Skip to content

Ebook สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ เล่ม 1

  • by

9 ตุลาคม 2565

สตรีอ้วนป่วนสวรรค์

Chapter 1

ผิดคน

เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น จ้าวเป่าฉิน (赵宝琴) ควานมือไปอย่างงัวเงีย เมื่อเจอนาฬิกาปลุกที่กำลังแผดเสียงก็กดปิดแล้วหดมือกลับเข้าไปในผ้าห่มแล้วหลับต่อ “อืม…”

เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง จนกระทั่งเสียงมือถือดังลั่นเธอจึงควานมือไปหยิบมือถือมา เผยอตาขึ้นนิดหนึ่งมองหน้าจอแล้วเลื่อนหน้าจอรับสาย “ฮาโหล…”

“นี่ เป๋าเป้ย(宝贝) จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่โผล่หัวมาอีกเหรอ? ถ้าอีกครึ่งชั่วโมงเธอยังไม่ส่งรายงาน เธอตายแน่!”

เสียงปลายสายแผดเสียงตะโกนดังลั่นทำให้เป๋าเป้ยหรือจ้าวเป่าฉินเบิกตาโพลง! “เชี่ยแล้ว!”

จ้าวเป่าฉินลุกพรวดหันขวับไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง ครั้นเห็นว่าเป็นเวลา 10 โมงกว่าเธอก็รีบพูดตอบทันที “พี่เหยา พี่ถ่วงเวลาให้ฉันหน่อยนะ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“จะพยายามละกัน รีบมาล่ะ”

จากนั้นสายก็ตัดไป จ้าวเป่าฉินรีบกระโจนลงจากเตียงอย่างว่องไวสุดชีวิต ชนิดว่าน้ำท่าไม่ทันอาบ รีบคว้าเสื้อกับกางเกงขายาวมาสวมอย่างลวกๆ แล้วพุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงาน คว้าปึกรายงานที่ปริ๊นเอาไว้เมื่อคืนหยิบไปทั้งปึกยัดใส่กระเป๋าแล้วรีบวิ่งไปใส่รองเท้า คว้ากุญแจมอเตอร์ไซต์คู่ชีพแล้วออกจากห้องพักไปอย่างเร่งรีบ เธอวิ่งตึกๆ ไปอย่างเร่งร้อน

“หลบหน่อยๆ” เธอตะโกนลั่นบอกคนที่เดินขวางทางเธอ

คนสามสี่คนหันไปมองแล้วรีบหลบจนตัวแทบจะติดผนัง พวกเขายังไม่อยากถูกอีอ้วนเกือบ 200 โลนี่ชนเอาหรอกนะ

“วะ อีอ้วน มึงจะรีบไปไหนนักหนา!?”

เสียงด่าตามหลังทำให้จ้าวเป่าฉินหันไปมองแวบหนึ่งอย่างฝากไว้ก่อน ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบไปจริงๆ เธอคงหันไปตบปากไอ้คนปากหมาคนนั้นที่เรียกเธอว่าอีอ้วนแล้วล่ะ หนอย! คำก็อีอ้วน สองคำก็อีอ้วน อ้วนแล้วหนักหัวใครวะ!

เธอพุ่งไปถึงลิฟท์ก็กดลิฟท์ทันที

คนสามสี่คนนั้นไม่อยากใช้ลิฟท์ร่วมกับอีอ้วนจึงไม่รีบเดินไป ก็อีอ้วนคนเดียวก็เกือบจะเต็มลิฟท์เล็กๆ นั่นแล้ว ใครมันจะอยากไปเบียดด้วยล่ะ

เมื่อลิฟท์เปิดออก จ้าวเป่าฉินก็รีบเข้าไปในลิฟท์แล้วกดปิดทันที เธอรู้ว่าคนพวกนั้นก็ไม่เคยใช้ลิฟท์ร่วมกับเธออยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงใช้ลิฟท์คนเดียวตลอด

จนกระทั่งลิฟท์ลงไปถึงชั้น G เธอก็รีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซต์คู่ชีพ คว้าหมวกกันน็อคใส่เรียบร้อยแล้วก็เสียบกุญแจรถแล้วขี่ออกไปทันที เธอเร่งรีบจนคนอื่นๆ หันไปมองเป็นตาเดียว แล้วก็ส่ายหน้า มอเตอร์ไซต์ขนาดมาตรฐานกับคนอ้วนหนักเกือบ 200 โล ทำให้มอเตอร์ไซต์ดูคันเล็กไปเลย

จ้าวเป่าฉินขี่มอเตอร์ไซต์ไปอย่างเร่งรีบมาก แม้ว่าการจราจรจะไม่ติดขัดมากนักแต่เธอก็ยังบิดอย่างเร็ว ปาดซ้ายปาดขวาแซงรถคันอื่นบนท้องถนนไปอย่างเร่งรีบมาก เธอแซงซ้ายแซงขวาจนรถคันหลังด่าบรรพบุรุษของเธอ 18 ชั่วโคตรแล้ว

ขณะที่กำลังขับไปบนสะพานข้ามแม่น้ำ จู่ๆ รถคันหนึ่งก็หักแซงรถคันข้างหน้าออกมา ทำให้จ้าวเป่าฉินร้องลั่น “เฮ้ย!”

ด้วยความตกใจทำให้เธอหักมอเตอร์ไซต์หลบ มอเตอร์ไซต์สีน้ำเงินจึงพุ่งขึ้นไปบนขอบกั้นราวสะพานแล้วพุ่งลอยละลิ่วลงสู่แม่น้ำ

“เหวอ—” จ้าวเป่าฉินร้องลั่น ตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น ยังไม่ทันได้คิดอะไรมอเตอร์ไซต์ก็ตกลงไปในน้ำแล้ว ตูม—

บนสะพาน รถเบรกกันดังลั่น ผู้คนตะโกนด้วยความตกใจ

“เฮ้ย!”

“ว๊าย!”

“รถตกสะพาน!”

ฯลฯ

จ้าวเป่าฉินถูกน้ำกระแทกจนมึนไปชั่วขณะ ตัวเธอจมลงไปในน้ำพร้อมกับรถมอเตอร์ไซต์คู่ชีพ เธอปล่อยมือจากแฮนด์มอเตอร์ไซต์ แล้วพยายามจะว่ายน้ำขึ้นไป แต่เธอกลับจมลงไปเรื่อยๆ สายน้ำก็ขุ่นจนมองไม่เห็นอะไรมาก เธอรู้สึกว่ามีอะไรถ่วงตัวเธอเอาไว้ เธอจึงพยายามสลัดมันออกไป แต่ก็ไม่หลุด ยิ่งดิ้น อากาศก็ยิ่งลอยขึ้นไปเป็นฟองบุ๋งๆ เธอสำลักน้ำแล้ว ราว 2 นาทีต่อมาทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับมืดไป

“แม่นางๆ ลุกได้แล้ว”

เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับความรู้สึกเหมือนที่แขนถูกใครจิ้มๆ ทำให้จ้าวเป่าฉินลืมตาขึ้นมอง ภาพแรกที่มองเห็นคือดวงตาสีดำ ดำราวกับก้นบ่อน้ำลึกที่ลึกมากๆ ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ

“นี่ๆ รีบลุกได้แล้ว”

จ้าวเป่าฉินเหลือบตามองริมฝีปากสีแดงที่แดงอย่างกับทาลิปติกสีแดงสด เมื่อเธอโฟกัสสายตาดีๆ ก็เห็นว่าคนที่พูดนั้นมีใบหน้าโคตรหล่อ หล่อเหมือนดาราดัง โครงหน้าแบบว่าเบ้าหน้าฟ้าประทานชัดๆ ทำให้คำแรกที่เธอพูดออกมาคือ “หล่ออ่ะ”

คนๆ นั้นยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ตื่นแล้วก็รีบลุก ข้าจะได้หมดหน้าที่เสียที”

จ้าวเป่าฉินลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ ตัว เธอมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด เหมือนกับว่ามีแสงเฉพาะรอบตัวเธอกับคนหล่อคนนี้เท่านั้น ดังนั้นคำถามแรกที่เธอถามออกไปคือ “ที่นี่ที่ไหน?”

คนหล่อเหมือนจะคุ้นเคยกับคำถามประเภทนี้จึงตอบอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่คือยมโลก”

“ยมโลก!?” จ้าวเป่าฉินตะโกนลั่นอย่างไม่เชื่อ

คนหล่อจึงบอกว่า “ข้าคือยมทูต ส่วนเจ้าตายแล้ว ข้ามาพาเจ้าไปรอตัดสินว่าจะไปสวรรค์หรือไปนรก เอ้า รีบลุกได้แล้ว แล้วตามข้ามา”

จ้าวเป่าฉินมองยมทูตอย่างเหลือเชื่อ “ฉันตายแล้ว!?”

“ก็ตายแล้วนะซิ เจ้าขี่รถมอเตอร์ไซต์ตกแม่น้ำ เจ้าถูกรถถ่วงลงก้นแม่น้ำไม่อาจว่ายขึ้นไปได้ แค่ 5 นาทีเจ้าหมดสติแล้ว อีก 5 นาทีต่อมาเจ้าก็ตายแล้ว” ยมทูตบอกอย่างเย็นชา

จ้าวเป่าฉินอ้าปากค้าง พลัน! ความทรงจำก็หวนขึ้นมา เธอจำได้แล้ว เธอขี่มอเตอร์ไซต์ตกแม่น้ำจริงๆ

“จำได้แล้วซินะ” ยมทูตพูดขึ้นมา

จ้าวเป่าฉินพยักหน้า

ยมทูตจึงบอกว่า “ตามข้ามา”

เขาพูดจบแล้วก็เดินนำหน้าไป

จ้าวเป่าฉินไม่อยากเดินตามเขาไปแต่ร่างกายของเธอกลับก้าวขาเดินตามเขาไปเอง เธอพยายามบังคับขาตัวเองแต่ก็ไม่อาจบังคับได้ เหมือนกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างเธออย่างงั้นแหละ “นี่!”

“ตามมาเถอะ เจ้าไม่อาจขัดคำสั่งข้าได้หรอก” ยมทูตบอกอย่างเย็นชาเช่นเดิม แล้วเดินนำหน้าไป

จ้าวเป่าฉินก้าวตามไปอย่างไม่อาจบังคับตัวเองได้เลย บ้าเอ้ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?

เธอเดินตามยมทูตไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเดินอยู่นานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเดินๆๆ เดินตามยมทูตสุดหล่อคนนั้นไปอย่างเดียวเท่านั้น รอบด้านก็มืดมาก มืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย เธอเห็นแค่ยมทูตคนนั้นเท่านั้น เบื้องหน้าก็มืดมาก มืดสนิทยังกับไร้แสงทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่ความมืดกับมืดเท่านั้น พอเธอจะอ้าปากถาม ยมทูตก็พูดว่า “ไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูด ตามข้ามา”

ปากเธอก็เหมือนจะอ้าไม่ขึ้นแล้ว เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนีโอ* ที่ถูกปิดปากในหนังเรื่อง The Matrix ยังไงอย่างงั้นแหละ ทำเธอด่าอยู่ในใจ โว๊ย! เกิดอะไรขึ้น!? นี่มันอะไรกันวะ!

(นีโอ คือตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix เข้าฉายวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ.1999)

จนกระทั่งเบื้องหน้าปรากฏแสงขึ้นเป็นจุดเล็กๆ เหมือนแสงที่ลอดรูเล็กๆ ในห้องมืดยังไงอย่างงั้น แล้วแสงนั้นก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ไม่ใช่ซิ ที่ถูกควรจะบอกว่าเธอกับอีตายมทูตเย็นชานี่กำลังเดินเข้าไปหาแสงนั้นมากกว่า เธอกับเขาเดินเข้าไปใกล้แสงนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเบื้องหน้านั้นคืออาคารใหญ่โตโอ่อ่า ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะใหญ่พอๆ กับอาคารสนามบินในปักกิ่งรวมกันซัก 10 อาคารนั่นแหละ

เมื่อเห็นขนาดของอาคารแล้วก็ทำให้จ้าวเป่าฉินเบิกตาโตเท่าไข่ห่านแล้ว โห! ใหญ่มาก!

ยมทูตเดินนำหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงหน้าประตู เหนือประตูมีป้ายเขียนว่า ‘วิญญาณใหม่’

เขาชี้ไปที่ประตูนั้นแล้วสั่งว่า “เข้าไปซิ”

จ้าวเป่าฉินก้าวผ่านเขาไป เดินเข้าประตูไปอย่างไม่อาจขัดขืนได้เลย เธอเดินผ่านประตูไปแล้วจึงเห็นคนยืนต่อแถวยาวเหยียดมาก ทำเธอบ่นในใจ โห! ต้องรอนานเท่าไหร่วะ?

เธออยากจะเดินไปทางอื่น แต่ก็ไม่อาจเดินไปได้ เท้าของเธอเหมือนถูกตรึงเอาไว้กับพื้นงั้นแหละ ทำได้เพียงก้าวตามคนข้างหน้าไปเท่านั้น เมื่อเธอเหลียวไปมองข้างหลังก็พบว่าอีตายมทูตสุดหล่อไม่อยู่แล้ว เรียกว่าพอส่งเธอเสร็จแล้วเขาก็รีบไปเลยซินะ คนอะไรโคตรหล่อแต่โคตรๆ เย็นชาเลยอ่ะ คนแบบนี้คงจะหาแฟนลำบากสุดๆ เลยมั้ง ก็ผู้หญิงที่ไหนจะอยากได้แฟนโคตรเย็นชาล่ะ ต่อให้หล่อขนาดนั้นถ้าให้เขามาเป็นแฟนเธอ เธอก็ไม่เอาด้วยคนล่ะ ขี้เกียจต้องคอยเอาใจคนอื่นอ่ะ

ขณะที่เธอกำลังคิดๆ อะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงพูดว่า “บอกชื่อแซ่เจ้ามา”

จ้าวเป่าฉินชะงักกึก เธอมองไปตรงหน้าก็พบว่าแถวยาวๆ หายไปหมดแล้ว ขณะนี้เธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าชายคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บนแท่นยกพื้นสูง ด้านข้างชายคนนั้นมีผู้ชายอีกสี่คนนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ 4 ตัวที่ดูเหมือนโต๊ะทำงาน แต่โต๊ะทำงาน 4 ตัวนี้เป็นโต๊ะที่ทำมาจากวัสดุอะไรเธอก็ไม่อาจบอกได้ดูขาวๆ คล้ายหยกแต่มีแสงเหลือบๆ เหมือนไข่มุก ถ้าจะบอกว่าเป็นโต๊ะที่ทำมาจากไข่มุกก็คงเป็นไข่มุกที่ใหญ่มาก

“เอ้า บอกชื่อแซ่เจ้ามา” เสียงพูดดังขึ้นอีกครั้ง จ้าวเป่าฉินจึงหันไปมองตามเสียง แล้วเธอก็พบว่าคนพูดคือคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทางฝั่งซ้ายมือของเธอ เธอมองเขา กะพริบตาปริบๆ คนๆ นั้นจึงพูดน้ำเสียงเข้มว่า “ยังไม่บอกชื่อแซ่อีก”

จ้าวเป่าฉินมองคนๆ นั้นแล้วถามว่า “ทำไมฉันต้องบอกชื่อกับคุณด้วยล่ะ?”

“ข้าจะได้ตรวจสอบว่าเจ้าชื่อแซ่ตรงกับในบัญชีหรือไม่น่ะซิ หากเจ้าโกหก ข้าจะได้เพิ่มความผิดให้เจ้าเพิ่มขึ้นอีก 1 ข้อ”

จ้าวเป่าฉินมองชายคนนั้นแล้วหันไปมองคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนล้วนหน้าตาหล่อกันทุกคน ทำเธออดคิดไม่ได้ว่า หรือว่ายมโลกจะคัดคนทำงานด้วยหน้าตาอ่ะ แบบว่าหล่อๆ กันทั้งนั้นเลยง่ะ ขอฉันสมัครเป็นพนักงานซักคนได้ป่ะ?

“สตรีอ้วน เจ้าบอกชื่อแซ่มาเถอะ ข้าจะได้ตัดสินว่าเจ้าควรจะไปนรกหรือสวรรค์ตามความดีความชั่วของเจ้า” ชายที่นั่งอยู่บนแท่นยกสูงพูดขึ้นมา จ้าวเป่าฉินหันไปมองเขาแล้วถามว่า “คุณคือ?”

“ข้าคือเหยียนหลัวหวาง*” เหยียนหลัวหวางตอบ จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วมองคนอื่นๆ อีก 4 คน เธอเบนสายตากลับไปมองเหยียนหลัวหวางอีกครั้ง พูดว่า “ฉันแซ่จ้าว ชื่อเป่าฉิน”

(เหยียนหลัวหวาง ก็คือพยายมราช)

“จ้าวเป่าฉิน” ยมทูตคนเดิมทวนชื่อแซ่แล้วมองบนโต๊ะ พูดว่า “เจ้าเกิดที่เมืองจงซาน มณฑลกวางตุ้ง เกิดเมื่อวันที่ 11 เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1997 เวลา 9 โมงเช้า”

จ้าวเป่าฉินหรี่ตาลง “ไม่ใช่นะ ฉันเกิดที่ปักกิ่งต่างหาก เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1999 เวลาบ่าย 3 โมง 35 นาทีต่างหาก”

“หือ?” ยมทูตที่นั่งโต๊ะทั้งสี่คนส่งเสียงคนละคำพร้อมกัน

แล้วยมทูตคนหนึ่งที่นั่งใกล้ๆ กับยมทูตคนแรกก็รีบลุกไปดูที่โต๊ะของยมทูตคนแรก เขาจ้องข้อมูลบนโต๊ะเขม็ง แล้วหันไปมองจ้าวเป่าฉิน เขามองอายุเงาร่างเดิมก่อนตายของนางแล้วพูดว่า “สตรีผู้นี้อายุ 23 ไม่ใช่ 25”

“อา—” ยมทูตอีก 2 คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามร้องออกมาพร้อมกัน พวกเขาหันไปมองจ้าวเป่าฉินครู่ใหญ่ แล้วพูดเกือบจะพร้อมกันว่า “นางอายุ 23 จริงๆ”

“ผิดคนงั้นรึ?” เหยียนหลัวหวางพึมพำเบาๆ แต่เสียงของเขากลับได้ยินกันทั่วทุกคน

ยมทูตทั้งสี่คนหันไปมองเหยียนหลัวหวางเป็นตาเดียว พวกเขามีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “เอ่อ…”

“รีบส่งนางกลับไป” เหยียนหลัวหวางสั่ง ยิ่งทำให้สีหน้าของยมทูตทั้งสี่ยิ่งย่ำแย่มากขึ้น

เกิดความเงียบงันไปพักใหญ่ ยมทูตคนแรกก็เลื่อนมือไปมาอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง แล้วเขาก็หยุดมือ มองข้อมูลบนโต๊ะแล้วสีหน้ายิ่งย่ำแย่มากขึ้นอีก เขาเหลือบมองยมทูตอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยมทูตคนนั้นมองสบตาสหายแล้วหันไปมองเหยียนหลัวหวาง พูดว่า “ไม่อาจส่งนางกลับไปได้แล้วขอรับ ศพนางถูกเผาไปแล้วขอรับ”

สีหน้ายมทูตอีกสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามยิ่งย่ำแย่พอๆ กับสหายทั้งสองคนทันที พวกเขาร่ำร้องในใจว่า ‘แย่แล้ว’ แทบจะพร้อมๆ กันเลยทีเดียว พวกเขารู้ดีว่าการนำวิญญาณมาผิดคนนั้นส่งผลร้ายแรงเพียงใด ยมทูตที่ทำผิดพลาดจะถูกลงทัณฑ์อย่างหนักหนายิ่ง แค่คิดถึงบทลงโทษพวกเขาก็หนาวสะท้านแล้ว

เหยียนหลัวหวางยกมือนวดขมับ เขามองจ้าวเป่าฉินอย่างหนักอกหนักใจ บ่นว่า “เหตุใดมนุษย์จึงได้รีบเผาศพเร็วนักนะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนยังเก็บรักษาศพเอาไว้ 100 วันอยู่เลย”

“โห ถ้าต้องเก็บศพไว้ 100 วัน ค่าเก็บรักษาศพก็โคตรแพงเลยนะซิ” จ้าวเป่าฉินอุทานออกมาเมื่อคำนวณค่าเก็บรักษาศพ 100 วัน เธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่นิติเวช ดังนั้นเรื่องราคาเหล่านี้เธอย่อมรู้ดีที่สุด ขนาดแค่จัดงาน 1 คืนแล้วเผายังต้องจ่ายเงินตั้งหลายหยวน ซึ่งปัจจุบันนี้มีศพไร้ญาติที่ไม่มีญาติมารับไปทำพิธีก็มาก ก็เพราะพวกญาติๆ กลัวว่าจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในพิธีศพมากโขนั้นเอง

เหยียนหลัวหวางมองจ้าวเป่าฉิน แล้วครุ่นคิดหาทางแก้ไข เขาคิดๆ อยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พูดว่า “เช่นนั้นก็ดูความดีความชั่วของนาง”

ยมทูตคนแรกรีบดูข้อมูลทันที แล้วรายงานว่า “สตรีผู้นี้ทำความดีมากกว่าความชั่วขอรับ”

“ส่งนางไปสวรรค์” เหยียนหลัวหวางสั่ง

ยมทูตทั้งสี่รับคำสั่งพร้อมกัน “ขอรับ”

แล้วยมทูตคนหนึ่งก็เดินเข้าไปหาจ้าวเป่าฉิน บอกว่า “เจ้าตามข้ามา”

จ้าวเป่าฉินเดินตามไปอย่างไม่ขัดขืน ก็เขาจะพาเธอไปสวรรค์ เธอจะขัดขืนทำไมให้โง่ล่ะ เธอกำลังจะไปเสวยสุขนี่นา ไม่ใช่ไปลงนรกซะหน่อย เมื่อเดินไป 2 ก้าวก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณเหยียนหลัวหวางเลย เธอจึงหันไปมองจะพูดขอบคุณ แต่เมื่อเธอหันไปก็พบว่าเบื้องหลังดำมืดไปหมด ไม่มีเหยียนหลัวหวาง ไม่มียมทูตสุดหล่อทั้งสี่คนแล้ว ทำให้เธอชะงักกึก “เอ๋?”

