณ์เลื่อนลงไปกองกับพื้น ตัวนางเปลือยเปล่า ก้าวลงบ่อน้ำร้อน หนานกงเยี่ยนมองฮูหยินแล้วรู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา อยากจะพุ่งไปกอดจูบนางเสียเดี๋ยวนั้น หว่านหรงลงไปนั่งในบ่อน้ำร้อนแล้วหันไปมองสามีพลางบอก “ข้าไม่มีอาภรณ์จะใส่”
“อ่า…” หนานกงเยี่ยนอึ้งงันไป ครู่ต่อมาเขาก็ร้องเรียก “เจ๋อหมิง ไปหาอาภรณ์มาให้นายหญิง”
“ขอรับ” เสียงเจ๋อหมิงดังมาจากทางด้านหนึ่ง หว่านหรงสะดุ้ง “อ่ะ!”
นางหันมองไปตามเสียง แล้วก็เห็นเจ๋อหมิงยืนอยู่ตรงสุดทางเดินบนระเบียงเรือน ทำนางหน้าแดงฉ่า! เขายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? หากว่าตั้งแต่ก่อนนางจะลงมาในบ่อ เช่นนั้นเขาก็ย่อมเห็นนางเปลือยน่ะซิ!
นางหดตัวลงไปจนคางปริ่มน้ำ อายแสนอาย ครั้นคิดๆ อีกที เขาก็เคยเห็นนางเปลือยแล้วนี่ นางยังจะต้องอายอะไรอีก แต่ว่านางก็รู้สึกอายอยู่ดีนั่นแหละ ฉ่า!
หนานกงเยี่ยนก้าวไปกำลังจะลงจากระเบียงทางเดิน หว่านหรงเห็นเช่นนั้นจึงตวาดว่า “ท่านไม่ต้องมาใกล้ข้าเลยนะ! ข้าเกลียดท่าน!”
“หรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนเรียกเสียงอ่อน เท้าชะงักหยุดกึกอยู่ตรงนั้น แล้วโอดครวญว่า “ข้าจะอาบน้ำ เจ้าไม่ให้ข้าลงบ่อแล้วข้าจะอาบน้ำได้อย่างไร”
เขาก้าวเท้าไป 1 ก้าว มองสีหน้านาง หว่านหรงสะบัดหน้าไปอย่างโกรธเคือง นางรีบๆ ถูเนื้อตัวแล้วขึ้นจากบ่อ หยิบเสื้อมาสวมคลุมตัวแล้วเดินเลี่ยงไปขึ้นระเบียงทางเดินอีกด้านหนึ่ง หนานกงเยี่ยนทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “เฮ้อ…”
เขารีบถอดกางเกงแล้วก้าวลงบ่อน้ำร้อนไป รีบขัดๆ ถูๆ ตัวแล้วก็รีบขึ้นไปสวมกางเกง จากนั้นก็รีบเดินตามนางไป นางเดินเข้าห้องนอนไปแล้ว ซ้ำยังขัดกลอนประตูเอาไว้ เขายืนเรียกนางอยู่หน้าประตู “หรงเอ๋อร์ ข้าต้องใส่อาภรณ์ เจ้าปิดประตูเช่นนี้ ข้าจะเอาอาภรณ์ที่ไหนใส่ล่ะ”
หว่านหรงเดินไปที่หีบใส่ของ นางเปิดหีบดู เห็นอาภรณ์บุรุษพับเรียงอยู่ในหีบ นางจึงหยิบออกมาชุดหนึ่งแล้วเดินไปแง้มประตูยื่นอาภรณ์ให้เขา “อื้อ!”
หนานกงเยี่ยนรับอาภรณ์มา หว่านหรงปิดประตูทันที หนานกงเยี่ยนมองประตู หากว่าเขาคิดจะผลักเข้าไปเขาก็ทำได้ แต่ว่าเขาไม่อยากให้นางโกรธเกลียดเขาไปมากกว่านี้ รอให้นางอารมณ์ดีกว่านี้หน่อยแล้วค่อย ‘กล่อม’ นางให้เชื่องเชื่อ ฮี่ๆๆๆ…
เขากับนางเป็นสามีภรรยากันแล้ว นางจะโกรธเกลียดเขาไปได้นานสักเท่าไหร่เชียว เขาแต่งตัวแล้วเดินไปทางห้องโถงด้านหน้า แน่นอนว่าบ่าวถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้เรือนใหญ่ ดังนั้นในบริเวณนี้จึงไม่มีใครเลย เขาจึงเดินออกจากเรือนใหญ่ ไปทางเรือนด้านหน้า จนเจอกับบ่าวไพร่ เขาจึงสั่ง “ยกอาหารไปที่เรือนใหญ่ ข้าหิวแล้ว”
“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่ง หนานกงเยี่ยนเดินกลับไปที่เรือนใหญ่ เขานั่งรอที่เก้าอี้ สักพักใหญ่พวกบ่าวก็ยกอาหารมา “นายท่านขอรับ”
“อืม” หนานกงเยี่ยนหลิ่วตาสั่ง พวกบ่าวจึงเดินเข้าไปวางอาหารแล้วถอยออกไป พวกเขากลับไปที่เรือนด้านหน้าทำงานต่อ เพราะพวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้เรือนใหญ่หากว่านายท่านไม่ได้เรียกหา พวกเขาพอจะเข้าใจคำสั่งเช่นนี้ นายท่านเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่กี่วัน นายท่านพานายหญิงมาที่นี่ แน่นอนว่านายท่านย่อมไม่ต้องการให้ใครเข้าไปได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยิน ฮี่ๆๆๆ…
หนานกงเยี่ยนมองอาหารแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอน ร้องเรียกอยู่หน้าประตู “หรงเอ๋อร์ ออกมากินข้าวเถอะ ข้าให้คนทำกับข้าวที่เจ้าชอบทั้งนั้นเลยนะ”
หว่านหรงอยากจะปฏิเสธ แต่ว่านางรู้สึกหิวแล้ว นางจะไม่ออกไปกินข้าวก็ไม่อาจทนความหิวไหว นางเคยอด เคยหิว รู้ดีว่าความหิวมันโหดร้าย ทรมานเพียงใด ดังนั้นออกไปกินข้าวก่อนเถอะ ส่วนสามี นางไม่พูดกับเขาก็ได้ ไม่ต้องมองเขาก็ได้ ฮึ!
นางเปิดประตูเดินออกไป หนานกงเยี่ยนยิ้มแย้ม “มาๆ”
เขาคว้าข้อมือนาง หว่านหรงดึงมือหลบ พลางก้าวถอยหลัง “อย่ามาจับข้านะ!”
“เอ่อ…” หนานกงเยี่ยนชะงักไป เขากลัวนางจะหนีเข้าห้องไม่ยอมออกไปกินข้าว เขาจึงหมุนตัวเดินนำหน้าไป หว่านหรงเดินตามไปห่างๆ หนานกงเยี่ยนหยุดก้าว หันไปมองฮูหยิน หว่านหรงก็หยุดก้าวเหมือนกัน นางมองเขาอย่างระวังตัว ถ้าเขาก้าวมาหานางเมื่อไหร่นางจะวิ่งกลับเข้าห้องนอนไปทันที หนานกงเยี่ยนหันหน้าไปแล้วเดินต่อ หว่านหรงถอนหายใจโล่งอก “เฮ้อ…”
นางเดินตามเขาไป รักษาระยะห่างจากเขา หนานกงเยี่ยนหยุดเดิน เขาเหล่มองนางแล้วก้าวถอยหลัง หว่านหรงสะดุ้งผวา นางก้าวถอยหลังไปทันที หนานกงเยี่ยนยิ้มขำ เขาหยุดก้าวถอยหลังแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ หว่านหรงมองสามี มองเขาเดินห่างออกไป นางเดินตามเขาไป รักษาระยะห่างจากเขา หนานกงเยี่ยนเดินไปได้นิดหนึ่งก็หยุดเท้า ก้าวถอยหลังอีก หว่านหรงผวา! นางก้าวถอยหลังทันที หนานกงเยี่ยนหยุดเท้า เหล่มองนาง ยิ้มขำจนแทบจะหัวเราะออกมา เขาเดินก้าวไปข้างหน้าต่อ
หากบ่าวไพร่ได้มาเห็นภาพนี้ พวกเขาคงประหลาดใจแน่ คนหนึ่งเดินนำหน้า เดี๋ยวหยุด เดี๋ยวถอยหลัง อีกคนเดินตามเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวถอยเช่นกัน ‘ไม่รู้ว่านายท่านกับนายหญิงเล่นอะไรกัน’ แต่คนที่คิดเช่นนี้ก็คือเจ๋อหมิงที่นำอาภรณ์สตรีกลับมาจากด้านนอก เขาออกไปนำอาภรณ์มาให้นายหญิง กลับมาก็เห็นภาพเช่นนั้น ช่างชวนให้สงสัยใคร่รู้จริงๆ เขาเห็นนายหญิงสวมอาภรณ์ของนายท่าน ชายเสื้อยาวลากพื้น แขนเสื้อก็ยาวเลยมือนายหญิงไปเยอะ เขาเห็นขากางเกงดูเหมือนจะถูกพับขึ้นไป ทำให้นายหญิงดูเหมือนเด็กเล็กๆ ที่เอาอาภรณ์ของผู้ใหญ่ไปใส่อย่างไรอย่างนั้น ช่างดูน่ารักน่ากอดมากทีเดียว เขามองนายหญิงครู่หนึ่งแล้วนำอาภรณ์นายหญิงไปไว้ในห้องนอน
หนานกงเยี่ยนเดินอมยิ้มไปจนถึงห้องโถง เขานั่งลงพลางหยิบตะเกียบมาคีบกับใส่ชามข้าวของนาง “มาๆ หรงเอ๋อร์”
หว่านหรงคว้าชามข้าวแล้วไปนั่งเสียห่างจากสามีมากนัก นางนั่งลงกินข้าว รีบเคี้ยวรีบกลืน เพื่อที่จะได้รีบกลับห้องนอนไป ไม่ต้องเห็นหน้าสามี ฮึ!
หนานกงเยี่ยนบอก “ค่อยๆ กินก็ได้ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
“ข้าไม่ได้กลัวใครแย่ง ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านต่างหากล่ะ ฮึ!” หว่านหรงพูดแล้วคีบกับพุ้ยข้าวกินตุ้ยๆ หนานกงเยี่ยนยิ้มอ่อนๆ ฮูหยินของเขาช่างน่าสนใจจริงๆ หึๆๆๆ…
เขากินข้าวไปพลางมองนางไปด้วย หว่านหรงพยายามไม่มองสามี นางเมินเฉยใส่เขา พลางเร่งกินข้าวให้อิ่ม