“ตามข้ามา” ยมทูตที่นำทางอยู่ข้างหน้าหันไปมองแล้วเดินนำทางไป

จ้าวเป่าฉินกลัวจะถูกทิ้งไว้ในความมืดจึงรีบเดินตามไป

เธอเดินตามไปจนกระทั่งเห็นจุดแสงเล็กๆ เบื้องหน้า จุดแสงนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าภายใต้แสงสว่างนั้นคือทางแยก 2 ทาง ทางหนึ่งขาวพร่างพราวจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีขาว อีกทางหนึ่งแดงฉานดั่งลาวา อีกทั้งยังแผ่ไอร้อนระอุออกมาจากช่องทางสีแดงฉานนั้นด้วย

“นั่นคือทางไปสวรรค์ ส่วนนั่นคือทางไปนรก” ยมทูตชี้บอก

จ้าวเป่าฉินมองแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ ต่อให้คุณยมทูตสุดหล่อคนนี้ไม่บอก เธอก็พอจะเดาได้อยู่นะ

“ไปซิ ข้าจะได้หมดหน้าที่เสียที” ยมทูตบอกคล้ายเร่ง ทำให้จ้าวเป่าฉินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แหมๆ เร่งเธอจัง! นี่ถ้าเธอสวยๆ เหมือนดาราพวกเขาจะเร่งเธอแบบนี้รึเปล่า?

จริงๆ แล้วเธอก็ไม่ได้อยากอ้วนเหมือนแบบนี้หรอกนะ แต่แค่เธอกินอะไรนิดหน่อยมันก็ไปสะสมเป็นไขมันหมดแล้วอ่ะ ขนาดเธอวิ่งทุกวัน น้ำหนักยังไม่ลดลงเลยซักขีดแล้วจะให้เธอทำไงล่ะ โปรแกรมลดน้ำหนักแบบไหนที่ว่าดีเธอก็ลองมาหมดแล้วทั้งนั้น เฮ้อ…

“ไปซิ” ยมทูตพูดอีกครั้ง

จ้าวเป่าฉินจึงหยุดคิดแล้วเดินไปทางช่องทางไปสวรรค์

ยมทูตก็หันหลังกลับทันที

พลัน! เสียงครืนคร้านก็ดังขึ้น!

จ้าวเป่าฉินรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวยังไงอย่างงั้น เธอตกใจร้องออกมาคำหนึ่ง “เฮ้ย!”

ยมทูตหันขวับไปมอง แล้วเขาก็เห็นช่องดำมืดช่องหนึ่งแหวกออก มังกรสีดำมะเมื่อมตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากช่องทางนั้น ทำเขาตกใจร้องลั่น “อ้า!”

จ้าวเป่าฉินถูกมังกรพุ่งเฉียดไป ทำเธอเซไป ยังไม่ทันจะได้มองว่าอะไรเป็นอะไร เห็นแค่อะไรดำๆ ยาวๆ เฉียดตัวไปเท่านั้นเอง แล้วเธอก็ถูกอะไรดำๆ ยาวๆ นั้นกระแทกจนตัวเธอเซหลุนๆ เข้าไปในช่องดำๆ ช่องนั้นแล้ว “โอ๊ะ!”

เธอพยายามไขว่คว้าหาที่ยึดแต่ก็คว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่าเท่านั้น อีกทั้งแรงลมจากอะไรดำๆ ยาวๆ นั่นก็พัดจนเธอเซถลาเข้าไปอย่างช่วยตัวเองไม่ได้เลย

“มังกรดำ!” ยมทูตอุทานสองคำ แล้วเขาก็เห็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่บนศีรษะมังกรตัวนั้น เขาไม่ทันเห็นว่าจ้าวเป่าฉินพลัดเข้าไปในช่องดำมืด เขามองแต่มังกรดำกับสตรีบนศีรษะมังกรดำเท่านั้น เมื่อทั้งสองจากไปไกลแล้วเขาจึงหันไปมองจ้าวเป่าฉิน

Chapter 2

ชายผมขาว

แต่ยมทูตก็ไม่เห็นนางแล้ว เขาจึงคิดว่านางคงเข้าไปในช่องทางสวรรค์แล้วกระมัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วเขาจึงรีบจากไป นำข่าวเรื่องมังกรดำกับสตรีนางนั้นไปรายงานเหยียนหลัวหวางอย่างเร่งด่วน

แต่เมื่อเขาไปถึง เขาก็เห็นเหยียนหลัวหวางกำลังต่อสู้กับสตรีที่เขาเห็นยืนอยู่บนศีรษะมังกรดำ

เหยียนหลัวหวางกับสตรีนางนั้นสู้กันไปสู้กันมาอย่างดุเดือดยิ่งนัก ดุเดือดจนเขาไม่อาจสอดมือเข้าช่วยเหลือได้เลย เขาจึงยืนมุงดูรวมกับคนอื่นๆ (อ่านฉากนี้ได้ในนิยายเรื่อง หงส์คืนแค้น ค่ะ) เขาได้แต่ยืนดูคอยหาจังหวะเข้าช่วยเหลือเหยียนหลัวหวาง แต่ทั้งสองสู้กันรวดเร็วยิ่ง เร็วจนเขามองตามแทบไม่ทันเลยทีเดียว

จ้าวเป่าฉินพลัดเข้าไปในช่องทางดำมืดช่องทางนั้น เธอพยายามจะตะกายกลับไปทางเดิม แต่รอบตัวเธอนั้นเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีพื้นให้เธอยืน ดังนั้นเธอจึงร่วงลงไป ทำเธอตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นแล้ว “เหวอ—”

เธอกลัวจนแทบฉี่ราดแล้ว จนในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบไป

ณ ชายแดนระหว่างยมโลกกับแดนเทพ ชายผมขาวคนหนึ่งกำลังเดินไปเรื่อยๆ เขาถือไม้เท้าอันหนึ่ง ซึ่งไม้เท้าอันนี้เขาเพียงถือมันเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้มันเพื่อค้ำยันแต่อย่างใด เขาเดินหลังตรงอย่างยิ่ง ไม่ได้เดินหลังค่อมงองุ้มดุจคนชราเลยสักนิด เขากำลังเดินหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ สายตาเขากวาดมองไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็พบสิ่งที่เขาตามหา ซึ่งก็คือเถากลืนจิต เขายิ้มอย่างดีใจ “อา เจอเสียที”

เถากลืนจิตได้ยินเสียงดังขึ้น มันหันไปมองขณะที่กำลังอ้าปากจะกลืนวิญญาณสตรีอ้วนนางหนึ่งเข้าไป ร่างกายมันพันรัดวิญญาณสตรีอ้วนที่อวบอ้วนจนมันพันนางไม่มิด ทำให้ชายผมขาวเห็นสตรีอ้วนบางส่วน

“หือ?” เขาเบิกตาครั้งหนึ่งอย่างแปลกใจแล้วดวงตาก็หดลงเป็นปกติในชั่วพริบตา

เถากลืนจิตเห็นชายผมขาวผู้นี้ก็รีบกลืนวิญญาณสตรีอ้วนเข้าไป

ชายผมขาวเห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปยื้อแย่งทันที ทั้งยังตวาดเสียงดัง “ปล่อยนาง!”

“ไม่ปล่อยๆ ข้าจะกินนาง” เถากลืนจิตพูดอย่างไม่ยินยอม มันรีบกลืนนางลงไป

ชายผมขาวปล่อยไม้เท้าแล้วใช้สองมือง้างปากเถากลืนจิต เถากลืนจิตพยายามจะกลืนสตรีอ้วนลงไปในคำเดียวแต่ติดที่ชายผมขาวง้างปากมันเอาไว้ทำให้มันกลืนสตรีอ้วนลงไปไม่ได้ ชายผมขาวงัดแงะสตรีอ้วนออกมาจากปากเถากลืนจิตจนได้ ทั้งยังตีเถากลืนจิตไป 1 ที ผั๊วะ!

“แง๊! นายท่านใจร้าย!” เถากลืนจิตร้องออกมา มันบีบน้ำตาให้ไหลแหมะๆ

ชายผมขาวจับสตรีอ้วนไปไว้ข้างหลังตัวเองแล้วมองเถากลืนจิตที่กำลังบีบน้ำตาต่อว่าเขา เขาเงื้อมือขึ้นอีกที ทำให้เถากลืนจิตหยุดร้องทันที มันรีบหยุดน้ำตาทันควัน ชายผมขาวจึงลดมือลง พลางบ่นว่า “เจ้านี่นะเผลอเป็นไม่ได้เชียว ชอบหนีมาหาจับวิญญาณกินอยู่เรื่อย หากวันไหนเหยียนหลัวหวางมาเอาเรื่อง ข้าจะปล่อยให้เขาเอาเจ้าไปตุ๋นกินเสียเลย”

“อ๊า! นายท่านไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านจะปล่อยให้เขาเอาข้าไปตุ๋นไม่ได้นะเจ้าคะ” เถากลืนจิตร้องโอดครวญ ยื่นเถาสองเส้นไปพันแขนนายท่านเอาไว้

ชายผมขาวถอนหายใจ แล้วขู่มันว่า “ถ้าเจ้ายังแอบหนีมาเช่นนี้อีก ครั้งหน้าอาจจะเจอเหยียนหลัวหวางก็ได้ ถึงตอนนั้นเขาจับเจ้าไปตุ๋นกินแล้วข้าจะทำอะไรได้ล่ะ”

“แง๊! นายท่านใจร้าย!” เถากลืนจิตร้องไห้ออกมา

ชายผมขาวไม่สนใจมัน เขาหันไปมองสตรีอ้วนที่ช่วยออกมาจากปากเถากลืนจิตตัวตะกละ เขามองนางแล้วรู้สึกแปลกใจที่นางเป็นเพียงวิญญาณมนุษย์แต่กลับผ่านเขตแดนระหว่างยมโลกและแดนเทพมาได้โดยที่วิญญาณไม่ถูกสายฟ้าระหว่างเขตแดนฟาดจนเสียหาย

ซึ่งส่วนใหญ่แล้ววิญญาณมนุษย์ที่หลุดรอดมาที่นี่ได้นั้นล้วนถูกสายฟ้าฟาดจนวิญญาณแตกดับหรือไม่ก็หลงเหลือเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น หากเหลือเพียงเศษเสี้ยวเขาคงปล่อยให้เจ้าตัวตะกละกินไปแล้วล่ะ แต่นี่นางยังสมบูรณ์ดีอยู่ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้เจ้าตัวตะกละกินได้ เขากำลังจะส่งวิญญาณนางกลับไป แต่แล้วตัวนางก็เปล่งแสงจางๆ ออกมา ทำเขาประหลาดใจ “หือ?”

“อ๋า!? แสงเทพ!” เถากลืนจิตอุทานออกมา

ชายผมขาวมองแสงจางๆ นั้นแล้วยื่นมือไปตรวจสตรีอ้วน

“นายท่าน นางเป็นเทพ! อ๋า! ข้าเกือบจะกินเทพเข้าไปงั้นรึ! ถ้าเทียนจวินรู้เข้า ข้าคงถูกฆ่าแน่” เถากลืนจิตร้องออกมาอย่างตื่นกลัว

ชายผมขาวไม่สนใจมัน เขาตรวจสตรีอ้วนอยู่ครู่หนึ่งแล้วดึงมือกลับ พูดว่า “ครึ่งเทพ”

“หา! ครึ่งเทพ!” เถากลืนจิตอุทานออกมา มันปล่อยแขนนายท่านแล้วเดินอ้อมไปอีกด้าน จ้องมองสตรีอ้วนที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยพลังของนายท่าน มันจ้องมองนางแล้วมองนายท่าน

ชายผมขาวกำลังครุ่นคิดจึงไม่ได้สนใจมัน แต่ถึงเขาจะไม่สนใจมัน มันก็ไม่กล้ากินสตรีอ้วนต่อหน้าเขาหรอก ลองกินดูซิ ไม่ต้องรอให้ใครเอามันไปตุ๋นหรอก เขานี่แหละจะตุ๋นมันเสียเอง

“นายท่าน เหตุใดนางจึงเป็นครึ่งเทพ?” เถากลืนจิตถามอย่างสงสัย

ชายผมขาวมองมันแวบหนึ่งแล้วมองสตรีอ้วน เขามองมันอีกครั้งแล้วถามว่า “ตอนเจ้าเจอนาง เจออย่างอื่นอีกหรือไม่?”

เถากลืนจิตคิดๆ แล้วตอบว่า “ก่อนข้ามาถึงตรงนี้ ข้าเห็นเฮยหลงกับธิดาเจ้าแม่เจ้าค่ะ”

“เฮยหลงงั้นรึ?” ชายผมขาวครุ่นคิด แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดสตรีอ้วนจึงกลายเป็นครึ่งเทพไปได้ แต่ในเมื่อนางเป็นครึ่งเทพแล้วเขาก็ไม่อาจส่งนางกลับไปได้แล้ว เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? อืม?

เถากลืนจิตยื่นเถาไปแตะๆ สตรีอ้วน มันแตะๆ ดูแล้วรู้สึกว่าผิวเนื้อสตรีอ้วนช่างนุ่มนิ่มน่าสัมผัสยิ่ง นุ่มลื่นดั่งแพรไหมอีกทั้งเด้งดึ๋งดั่งผิวทารก ทำให้มันลูบๆ ผิวสตรีอ้วนไปมาอย่างชอบใจ มันลูบๆ อยู่นานจนได้ยินเสียงนายท่านถามว่า “นั่นเจ้าทำอะไร?”

มันชะงักกึก! เงยหน้ามองนายท่านแล้วยิ้มแหยๆ “ข้าไม่ได้คิดจะกินนางนะเจ้าคะ ข้าแค่จับนางเท่านั้นเอง”

“นอกจากเจ้าจะตะกละแล้วยังชอบลวนลามผู้อื่นด้วยรึ?” ชายผมขาวถามเสียงเข้ม

เถากลืนจิตรีบปฏิเสธ “ข้าไม่ได้ลวนลามนางนะเจ้าคะ”

มันหดเถากลับทันที

ชายผมขาวมองมัน “ไม่ได้ลวนลาม แต่ข้าเห็นอยู่นี่นาว่าเจ้าลูบคลำนาง”

“ก็…ก็นาง…” เถากลืนจิตอึกอักปฏิเสธไม่ออก จนในที่สุดมันก็แก้ตัวไม่ได้ มันจึงคิดหาข้อแก้ตัวด้วยการยื่นเถาไปจับมือนายท่านวางบนต้นแขนสตรีอ้วน แล้วแก้ตัวข้างๆ คูๆ “ก็ผิวนางน่าจับนี่เจ้าคะ”

ชายผมขาวชะงักงัน รู้สึกโกรธเจ้าตัวตะกละขึ้นมาแล้ว เขาเรียกมันเสียงต่ำเย็นเยียบ “เจ้าตัวตะกละ!”

เถากลืนจิตหดเถาไปแล้วรีบวิ่งหนีไปทันที “อ้า! นายท่านอย่าเอาข้าไปตุ๋นนะเจ้าคะ!”

ชายผมขาวโมโหมันจนหน้าแดง เขาเก็บสตรีอ้วนไปแล้วยื่นมือไป ไม้เท้าก็ลอยเข้าสู่มือเขาทันที จากนั้นเขาก็วิ่งตามเถากลืนจิตไป พลางตะโกนไล่หลังมันไปว่า “อย่าหนีนะเจ้าตัวตะกละ!”

“อ้า! นายท่านอภัยให้ข้าเถอะ ข้าผิดไปแล้ว!” เถากลืนจิตร้องไปพลางวิ่งเร็วจี๋ มันวิ่งสุดชีวิตทีเดียวทั้งๆ ที่รู้ว่าต่อให้มันวิ่งเร็วกว่านี้อีก 10 เท่าก็ไม่อาจหนีนายท่านพ้น มันวิ่งไปได้ไม่ทันไร นายท่านก็วิ่งอ้อมมาดักหน้ามันแล้ว มันวิ่งไปจนหยุดไม่ทันจึงพุ่งไปหานายท่าน โคร้ม!

มันไม่ได้ชนนายท่านหรอกนะ แต่ชนกับพลังอันแข็งแกร่งของนายท่านต่างหาก มันกระแทกเข้าไปเต็มแรงจนตัวเจ็บไปหมดแล้ว

“หนีอีกซิ” ชายผมขาวพูดน้ำเสียงเย็นเยียบ

ทำเถากลืนจิตขนลุกชัน มันรีบพูดพร้อมบีบน้ำตาทันที “อ้า! นายท่านให้อภัยข้าเถอะ ข้าผิดไปแล้ว”

“อืม จะตุ๋นดีหรือว่าย่างดีล่ะ?” ชายผมขาวพูดน้ำเสียงเย็นเยียบเช่นเดิม

ยิ่งทำให้เถากลืนจิตสั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้ว “อ้า! นายท่านเจ้าขา ไว้ชีวิตข้าเถอะเจ้าคะ นายท่านเมื่อยไหมเจ้าคะ? เดี๋ยวข้าทุบหลังให้นะเจ้าคะ”

เถากลืนจิตปะเหลาะสุดชีวิต มันมองนายท่านด้วยสายตาอ้อนวอน ตาปริบๆ

ชายผมขาวมองมันอย่างคาดโทษ “กล้าจับมือข้าไปแตะต้องสตรีอีก ข้าจะตุ๋นเจ้ากินเสีย!”

“ข้าไม่กล้า! ข้าไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!” เถากลืนจิตรีบพูด โบกเถาไปมาจนดูวุ่นวาย

ชายผมขาวมองมันแล้วสั่งว่า “กลับบ้าน”

“เจ้าค่ะๆ” เถากลืนจิตรีบพยักหน้าหงึกๆ ดั่งไก่จิกข้าว เมื่อนายท่านเดินไปมันรีบวิ่งตามไปทันที

ณ เรือนไม้หลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านของชายผมขาว เขาเดินเข้าไปในบ้าน

เถากลืนจิตรีบวิ่งไปจุดไฟต้มน้ำชงชาให้นายท่านทันที มันรีบพัดไฟให้ลุกโชน น้ำจะได้ร้อนๆ แล้วมันจะได้ชงชาไปเอาใจนายท่านเร็วๆ เพราะถ้าไม่มีนายท่านคุ้มหัว ป่านนี้มันถูกเทพคนอื่นจับไปตุ๋นนานแล้ว ดังนั้นมันจึงสำนึกในบุญคุณของนายท่านยิ่งนัก

ชายผมขาวนำสตรีอ้วนออกมา สตรีอ้วนลอยไปนอนบนตั่งยาว ผ้าผืนหนึ่งก็ลอยไปห่มคลุมนางตั้งแต่คอจรดเท้า ปกปิดเรือนกายนางเอาไว้ เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้

เถากลืนจิตก็ยกน้ำชาเข้ามาพอดี มันวางน้ำชาบนโต๊ะแล้วมองนายท่านอย่างประจบประแจง “นายท่านเจ้าขา น้ำชาเจ้าค่ะ”

“อืม” ชายผมขาวส่งเสียงคำหนึ่งแล้วสั่งว่า “เจ้าไปตัดไม้สร้างเรือนอีกหลังหนึ่ง ข้าจะให้สตรีอ้วนผู้นี้อยู่เรือนหลังใหม่”

“อ๋า!?” เถากลืนจิตมองนายท่าน แล้วมองเลยไปที่สตรีอ้วนบนตั่งตัวใหญ่ แต่บัดนี้ดูเล็กไปถนัดตาเมื่อสตรีนางนั้นนอนอยู่บนนั้น

“รีบไป” ชายผมขาวสั่ง

เถากลืนจิตจึงรีบรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ”

แล้วมันก็ออกไปตัดไม้สร้างเรือนตามคำสั่ง ก็จะให้นายท่านอยู่ร่วมเรือนกับสตรีนางนั้นได้อย่างไร จะอย่างไรก็ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ถึงตัวมันเองเถอะ หากวันหน้ามันบำเพ็ญเพียรจนสามารถมีร่างมนุษย์ได้แล้ว มันย่อมรับใช้ใกล้ชิดนายท่านเหมือนเช่นขณะนี้ไม่ได้แน่ ก็นายท่านของมันถือตัวเรื่องนี้ยิ่งนัก เขาไม่ใกล้ชิดกับสตรีนางใดเลยมาช้านานแล้ว มันรับใช้เขามาหลายพันปีแล้วจึงรู้เรื่องนี้ดียิ่งนัก จนมันแอบคิดว่าบางทีความรู้สึกด้านนี้ของนายท่านคงไม่หลงเหลือแล้วกระมัง ซึ่งเรื่องนี้มันก็ดีใจอยู่ลึกๆ ที่มันไม่ต้องมีนายหญิงมาคอยชี้นิ้วสั่งมัน มันยอมรับใช้นายท่านคนเดียวเท่านั้น

ผ่านไป 6 ชั่วโมง ในที่สุดเรือนหลังใหม่ก็สร้างเสร็จ มันจัดแจงเลือกทำเลให้ห่างจากเรือนนายท่านหน่อย ภายในเรือนมีเตียงหลังหนึ่งกับโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่ง ส่วนเครื่องเรือนอื่นๆ ไว้พรุ่งนี้มันค่อยทำเถอะ มันมองไปรอบๆ เรือนแล้วเดินไปเรือนนายท่าน เข้าไปรายงานว่า “ข้าสร้างเรือนเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม” ชายผมขาวพยักหน้าแล้วสั่งว่า “เจ้าพานางไปเรือนใหม่ที ข้าจะได้นอนเสียที”

“เจ้าค่ะ” เถากลืนจิตรับคำสั่งแล้วเดินไปโอบอุ้มสตรีอ้วนขึ้นมา พานางออกไปทันที

ชายผมขาวมองตามแล้วปิดประตูเรือนด้วยพลังไร้รูป

เถากลืนจิตเหลือบมองประตูแล้วพาสตรีอ้วนไปที่เรือนใหม่ มันวางนางลงบนเตียงแล้วบ่นออกมา “หนักมาก! นางกินมังกรเข้าไปหรือไรจึงได้หนักปานนี้!”

บ่นเสร็จแล้วมันก็เดินออกไป มันรีบเดินไปที่น้ำตกแล้วลงไปแช่น้ำทั้งตัว ปากก็อ้าออกกลืนจิตวิญญาณธรรมชาติของสายน้ำเข้าไป มันไม่กลัวว่าใครจะมาจับมันไปตุ๋นกินเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ของนายท่าน ใครก็ไม่กล้าย่างกรายมาล่วงล้ำทำให้นายท่านของมันโกรธหรอกนะ ใหญ่กว่าเทียนจวินก็นายท่านของมันนี่แหละ นายท่านของมันเป็นรองก็แค่ตี้จวินเท่านั้น ดังนั้นใครๆ ก็พากันเกรงอกเกรงใจ มันมีนายท่านคุ้มหัวจึงไม่ต้องเกรงกลัวใคร แต่ถ้ามันไประรานใครก่อน นายท่านของมันนี่แหละที่จะจับมันตุ๋นเสียเอง

จ้าวเป่าฉินค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เธอมองไปรอบๆ อย่างงงๆ เธอเห็นขื่อเห็นเพดานไม้สีแดงที่มีลวดลายคล้ายไม้ชนิดหนึ่งซึ่งมีสีแดงมีลวดลายสวยงาม แต่ชื่อไม้อะไรเธอก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าไม้ชนิดนั้นโคตรๆ แพงเลยล่ะ เธอมองๆ แล้วเบนสายตาไปมองที่อื่นต่อ เธอจึงพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงไม้ที่ไม่มีฟูกนอน แล้วเธอก็เห็นโต๊ะชุดหนึ่ง จากนั้นก็ไม่เห็นเครื่องเรือนอะไรอีก ทั้งห้องมีแค่เตียงกับโต๊ะเท่านั้น ช่างเป็นห้องที่โล่งโจ้งมาก

“อ่อ เจ้าตื่นแล้ว”

จ้าวเป่าฉินหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นมา เธอเห็นบางสิ่งที่คล้ายๆ ปลาหมึกตัวใหญ่มาก มันใหญ่กว่ารถ SUV ซะอีก มันเป็นสีเขียวทั้งตัว ทำเธอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

“นี่ๆ ตื่นแล้วก็ลุกซิ จะได้ไปพบนายท่าน”

จ้าวเป่าฉินอ้าปากค้าง ปลาหมึกยักษ์พูดได้!

“เอ้า ยังไม่ลุกอีก เจ้านี่ขี้เกียจเสียจริง”

จ้าวเป่าฉินกะพริบตาปริบๆ แล้วยกมือตบแก้มตัวเองเพี๊ยะๆ “อูย เจ็บอ่ะ”

“เจ้าตบหน้าตัวเองก็ต้องเจ็บซิ”

จ้าวเป่าฉินรีบลุกขึ้นนั่งแล้วกระถดตัวไปจนติดผนัง เธอรู้สึกว่าลมมันเย็นๆ จึงก้มลงมองตัวเองก็พบว่าเธอไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า ทำให้เธอหน้าแดงแปร๊ด! ทันที เธอรีบยื่นมือไปจับผ้าที่อยู่บนพื้นเตียงมาพันๆ ตัวทันที เมื่อพันตัวจนแน่นหนาดีแล้วเธอก็จ้องมองตัวที่เหมือนปลาหมึกยักษ์ตัวนั้นเขม็ง “ฉันไม่ได้ฝัน!”

“ฝันอะไรของเจ้า เจ้ายังจะละเมอเพ้อพกอะไรอีก ในเมื่อตื่นแล้วก็รีบตามข้าไปพบนายท่านเสียที นายท่านรออยู่นะ”

“นี่ๆ แกเป็นตัวอะไรกันแน่?” จ้าวเป่าฉินถามอย่างตื่นกลัว

“ข้าคือเถากลืนจิต” เถากลืนจิตบอกแล้วเดินเข้าไปในห้อง

จ้าวเป่าฉินร้องลั่น “เฮ้ยๆ อย่าเข้ามานะโว๊ย! ตรูสู้ตายนะ!”

เถากลืนจิตชะงักเมื่อเห็นสตรีอ้วนตั้งท่าสู้ มันมองสตรีอ้วนอย่างดูแคลน “เฮอะ ถ้าข้าจะกินเจ้า ป่านนี้เจ้าก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้ว”

“เอะอะอะไรกัน?”

เสียงถามดังอยู่ด้านนอกทำให้เถากลืนจิตหันไปมองนายท่าน

มันเห็นนายท่านยืนอยู่หน้าเรือนกำลังมองมันอยู่ มันจึงตอบว่า “ก็สตรีอ้วนนั่นน่ะซิเจ้าคะ นางไม่ยอมลุกไปพบนายท่านเจ้าค่ะ”

จ้าวเป่าฉินฟังแล้วรู้สึกว่าปลาหมึกประหลาดนั่นกำลังฟ้องอยู่ชัดๆ เธอจึงชะเง้อคอพยายามมองลอดช่องประตูที่ถูกปลาหมึกประหลาดนั่นยืนขวางเต็มช่องประตูจนเหลือช่องให้มองลอดออกไปใหญ่แค่ฝ่ามือเท่านั้น แต่เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านนอกนั่นเธอก็ตกตะลึงไป ก็เขาดูคล้ายมหาเทพตงหัวในซีรีย์เรื่อง Eternal Love(สามชาติสามภพป่าท้อสิบลี้)มาก ผมขาวยาวๆ หน้าตาหล่อๆ เธออยากเห็นเขามากขึ้นอีกจึงขยับตัวลงจากเตียงแล้วพุ่งไปที่หน้าต่างโผล่หน้าออกไปมองให้ชัดๆ เมื่อได้เห็นเขาชัดๆ เต็มตาเธอก็อุทานว่า “มหาเทพตงหัว”

“มหาเทพตงหัวอะไรของเจ้า?” เถากลืนจิตถาม มันหันไปมองสตรีอ้วนที่ยื่นหน้าออกมาครึ่งตัวได้

“ตื่นแล้วก็ตามข้ามา” ชายผมขาวบอกแล้วหมุนตัวเดินไป

เถากลืนจิตรีบเดินตามไปทันที “นายท่านรอข้าด้วยเจ้าค่ะ”

จ้าวเป่าฉินมองๆ แล้วรีบเดินตามไปทันที ต่อให้เขาจะเอาเธอไปต้มยำทำแกงที่ไหนเธอก็ยอมแล้ว จนกระทั่งเห็นชายผมขาวคนนั้นเดินไปนั่งที่ศาลามุงจากหลังหนึ่ง ตัวปลาหมึกประหลาดนั่นก็ไปยืนอยู่ด้านข้างเขา เขามองมาที่เธอ เธอชะงัก หยุดก้าวเดิน มองเขา

“มานี่” ชายผมขาวกวักมือ

จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วค่อยๆ เดินไปใกล้เขา เธอหยุดตรงนอกศาลาหลังน้อย เพราะแค่ปลาหมึกประหลาดตัวเดียวก็แทบจะเต็มศาลาแล้ว

“เจ้าชื่อแซ่อะไรรึ?” ชายผมขาวถาม

จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วย้อนถาม “แล้วคุณชื่ออะไรล่ะ?”

“ข้าแซ่จาง ชื่ออี้ปิน จางอี้ปิน” จางอี้ปินตอบ เขามองสตรีอ้วนรอให้นางบอกชื่อแซ่

จ้าวเป่าฉินจึงบอกชื่อแซ่ตัวเองกับเขา “ฉันแซ่จ้าว ชื่อเป่าฉิน”

“อ่อ จ้าวเป่าฉิน” จางอี้ปินพยักหน้า

จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วเหล่มองปลาหมึกยักษ์ประหลาดตัวนั้น ถามว่า “แล้วตัวนั้นคือ?”

จางอี้ปินมองตามสายตาของจ้าวเป่าฉินแล้วตอบว่า “นี่คือตัวตะกละ”

“นายท่าน! ข้ามีชื่อแซ่นะเจ้าคะ” เถากลืนจิตค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างไม่พอใจ มันยื่นเถาไปพันรอบแขนนายท่านอย่างกระเง้ากระงอด “ข้าแซ่จาง ชื่อหลิงเฟย ไงเจ้าคะ ท่านตั้งให้ข้าเองแท้ๆ”

“อ่อ งั้นรึเจ้าตัวตะกละ” จางอี้ปินพยักหน้าทีหนึ่ง

เถากลืนจิตยิ่งค้อนปะหลับปะเหลือก “ฮึ!”

จางอี้ปินไม่สนใจมัน เขามองจ้าวเป่าฉิน เห็นนางใช้ผ้าห่มพันตัวเอาไว้ เขาจึงหันไปสั่งเถากลืนจิตว่า “เจ้าไปหาซื้ออาภรณ์มาให้นางที ให้นางใช้ผ้าห่มเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”

“ฮึ!” เถากลืนจิตยังขุ่นเคืองอยู่จึงทำเมินคำสั่งของนายท่าน

จางอี้ปินจ้องมันแล้วสั่งน้ำเสียงเย็นเยียบ “ยังไม่ไปอีก”

“อ้า! ไปแล้วๆ ข้าไปแล้วเจ้าค่ะ” เถากลืนจิตสะดุ้งเฮือกแล้วรีบวิ่งไปทันที

จางอี้ปินถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วหันไปมองจ้าวเป่าฉิน พูดกับนางว่า “เจ้าตัวตะกละก็ขาดๆ เกินๆ เช่นนี้แหละ อีกหน่อยเจ้าก็จะชินไปเอง”

Chapter 3

แดนเทพ

จ้าวเป่าฉินมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอยังมึนๆ งงๆ ที่จู่ๆ ก็มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก อีกทั้งยังเจอปลาหมึกยักษ์พูดได้อีก เธอยังไม่ทันคิดอะไร พลัน! ก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมา แล้วก็เห็นปลาหมึกยักษ์ตัวนั้นวิ่งกลับมา

“นายท่านเจ้าขา ท่านไม่ได้ให้หยกข้าแล้วข้าจะไปซื้ออาภรณ์ได้อย่างไร” เถากลืนจิตโวยวายลั่น วิ่งคึกๆ กลับมาหยุดหอบตรงหน้าจางอี้ปิน

จางอี้ปินมองมันแล้วพูดคำหนึ่ง “อ่อ”

เขาเอาถุงหยกปราณสวรรค์ออกมาแล้วยื่นให้มัน

เถากลืนจิตรับถุงหยกฯไปแล้วก็รีบวิ่งจากไป

จ้าวเป่าฉินมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เธอไม่รู้ว่า ‘หยก’ ที่เถากลืนจิตพูดถึงคือหยกอะไร สำหรับเธอแล้วคิดว่าคงเป็นหยกเขียว หยกขาวเหมือนที่ขายกันตามร้านจิลเวอรี่ล่ะมั้ง

จางอี้ปินเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของจ้าวเป่าฉิน เขาจึงเอาถุงหยกอีกถุงออกมาแล้วยื่นไปให้นาง “นี่คือหยกปราณสวรรค์”

จ้าวเป่าฉินก้าวไปใกล้เขา ยื่นมือไปรับถุงผ้ามา แล้วเทของในถุงออกมาดู เธอเห็นก้อนหินสีเขียวสวยแปลกตาขนาดเท่าหอยแครงกลิ้งออกมาอยู่บนฝ่ามือ เธอหยิบมันขึ้นพลิกไปพลิกมา มองดูอย่างสนอกสนใจ แล้วจดจำว่าสิ่งนี้คือหยกปราณสวรรค์

“นี่คือหยกปราณสวรรค์ระดับต่ำ” จางอี้ปินบอก

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าจดจำเอาไว้แล้วเอาหยกใส่ถุงยื่นคืนไป

จางอี้ปินรับถุงคืนไปแล้วเก็บไป

จ้าวเป่าฉินเห็นว่าท่าทางเขาดูเป็นคนใจดีจึงถามว่า “ที่นี่คือ?”

“แดนเทพ” จางอี้ปินตอบ

จ้าวเป่าฉินเบิกตาโต “แดนเทพ?”

“ก็แดนเทพน่ะซิ” จางอี้ปินย้ำ “เจ้าคงจะพลัดหลงเข้ามากระมัง ข้าเจอเจ้าแถวชายแดนระหว่างแดนเทพกับยมโลก ตอนนั้นเจ้ากำลังจะถูกเจ้าตัวตะกละกินแล้ว ดีที่ข้าช่วยทัน ไม่เช่นนั้นป่านนี้เจ้าถูกมันกินจนแม้แต่วิญญาณก็ไม่เหลือ”

“หา!” จ้าวเป่าฉินอ้าปากค้าง เธอเกือบถูกไอ้ปลาหมึกประหลาดนั่นกินเหรอ!

“เอาเถอะๆ เจ้าคงจะตกใจไม่น้อย เจ้าก็ค่อยๆ ตั้งสติเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นครึ่งเทพแล้ว ไม่อาจกลับไปแดนมนุษย์ได้แล้ว เจ้าก็เร่งบำเพ็ญเพียรให้กลายเป็นเทพเถอะ” จางอี้ปินบอกอย่างมีเมตตา

จ้าวเป่าฉินงุนงง “ครึ่งเทพ? แดนมนุษย์?”

“เจ้าก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละนิดเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่ในแดนเทพนี้ไปอีกนานเชียวล่ะ” จางอี้ปินบอก

จ้าวเป่าฉินเอียงคอมองอย่างงุนงง “เรียน?”

“ใช่ ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละนิดทีละน้อย อีกหน่อยเจ้าก็จะเข้าใจดินแดนทั้งหกภพเองแหละ” จางอี้ปินพยักหน้า

จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับอย่างงงๆ เรื่องเรียนเธอไม่เกี่ยงหรอก ว่าแต่เธอจะเรียนยังไงเหรอ? เข้าเรียนในสถานศึกษาเหรอ?

จางอี้ปินอ่านสีหน้าท่าทางของจ้าวเป่าฉินแล้วพอจะเข้าใจจึงพูดว่า “ในเรือนข้ามีตำราอยู่ เดี๋ยวรอให้เจ้าแต่งกายให้เรียบร้อยดีแล้วข้าจะให้เจ้าตัวตะกละเอาตำราไปให้เจ้าอ่าน”

“อ่อ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับรู้ เธอยกมือไหว้เขา “ขอบคุณคุณมากค่ะ”

“คำพูดเจ้าฟังแล้วแตกต่างจากข้า ถ้าจะให้ดีเจ้าก็ควรจะหัดพูดจาให้เหมือนข้าดีกว่า วันหน้าเจ้าออกไปข้างนอกจะได้ไม่ถูกใครเขารังแกเอาเพราะเห็นเจ้าเป็นคนต่างถิ่น ส่วนใหญ่แล้วเทพใหม่มักจะถูกเทพที่อยู่มานานรังแกเอา ดังนั้นถ้าเจ้าไม่อยากถูกคนรังแกเพราะสาเหตุนี้เจ้าก็ควรหัดพูดให้เหมือนข้าจึงจะดีที่สุด” จางอี้ปินบอก

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าเข้าใจ เรื่องคนต่างถิ่นถูกเจ้าถิ่นรังแกเธอก็เคยเห็นบ่อยไปในเมืองปักกิ่ง ยิ่งในมหาวิทยาลัยยิ่งมีให้เห็นประจำ ประมาณว่าเด็กใหม่ก็มักจะถูกรุ่นพี่ข่มอะไรประมาณนั้น แต่สำหรับเธอ เธอไม่เคยถูกรุ่นพี่ข่มเลยนะ ก็ลองมาข่มเธอซิ เธอจะเอาขาอ้วนๆ ของเธอพาดคอคนๆ นั้นให้ดู ฮ่าๆๆๆ

เห็นเธออ้วนๆ แบบนี้ แต่เธอก็เรียนวิชาป้องกันตัวมานะ ก็สมัยนี้คนร้ายมันเยอะนี่นา ขนาดยายเฒ่าอายุเจ็ดสิบแปดสิบยังโดนข่มขืนเลย แล้วเธอเป็นสาวเป็นนางวันไหนจะตกเป็นเหยื่อโจรบ้ากามเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่ต้องโจรบ้ากามก็ได้ เอาแค่พวกวิ่งราวก็เยอะจนเกลื่อนเมืองแล้ว ดังนั้นเป็นหมัดมวยบ้างก็ย่อมได้เปรียบบ้างล่ะ

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว เจ้าก็ไปเถอะ” จางอี้ปินโบกมือไล่

จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วหมุนตัวเดินกลับบ้านที่เธอนอนเมื่อครู่ ก็ยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชายหล่อๆ มีผ้าห่มพันตัวผืนเดียวเธอก็รู้สึกเขินๆ นะ เธอรีบเดินกลับไปอย่างเร็วมาก

จางอี้ปินมองนางอย่างปราณี

หากเทียบอายุกันแล้ว เขานั้นแก่กว่านางมากนัก เขาอายุเท่าไหร่ อย่ารู้เลย รู้แล้วเดี๋ยวจะตกใจตายเสียก่อน แต่รูปลักษณ์ของเขายังดูหนุ่มแน่น มีเพียงผมที่เป็นสีขาวทั้งศีรษะ หากมองเบื้องหลังย่อมคิดว่าเขาเป็นผู้เฒ่า แต่เมื่อมองหน้าตา ผู้คนมักจะคาดเดาว่าเขาอายุไม่เกิน 30 ปี อีกทั้งหากจะดูอายุจากกระดูก ผู้คนก็ไม่อาจดูอายุจากกระดูกเขาได้ ด้วยพลังของคนพวกนั้นต่ำกว่าเขา คนเดียวที่สามารถมองอายุกระดูกของเขาได้ก็คือตี้จวิน แต่ถึงตี้จวินจะรู้อายุของเขา ตี้จวินก็ไม่เคยบอกใครๆ เพราะตี้จวินนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก

ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมากนัก น้อยนักที่เขาจะออกจากบ้าน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะเจ้าตัวตะกละแอบหนีไปทำให้เขาเป็นห่วงจนต้องออกไปตามหา

เจ้าตัวตะกละตัวนี้เขาพบมันตั้งแต่มันยังตัวเท่าถังไม้ เขาเอามันมาเลี้ยงหวังจะรอให้มันโตแล้วจับมันตุ๋นกิน แต่เลี้ยงไปเลี้ยงมา เขาก็ตุ๋นมันไม่ลง จึงได้ปล่อยให้มันเติบใหญ่จนบัดนี้

จ้าวเป่าฉินเดินเข้าบ้าน เธอเดินไปนั่งที่เตียง เธอไม่คิดจะนั่งที่เก้าอี้เพราะเก้าอี้ตัวเล็กเกินไป นั่งไม่สบาย อีกทั้งไม่แน่ใจว่าเก้าอี้จะรับน้ำหนักตัวเธอไหว เกิดนั่งๆ ไปแล้วมันหักขึ้นมาล่ะ เธอก็เจ็บตัวน่ะซิ

เธอนั่งมองไปรอบๆ ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วยมทูตสุดหล่อบอกว่าเธอตายแล้ว อันนั้นเธอเข้าใจดี เพราะยังจำได้ถึงความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก สำลักน้ำจนเจ็บไปหมด เจ็บปวดทรมานอยู่นาน(ในความรู้สึกของเธอ) เมื่อยมทูตบอกว่าเธอตายแล้ว เธอก็รับรู้และทำใจยอมรับได้ ก็จะให้ทำยังไงล่ะ ร่างเธอก็เผาไปแล้วนี่นา ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร เหยียนหลัวหวางก็ตัดสินให้เธอไปสวรรค์แล้ว

ว่าแต่สวรรค์เป็นสถานที่แบบไหนเธอก็ยังไม่ทันได้เห็น จู่ๆ ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

ผู้ชายผมขาวคนนั้นบอกว่าที่นี่คือแดนเทพ แล้วแดนเทพนี่เป็นสถานที่แบบไหนกันนะ? คิดๆ แล้ว ดูเหมือนว่าสวรรค์กับแดนเทพจะเป็นสถานที่คนละแห่งกันใช่ป่ะ?

“ไอหยา! อาภรณ์เจ้าหายากเสียจริง”

จ้าวเป่าฉินหยุดคิดแล้วเงยหน้ามอง เห็นปลาหมึกยักษ์ อ่อ ต้องเรียกว่าอะไรนะ เถา…เถา? อ่อ เถากลืนจิต

เธอเห็นมันยืนอยู่นอกประตู เธอเพิ่งสังเกตขนาดประตูว่ามีขนาดใหญ่มาก ตอนเธอเดินเข้ามาก็เดินเข้ามาได้อย่างสบายมากจึงไม่ทันได้สังเกตความแตกต่างเรื่องนี้

เถากลืนจิตเดินผ่านประตูเข้าไปแล้วเอาผ้าหลายพับออกมาจากหยกคุนเฉียน* มันวางผ้าบนโต๊ะเป็นตั้งๆ 3 ตั้ง แล้วบอกว่า “นี่ของเจ้า”

(หยกคุนเฉียน คือหยกที่ใช้เก็บข้าวของ ภายในหยกมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันตามราคา ยิ่งมีพื้นที่ใหญ่ ราคาก็ยิ่งแพง)

จ้าวเป่าฉินมองผ้า 3 ตั้งนั้นแล้วมองเถากลืนจิต

“อาภรณ์ที่ตัดเย็บแล้วขนาดเท่าตัวเจ้าล้วนไม่มี ข้าจึงซื้อผ้ามาให้เจ้า เดี๋ยวข้าจะตัดเย็บอาภรณ์ให้เจ้าเอง” เถากลืนจิตบอก

จ้าวเป่าฉินมองเถากลืนจิตแล้วสงสัยว่ามันจะตัดเย็บอาภรณ์ยังไง?

เถากลืนจิตยกเถาเส้นหนึ่งขึ้นทำท่าคล้ายกวักมือ “เจ้ามานี่”

จ้าวเป่าฉินมองมัน “จะทำอะไร?”

เธอถามมันอย่างรู้สึกหวาดผวา กลัวว่ามันจะจับเธอกิน

“ลุกมานี่ ข้าจะได้วัดตัวเจ้าแล้วตัดเย็บอาภรณ์น่ะซิ” เถากลืนจิตบอก พอเห็นสีหน้าหวาดผวามันจึงพูดย้ำว่า “นี่ๆ ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะกินเจ้าหรอก นายท่านช่วยเจ้าไว้ ตอนนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นคนของนายท่าน ข้าไม่กล้ากินเจ้าแล้ว สบายใจได้ มาเร็วๆ ข้าไม่ได้มีเวลามาคอยเจ้าทั้งวันหรอกนะ ข้ายังต้องไปตัดไม้ทำเครื่องเรือนให้เจ้าอีก ไหนจะต้องไปปัดกวาดถูเรือนให้นายท่านอีก ทั้งยังต้องต้มน้ำ ชงชา ทำกับข้าว ไปเก็บผลไม้ ปลูกผัก…”

“พอๆ ไม่ต้องจาระไนแล้ว” จ้าวเป่าฉินยกมือขึ้นท่าพระพุทธรูปปางห้ามญาติทันที เธอขี้เกียจฟังมันพูดพร่ำ เธอจ้องมัน ถามย้ำ “ไม่กินแน่นะ?”

“วะ! เจ้านี่นะ ข้าบอกว่าไม่กินก็ไม่กินซิ! ถึงข้าจะชอบกินวิญญาณก็จริง แต่ตอนนี้เจ้าเป็นครึ่งเทพแล้ว ข้าไม่กล้ากินหรอก เดี๋ยวนายท่านรู้เข้าได้เอาข้าไปตุ๋นน่ะซิ” เถากลืนจิตพูดอย่างโมโหหน่อยๆ

จ้าวเป่าฉินมองมันอย่างชั่งใจ ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นเลย เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับปลาหมึกประหลาดตัวนี้ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชายผมขาวคนนั้น ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือลองเชื่อใจมันดูล่ะกัน ถ้ามันคิดจะกินเธอ เธอก็จะสู้ยิบตาเลยคอยดูซิ ถึงฝีมือเธอจะไม่ดีนัก แต่ก็พอป้องกันตัวได้บ้างนะ กฎ 3 ข้อในการเอาตัวรอดคือ ข้อหนึ่ง หนีก่อน ข้อสอง หนีไม่ได้ก็แอบ ข้อสาม แอบไม่ได้ก็ต้องสู้ล่ะ สู้แบบหมาจนตรอกก็ต้องสู้ ไม่สู้ก็ตาย มีแค่นี้เอง

เธอลุกขึ้นเดินไปหามัน

เถากลืนจิตมองๆ พอนางมายืนห่างๆ มันก็เอาเครื่องเขียนออกมาวางบนโต๊ะ แล้วขยับไปหานาง

จ้าวเป่าฉินก้าวถอยหลังทันทีตามสัญชาตญาณ ทำให้เถากลืนจิตด่าอย่างโมโห “วะ! เจ้าจะถอยไปทำไม!?”

“ก็ฉันกลัวนี่” จ้าวเป่าฉินพูดออกมา

“ไม่ต้องกลัว ไม่กินก็คือไม่กิน ข้าก็มีศักดิ์ศรีนะ” เถากลืนจิตพูดอย่างเย่อหยิ่ง มันเชิดหน้าอย่างหยิ่งทะนงยิ่ง

จ้าวเป่าฉินมองมัน แล้วค่อยๆ ก้าวขาไป 1 ก้าวอย่างระแวง

เถากลืนจิตมองอย่างรำคาญ มันจึงยื่นเถาเกือบทั้งหมดออกไป รัดพันรอบตัวสตรีอ้วนอย่างรำคาญ

“เฮ้ย!” จ้าวเป่าฉินร้องลั่น ไม่ทันได้ปัดป้องก็ถูกรัดทั้งตัวแล้ว เธอกำลังจะยกมือต่อสู้ แต่พอยกมือขึ้น ข้อมือที่ถูกรัดก็ถูกปล่อยแล้ว อึดใจต่อมา ตัวเธอก็ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว เธอกะพริบตาปริบๆ

เถากลืนจิตปล่อยสตรีอ้วนแล้วมันก็หันไปหยิบพู่กันมาขีดเขียนยิกๆ “โอ เจ้านี่ช่างอวบอ้วนยิ่งนัก”

มันเขียนไปพลางบ่นพึมพำไปด้วย

“ฮึ!” จ้าวเป่าฉินแค่นเสียงอย่างไม่ชอบใจ ก็เธออ้วนแล้วมันหนักหัวใครฟร่ะ!

เถากลืนจิตมัวแต่ขีดเขียนจึงไม่สนใจสตรีอ้วน มันเขียนๆ ตวัดพู่กันไปมาพักใหญ่ ครั้นเขียนเสร็จแล้วมันก็วางพู่กันลง แล้วเก็บเครื่องเขียนไป เหลือเพียงกระดาษหลายแผ่นบนโต๊ะ

จ้าวเป่าฉินชะเง้อคอดูกระดาษบนโต๊ะ เห็นตัวอักษรแปลกตา แต่น่าแปลกที่เธอกลับเข้าใจอักษรเหล่านั้น เธออ่านออกเสียง 1 แถว “แขนยาว 6 คืบ”

“หือ?” เถากลืนจิตหันไปมองสตรีอ้วน ถามว่า “เจ้าอ่านอักขระเหล่านี้ได้ด้วยรึ?”

“ก็อ่านได้ ทำไมเหรอ?” จ้าวเป่าฉินย้อนถาม

เถาะกลืนจิตจ้องนาง พูดว่า “วิญญาณที่เคยหลุดหลงมา ไม่เคยมีใครเข้าใจภาษาของที่นี่ อย่าว่าแต่อ่านเลย แค่พูดยังพูดไม่ได้เลย”

จ้าวเป่าฉินเอียงคออย่างฉงน “ฉันก็พูดอยู่เนี่ย แล้วก็ฟังคุณเข้าใจด้วย”

“ประหลาดนัก” เถากลืนจิตพูดอย่างแปลกใจ มันจ้องมองสตรีอ้วนเขม็ง แล้วยื่นเถาไปชี้ที่อักขระบนกระดาษแถวหนึ่ง “เจ้าอ่านนี่ซิ”

จ้าวเป่าฉินมองกระดาษแล้วอ่าน “คอ 4 คืบ”

“โอ เจ้าอ่านได้จริงๆ” เถากลืนจิตพูดอย่างประหลาดใจมาก มันหันไปมองสตรีอ้วน จ้องนางราวกับนางเป็นตัวประหลาดที่ผุดออกมาจากฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้ากินอะไรเข้าไป? หรือใครให้ของวิเศษกับเจ้า?” มันถามอย่างอยากรู้ยิ่ง

จ้าวเป่าฉินส่ายหน้า ก็เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดถึงได้ฟังเข้าใจ อ่านได้ ก็เหมือนกับที่เธอฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้นั่นแหละ เธอต้องเก่งภาษาอังกฤษเพราะตำราเรียนของเธอเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ก็เธออยากเป็นหมอนี่นา ดังนั้นเธอจึงเลือกเรียนสายแพทย์ แต่พอได้ทำงานเธอกลับเลือกเป็นหมอนิติเวช ก็นะศพมันไม่เคยบ่นว่าเธออ้วนนี่

“เอาเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ทีหลังเถอะ ตอนนี้ข้าต้องตัดเย็บอาภรณ์ให้เจ้าก่อน ขืนให้เจ้าใช้ผ้าห่มเช่นนี้เกิดผ้าหลุดต่อหน้านายท่านขึ้นมาได้อับอายแย่” เถากลืนจิตพูดขึ้นมา แล้วหันไปจัดแจงเรื่องตัดเย็บอาภรณ์ต่อ

จ้าวเป่าฉินเห็นเถากลืนจิตไม่สนใจเธอแล้ว เธอจึงถอยห่างออกไป แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ เมื่อนึกขึ้นได้แล้วเธอจึงถามเถากลืนจิตว่า “นี่ๆ ห้องน้ำอยู่ไหนเหรอ?”

“ห้องน้ำ?” เถากลืนจิตหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ

จ้าวเป่าฉินจึงอธิบายว่า “ก็ห้องที่ใช้อาบน้ำไง ฉันอยากอาบน้ำ”

“อ่อ เจ้าอยากอาบน้ำก็ไปที่ลำธารนู้น” เถากลืนจิตยกเถาเส้นหนึ่งชี้ออกไปด้านนอก

จ้าวเป่าฉินมองตามแล้วเดินออกไป

เถากลืนจิตหันไปจัดแจงตัดเย็บอาภรณ์ต่อ มันคลี่ผ้าออกแล้ววัดๆ ทาบๆ กับเถาตัวเองไปมา

จ้าวเป่าฉินเดินไปเรื่อยๆ กวาดตามองหาลำธารพร้อมกับมองสำรวจสถานที่ไปด้วย

จนกระทั่งเธอเดินไปถึงลำธารสายหนึ่ง น้ำใสแจ๋วมาก ใสจนเห็นทรายก้นลำธาร ใสราวกับไม่มีน้ำยังไงอย่างงั้นแหละ เธอมองไปรอบๆ ดูว่ามีใครอยู่แถวนี้รึเปล่า เมื่อไม่เห็นใครเธอจึงแกะผ้าออกวางไว้บนพุ่มไม้ แล้วรีบเดินไปเอานิ้วเท้าแตะๆ น้ำ น้ำเย็นปกติ อีกทั้งนิ้วเท้าเธอก็ปกติมาก เธอจึงก้าวลงไปในน้ำ แล้วรีบอาบน้ำอย่างไวสุดชีวิต ขัดๆ ถูๆ ตัวไปทั่วๆ เมื่อรู้สึกว่าสะอาดแล้วเธอก็รีบขึ้นทันที

ก็มันรู้สึกแปลกๆ อ่ะ เธอไม่เคยอาบน้ำแบบ Outdoor เลยนะ อีกทั้งเธอกลัวว่าอาจจะมีใครโผล่มาก็ได้ เธอไม่อยากให้ใครเห็นเรือนร่างหรอกนะ ถึงเธอจะอ้วนแต่ก็หวงเรือนร่างนะโว๊ย!

ใครอยากดูก็ต้องจ่ายตังซิ ขนาดผู้ชายไปขอผู้หญิงแต่งงานยังต้องหอบสินสอดไปขอเลย ดังนั้นร่างกายผู้หญิงจึงมีคุณค่านะ ไม่ใช่ของให้ดูฟรีๆ เฟ้ย

เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วเธอก็รีบหยิบผ้ามาพันตัวให้แน่นหนาเหมือนเดิมทันที หลังจากอาบน้ำแล้วเธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก จากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่บ้านหลังเดิม

เมื่อกลับไปถึง เธอก็เห็นเถากลืนจิตกำลังยุ่งง่วนกับกองผ้า เธอจึงยืนมองมันอยู่หน้าประตู

เถากลืนจิตได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าหันไปดู พอเห็นว่าเป็นสตรีอ้วนมันจึงกวักเถาเรียก “มาๆ เจ้ามาลองอาภรณ์ที่ข้าเย็บเสร็จแล้วซิ”

จ้าวเป่าฉินจึงเดินเข้าไปในบ้าน เถากลืนจิตก็ยื่นอาภรณ์ชุดหนึ่งให้นาง “นี่ เอาไปใส่”

จ้าวเป่าฉินรับอาภรณ์มากางดู เห็นว่าลักษณะคล้ายเสื้อผ้าแบบยุคโบราณ แต่ต่างกันตรงที่แขนไม่ได้กว้างๆ เหมือนชุดโบราณ เธอมองๆ หาที่เปลี่ยนชุด แล้วก็เห็นฉากกั้นอันหนึ่งทำจากไม้กับผ้า ผ้าเป็นสีพื้น ไม่มีลวดลายอะไร เธอจำได้ว่าก่อนออกไป ในห้องยังไม่มีฉากอันนี้เลยนะ เธอมองฉากอันนั้นอย่างสงสัย

เถากลืนจิตเห็นสตรีอ้วนมองฉากกั้น มันจึงบอกว่า “นั่นข้าเพิ่งทำเสร็จ ยังไม่ได้ปักลาย รอไว้ข้ามีเวลาแล้วจะปักลายให้ ตอนนี้เจ้าก็ใช้เช่นนี้ไปก่อนเถอะ”

“คุณทำ?” จ้าวเป่าฉินถาม

“ใช่” เถากลืนจิตเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจมาก แล้วคุยอวดว่า “เรือนหลังนี้ข้าก็สร้าง เตียงนั่นข้าก็ต่อ โต๊ะนี่ข้าก็ทำเอง”

จ้าวเป่าฉินมองมันอย่างทึ่งมาก ต้องยอมรับเลยว่าปลาหมึกยักษ์ตัวนี้เก่งมาก เธอชูนิ้วโป้งให้มัน

“หือ?” เถากลืนจิตทำหน้าฉงน

“อ่อ แบบนี้หมายถึงว่า คุณสุดยอด” จ้าวเป่าฉินอธิบายให้ฟัง

“อ่อ” เถากลืนจิตพยักหน้าเข้าใจ แล้วโบกเถาไล่ “เจ้ารีบไปเปลี่ยนซิ ข้าจะได้ดูว่าพอดีหรือไม่”

“ขอบคุณค่ะ” จ้าวเป่าฉินพูดขอบคุณจากใจจริงๆ ดูๆ ไปแล้วเถากลืนจิตก็นิสัยดีเหมือนกันนะ

เธอเดินไปหลังฉากกั้น แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งที่นี่เรียกว่าอาภรณ์นั่นแหละ

หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้วเธอก็เดินออกไป

เถากลืนจิตมองๆ แล้วก้าวไปหา จ้าวเป่าฉินชะงักถอยหลังไป 2 ก้าว

“วะ! เจ้านี่นะ จะหนีทำไม!?” เถากลืนจิตยกเถาเท้าสะเอว

จ้าวเป่าฉินยืนนิ่งหน้าแหยๆ “คือ…คือ…”

“ช่างเถอะๆ มาๆ ขยับมาให้ข้าดูดีๆ” เถากลืนจิตบอกพลางยื่นเถาไปจับข้อมือสตรีอ้วน

จ้าวเป่าฉินเกือบจะสะบัดมือแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะทำอะไรเธอ เธอจึงข่มใจไม่สะบัดออก

Chapter 4

ปลาเงิน

เถากลืนจิตดึงสตรีอ้วนเข้ามา แล้วมองหัวจรดเท้า เท้าจรดหัว ทั้งจับนางหมุนไปหมุนมา แล้วพูดว่า “อืม ตรงนี้หลวมไปหน่อย ตรงนี้คับไปหน่อย”

จากนั้นมันก็ปล่อยนาง

จ้าวเป่าฉินมองตาปริบๆ

เถากลืนจิตหันไปยุ่งง่วนกับกองผ้าต่อ

จ้าวเป่าฉินมองเถากลืนจิต เห็นว่ามันไม่สนใจเธอเลย เธอจึงเดินออกไป

เถากลืนจิตเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วหันไปตัดเย็บอาภรณ์ต่อ

จ้าวเป่าฉินเดินไปเรื่อยๆ สำรวจสถานที่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงบ้านหลังหนึ่ง เธอเห็นชายผมขาวคนนั้นนั่งอยู่หน้าบ้าน เธอชะงักหยุดมองเขา

จางอี้ปินเห็นจ้าวเป่าฉิน เขาจึงกวักมือเรียกพร้อมกับลุกขึ้น “มานี่ซิ”

จ้าวเป่าฉินเดินไปหา เธอหยุดยืนตรงนอกชายคา

“เจ้ารอก่อน เดี๋ยวข้าไปเอาตำรามาให้” จางอี้ปินบอกแล้วเดินเข้าบ้านไป

จ้าวเป่าฉินมองตาม เธอเห็นผ่านประตูเข้าไป เห็นห้องโถง มีเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้น ดูเรียบง่ายมาก

สักพักจางอี้ปินก็เดินออกมา เขาถือม้วนผ้ามาหลายม้วนมาก เรียกว่าใช้แขนหอบมาเต็มอ้อมอกเลยทีเดียว “เอ้า รับไปซิ”

จ้าวเป่าฉินมองม้วนผ้าอย่างอึ้งๆ “ทั้งหมดนี่ คือให้ฉัน?”

“เจ้าต้องพูดว่าให้ข้าต่างหาก หัดพูดให้เหมือนคนที่นี่เสีย เจ้าจะได้ไม่ถูกใครรังแกเอา” จางอี้ปินบอก

จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับ

จางอี้ปินก็ใช้พลังทำให้ม้วนตำราทั้งหมดลอยไปตรงหน้าจ้าวเป่าฉิน

“อ้า!” จ้าวเป่าฉินตกใจจนเกือบจะวิ่งแล้ว

“ตกใจอะไรเล่า นี่เป็นเรื่องปกติมากสำหรับแดนเทพแห่งนี้ เจ้ามาจากแดนมนุษย์ ซึ่งสามพันโลกใบเล็ก สามพันโลกใบใหญ่ย่อมไม่มีเช่นนี้ให้เห็นกระมัง” จางอี้ปินพูด

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าหงึกๆ ก็เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลยน่ะซิ อย่างพวกคนที่ว่ามีพลังพิเศษอะไรพวกนั้น พอเอาเข้าจริงๆ ก็เป็นแค่มายากลเท่านั้นเอง

“เอ้า รับไปซิ เจ้าจะได้เอาไปอ่าน” จางอี้ปินบอก

จ้าวเป่าฉินจึงรับม้วนผ้าเหล่านั้นมา

พลัน! จางอี้ปินก็นึกอะไรขึ้นได้ “หือ?”

เขาจ้องมองจ้าวเป่าฉิน “เจ้าพูดภาษาเทพได้?”

จ้าวเป่าฉินพยักหน้า

จางอี้ปินก้าวพรวดถึงตัวทันที เขาจับข้อมือนางขึ้นมา ทำให้จ้าวเป่าฉินทำม้วนผ้าร่วงลงพื้น “อุ้ย!”

จางอี้ปินไม่สนใจม้วนตำราเหล่านั้น เขาตรวจนางอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พบว่าในจุดตันเถียนของนางมีเลือดมังกรหยดเล็กๆ หยดหนึ่ง

หยดเลือดนี้เล็กมากจนเท่าปลายเข็ม หยดเลือดนี้กำลังถูกร่างกายนางดูดกลืนไป

เมื่อพบหยดเลือดมังกร เขาก็เข้าใจในทันทีว่านางกลายเป็นครึ่งเทพได้อย่างไร อีกทั้งยังเข้าใจภาษาเทพได้อย่างไร ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะหยดเลือดมังกรทั้งหมด

เจ้าตัวตะกละบอกว่าเห็นมังกรดำเฮยหลงอยู่บริเวณนั้น เช่นนั้นก็หมายความว่าสตรีผู้นี้คงจับพลัดจับผลูได้เลือดมังกรมาโดยบังเอิญซินะ นางจึงกลายเป็นครึ่งเทพขึ้นมา อา ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว

เขาปล่อยมือนาง “นับว่าเจ้าโชคดีไม่น้อย เลือดมังกรหายากนัก เจ้ายังได้มา”

“เลือดมังกร? เลือดมังกรอะไร?” จ้าวเป่าฉินงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ในร่างเจ้ามีเลือดมังกรอยู่” จางอี้ปินพูดพลางชี้ไปที่ท้องของจ้าวเป่าฉิน

“หา!” จ้าวเป่าฉินตกใจก้มมองท้องตัวเอง แล้วเงยหน้ามองจางอี้ปิน

จางอี้ปินหัวเราะหึๆ แล้วบอกว่า “ไม่ต้องกลัวไป เลือดมังกรนับว่าเป็นของดี เป็นของหายากมาก ต่อให้หยดลงพื้น ผู้คนยังยอมขุดดินที่มีเลือดมังกรเลย เจ้านับว่าโชคดีจริงๆ โชคดีจริงๆ”

เขาพูดแล้วก็เดินจากไป หัวเราะเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจไปด้วย

จ้าวเป่าฉินมองตามอย่างงงๆ จนกระทั่งจางอี้ปินหายลับไปนานแล้วเธอจึงก้มลงเก็บม้วนผ้าขึ้นมา แล้วเดินกลับบ้านอย่างงงๆ

เมื่อไปถึงบ้าน เธอก็เห็นเถากลืนจิตยังง่วนกับกองผ้าอยู่ เธอจึงหมุนตัวเดินไปนั่งใต้ต้นไม้แล้ววางม้วนผ้าลงกับพื้น

เธอหยิบม้วนผ้ามา 1 ม้วนแล้วเปิดออกดู ภายในม้วนผ้ามีอักขระเรียงเป็นแถวๆ เธออ่านอักขระเหล่านั้นทีละแถวๆ

แรกๆ เธออ่านยังไม่ค่อยคล่อง เหมือนกับคนที่หัดอ่านภาษาต่างประเทศใหม่ๆ นั่นแหละ เธออ่านได้ช้ามาก แต่พออ่านไปสักพักเธอก็เริ่มอ่านได้ไวขึ้น ไวขึ้นเรื่อยๆ จากไม่คล่องก็เริ่มคล่องขึ้นมาแล้ว

เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอ่านม้วนตำรามานานเท่าไหร่แล้วเพราะไม่มีนาฬิกา จนกระทั่งท้องร้องนั่นแหละเธอจึงเงยหน้าขึ้น “หิวอ่ะ”

เธอวางตำราลงแล้วลุกไปเดินหาของกิน เธอเดินไปถามเถากลืนจิตว่า “คุณๆ มีของกินป่ะ?”

เถากลืนจิตเงยหน้ามอง แล้วได้ยินเสียงดังจ๊อกกกก—

จ้าวเป่าฉินทำท่าอายๆ “คือฉันหิวแล้วอ่ะ”

“หิว?” เถากลืนจิตทวนคำ มันมองเบื้องนอกแล้วก็ร้องลั่น “อ้า! ข้ายังไม่ได้ทำกับข้าวให้นายท่านเลย แย่แล้วๆ”

มันร้องโวยวายแล้วก็รีบลุกขึ้นวิ่งตึงๆ ออกไป

จ้าวเป่าฉินรีบถอยหลบทันที แล้วรีบวิ่งตามเถากลืนจิตไป

ก็เถากลืนจิตกำลังจะไปทำกับข้าวใช่ป่ะ ถ้าเธอตามไปก็อาจจะช่วยทำกับข้าวได้แล้วจากนั้นเธอก็ขอแบ่งข้าวมาสักชามพูนๆ ก็น่าจะได้มั้ง ถือว่าเป็นค่าแรงที่เธอช่วยทำก็ได้ เธอไม่คิดค่าแรงเป็นเงินทองขอแค่ข้าวชามเดียวเองนะ

เถากลืนจิตวิ่งตึงๆ ไปจนถึงเรือนครัว มันรีบเข้าไปจุดไฟตั้งกระทะ จุดไฟตั้งเตาต้มน้ำร้อน ครั้นจุดไฟเสร็จก็หันไปหยิบผักหยิบเนื้อมาหั่นๆ อย่างเร่งรีบ

จ้าวเป่าฉินตามไป มองเห็นเถากลืนจิตกำลังทำนั่น นู่น นี่ ง่วนไปหมด เธอจึงเดินไปถาม “จะให้ฉันช่วยทำอะไรมั่ง? ฉันขอแค่ข้าวชามนึงแลกค่าแรงก็ได้”

“เจ้ามาก็ดี มาช่วยข้าล้างผัก หั่นผัก ว่าแต่เจ้าหั่นผักเป็นหรือไม่?” เถากลืนจิตมองอย่างประเมินอยู่ในใจ

“เป็น” จ้าวเป่าฉินตอบ

อย่าหาว่าเธอคุยเลยนะ ตั้งแต่เธอเริ่มโตก็ออกไปรับจ็อบทำงานหาเงินตั้งแต่เด็กแล้ว ทั้งแจกใบปลิว รับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ ปั่นจักรยานส่งพิซซ่าแถวบ้าน พอโตขึ้นอีกหน่อยก็ไปรับจ้างเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร เริ่มทำตั้งแต่ล้างจาน ล้างผัก ช่วยหั่นผัก ช่วยเสิร์ฟ พออยู่ร้านอาหารนานๆ เข้าก็ช่วยพ่อครัวทำกับข้าว จากแรกๆ เริ่มทำกับข้าวง่ายๆ อย่างเจียวไข่ ตุ๋นไข่ ต่อๆ มาก็เริ่มทำกับข้าวยากๆ จนตอนนี้เธอพูดได้เต็มปากว่าตัวเธอก็มีฝีมือด้านทำอาหารคนหนึ่งได้เลย เรียกว่าเป็นเชฟแบบฝึกมากับเชฟใหญ่ก็ได้

เถากลืนจิตจึงยื่นถังใส่ผักให้นาง “เอ้า เอาไปล้าง”

จ้าวเป่าฉินรับถังใส่ผักมาแล้วมองๆ ดูของใช้ในครัว เห็นถังน้ำตั้งอยู่ด้านหนึ่งจึงเดินไปตักน้ำล้างผัก ครั้นล้างเสร็จแล้วเธอก็เอาผักไปวางบนโต๊ะแล้วถามว่า “ผักนี่จะทำกับข้าวอะไรเหรอ?”

“ผัดกับปลา” เถากลืนจิตบอกแล้วชี้ไปที่ปลาตัวหนึ่งซึ่งอยู่บนโต๊ะริมห้อง

จ้าวเป่าฉินมองตามแล้วอ้าปากค้าง เธอไม่เคยเห็นปลาอะไรตัวใหญ่ขนาดนี้เลย ตัวใหญ่ขนาดเท่าเครื่องซักผ้า 10 ก.ก. มันยาวประมาณ 2 เมตร ปลาตัวนั้นมีเกล็ดสีเงินทั้งตัว

“ไม่เคยเห็นปลาเงินซินะ” เถากลืนจิตเดาๆ จากท่าทางของนาง

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าหงึกๆ

ปลาตัวใหญ่ๆ เธอเคยเห็นแต่ในคลิปเท่านั้น อย่างพวกปลาโลมา ปลาวาฬ ปลาฉลาม แต่ปลาตัวจริงๆ ที่ใหญ่ขนาดนี้เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ครั้งนี้แหละ

ก็บ้านเธอจนอ่ะ พ่อแม่ไม่มีเงินพาเธอไปท่องเที่ยวหรอกนะ แค่ค่าเทอมค่าเลี้ยงดูเธอกับพี่สาวพ่อกับแม่ก็ต้องลำบากมากแล้ว

จนกระทั่งพี่สาวเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย พ่อกับแม่จึงลดภาระลงไปได้มาก

เมื่อเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยอีกคน พ่อกับแม่จึงสบายขึ้นมาก แต่พ่อกับแม่ยังสุขสบายไม่ทันไรเธอก็ดันมาตายจากซะแล้ว เฮ้อ… แต่อย่างน้อยก็ยังมีพี่สาวของเธอที่สามารถดูแลพ่อกับแม่ได้

“เอ้า หั่นผักซิ” เถากลืนจิตสั่ง

จ้าวเป่าฉินจึงละสายตาจากปลาเงิน เธอหยิบมีดขึ้นมา ลองลูบๆ คมมีดดู พบว่ามีดคมดี เธอจึงหยิบเขียงมาแล้วโชว์สกิลหั่นผัก เธอหั่นฉับๆ อย่างว่องไวยิ่ง สมกับที่เป็นลูกมือเชฟใหญ่มาหลายปี

เถากลืนจิตมองแล้วตกตะลึงไป มันไม่เคยเห็นใครหั่นผักได้ไวเท่านี้เลย ช่างเป็นการหั่นผักที่ไวมาก แล้วผักก็เท่ากันทุกชิ้น โอ…

จ้าวเป่าฉินหั่นผักเสร็จแล้วก็เงยหน้ามองเถากลืนจิต “เป็นยังไง?”

“เยี่ยม” เถากลืนจิตชมคำหนึ่ง

จ้าวเป่าฉินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

เถากลืนจิตได้ทีจึงชี้นิ้วสั่ง “เจ้าหั่นปลาซิ”

“หั่นหมดนี่เลยเหรอ?” จ้าวเป่าฉินถาม

เธอมองปลาตัวใหญ่อย่างคำนวณอยู่ในใจ ด้วยความที่อยู่ก้นครัวมานาน ดังนั้นจึงติดนิสัยบริหารจัดการวัตถุดิบในครัวมาจากเชฟใหญ่ไปโดยปริยาย

“หั่นหมดนั่นแหละ ข้าจะผัดให้นายท่านจานหนึ่ง เจ้าจานหนึ่ง ที่เหลือข้ากินทั้งหมด” เถากลืนจิตบอก

จ้าวเป่าฉินมองขนาดตัวของเถากลืนจิตแล้วก็ไม่สงสัยว่ามันจะกินหมดไหม? ก็ตัวมันใหญ่ขนาดนั้น กินปลาตัวนี้ก็คงหมดแน่นอน ดังนั้นเธอจึงถือมีดไปแล้วจัดแจงทำปลา ก่อนจะลงมีดเธอก็ถามมันว่า “ปลานี่ล้างเรียบร้อยรึยัง?”

“ไม่ต้องล้าง ใครเขาล้างปลาเงินกัน เสียรสหมด” เถากลืนจิตตอบ

จ้าวเป่าฉินจับๆ ตัวปลา เธอยื่นหน้าดมๆ กลิ่น เธอไม่ได้กลิ่นคาวปลาจากปลาตัวนี้เลย อีกอย่างเธอก็ไม่รู้เกี่ยวกับปลาชนิดนี้ ดังนั้นเมื่อเถากลืนจิตบอกว่าไม่ต้องล้างก็ไม่ต้องล้าง เธอจึงจัดการแล่หนังปลาทันที แต่พอเธอจรดมีดลงไป คมมีดกระทบเกล็ดเสียงดังเคร้ง

“หือ?”

เธอเอามีดเคาะๆ เกล็ดปลา เสียงดังเคร้งๆ เหมือนมีดเคาะโลหะยังไงอย่างงั้น ทำให้เธอรู้ว่าเกล็ดปลาตัวนี้เป็นโลหะจริงๆ “โห…”

เธอลองแทงมีดลงไป เกิดเสียงดังเคร้ง! ขึ้นคราหนึ่ง “หือ? เป็นโลหะทั้งตัวเลยเหรอ?”

แล้วถ้ามันเป็นโลหะทั้งตัวอย่างนี้ เนื้อข้างในก็เป็นโลหะด้วยรึเปล่า?

เธอจึงลองแทงมันอีกที เคร้งงงง—

เสียงดังกังวานมาก ทำเธออึ้งไปเลย

เถากลืนจิตก้าวไปใกล้ พูดว่า “เจ้าไม่เคยหั่นปลาเงินซินะ”

จ้าวเป่าฉินจึงพูดว่า “เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกนี่แหละ แล้วจะเคยหั่นได้ไง”

“เช่นนั้น ดูข้า” เถากลืนจิตพูดแล้วยื่นเถาไปหยิบมีดอีกเล่มมา มันก้าวเข้าไปจนชิดโต๊ะแล้วจัดแจงแล่ปลาเงินให้ดู มันแทงที่ตาปลาฉึก!

พลัน! ปลาเงินก็ชันเกล็ดขึ้นจนตั้งเด่ จากนั้นมันก็แทงมีดเข้าไปตรงใต้เกล็ดตรงใต้ปากปลา แล้วกรีดเป็นรอยยาวไปจนถึงหางปลา แล้วก็ดึงมีดออก มันจับปลาพลิกอีกด้านแล้วแทงตรงใต้เกล็ดเหนือปากปลา กรีดเป็นรอยยาวไปจนถึงหางปลา

เมื่อกรีดสองข้างเสร็จแล้วมันก็ดึงหนังปลาตรงหางลอกขึ้นเผยให้เห็นเนื้อปลาที่ขาวราวกับหิมะ จากนั้นมันก็พลิกปลาอีกด้านแล้วลอกหนังอีกด้านออก

มันเก็บเกล็ดทั้งสองด้านไว้ในหยกคุนเฉียน เกล็ดปลาเงินนี้พวกปรมาจารย์หลอมอาวุธต้องการนัก เอาไปใช้หลอมประดับศาสตราให้สวยงาม มันจึงเก็บสะสมเกล็ดปลาเอาไปขาย

อีกทั้งปลาเงินก็มีแต่เฉพาะในทะเลสาบในอาณาเขตที่อยู่ของนายท่านเท่านั้น ใครก็ไม่กล้ามาตกปลาในอาณาเขตของนายท่านหรอก ดังนั้นปลาเงินนี้จึงมีแต่นายท่านตกได้คนเดียว

หลังจากลอกหนังปลาเสร็จแล้วมันก็แล่เนื้อปลาออกมา แล่จนเหลือแต่ก้างและหัว ซึ่งก้างและหัวปลานี้มันก็เก็บไปเช่นกัน เพราะสามารถเอาไปขายให้ปรมาจารย์หลอมอาวุธได้ ดังนั้นมันจึงเก็บสะสมเอาไว้

จ้าวเป่าฉินยื่นมือไปจิ้มๆ เนื้อปลา เธอพบว่าเนื้อมันเด้งๆ เหมือนเนื้อหอยเชลล์ ซึ่งคิดว่าเอามาทำอาหารน่าจะอร่อยมากแน่นอน

เถากลืนจิตก็หั่นเนื้อปลาจนหมด

เมื่อผักพร้อม เนื้อปลาพร้อมแล้วมันก็ตั้งท่าจะผัดทันที จ้าวเป่าฉินส่งเสียงคำหนึ่ง “หือ?”

“นี่ๆ แล้วกระเทียม ต้นหอม ผักชี ไม่มีเหรอ?” เธอถามมันพลางมองหากระเทียม ต้นหอม ผักชี หรือไม่ก็หัวหอม

“จะต้องใส่ของพวกนั้นไปทำไม?” เถากลืนจิตพูดแล้วตั้งท่าจะผัด

“ไม่ใส่กระเทียม ต้นหอม ผักชี แล้วมันจะอะไรได้ไง?” จ้าวเป่าฉินพูดอย่างติติง

“ข้าทำกับข้าวไม่เคยใส่ของพวกนั้นสักครั้ง” เถากลืนจิตพูดอย่างราบเรียบมาก ก็มันทำกับข้าวทุกครั้งไม่เคยต้องใช้ของพวกนั้นเลย

จ้าวเป่าฉินอ้าปากค้างไป คิดในใจว่า มีแค่ผักกับปลาแล้วมันจะไปอร่อยได้ไงอ่ะ เธอจึงมองหากระเทียม ต้นหอม ผักชี แต่มองจนทั่วทั้งห้องครัวก็ไม่เจอเครื่องเทศเครื่องปรุงเลย แม้แต่เกลือยังไม่มี เดาได้เลยว่าอาหารที่เถากลืนจิตทำออกมารสชาติคง ‘หมาไม่แดก’ ชัวร์! คอนเฟิร์มล้านเปอร์เซ็นเลย!

“แล้วจะหากระเทียม ต้นหอม ผักชี ซีอิ้วขาว ซอสหอยนางรม พริกไทยดำได้จากไหนเหรอ?” เธอถามมัน

เถากลืนจิตส่ายศีรษะ “จะหาของพวกนั้นมาทำไม?”

“ก็เอามาปรุงรสนะซิ” จ้าวเป่าฉินบอก

“กระเทียม ต้นหอม ผักชีน่ะ ข้ารู้จัก แต่ซี…ซี กับ ซอส…ซอสอะไรนั่นน่ะข้าไม่รู้จักหรอกนะ”

“งั้นจะหากระเทียม ต้นหอม ผักชีได้จากไหน? พริกไทยดำด้วย แล้วก็เกลือ”

“ตามข้ามา” เถากลืนจิตบอกแล้วหันไปยกกระทะลงจากเตา จากนั้นก็เดินนำออกไป

จ้าวเป่าฉินรีบเดินตามไป

เถากลืนจิตเดินนำทางไปจนถึงสวนผัก ที่นี่มันปลูกผักไว้หลายชนิดมาก ส่วนใหญ่เป็นผักที่นายท่านซื้อเมล็ดจากพ่อค้าเอามาปลูกไว้

ยามนายท่านออกไปข้างนอกแล้วกินอาหารอร่อยที่ไหนก็มักจะถามพ่อครัวว่าอาหารจานนี้ใส่อะไรลงไปบ้าง แล้วก็ซื้อหาผักที่ใส่ในอาหารจานนั้นมาปลูกเอาไว้ วันไหนนายท่านอยากกินอาหารจานนั้นแต่ไม่อยากออกไปข้างนอก นายท่านก็จะเก็บผักจากในสวนไปทำกินเอง แต่ทำกี่ครั้งรสชาติก็ไม่เคยเหมือนที่เขาเคยกินจากเหลาอาหารเหล่านั้นเลยสักครั้ง จนนายท่านคร้านจะทำอาหารกินเองแล้ว ดังนั้นมันจึงคอยทำอาหารให้นายท่านกินเอง ซึ่งนายท่านก็ชมว่า ‘ดี’ ทำให้มันยิ้มดีใจมาก

จ้าวเป่าฉินมองสวนผักที่มีผักหลากหลายชนิด เครื่องเทศมีครบหมดทุกชนิด นี่มันซุปเปอร์มาเก็ตชัดๆ

เธอจึงเดินๆ ดูแล้วถอนต้นกระเทียม ต้นหอมขึ้นมา ต้นผักชีก็มี ดังนั้นเธอจึงถอนมันมาด้วย เธอเห็นพริกไทยออกลูก จึงเก็บพริกไทยอ่อนมาด้วย เธอเห็นพริก จึงเด็ดพริกมาแล้วกัดชิมนิดหนึ่ง พบว่ารสชาติเหมือนพริกหวาน ไม่เผ็ดมาก เอาไปใช้ผัดกับปลาต้องอร่อยแน่นอน

เมื่อได้วัตถุดิบที่จะใช้ผัดกับปลาจนเกือบครบแล้วเธอจึงถามหาเกลือ “แล้วเกลือล่ะ? น้ำตาลด้วย”

“เกลือน่ะมี อยู่ในครัวนั่นแหละ ส่วนน้ำตาล มันคือน้ำอะไร?” เถากลืนจิตทำหน้างงๆ มันไม่รู้จักน้ำตาลจริงๆ

“งั้นน้ำผึ้งล่ะมีไหม?” จ้าวเป่าฉินถามหาของทดแทน ไม่มีน้ำตาลใช้น้ำผึ้งปรุงรสแทนก็ได้

“น้ำผึ้งน่ะมี อยู่ในเรือนนายท่าน เดี๋ยวข้าไปเอามาให้” เถากลืนจิตพูดแล้วเดินจากไป

จ้าวเป่าฉินจึงหอบวัตถุดิบทั้งหมดกลับไปที่ห้องครัว เธอคำนวณแล้วว่าวัตถุดิบเท่านี้ย่อมไม่พอสำหรับผัดปลาตัวนั้นหรอก ดังนั้นเธอจึงหิ้วถังไม้ย้อนกลับไปที่สวนผักอีกครั้งแล้วถอนวัตถุดิบเพิ่ม

หลังจากได้วัตถุดิบพอแล้วเธอก็หิ้วถังกลับห้องครัว จัดแจงล้างผักที่เก็บมาใหม่แล้วหั่นๆ แยกผักแต่ละชนิดเอาไว้

เธอมองหาเกลือ เปิดไหนั้นไหนี้ทั้งห้องครัว ในที่สุดก็เจอเกลืออยู่ในไห เธอจึงหยิบเกลือออกมา กะให้พอดีกับผักและปลา

เถากลืนจิตกลับมา ถือไหน้ำผึ้งมาไหหนึ่ง มันวางไหบนโต๊ะแล้วมองผักที่ถูกหั่นแยกๆ เอาไว้

จ้าวเป่าฉินเอาฟืนใส่ใต้เตาเพิ่มแล้วยกกระทะขึ้นตั้งบนเตา

Chapter 5

ทำกับข้าว

กระทะใบใหญ่มาก ใหญ่เหมือนกระทะตามโรงทานที่ทำกับข้าวแจกผู้คนนั่นแหละ เธอมองเถากลืนจิตแวบหนึ่ง ก็นะ มันตัวใหญ่ขนาดนั้น ทำอาหารกินทีก็ต้องทำทีละเยอะๆ ทำนิดเดียวจะไปพอให้มันกินอิ่มได้ไง

เธอหันไปมองหาตะหลิว แล้วก็เห็นตะหลิวอันใหญ่มาก เรียกว่าขนาดพอเหมาะพอดีกับกระทะใบใหญ่นั่นแหละ เธอหยิบตะหลิวขึ้นมาถือตั้งท่า รอจนกระทะร้อนได้ที่แล้วเธอก็เอากระเทียมใส่ลงไป ผัดๆ สองทีแล้วเอาต้นหอม ผักชี พริกและพริกไทยอ่อนใส่ลงไปพร้อมกัน เธอผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็เทเกลือลงไป ตักน้ำผึ้งใส่ปรุงรสนิดหน่อย แล้วชิมรส “อืม ใช้ได้”

เธอหยิบปลาลงไปผัดแล้วใส่ผักตามลงไปทันที

กลิ่นหอมมากทำให้เถากลืนจิตสูดกลิ่น “หอมมาก”

มันพูดแล้วก็น้ำลายไหลจนเกือบจะไหลย้อยออกมาจากปาก มันรีบยกเถาเช็ดๆ น้ำลายที่ย้อยตรงมุมปาก

จ้าวเป่าฉินผัดเสร็จก็แล้วก็รีบตักใส่จานทันที ผัดปลาต้องผัดให้เร็วๆ ปลาจะได้ไม่เละจนดูไม่น่ากิน เธอตักแบ่งใส่จาน 3 จาน แล้วผัดปลาที่เหลือต่อ ก็ปลาเยอะขนาดนี้จะให้เธอผัดทีเดียวหมดได้ไง ก็ต้องแบ่งผัดซิถึงจะอร่อย

เถากลืนจิตขยับเข้าไปหยิบผัดปลามาจานหนึ่ง มันมองซ้ายมองขวาดูว่านายท่านไม่ได้อยู่แถวนี้มันจึงเป่าๆ ให้ปลาหายร้อน เป่าจนกระทั่งอุ่นๆ ดีแล้วมันก็อ้าปากเทกับข้าวจานนั้นเข้าปากไปในคำเดียว ทันทีที่ได้กินมันก็เบิกตาโตอย่างประหลาดใจ “อา…ยอยมาก!”

มันพูดไม่ค่อยชัดนักเพราะกำลังเคี้ยวอาหารอยู่

จ้าวเป่าฉินเหลือบมองมันแวบหนึ่ง สมแล้วที่จางอี้ปินเรียกมันว่า ‘ตัวตะกละ’ เธอลงมือผัดปลาต่อ

เถากลืนจิตกินหมดแล้วมันจ้องมองปลาอีกสองจาน แล้วมองที่อยู่ในกระทะซึ่งกำลังจะผัดเสร็จแล้ว มันคว้าปลาขึ้นมาอีกจานแล้วเป่าๆ จากนั้นก็เทเข้าปากไปในคำเดียว มันพูดทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ “อร่อยมาก ข้าไม่เคยกินปลาอร่อยเท่านี้มาก่อนเลย เจ้าเก่งมาก”

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าทีหนึ่ง เธอชินแล้วที่ถูกชมว่าทำอาหารเก่ง เธอก้มมองปลาในกระทะแล้วผัดอีกสองทีก็ตักปลาใส่จาน

เถากลืนจิตหยิบปลาจานที่สามมา มันเป่าๆ สองทีแล้วเทเข้าปาก

“เจ้าตัวตะกละ!”

เสียงเรียกดังขึ้น ทำให้เถากลืนจิตสั่นสะท้านเฮือก มันหันไปมองทั้งๆ ที่ถือจานค้างอยู่ มันเห็นนายท่านยืนอยู่ตรงประตู มันพูดทั้งๆ ที่อาหารเต็มปาก “โนยท่าน!”

“ไร้มารยาทยิ่งนัก!” จางอี้ปินตำหนิเสียงเข้ม

เถากลืนจิตสะท้านเฮือกอีกครั้ง มันรีบมองซ้ายมองขวาแล้วคิดหนีทันที แต่มันยังไม่ทันก้าวไป เท้ามันก็ไม่อาจขยับได้แล้ว “อ้า!”

“หนีซิ” จางอี้ปินพูดน้ำเสียงเย็นเยียบแล้วบ่นว่า “ข้าสอนไม่รู้จักจำ ให้กินดีๆ กินให้เรียบร้อย ไม่ใช่กินมูมมามเช่นนี้ แต่เจ้าไม่เคยจดจำสักที เห็นทีว่าคราวนี้ข้าคงต้องเอาเจ้าไปทิ้งไว้ในทะเลสาบดีไหม?”

“อ้า! ไม่ดีๆ นายท่านอย่าใจร้ายเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้าจำแล้วๆ ต่อไปข้าจะกินดีๆ ไม่กินมูมมามอีกเจ้าค่ะ” เถากลืนจิตรีบพูดออกมาอย่างเร่งรีบ มันยื่นเถาไปพันแขนนายท่านอย่างอ้อนวอนขอความเมตตา

“หึ!” จางอี้ปินสะบัดแขนออก เขานั้นอบรมสั่งสอนหลายครั้งแล้วแต่เจ้าตัวตะกละก็ไม่เคยจดจำสักที เมื่อไม่อยู่ต่อหน้าเขา มันก็กินมูมมานเช่นเดิมทุกครั้งไป มันถือว่าเป็นคนของเขา อ่อ ไม่ซิจะบอกว่าเป็นคนก็ไม่ได้ ต้องบอกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา แล้วสัตว์เลี้ยงของเขาจะมีกริยามารยาทไม่เรียบร้อยไม่ได้! เสียชื่อเสียงของเขาหมดน่ะซิ

“ข้าจะให้เจ้าอดข้าว ไม่ต้องกินแล้ว และจะเอาเจ้าไปทิ้งไว้ในทะเลสาบเป็นการลงโทษเจ้า”

“อ้า! ไม่นะนายท่าน อย่าให้ข้าอดข้าวเลยนะเจ้าคะ ข้ายอมถูกท่านลงโทษให้อยู่ในทะเลสาบก็ได้ แต่อย่าให้ข้าอดข้าวนะเจ้าคะ” เถากลืนจิตอ้อนวอนอย่างน่าสงสารมาก

จางอี้ปินรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ปกติแล้วเจ้าตัวตะกละกลัวถูกทิ้งไว้ในทะเลสาบเป็นที่สุดเพราะมันจะถูกปลาในทะเลสาบไล่กัดเถา แต่คราวนี้มันกลับยอมถูกทิ้งไว้ในทะเลสาบแต่ไม่ยอมอดข้าว?

เขาได้กลิ่นหอมจึงตามกลิ่นมา แล้วก็เห็นเจ้าตัวตะกละกำลังกินอย่างมูมมามยิ่ง ทำเขารู้สึกโมโหมาก เขามองจ้าวเป่าฉินที่กำลังทำกับข้าว แล้วมองกับข้าวที่นางเพิ่งทำเสร็จ เขาเดินไปแล้วนั่งลงหยิบตะเกียบขึ้นมา เขาคีบปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกินคำหนึ่ง

เขาเบิกตาโต ปลาอร่อยมาก รสชาติกลมกล่อม กลิ่นก็หอมมาก เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าตัวตะกละถึงได้ยอมถูกลงโทษให้อยู่ในทะเลสาบแต่ไม่ยอมอดข้าว เขาวางตะเกียบลงแล้วหันไปพูดกับเจ้าตัวตะกละว่า “ข้าไม่เอาเจ้าไปทิ้งในทะเลสาบก็ได้ แต่ข้าจะให้เจ้าอดข้าว”

“อ้า! ไม่นะเจ้าคะ นายท่านใจร้าย! แง๊!” เถากลืนจิตร้องไห้บีบน้ำตา มันยื่นเถาไปจับแขนนายท่านอย่างขอร้องอ้อนวอนสุดชีวิต

จางอี้ปินทำเมินไม่สนใจมัน

“แง๊ๆ นายท่านอย่าใจร้ายกับข้าเช่นนี้นะเจ้าคะ ต่อไปข้าไม่กินมูมมามแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะกินดีๆ เจ้าค่ะ นายท่านเจ้าขา” เถากลืนจิตเขย่าแขนนายท่านอย่างขอร้องอ้อนวอน

จางอี้ปินดึงแขนออก ไม่สนใจมัน เขาหันไปมองจ้าวเป่าฉินที่กำลังทำกับข้าว

จ้าวเป่าฉินก็ไม่สนใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของเจ้านายกับลูกน้อง เธอจะไปสอดอะไรได้ล่ะ อีกอย่างเธอก็ยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางของจางอี้ปินกับเถากลืนจิตเลย ดังนั้นดูอยู่เฉยๆ เถอะ

เถากลืนจิตยื่นเถาไปพันแขนนายท่านอีกครั้ง “นายท่านเจ้าขา”

จางอี้ปินทำเมินไม่สนใจ

“นายท่านเจ้าขา ข้าจะไม่กินมูมมามแล้วเจ้าค่ะ ข้าสัญญาด้วยกับข้าวฝีมือสตรีอ้วนเลยเจ้าค่ะ ต่อไปหากข้ากินมูมมามอีก นายท่านค่อยให้ข้าอดข้าวนะเจ้าคะ” เถากลืนจิตเขย่าแขนนายท่านยิกๆ

จางอี้ปินแอบยิ้มในใจ ดูเหมือนว่าเขาจะได้คำขู่ที่ได้ผลชะงัดแล้ว ฮี่ๆๆๆ ก็เจ้าตัวตะกละเคยร้อนรนเหมือนเช่นนี้หรือ ไม่เคยเลย มันไม่เคยจดจำบทลงโทษเลยสักนิด ไม่ว่าจะทำโทษมันไปกี่ครั้งมันก็ไม่เคยจดจำ แต่ครั้งนี้มันถึงกับยอมอ้อนวอนเขาเช่นนี้ อืม นับว่าคำขู่นี้ได้ผลยิ่งนัก ฮ่าๆๆๆ

จ้าวเป่าฉินผัดเสร็จอีก 1 กระทะ เธอตักปลาใส่จานแล้วเหล่มองจางอี้ปินกับเถากลืนจิตแวบหนึ่ง จากนั้นเธอก็ลงมือผัดกับข้าวกระทะต่อไปทันที ก็ต้องผัดให้หมด ไม่งั้นเดี๋ยวปลาจะเน่าผักจะเสีย เธอไม่อยากให้ของต้องทิ้งขว้างไปอย่างเปล่าประโยชน์ ดังนั้นผัดให้หมดเถอะ ผัดหมดแล้วเธอก็ค่อยแบ่งมาจานนึง ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นของจางอี้ปินกับเถากลืนจิตละกัน

“นายท่านเจ้าขา นายท่าน” เถากลืนจิตเขย่าแขน ส่งเสียงอ้อนวอนอย่างน่าสงสารมาก

จางอี้ปินเหลือบมองเจ้าตัวตะกละแวบหนึ่ง แล้วเขาก็ทำเสียงขึงขัง “หึ! ต่อไปถ้าเจ้ากินมูมมามอีก อย่าหวังเลยว่าข้าจะให้เจ้ากินข้าวฝีมือจ้าวเป่าฉินอีก ครั้งนี้ข้าจะผ่อนปรนให้ครั้งเดียวเท่านั้น”

“ขอบคุณนายท่านๆ” เถากลืนจิตก้มลงเอาศีรษะโขกพื้นอย่างดีใจยิ่ง มันรีบถอยไปแล้วยื่นเถาไปจะคว้าจานปลา

“เจ้าตัวตะกละ!” จางอี้ปินเรียกมันเสียงเข้มงวด

“นายท่านเจ้าขา” เถากลืนจิตหดเถากลับไป มันทำหน้าเจื่อนจ๋อยยิ่ง มองนายท่านอย่างอ้อนวอน

“หึ!” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่ง เขารอจนจ้าวเป่าฉินทำกับข้าวเสร็จแล้ว เขาใช้พลังยกจานกับข้าวทั้งหมดไป “พวกเจ้าตามข้ามา”

เถากลืนจิตรีบตามไปทันที

จ้าวเป่าฉินเทน้ำใส่กระทะเอาไว้แล้วเดินตามจางอี้ปินไป เธอหยิบตะเกียบไปด้วย

จางอี้ปินเหลือบมองข้างหลังแล้วสั่งว่า “เจ้าตัวตะกละ น้ำชา”

“อ่อ เจ้าค่ะๆ” เถากลืนจิตรีบหันหลังทันที มันเกือบจะชนจ้าวเป่าฉินซึ่งเดินตามหลังมาเข้าให้แล้ว

จ้าวเป่าฉินหลบได้ทัน เธอก้าวเบี่ยงมันไปแล้วเดินตามจางอี้ปินไป

จางอี้ปินเดินไปถึงศาลาหลังใหญ่ เขาวางจานกับข้าวทั้งหมดลงบนโต๊ะกลางศาลาแล้วนั่งลง

จ้าวเป่าฉินเดินเข้าไปวางตะเกียบ

“นั่งซิ” จางอี้ปินบอก

“ขอบคุณค่ะ” จ้าวเป่าฉินนั่งลงตรงข้าม

“เจ้าต้องพูดว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ” จางอี้ปินสอนอย่างปราณี

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จ้าวเป่าฉินพยายามหัดพูดให้เหมือนคนที่นี่ เธอยังไม่อยากถูกใครข่มเหงรังแกเพราะเป็นคนต่างถิ่นหรอกนะ อีกทั้งรูปร่างเธอก็อ้วนขนาดนี้ มักจะถูกคนรังเกียจและกลั่นแกล้งเป็นประจำ เพราะฉะนั้นเธอต้องทำตัวให้กลมกลืนกับผู้คนมากที่สุดจะได้ไม่ตกเป็นเป้าให้ใครรังแกเอา

“ดีๆ” จางอี้ปินยิ้มอย่างพอใจที่เด็กคนนี้ว่านอนสอนง่าย

จ้าวเป่าฉินมองไปรอบๆ ศาลาหลังใหญ่ ศาลาหลังนี้ใหญ่โตกว้างขวางมาก ขนาดเท่าโรงนาได้เลย โต๊ะที่เธอนั่งก็ใหญ่มากเช่นกัน ต่อให้คน 10 คนมานั่งล้อมรอบก็ยังเหลือที่อีกมาก เก้าอี้ก็มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ เธอนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ ส่วนจางอี้ปินนั่งเก้าอี้ตัวเล็ก

ดูจากโต๊ะและเก้าอี้แล้วลักษณะของชิ้นงานน่าจะเป็นฝีมือของเถากลืนจิตล่ะมั้ง ศาลานี้ก็น่าจะใช่ด้วย

เถากลืนจิตเดินมาพร้อมกับถาดน้ำชา มันวางถ้วยน้ำชาตรงหน้านายท่านแล้วรินชาให้เขา “นายท่านเจ้าขา ชาเจ้าค่ะ”

“อืมๆ” จางอี้ปินส่งเสียงสองคำ ยกชาขึ้นจิบแล้วบอกมันว่า “มานั่งกินดีๆ”

“เจ้าค่ะ” เถากลืนจิตยิ้มหน้าบาน มันรีบนั่งลงใกล้ๆ นายท่าน แล้วยื่นเถาไปหยิบจานปลามา มันยื่นอีกเถาไปหยิบตะเกียบมา 2 คู่แล้วยื่นคู่หนึ่งให้นายท่าน พลางเลื่อนจานปลาไปให้นายท่าน “นายท่านเจ้าขา ตะเกียบเจ้าค่ะ”

จางอี้ปินรับตะเกียบมา เขาคีบปลากิน พลางใช้สายตาแทนคำสั่ง

เถากลืนจิตจึงยื่นเถาไปดึงจานปลามา มันคีบกินอย่างเรียบร้อย ไม่กล้ามูมมามสักนิด

จ้าวเป่าฉินจึงยื่นมือไปหยิบจานปลามาพร้อมกับหยิบตะเกียบมาคู่หนึ่ง เธอค่อยๆ คีบกิน

จางอี้ปินเหลือบมองท่าทางของจ้าวเป่าฉินแล้วพอใจยิ่ง ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะได้รับการอบรมเรื่องมารยาทมาดีทีเดียว

เถากลืนจิตคีบกลืน คีบกลืน ก็มันไม่ค่อยๆ เคี้ยวหรอก มันใช้วิธีกลืนลงไปเลยเร็วกว่า ถ้าให้มันเคี้ยวก่อนกลืน กว่ามันจะกินอิ่มคงเย็นย่ำค่ำมืดกระมัง

จ้าวเป่าฉิน กินไปสักพักก็มองหาน้ำ เธอจึงยื่นมือไปหยิบกามารินชาเอง แล้วจิบน้ำ 2 อึก จากนั้นก็กินต่อ

จนกระทั่งกินเสร็จแล้วเถากลืนจิตก็เก็บจานไป

จ้าวเป่าฉินก็ช่วยถือจานไปเก็บ

จางอี้ปินมองหนึ่งคนหนึ่งเถาที่ดูสนิทกันมากขึ้นอย่างเบาใจ เขายังแอบกังวลว่าทั้งสองจะเข้ากันไม่ได้ แต่ได้เห็นเช่นนี้เขาก็เบาใจยิ่งนัก เขายิ้มจางๆ พลางยกชาขึ้นจิบ มองทิวทัศน์อย่างสุขใจ

เถากลืนจิตล้างจาน

จ้าวเป่าฉินก็ช่วยล้างด้วย

เมื่อล้างจานเสร็จแล้วเถากลืนจิตก็ไปตัดเย็บอาภรณ์ต่อ

จ้าวเป่าฉินเดินตามไป เธอตักน้ำไปถูบ้านเช็ดฝุ่น เธอชอบบ้านสะอาดๆ ต่อให้บ้านของเธอเป็นกระท่อมกลางนา แต่ถ้าเธอจะนั่งจะนอนก็ต้องสะอาดสะอ้านเข้าไว้ ก็ทำงานอยู่โรงพยาบาลมันต้องสะอาดนี่นา มันเลยติดเป็นนิสัยไปแล้ว

หลังจากถูบ้านเสร็จแล้ว เธอก็ไปเอาตำรามาไว้ในบ้าน แล้วนั่งอ่านตำราไปเรื่อยๆ

เถากลืนจิตตัดเย็บอาภรณ์เสร็จก็เรียกจ้าวเป่าฉิน “เจ้ามาสวมอาภรณ์นี่ซิ”

จ้าวเป่าฉินเงยหน้าจากตำรา ลุกไปดูอาภรณ์อีกชุดที่เพิ่งเย็บเสร็จหมาดๆ เธอมองดูสีสันของอาภรณ์ที่ดูดีมีรสนิยม นับว่าเถากลืนจิตเทสดีมาก เสื้อตัวกลางกับตัวนอกแมตสีกันได้ดี ไม่ดูฉูดฉาด ไม่ดูเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง เธอรับอาภรณ์มาแล้วเดินไปหลังฉากกั้นเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ชุดใหม่แล้วเดินออกไปให้เถากลืนจิตดู

เถากลืนจิตก้าวไปใกล้ๆ จับจ้าวเป่าฉินหมุนซ้ายหมุนขวา มันมองหัวจรดเท้า เท้าจรดหัว 2 รอบแล้วพยักหน้า “เอาล่ะ ชุดนี้พอดีกับตัวเจ้ามาก เช่นนั้นชุดนั้นเดี๋ยวข้าแก้ให้”

มันพูดแล้วก็ยื่นเถาไปหลังฉากหยิบอาภรณ์ชุดแรกออกมา แล้วมันก็ปล่อยตัวจ้าวเป่าฉิน มันหมุนตัวเดินไปนั่งลงแก้ชุดอย่างไม่สนใจสิ่งอื่น

จ้าวเป่าฉินจึงกลับไปนั่งอ่านตำราต่อ ตำราพวกนี้เขียนเกี่ยวกับแดนเทพไว้ละเอียดมาก เธออ่านแล้วพยายามจดจำในความสำคัญต่างๆ ให้ได้มากที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดของเธอก็คือเธอเรียนเก่ง จดจำสิ่งต่างๆ ที่อ่านได้แม่นยำ ดังนั้นเวลาที่ใครๆ บูลลี่เธอว่า ‘อ้วน’ เธอจะตอกหน้าคนเหล่านั้นด้วยประโยคว่า ‘ถึงฉันอ้วน ฉันก็เรียนเก่งกว่าพวกผอมๆ แต่ไร้สมองอย่างพวกเธอ’

แล้วนังพวกผอมๆ ไร้สมองเหล่านั้นก็จะกรี๊ดๆ อยู่พักหนึ่ง บางทีพวกมันอยากตบเธอ แต่พอเธอตั้งท่าสู้เท่านั้นแหละ พวกมันก็รีบเผ่นกันหมด คงกลัวเธอล้มทับจนกระดูกกรอบๆ ของพวกมันหักล่ะมั้ง ชิ! หาเรื่องกับใครไม่หา ดันมาหาเรื่องกับเธอ เธอน่ะปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็ก หาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายเหมือนพวกมันที่มีพ่อแม่ส่งเงินให้เรียน ส่งเงินให้กินให้ใช้ ไม่ได้ลำบากเหมือนเธอ

เธอนั่งอ่านตำราจนหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตัวเธอค่อยๆ ล้มลงนอนกับพื้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ม้วนตำราตกจากมือแผ่อยู่บนพื้น

เถากลืนจิตแก้ชุดเสร็จแล้วจึงหันไปมองจ้าวเป่าฉิน มันเห็นนางหลับไปแล้ว มันจึงส่ายหน้าเบาๆ แล้วลุกไปอุ้มนางไปนอนบนเตียง มันเอาผ้าห่มๆ ให้นาง แล้วแอบลูบๆ แก้มนางนิดหนึ่ง ก็ผิวนางนุ่มมาก มันได้จับได้สัมผัสแล้วรู้สึกชอบมาก มันเป็นสตรีเหมือนกันแต่มันไม่ได้ชมชอบนางฉันท์ชู้สาวนะ มันแค่ชอบความรู้สึกที่ได้สัมผัสผิวนุ่มๆ ของนางเท่านั้นเองนะ เท่านั้นจริงๆ นะ มันไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ไม่ได้คิดเลย สาบานให้ฟ้าผ่าก็ได้

จ้าวเป่าฉินยกมือปัดๆ อย่างไม่รู้ตัวแล้วพลิกตัวตะแคงนอนขดตัว เธอฝันหวานว่าอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ที่มีแต่ขนมหวานเต็มไปหมด เธอยื่นมือไปคว้าขนมเค้กที่ลอยไปลอยมาแล้วจับมากัด 1 คำ

“อ๊าวววววว—” เถากลืนจิตร้องลั่นเมื่อถูกสตรีอ้วนคว้าเถาไปกัด มันรีบดึงเถาออกจากปากนางทันที มันยกเถาที่ถูกกัดมาดูแล้วเป่าๆ มันยกเถาถีบนางทีหนึ่งอย่างโมโห ผลั่ก!

“ฮื้อ—” จ้าวเป่าฉินส่งเสียงคำหนึ่งแล้วจับหมับ เธอดึงเถาไปกัดอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว

“อ๊าววววว—” เถากลืนจิตร้องอีกครา มันรีบดึงเถาให้หลุดจากปากสตรีอ้วนแล้วถอยกรูดอย่างหวาดผวา สตรีนางนี้ช่างนอนละเมอได้น่ากลัวยิ่ง!

จ้าวเป่าฉินฝันหวานว่ากินเค้ก แต่เค้กไม่อร่อยเลยสักนิดทั้งเค็มทั้งขมปี๋ จนเธอต้องถ่มถุยออกมา เธอกัดไปสองชิ้น แต่ทั้งสองชิ้นก็ทั้งเค็มทั้งขมเหมือนกัน จนเธอไม่คิดจะหยิบเค้กชิ้นไหนมากินอีก ไม่กินแล้ว พอๆ เลิกๆ

จากนั้นเธอก็หลับลึกไป

จางอี้ปินได้ยินเสียงเจ้าตัวตะกละร้องดังลั่น เขาสงสัยยิ่งนักจึงเดินไปดู

เมื่อไปถึง เขาก็เห็นเจ้าตัวตะกละเป่าๆ เถาตัวเองอยู่ เขาถามมัน “เป็นอะไร?”

เถากลืนจิตได้ยินเสียงนายท่านจึงหันไปมอง แล้วฟ้องว่า “นางกัดข้า”

“หือ?” จางอี้ปินหรี่ตามอง

เถากลืนจิตรีบเดินไปหานายท่าน เอารอยฟันให้ดู “ท่านดูซิเจ้าคะ นางกัดข้าเสียจนเป็นรอยเลยเจ้าค่ะ”

“เหตุใดนางจึงกัดเจ้า?” จางอี้ปินถาม

“ข้า…” เถากลืนจิตชะงักไป มันไม่กล้าพูดว่ามันลูบแก้มนาง นางจึงกัดมัน “คือข้า…”

มันอึกอักพูดไม่ออก จนในที่สุดมันก็แก้ตัวว่า “คือข้า…ข้าเห็นนางหลับ ข้าจึงอุ้มนางไปนอนที่เตียง แต่…เอ่อ…ไม่รู้เหตุใดนางจึงกัดข้า นายท่าน สตรีผู้นี้นอนละเมอน่ากลัวยิ่งเจ้าค่ะ ท่านต้องระวังตัวนะเจ้าคะ”

“อ่อ งั้นรึ” จางอี้ปินรับรู้ เขาเห็นว่าเจ้าตัวตะกละไม่เป็นอะไรมาก เขาจึงเดินกลับเรือนตัวเองไป

เถากลืนจิตลอบถอนหายใจ แล้วมันก็กลับเข้าไปนั่งเย็บอาภรณ์ต่อ

เช้ามืด เสียงหนึ่งดังขึ้น “กรร—”

จ้าวเป่าฉินตกใจสะดุ้งตื่นทันที “อะไร!?”

“กรร—” เสียงดังอีกครั้ง ดังสนั่นจนทำให้คนคิดว่ามีสิงโตมาคำรามอยู่ข้างหูได้เลย

“เสียงอะไร!” จ้าวเป่าฉินลงจากเตียง หน้าตาตื่น ตั้งท่าเตรียมวิ่งหนีแล้ว

“ฮื้อ เจ้าจะเอะอะไปทำไม ไม่มีอะไรหรอก แค่เสือเพลิงโลกันต์ร้องเท่านั้นเอง” เถากลืนจิตลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย มันไม่ได้ตื่นเพราะเสียงเสือเพลิงโลกันต์หรอก แต่ตื่นเพราะเสียงจ้าวเป่าฉินที่ร้องตกอกตกใจนี่แหละ เสียงเสือเพลิงโลกันต์มันได้ยินทุกวันจนชินแล้ว ต่อให้เสือเพลิงโลกันต์จะร้องดังยิ่งกว่านี้ ร้องจนแผ่นดินสะเทือนมันยังไม่ตื่นเลย

“เสือเพลิงโลกันต์!?” จ้าวเป่าฉินทวนคำอย่างสงสัย เธอตื่นตัวพร้อมจะวิ่งหนีได้ทุกเมื่อแล้ว ก็ขึ้นชื่อว่า ‘เสือ’ เธอก็ต้องคิดว่าเป็นสัตว์กินเนื้อที่ดุร้ายเอาไว้ก่อน แล้วเสียงมันดังใกล้มากเลยนะ ดังเหมือนมันอยู่ห่างแค่สิบเมตรยี่สิบเมตรแค่นี้เอง ระยะแค่นี้แค่มันกระโจนสองทีสามทีก็ถึงตัวเธอได้แล้ว

“นอนต่อเถอะ” เถากลืนจิตบอกแล้วมันก็นอนหลับตาต่อ

จ้าวเป่าฉินไม่อาจนอนหลับได้แล้ว เธอถูกเสียงเสือทำให้ตื่นซะแล้ว อีกทั้งยังไม่กล้าหลับต่อด้วย เพราะกลัวว่าถ้าหลับต่อ เมื่อตื่นขึ้นมาเธออาจจะเป็นแค่วิญญาณอีกก็ได้เพราะถูกเสือกิน เมื่อนอนไม่หลับแล้วเธอจึงลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ก้าวย่องออกไปมองที่หน้าต่างอย่างระแวง

แล้วเธอก็ชนกับอะไรบางอย่างตรงหน้าต่าง ตุบ! เธอมองสิ่งที่เธอชน แล้วเธอก็เห็นแต่โคมไฟใหญ่ๆ สองดวง

Chapter 6

เสือเพลิงโลกันต์

จ้าวเป่าฉินถอยหลังมองให้ชัดๆ เมื่อมองโคมไฟนั้นชัดดีแล้ว เธอจึงเห็นว่าโคมไฟสองดวงนั้นมีสีดำตรงกลาง สีดำนั้นกลมวาวเหมือนลูกแก้วสีนิล โคมไฟคู่นี้ดูๆ แล้วช่างคล้ายกับตาแมวมาก เธอเคยให้อาหารแมวจรบ่อยๆ ทั้งยังเล่นกับพวกมันบ่อยๆ ด้วย ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับดวงตาของแมวมาก แต่โคมไฟนี้ใหญ่เท่าลูกฟุตบอล แล้วเธอก็เห็นโคมไฟหายไปแวบหนึ่งแล้วเปิดขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อเธอจ้องโคมไฟคู่นั้นให้ชัดๆ เธอก็ขนลุกซู่ทั้งตัว ก็มันไม่ใช่โคมไฟ! แต่เป็นดวงตาสัตว์ แล้วสัตว์อะไรล่ะที่มีดวงตาเหมือนแมว ก็สัตว์จำพวกเสือ สิงโตไงล่ะ!

เธอกลืนน้ำลายเอือกแล้วก้าวถอยหลังไปทันที โคมไฟคู่นั้นเคลื่อนตามเธอมา ทำให้เธอกลืนน้ำลายอีกเอือกอย่างหวั่นกลัว เชี่ยเอ้ย ฉันจะโดนเสือกินเหรอ!?

เธอค่อยๆ ก้าวถอยหลังทีละก้าว ก็วิธีป้องกันตัวพื้นฐานเวลาเจอหมาดุๆ ให้ค่อยๆ ถอยหลัง อย่าหันหลังแล้ววิ่งหนีเด็ดขาด หมาจะวิ่งไล่ทันที แต่ถ้าค่อยๆ ถอยหลังไป จนพ้นระยะจู่โจมแล้ว หมาจะไม่วิ่งไล่ แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลกับสัตว์ตัวนี้รึเปล่า? เธอก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเธอค่อยๆ ถอยเป็นดีที่สุด

“ฮื้อ งึมๆ” เถากลืนจิตส่งเสียงงัวเงียแล้วพลิกตัว

ดวงตาใหญ่โตคู่นั้นหันไปมองเถากลืนจิตแล้วมันก็ไม่สนใจเถากลืนจิต มันหันกลับมามองเหยื่อตัวอ้วนๆ ขาวๆ ที่ดูแล้วเนื้อน่าจะนุ่มมาก คาดว่ากระดูกก็คงอ่อนนุ่มด้วยกระมัง

จ้าวเป่าฉินยื่นเท้าไปเตะเถากลืนจิต ปั๊กๆ

“ฮื้อ!” เถากลืนจิตส่งเสียงงึมงำอีกครั้งแล้วพลิกตัวอีกด้าน

จ้าวเป่าฉินเห็นว่าคงพึ่งเจ้าตัวตะกละไม่ได้แล้ว เธอจึงค่อยๆ ก้าวถอยไปเรื่อย

ในความมืด เธอเห็นเงารางๆ เคลื่อนไหว รูปร่างมันใหญ่มาก มันค่อยๆ ก้าวผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาจนกระทั่งหมดตัว

จ้าวเป่าฉินมองรูปร่างในความมืดแล้วกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้นแล้ว จากเงาที่เห็นกะขนาดตัวมันแล้วน่าจะใหญ่ยิ่งกว่าเถากลืนจิต 3 เท่า ทำให้บ้านหลังนี้เล็กคับแคบไปทันทีเมื่อตัวที่ตาเหมือนแมวเข้ามาข้างใน

บ้านหลังนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้เล็กนะ เจ้าตัวตะกละเข้าออกได้อย่างสบาย เรียกว่าเจ้าตัวตะกละเดินไปเดินมาภายในบ้านรวมกับเธอซึ่งอ้วนมากก็ยังมีพื้นที่เหลือเฟืออีกมาก แต่พอตัวที่ตาเหมือนแมวเข้ามาเท่านั้น มันทำให้บ้านดูเล็กแคบจนหายใจหายคอไม่ออกแล้ว หรือจริงๆ แล้วต้องพูดว่าเธอกลัวจนหายใจหายคอไม่ออกแล้วต่างหาก เธอกลัวจนมือเท้าแข็งเกร็งไปหมดแล้ว

“กรร—” ตัวที่ตาเหมือนแมวคำรามออกมา เสียงมันดังมาก ดังจนบ้านสะเทือนเลยทีเดียว

“ฮื้อ!” เถากลืนจิตส่งเสียงงึมงำทีหนึ่งแล้วก็เงียบไป

ดวงตาใหญ่โตเหล่มองเถากลืนจิตแวบหนึ่งอย่างไม่เห็นเถากลืนจิตอยู่ในสายตา ซึ่งต้องบอกว่าไม่เห็นเถากลืนจิตเป็นเหยื่อต่างหาก มันจะอยากกินเถากลืนจิตไปทำไม ทั้งขมทั้งเหนียว ยี้…ไม่อร่อยสักนิด

จ้าวเป่าฉินคิดหาทางหนีทีไล่ไม่ออกจริงๆ สมองเธอเหมือนถูกแช่แข็งไปแล้ว รู้แต่ว่าสัญชาตญาณสั่งให้วิ่งหนีเท่านั้น ดังนั้นช่วงที่ดวงตาใหญ่โตคู่นั้นเหล่มองเถากลืนจิต เธอจึงหันหลังแล้ววิ่งสุดฝีเท้าทันที ปากก็ร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย—” กับ “ไฟไหม้—” ออกไป

ซึ่งคำว่า ‘ไฟไหม้’ นี้ เป็นคำตะโกนเรียกร้องความสนใจจากผู้คน เพราะคนส่วนใหญ่หากได้ยินคำว่า ‘ช่วยด้วย’ ประโยคเดียวมักจะมองๆ ดูเหตุการณ์ก่อน แต่ถ้าได้ยินคำว่า ‘ไฟไหม้’ จะทำให้ผู้คนแห่กันออกมาหาทางดับไฟทันที

เพราะถ้าไฟมันลุกลามมากๆ ก็อาจจะเผาบ้านพวกเขาไปด้วยไง ดังนั้นผู้คนจึงต้องแห่กันออกไปช่วยดับไฟก่อน จ้าวเป่าฉินจึงตะโกนสองประโยคนี้ออกไปตามสัญชาตญาณล้วนๆ

เมื่อเธอวิ่ง ดวงตาใหญ่โตคู่นั้นก็พุ่งตามทันที

“ช่วยด้วย— ไฟไหม้—” จ้าวเป่าฉินตะโกนลั่นพลางวิ่งไปด้วย เธอวิ่งหนีในความมืดด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ เธอวิ่งสุดฝีเท้า วิ่งสุดชีวิตเลยทีเดียว เจ้าตัวตาใหญ่ๆ นั่นก็วิ่งตามเธอมาด้วยความเร็วยิ่ง

เสียงร้องตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย’ กับ ‘ไฟไหม้’ ทำให้เถากลืนจิตสะดุ้งเฮือก มันลุกขึ้นทันทีอย่างตื่นตัว มันทันเห็นเงาดำๆ ใหญ่ๆ ผ่านหน้ามันไป มันรีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งตามไป “นี่ๆ หูลู่ เจ้ากินนางไม่ได้นะ!”

“ช่วยด้วย— ไฟไหม้—” จ้าวเป่าฉินตะโกนลั่นไปเรื่อยๆ เธอวิ่งไปทางบ้านของชายผมขาวตามสัญชาตญาณ เพราะในจิตสำนึกของเธอ เขาต้องช่วยเธอได้แน่นอน เธอวิ่งไปอย่างไม่เห็นทางนัก เพราะมันมืด มีเพียงแสงดาวส่องสลัวๆ เท่านั้น แล้วเธอก็ชนกับบางสิ่งเข้าให้ โคร้ม!

“โอ๊ย!” เธอล้มไป เจ็บหน้าจนรู้สึกเหมือนจมูกน่าจะหักแล้วมั้ง เธอกำลังจะลุกขึ้น แต่แล้วเจ้าตัวที่วิ่งกวดเธอมามันก็เหยียบขาเธอเอาไว้ กร๊อบ! ทำเธอร้องอีกหน “โอ๊ย!”

เธอรู้สึกเจ็บขามาก ขาเธอน่าจะหักมั้ง เธอเงยหน้ามองขึ้นไป จึงเห็นเงาร่างใหญ่โตในความมืดมิดใต้แสงดาวรางๆ มันตัวใหญ่มาก!

“กรร—” ตัวที่ตาเหมือนแมวคำรามออกมา กลิ่นเหม็นเน่าพุ่งออกมาจากปากมัน ทำจ้าวเป่าฉินเหม็นจนแทบอ๊วก เธอขนลุกซู่ เธอกลัวจนฉี่จะราดแล้ว เธอคงตายเพราะถูกมันกินแน่!

เธอเห็นมันอ้าปากกว้าง พุ่งลงมา วินาทีนี้เธอกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว แม้แต่จะร้องก็ร้องไม่ออก ขยับตัวไม่ได้เหมือนตัวแข็งทื่อไปหมดแล้ว!

“หูลู่ เจ้ากินนางไม่ได้นะ!” เถากลืนจิตตะโกนลั่นแว่วมา แต่คำห้ามปรามของมันก็ไม่ทันเสียแล้ว มันเห็นเจ้าถังหูลู่อ้าปากลงไปแล้ว!

ขณะที่ถังหูลู่กำลังจะกัดเหยื่อ จู่ๆ เสียงจางอี้ปินก็ดังขึ้น “หูลู่!”

ตัวมันลอยขึ้นไปพรึ่บ!

“กรร—” ถังหูลู่คำรามอย่างตกใจ แล้วตัวมันก็พุ่งลิ่วไปไกล เกือบจะชนต้นไม้เข้าแล้ว ดีที่มันกางกรงเล็บจิกพื้นเอาไว้ จึงหยุดการไถลไว้ได้ทันก่อนที่ตัวมันจะชนต้นไม้

จางอี้ปินลอยลงมายืนอยู่ข้างจ้าวเป่าฉิน

จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วสิ้นสติล้มพับลงไป

“อ้า! นายท่านเจ้าขา” เถากลืนจิตวิ่งมาถึงพอดี มันรีบฟ้องว่า “เป็นหูลู่ไล่กวดนาง ข้าพยายามห้ามมันแล้วนะเจ้าคะ”

“อืม” จางอี้ปินพยักหน้ารับรู้ แล้วก้มลงมองจ้าวเป่าฉิน เขายอบตัวลงดูนาง “เป่าฉินๆ”

แต่ร่างอวบอ้วนก็ไม่ส่งเสียงหืออือเลยสักคำ เขาใช้นิ้วจิ้มๆ นาง “เป่าฉินๆ”

ยังคงเงียบไร้เสียงหืออือเช่นเดิม เขามองนางแล้วยื่นนิ้วไปแตะชีพจรที่ข้อมือของนาง

“ไอหยา!” เขาร้องสองคำแล้วรีบใช้พลังเทพทำให้นางลอยขึ้นมา จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าไปพร้อมกับร่างของนาง

“อ้า! นายท่านจะไปไหนเจ้าคะ?” เถากลืนจิตถาม

“สำนักโอสถ” จางอี้ปินตอบขณะที่พุ่งจากไปราวดาวตก

“สำนักโอสถ” เถากลืนจิตทวนคำ จะถามอีก นายท่านก็จากไปเสียไกลลิบแล้ว

แสงสลัวเริ่มสว่างขึ้นทำให้มองเห็นบริเวณรอบๆ ได้ชัดขึ้นอีกนิด มันเห็นถังหูลู่อยู่ด้านหนึ่ง มันจึงเดินไปหาถังหูลู่แล้วข่มขู่ว่า “เจ้าได้อดกินถังหูลู่แน่ นั่นนะสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของนายท่านนะ”

ถังหูลู่เบิกตาโต ครู่ต่อมามันก็ทำหูตกลู่ “อ้า! ไม่นะ! ไม่นะๆๆๆ นายท่านจะลงโทษข้าไม่ได้นะ ก็ข้าไม่รู้นี่”

“ฮึ!” เถากลืนจิตแค่นเสียงคำหนึ่ง แล้วข่มขู่ต่อ “เจ้าได้อดกินแน่ๆ ข้าอุตส่าห์เรียกแล้วแต่เจ้าไม่หยุดเองนะ”

“…” ถังหูลู่หูตกอย่างกลัวโทษทัณฑ์ มันไม่รู้นี่ว่านายท่านมีสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ จะโทษมันไม่ได้นะ เจ้าสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของนายท่านดูน่ากินมาก ทำให้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ หากได้กินสักคำมันเชื่อว่าเนื้อคงจะทั้งนุ่มทั้งหวานอร่อยมาก

เถากลืนจิตมองถังหูลู่แวบหนึ่งแล้วเดินกลับไปอย่างไม่สนใจถังหูลู่อีก ก็มันยังมีงานที่ยังทำไม่เสร็จอีกตั้งมาก เมื่อนายท่านไม่อยู่เช่นนี้มันรีบจัดการงานต่างๆ ให้เสร็จดีกว่า เมื่อนายท่านกลับมามันจะได้คอยรับใช้นายท่านได้เต็มที่

ถังหูลู่กำลังจะเดินไป เถากลืนจิตรีบหันไปเรียก “หูลู่”

ถังหูลู่ชะงักกึก หันไปมองเถากลืนจิต

เถากลืนจิตได้ทีจึงรีบบอกว่า “ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว เจ้ามาช่วยข้าทำงานเถอะ บางทีหากนายท่านเห็นว่าเจ้าช่วยทำงานอาจจะลดโทษทัณฑ์ให้เจ้าลงนิดหนึ่งก็ได้”

“จริงนะ?” ถังหูลู่ถามอย่างดีใจ

“อาจจะนะ” เถากลืนจิตพูดอย่างไม่กล้ารับรอง เพราะมันก็ไม่รู้เช่นกันว่านายท่านจะลงโทษถังหูลู่อย่างไรบ้าง แต่ที่แน่แท้ที่สุดก็คือการไม่ซื้อถังหูลู่ให้ถังหูลู่กินแน่นอน ซึ่งจะเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับนายท่านอีกนั่นแหละ

ถังหูลู่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะมันชอบกินถังหูลู่นี่แหละ ยามนายท่านกลับมามักจะซื้อถังหูลู่มาให้ถังหูลู่กินเสมอ เวลานายท่านจะลงโทษถังหูลู่ก็คือไม่ซื้อถังหูลู่ให้มันกิน นี่เป็นโทษสถานเบา ส่วนโทษสถานกลางก็คือขังมันไว้ในป่า ทำให้มันไม่อาจออกไปวิ่งเล่นได้ ส่วนโทษสถานหนัก ยังไม่เคยมีเพราะนายท่านยังไม่เคยลงโทษถังหูลู่มากไปกว่านี้เลย แต่เรื่องคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าถังหูลู่จะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง

จางอี้ปินพุ่งไปราวดาวตกได้สักพัก เขาก็นึกขึ้นได้ว่า “อ้า! ทำไมข้าไม่ฉีกช่องว่างไปเล่า!?”

เมื่อนึกได้แล้วเขาก็ฉีกช่องว่างทันที

ท้องฟ้าพลันฉีกออกเป็นรอยแยก เขาพุ่งเข้าไปในรอยแยกนั้นพร้อมกับร่างอวบอ้วนของจ้าวเป่าฉินซึ่งสลบไสลไม่ได้สติ อีกทั้งขานางยังหักอีกด้วย หากนางแค่สลบไปเขาคงไม่รีบร้อนถึงเพียงนี้หรอก แต่เพราะนางขาหักทำให้เขารีบร้อนจนลืมไปว่าการฉีกช่องว่างย่อมไปได้เร็วกว่าการเหินลอยไปเช่นนี้

ณ ท้องฟ้าเหนือสำนักโอสถ ช่องว่างฉีกขาดออก ทำให้ศิษย์ที่เฝ้ายามอยู่เงยหน้ามองขึ้นไป แล้วเขาก็เห็นคนๆ หนึ่งก้าวออกมาจากช่องว่างช่องนั้น “หือ?”

จางอี้ปินก้าวออกไป ตามด้วยร่างของจ้าวเป่าฉิน

“ผู้มาคือใคร?” ศิษย์สำนักโอสถถามออกไป

“จางอี้ปิน” จางอี้ปินตอบแล้วบอกว่า “ข้าต้องการพบเจ้าสำนักของเจ้า”

“เชิญรอที่ห้องโถงขอรับ ข้าจะให้คนไปรายงานท่านเจ้าสำนักให้ขอรับ” ศิษย์สำนักโอสถบอกอย่างสุภาพแล้วหันไปสั่งศิษย์น้องว่า “เจ้าไปรายงานท่านเจ้าสำนัก”

“ขอรับศิษย์พี่” ศิษย์น้องรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งไปทันที

จางอี้ปินจึงพุ่งไปรอที่ห้องโถงพร้อมกับร่างของจ้าวเป่าฉิน

ศิษย์ที่เฝ้าประตูมองคนๆ นั้นแล้วหันไปมองหน้ามองตากันเอง พวกเขาซุบซิบคุยกันว่า “จางอี้ปินผู้นี้พลังไม่สูง เหตุใดจึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนั้นเล่า?”

“หรือว่าจะเป็นวิชาลับของเขา?” ศิษย์คนหนึ่งคาดเดา

“คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” ศิษย์อีกคนพยักเพยิดเห็นด้วย

“เจ้าสองคนยังอ่อนด้อยนัก จางอี้ปินผู้นี้เป็นเทพชั้นสูง มีแต่เทพชั้นสูงจึงจะฉีกช่องว่างไปมาตามใจเช่นนี้ได้” ศิษย์พี่ตำหนิเล็กน้อยแล้วอธิบายให้ศิษย์น้องทั้งหลายฟัง

“อ่อ” ศิษย์น้องกลุ่มนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจ

พวกเขาล้วนเป็นเทพใหม่ที่เพิ่งขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง และเพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นานจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวมากนัก วันนี้ถูกใช้ให้มาเฝ้ายามที่ประตู พวกเขาก็มาทำหน้าที่ตามคำสั่งเท่านั้น

จางอี้ปินไปถึงห้องโถงในไม่กี่อึดใจ เขาพุ่งผ่านไปราวลมพายุหอบหนึ่งทำให้ศิษย์ของสำนักโอสถที่เดินไปเดินมามองไม่ทัน พวกเขาถูกลมพัดผ่านวูบหนึ่งแล้วลมหอบนั้นก็จากไปแล้ว ทำให้ศิษย์ทั้งหลายล้วนคิดว่าเป็นเพียงลมหอบหนึ่งเท่านั้น

จางอี้ปินวางจ้าวเป่าฉินบนตั่งยาว แล้วนั่งลงรอคอย

ศิษย์ที่ดูแลห้องโถงเห็นมีแขกมาจึงยกน้ำชาไปต้อนรับ เขาวางน้ำชา ขนมและผลไม้ให้แขกแล้วก็ถอยไป

จางอี้ปินไม่แตะต้องน้ำชา ขนมและผลไม้พวกนั้นเลย เขามองไปที่ทางเข้าห้องโถง รอคอยเจ้าสำนักฯ มาพบ

เจ้าสำนักโอสถรับรู้ว่ามีแขกมาพบจึงออกไปพบแขก เมื่อได้เห็นหน้าแขกที่มาพบเขาก็รีบกุมมือคารวะ “ท่าน…”

“เกอเกอ*” จางอี้ปินพูดสองคำ (เกอเกอ 哥哥 แปลว่าพี่ชาย)

ทำให้เจ้าสำนักโอสถซึ่งกำลังจะพูดออกมาชะงักไปอึดใจหนึ่ง แล้วเขาก็พูดว่า “เกอเกอ”

เขารีบเดินไปหาจางอี้ปิน กำลังจะอ้าปากถาม จางอี้ปินก็ชิงบอกเสียก่อนว่า “ข้าพานางมาให้ท่านช่วยรักษา” นิ้วชี้ไปที่จ้าวเป่าฉิน

เจ้าสำนักโอสถมองตาม เขาเห็นสตรีอ้วนนางหนึ่งนอนอยู่บนตั่งตัวใหญ่ แต่บัดนี้ดูเล็กไปเมื่ออยู่ใต้ร่างสตรีอ้วนนางนี้ เขารีบเดินไปดูนางทันที จับมือนางพลิกให้หงายข้อมือแล้ววางนิ้วแตะจุดชีพจรของนาง เขาแตะอยู่พักหนึ่ง หัวคิ้วพลันขมวด พูดสองคำ “ครึ่งเทพ”

เขาดึงมือกลับแล้วขยับไปจัดการขาที่หักของนางทันที เขาจับขานางแล้วจัดกระดูกให้เข้าที่ กรึบๆ

จากนั้นเขาก็ขยับไปเอาโอสถเม็ดหนึ่งใส่ปากนางแล้วหันไปบอกจางอี้ปินว่า “ข้าจัดกระดูกให้นางแล้ว และให้โอสถระดับมนุษย์แก่นาง ไม่อาจใช้โอสถระดับเทพกับนางได้เพราะฤทธิ์รุนแรงเกินไปร่างกายนางย่อมทนฤทธิ์โอสถระดับเทพไม่ได้แน่”

“อืม” จางอี้ปินพยักหน้าแล้วพูดขอบคุณ “ขอบใจท่านมาก”

“นางคือ?” เจ้าสำนักโอสถถามอย่างอยากรู้

“นางคือครึ่งเทพที่ข้าเจอแถวชายแดน เกือบจะถูกเจ้าตัวตะกละกินแล้ว” จางอี้ปินอธิบายสั้นๆ

“อ่อ” เจ้าสำนักโอสถพยักหน้ารับรู้แล้วบ่นอย่างเสียดายว่า “เถากลืนจิตเถานั่นก็เติบใหญ่ถึงขนาดนั้นแล้ว หากนำมาตุ๋นกินย่อมเพิ่มพูนพลังไม่น้อยทีเดียว”

“ข้าตุ๋นมันไม่ลง” จางอี้ปินพูดแค่นั้น

เจ้าสำนักโอสถก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเถากลืนจิตอีก

“เมื่อท่านรักษานางแล้วข้าก็กลับล่ะ” จางอี้ปินบอกแล้วเอาถุงหยกปราณสวรรค์ออกมาวางไว้บนโต๊ะเป็นค่ารักษา แล้วเขาก็ใช้พลังทำให้จ้าวเป่าฉินลอยขึ้น

“เดี๋ยวก่อนเกอเกอ” เจ้าสำนักโอสถรีบเรียก

จางอี้ปินชะงักหันไปมองเจ้าสำนักโอสถ

เจ้าสำนักโอสถรีบเอาขวดโอสถออกมาแล้วยื่นให้จางอี้ปิน “นี่เป็นโอสถระดับมนุษย์ ท่านให้นางกินครั้งละ 1 เม็ด 3 เวลาต่อวันจะช่วยให้นางหายปวดได้ ส่วนนี่เป็นโอสถสมานกระดูกระดับมนุษย์เช่นกัน ท่านให้นางกินวันละ 2 เม็ดเช้าเย็นจะช่วยให้กระดูกของนางสมานกันเร็วขึ้น”

“อ่อ” จางอี้ปินรับขวดโอสถมา “ขอบใจ”

เขาเก็บขวดโอสถไปแล้วเดินจากไปทันทีพร้อมกับร่างของจ้าวเป่าฉินที่ลอยตามหลังไป

เจ้าสำนักโอสถมองตามจนคนลับตาไปแล้วเขาจึงกลับไปที่เรือนของเขา

ตอนแรกที่ได้ยินศิษย์รายงายว่า ‘จางอี้ปิน’ มาพบ เขาคิดว่าคงเป็นเทพสักคนที่ไม่สลักสำคัญอะไรกระมัง จึงมาพบตามมารยาทเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นว่า ‘จางอี้ปิน’ ที่มาพบคือใครเขาก็ตกใจมาก เพราะคนผู้นี้น้อยนักที่จะออกจากบ้าน เรียกได้ว่าเขาแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเหมือนตี้จวินเข้าไปทุกทีแล้ว

พวกศิษย์ที่เฝ้าอยู่ที่ห้องโถงล้วนมองดูท่าทางท่านเจ้าสำนักฯ ที่อ่อนน้อมต่อแขกยิ่งนัก พวกเขาจึงพยายามจดจำแขกท่านนี้ให้แม่นยำ ครั้งหน้าหากแขกท่านนี้มาอีก พวกเขาจะได้ไม่เผลอล่วงเกินอะไรเข้า ก็แขกที่ทำให้ท่านเจ้าสำนักฯ อ่อนน้อมได้มีน้อยมาก ทั่วทั้งแดนเทพนับๆ ดูแล้วมีไม่ถึง 10 คนกระมัง

จางอี้ปินออกจากห้องโถงถึงประตูหน้าในเวลาไม่กี่อึดใจ แล้วเขาก็ฉีกช่องว่างกลับไป

เหล่าศิษย์ที่เฝ้าประตูล้วนมองท่านเทพชั้นสูงผู้นั้นฉีกช่องว่างจากไปอย่างอิจฉาอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาจะกลายเป็นเทพชั้นสูงนะ คิดๆ แล้วคงอีกหลายร้อยปีเลยกระมัง ไม่ซิ ต้องบอกว่าหลายพันปีต่างหาก บางทีอาจจะหลายหมื่นปีเลยก็ได้ เฮ้อ…

เมื่อจางอี้ปินกลับไปถึง เขาก็พาจ้าวเป่าฉินไปนอนที่เตียงในเรือนของนาง แล้ววางขวดโอสถสองขวดไว้บนโต๊ะ เขามองหาเจ้าตัวตะกละ สักพักเขาก็เห็นมันเดินออกมาจากชายป่า ตามหลังมันมาคือถังหูลู่ เขาจึงเดินออกจากเรือนไปหาเจ้าตัวตะกละกับเจ้าถังหูลู่

เถากลืนจิตเห็นนายท่าน มันรีบวางท่อนไม้ที่เพิ่งตัดมาทิ้งลงกับพื้นแล้วรีบวิ่งไปหานายท่านทันที “นายท่าน! ท่านกลับมาแล้ว”

“อืม” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่งแล้วมองถังหูลู่

ถังหูลู่ถูกมอง มันทำหูลู่ตกอย่างรู้ความผิด มันปล่อยท่อนไม้ที่คาบอยู่ในปากลงแล้วเดินไปนั่งหมอบตรงหน้านายท่าน

จางอี้ปินมองมันอย่างเฉยชามาก

ถังหูลู่ยิ่งใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ มันกลัวว่านายท่านจะลงโทษมันรุนแรงมากกว่าที่เคยถูกลงทัณฑ์

“รอให้นางฟื้นแล้วค่อยให้นางตัดสินโทษทัณฑ์ของเจ้าเถอะ นางเป็นเจ้าทุกข์ไม่ใช่ข้า” จางอี้ปินพูดอย่างเฉยชาแล้วหมุนตัวเดินจากไป

ถังหูลู่งุนงง มันมองนายท่านอย่างงงๆ แล้วกะพริบตาปริบๆ มันหันไปมองเถากลืนจิต

เถากลืนจิตมองตอบอย่างงงๆ เช่นกัน

“นายท่านหมายความว่าอย่างไร?” ถังหูลู่ถามอย่างมึนงง

Chapter 7

หุ่นเชิด

“ก็หมายความว่าโทษของเจ้ารอให้สตรีอ้วนผู้นั้นเป็นผู้ตัดสินน่ะซิ” เถากลืนจิตพูดแล้วยกเถาตบไหล่ถังหูลู่ “ข้าว่าเจ้าต้องเอาอกเอาใจนางเสียแล้ว นางจะได้ไม่ลงทัณฑ์เจ้าหนักๆ”

“…” ถังหูลู่อ้าปากค้างอย่างโง่งมแล้ว จะให้ข้าเอาใจสตรีนางหนึ่งงั้นรึ!?

มันคิดไปต่างๆ นานา แล้ว จะทำอย่างไรให้นางไม่เอาโทษมัน? ยอมเป็นสัตว์พาหนะให้นางรึ? ไม่ๆๆๆ ข้าไม่ยอมให้ใครขี่ข้าหรอกนะ ยิ่งเป็นสตรีด้วยแล้วไม่มีทางเด็ดขาด! หรือจะให้ข้าวิ่งเล่นเป็นเพื่อนนาง? หรือจะให้ข้าตักน้ำ ต้มน้ำ ชงชาเหมือนหลิงเฟยตัวตะกละ? ฯลฯ

เถากลืนจิตเดินไปหยิบท่อนไม้มาแล้วเดินไป มันหันไปมองถังหูลู่ที่ยืนครุ่นคิดหนัก “นี่ๆ ยังไม่รีบเอาท่อนไม้ตามข้ามาอีก”

ถังหูลู่จึงหยุดความคิดทั้งมวลไว้แล้วคาบท่อนไม้ขึ้นมา เดินตามเถากลืนจิตไป

จ้าวเป่าฉินลืมตาตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดก็พุ่งขึ้นมาทันที ทำเธอร้อง “โอย…”

เธอหันไปมองรอบๆ ตัว เห็นว่าตัวเองนอนอยู่ในบ้าน เธอลุกพรวดทันที พร้อมกับร้องออกมาอีกครั้ง “โอย…”

เธอมองๆ แล้วคิดอย่างงงๆ “นี่ฉันกลับมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? หรือว่าที่ฉันเห็นคือความฝัน?”

เธอขยับขา พลันร้องอีกครั้ง “โอย…”

เธอมองขาตัวเองซึ่งบวมเป่งจนเนื้อจะปริได้แล้ว เธอหวนนึกไปถึงตอนนั้น ตอนที่เธอถูกเหยียบจนขาหัก “ไม่ใช่ความฝัน!”

ถ้างั้นเธอรอดมาได้ยังไง?

เธอคิดๆ คิดไปคิดมา คิดมาคิดไป คิดหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่ได้คำตอบ

“อ่อ เจ้าฟื้นแล้วรึ”

จ้าวเป่าฉินหันไปมอง ก็เห็นจางอี้ปินยืนอยู่หน้าประตูบ้าน

“ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” จางอี้ปินถาม

จ้าวเป่าฉินคิดๆ แล้วตอบออกไป “เชิญค่ะ”

“เชิญเจ้าค่ะ” จางอี้ปินสอนแล้วเดินเข้าไปหานางถึงเตียง

จ้าวเป่าฉินมองเขากำลังจะอ้าปากถาม แต่เขาชิงพูดก่อนว่า “เจ้าคงจะเจ็บมาก เช่นนั้นก็กินโอสถก่อนเถอะ”

เขาหยิบขวดโอสถขึ้นมาแล้วเปิดจุกเทโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง ยื่นไปตรงหน้านาง

จ้าวเป่าฉินมองยาหรือที่เขาเรียกว่าโอสถ ยาเม็ดนี้มีลักษณะกลมๆ เหมือนยาลูกกลอนแต่กลมเกลี้ยงจนเหมือนลูกแก้วที่เด็กๆ เอาไว้ดีดเล่นนั่นแหละ อีกทั้งยังมีสีเหลือบรุ้งคล้ายไข่มุก แต่เป็นไข่มุกสีดำๆ เธอชี้ที่ยาเม็ดนั้นแล้วมองหน้าเขา “ไอ้นี่กินได้เหรอ?”

“กินได้ซิ นี่คือโอสถแก้ปวด เจ้าต้องกินครั้งละ 1 เม็ด กินวันละ 3 ครั้ง” จางอี้ปินบอกอย่างปราณี

จ้าวเป่าฉินจึงยื่นมือไปหยิบโอสถเม็ดนั้นมา แล้วกลั้นใจกินลงไป เธอคิดว่ามันต้องขมปี๋แน่ๆ แต่ยังไม่ทันรู้รส โอสถเม็ดนั้นก็ไหลลงคอไปแล้ว คล้ายกับมันละลายไหลลงคอไปอย่างง่ายดายมาก ทำเธอแปลกใจ

“ส่วนขวดนี้เป็นโอสถสมานกระดูก เจ้ากินครั้งละ 1 เม็ด เช้าเย็น จะช่วยให้กระดูกเจ้าสมานตัวได้เร็วขึ้น” จางอี้ปินชี้ไปที่โอสถอีกขวด

จ้าวเป่าฉินมองขวดสีขาวทึบคล้ายขวดกระเบื้องเคลือบ แต่ไม่ใช่กระเบื้อง ขวดนี้ทำจากหยกขาวเนื้อขุ่น

ส่วนขวดที่ใส่โอสถแก้ปวดเป็นสีเขียวอ่อนๆ เธอมองขวดทั้งสองแล้วจำว่าในขวดใส่ยาอะไรไว้จะได้ไม่กินผิด เธอมองแล้วคิดๆ ทำไมไม่เขียนแปะไปเลยล่ะว่าเป็นยาอะไรจะได้ไม่ต้องจำ คิดแล้วเธอก็พูดโพล่งออกไปทันที “ทำไมไม่เขียนติดขวดไปเลยล่ะว่าแต่ละขวดเป็นยาอะไร?”

“อ่อ” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่ง แล้วเขาก็สลักบนขวดในมือว่า ‘โอสถแก้ปวด’

เมื่อสลักเสร็จแล้วเขาก็วางไว้ข้างหมอน จากนั้นก็ยื่นมือไป ขวดโอสถบนโต๊ะก็ลอยหวือมาเข้ามือเขา

จ้าวเป่าฉินมองแล้วอ้าปากค้าง

จางอี้ปินสลักบนขวดอีกใบว่า ‘โอสถสมานกระดูก’

เมื่อสลักเสร็จแล้วเขาก็วางไว้ข้างหมอน

จ้าวเป่าฉินมองตามแล้วหยิบมาดู เธอเห็นอักขระสวยงามแถวหนึ่งบนขวด เธอลูบผ่านอักขระแถวนั้นแล้วรู้ว่านี่ไม่ใช่การเขียนลงไป แต่เป็นการแกะสลักลงไป เธอมองเขาอย่างอึ้งๆ มือเขาช่างมหัศจรรย์มาก!

“ฉันอยากมีพลังวิเศษเหมือนคุณจัง” เธอพูดออกไปอย่างที่ใจคิด

“เจ้าต้องบอกว่า ‘ข้าอยากมีพลังเทพสูงเท่าท่านยิ่งนัก’ เจ้าน่ะต้องฝึกพูดให้คล่องๆ ยามออกไปข้างนอกจะได้ไม่ถูกผู้อื่นรังแก” จางอี้ปินสอนนาง

“อ่อ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้า

“น่าเสียดายที่เจ้าเป็นครึ่งเทพ ไม่อาจใช้โอสถระดับเทพได้ จึงกินได้แต่โอสถระดับมนุษย์ ไม่เช่นนั้นป่านนี้ขาเจ้าก็หายดีแล้ว ไม่ต้องทนเจ็บปวดเช่นนี้หรอก” จางอี้ปินพูดอย่างเสียดายแทนนาง

“หือ? โอสถระดับเทพ โอสถระดับมนุษย์” จ้าวเป่าฉินทวนคำที่จับใจความได้จากคำพูดของเขา

“โอสถระดับเทพก็คือโอสถที่เทพใช้กัน ส่วนโอสถระดับมนุษย์คือโอสถที่มนุษย์ใช้กัน ทั้งสองนี้ต่างกันตรงที่ฤทธิ์ของโอสถระดับเทพรุนแรงกว่าโอสถระดับมนุษย์มาก มนุษย์ไม่อาจใช้โอสถระดับเทพได้เพราะฤทธิ์ของโอสถรุนแรงเกินไป หากฝืนกินเข้าไปอาจจะตายได้เลยก็เป็นได้ ส่วนเทพหากกินโอสถระดับมนุษย์ ผลการรักษานั้นแทบจะไม่ได้ผลอะไรเลย” จางอี้ปินอธิบายให้ฟัง

“อ่อ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับรู้ “งั้นถ้ามนุษย์จะกินโอสถเทพก็น่าจะแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ ซิ แล้วกินทีละนิดก็น่าจะได้นี่นา”

“แบ่งโอสถงั้นรึ? เจ้าช่างคิดเสียจริง แต่หากแบ่งออกไปก็ทำให้โอสถเสียสรรพคุณน่ะซิ โอสถบางชนิดใช้สมุนไพรชนิดเดียวหลอมย่อมแบ่งได้อย่างที่เจ้าพูดมา แต่โอสถบางชนิดใช้สมุนไพรหลายชนิดหลอมเข้าด้วยกัน หากแบ่งโอสถเป็นส่วนย่อยๆ เช่นที่เจ้าว่า เจ้าแบ่งออกไปย่อมทำให้โอสถเสียสรรพคุณไปน่ะซิเพราะสมุนไพรเหล่านั้นต้องกินพร้อมกันในทีเดียวจึงจะหนุนส่งเสริมฤทธิ์ของโอสถชนิดนั้น” จางอี้ปินยิ้มบางๆ ในความช่างคิดของนาง

“อ่อ แบ่งไม่ได้งั้นเหรอ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับรู้ เธอคิดว่ามันก็น่าจะเหมือนยาในโลกของเธอที่สามารถแบ่งครึ่งเม็ดได้ เด็กกินครึ่งเม็ด ผู้ใหญ่กินหนึ่งเม็ดอะไรประมาณนั้นซะอีก

เธอคิดแล้วพลันรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา แต่จะให้เขาพาเธอไปเข้าห้องน้ำเธอก็อายๆ นะ

จางอี้ปินเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของนางจึงถาม “เจ้าเป็นอะไร? หรือว่ายังปวดขา?”

จ้าวเป่าฉินรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ปวดขา”

เธอกล้าไม่พูดต่อ แต่เธอก็กลั้นจนจะทนไม่ไหวแล้ว ดังนั้นเธอจึงบอกเขาหน้าแดงๆ ว่า “คือฉัน…คือว่า…คือ…”

“เจ้าจะพูดอะไรก็พูดมา อย่ามัวอึกๆ อักๆ อยู่ข้าไม่ชอบ” จางอี้ปินพูดคล้ายดุ

จ้าวเป่าฉินจึงกลั้นใจพูดออกมา “คือฉันปวดฉี่”

“ปวดฉี่? คืออะไรรึ?” จางอี้ปินไม่เข้าใจความหมาย

จ้าวเป่าฉินจึงบอกว่า “ปวดปัสสาวะน่ะ”

“ปวดปัสสาวะ?” จางอี้ปินก็ยังไม่เข้าใจความหมาย

จ้าวเป่าฉินเห็นเขายังไม่เข้าใจ เธอจึงกลั้นใจพูดคำที่ไม่ค่อยสุภาพออกไป “ปวดเยี่ยวน่ะ”

พูดออกไปแล้วเธอก็หน้าแดงแปร๊ด

“ปวดเยี่ยว?” จางอี้ปินก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

จ้าวเป่าฉินเห็นเขายังไม่เข้าใจ เธอจึงคิดๆ คิดแล้วคิดอีกว่าคำศัพท์ของที่นี่ที่มีความหมายว่าปวดฉี่คือคำว่าอะไร จนในที่สุดเธอก็นึกขึ้นมาได้ “ถ่ายเบา”

“อ่อ” จางอี้ปินเข้าใจความหมายทันที “เจ้าอยากถ่ายเบา”

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าหงึกๆ ในที่สุดก็เข้าใจตรงกันได้ซะที เธอปวดจะแย่แล้ว แต่เธอก็ลุกไม่ไหว แค่ขยับขาก็เจ็บจนน้ำตาเล็ดแล้ว

จางอี้ปินคิดๆ แล้วก็ไม่ค่อยเหมาะนักถ้าจะให้เขาพานางไปเข้าส้วม ดังนั้นเขาจึงเดินออกไปเรียก “เจ้าตัวตะกละ”

“เจ้าคะ” เถากลืนจิตส่งเสียงขานรับพลางวิ่งไปหานายท่านทันที

เมื่อเถากลืนจิตมาแล้วจางอี้ปินจึงสั่งว่า “นางอยากเข้าส้วม เจ้าพานางไปที”

“หา!” เถากลืนจิตปากอ้าตาค้าง มันยกเถาชี้ตัวเอง “ข้า!”

แล้วมองจ้าวเป่าฉิน จากนั้นมันหันไปมองนายท่านแล้วส่ายหน้า “ไม่ๆ ข้าไม่ทำนะนายท่าน ท่านใช้คนอื่นเถอะ”

มันพูดแล้วก็รีบวิ่งหนีไปทันที มันหนีไวจนฝุ่นตลบเลยทีเดียว

จางอี้ปินถอนหายใจทีหนึ่ง ถึงเถากลืนจิตจะเป็นสตรีเหมือนกันกับจ้าวเป่าฉิน แต่มันก็ไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่จะคอยทำทุกอย่างตามที่เจ้านายสั่ง มันปฏิเสธคำสั่งของเขาในข้อนี้เขาก็เข้าใจได้

เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? เขาคิดๆ แล้วจึงเอาหุ่นไม้ออกมาสองตัวแล้วโยนออกไปบนพื้น เขาใส่พลังเข้าไปในหุ่นไม้สองตัวนั้น พลัน! หุ่นไม้ก็ขยายใหญ่ขึ้น ขยายใหญ่จนมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขา แต่รูปร่างเป็นสตรีสองนาง รูปร่างบึกบึนพอที่จะยกตัวจ้าวเป่าฉินได้อย่างสบาย

“นายท่าน” สตรีทั้งสองเอ่ยปากพูดประโยคแรก ดวงตาก็มองนายท่าน

“พวกเจ้าเข้าไปคอยรับใช้จ้าวเป่าฉินให้ดี” จางอี้ปินสั่งแล้วชี้นิ้วไปด้านหลัง

“เจ้าค่ะ” สตรีร่างใหญ่ทั้งสองรับคำสั่งอย่างว่าง่าย

จางอี้ปินจึงเดินกลับเรือนไปทันที

สตรีทั้งสองจึงเดินเข้าไปในเรือน พวกนางเดินไปหาจ้าวเป่าฉินแล้วเรียกขานว่า “แม่นาง”

จ้าวเป่าฉินไม่ทันเห็นว่าสตรีทั้งสองนี้เกิดมาได้ยังไง ได้ยินแต่ที่จางอี้ปินสั่งจึงคิดว่าทั้งสองคนนี้คงเป็นคนรับใช้ล่ะมั้ง ในเมื่อเป็นคนรับใช้ อีกทั้งเป็นผู้หญิงเหมือนกับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนเกรงใจแล้ว เธอจึงสั่งทั้งสองทันที “ฉันอยากถ่ายเบา”

“เจ้าค่ะ” สตรีทั้งสองรับคำสั่ง แล้วทั้งสองก็มองหากระโถน แล้วก็เจอกระโถนวางอยู่ริมห้อง

สตรีนางหนึ่งจึงเดินไปหยิบกระโถนมาให้ นางวางกระโถนบนเตียงข้างๆ สตรีอ้วน

จ้าวเป่าฉินมองกระโถนทองใบนั้นแล้วทำหน้าเสียดายมาก ก็กระโถนสวยๆ แบบนี้จะเอามาให้เธอฉี่ลงไปเหรอ?

แต่ตอนนี้เธอก็ปวดจนจะกลั้นไม่ไหวแล้ว ดังนั้นให้เธอฉี่ใส่กระโถนทองเธอก็ต้องฉี่ล่ะ

เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับร้องออกมา “โอย…”

“คุณ ช่วยพยุงฉันหน่อยค่ะ” เธอกวักมือเรียกผู้หญิงคนหนึ่ง

สตรีที่ถูกเรียกจึงเดินไปชิดเตียงแล้วก้าวขึ้นไปบนเตียง ช่วยจับสตรีอ้วนลุกขึ้น

จ้าวเป่าฉินถูกพยุงขึ้นดั่งกระสอบนุ่นที่เบายิ่ง เธอหันไปมองผู้หญิงที่ช่วยพยุงตัวเองแล้วพูดออกมา “คุณแรงเยอะจัง”

ก็ตัวเธอหนักเกือบ 200 โล แต่ผู้หญิงข้างหลังเธอสามารถยกตัวเธอได้เหมือนตัวเธอไม่ได้หนักอะไรเลย

สตรีนางนั้นไม่พูดอะไรสักคำ

จ้าวเป่าฉินจึงพยายามเอื้อมมือไปจะถอดกางเกงออก แต่ก็เอื้อมไม่ถึงเพราะติดมือของผู้หญิงข้างหลังที่ล็อคตรงรักแร้ทั้งสองข้างช่วยพยุงตัวเธออยู่ เธอเห็นว่าตัวเองคงไม่สามารถถอดกางเกงได้จึงหันไปขอแรงผู้หญิงอีกคนอย่างเขินๆ “คุณคะ ช่วยถอดกางเกงให้ฉันหน่อยได้ไหม?”

“เจ้าค่ะ” สตรีอีกนางรับคำสั่งแล้วก้าวไปช่วยถอดกางเกงลง นางดึงกางเกงลงไปพรึด!

จ้าวเป่าฉินอายจนหน้าแดงแล้วแดงอีก ก็เธอไม่เคยต้องให้ใครช่วยอะไรแบบนี้เลยนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ

ผู้หญิงคนนั้นก็มีสีหน้าเฉยมาก เฉยจนจ้าวเป่าฉินรู้สึกอายน้อยลง

กางเกงก็ถอดออกไปแล้ว แต่กระโถนยังไม่ได้วางตรงตำแหน่ง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยืนเฉยไม่ทำอะไร เธอปวดจนจะกลั้นไม่ไหวแล้วจึงตัดสินใจวานผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งว่า “คุณๆ ช่วยเอากระโถนวางไว้ใต้ก้นทีค่ะ”

“เจ้าค่ะ” สตรีนางนั้นรับคำสั่งแล้วจึงเอากระโถนวางไว้ใต้ก้น

จ้าวเป่าฉินแทบจะราดแล้วจึงไม่องไม่อายอะไรแล้ว ขยับๆ ก้นนั่งให้เข้าที่เข้าทางแล้วฉี่ทันที

เหมือนสวรรค์ทรงโปรดจริงๆ หลังจากที่ได้ฉี่แล้ว

ผู้หญิงทั้งสองคนก็ทำตามคำสั่งสีหน้าเฉยมาก เฉยจนจ้าวเป่าฉินรู้สึกว่าทั้งสองคนเหมือนไม่มีสมองงั้นแหละ เธอมองผู้หญิงที่อยู่ข้างเตียงแล้ววานอีกครั้ง “คุณ ช่วยเอากระโถนออกที”

“เจ้าค่ะ” สตรีนางนั้นทำตามคำสั่ง หยิบกระโถนออกไปวางไว้ข้างเตียงแล้วก็ยืนเฉยเหมือนหุ่นไม้ตัวหนึ่ง

จ้าวเป่าฉินมองผู้หญิงคนนั้นแล้วคิดๆ เธอคิดว่าผู้หญิงคนนี้ใช่คนจริงๆ รึเปล่า? ก็ท่าทางนิ่งมาก นิ่งจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนแต่เป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง เธอลองวานอีกครั้ง “คุณๆ ช่วยใส่กางเกงให้หน่อยค่ะ”

“เจ้าค่ะ” สตรีนางนั้นขยับเข้าไปทำตามคำสั่ง สีหน้าเฉย เรียบนิ่งไร้อารมณ์ใดๆ บนใบหน้า จับกางเกงดึงขึ้นไปแล้วถอยไปยืนข้างเตียงหน้านิ่งเฉยดังเดิม

“ขอบคุณค่ะ” จ้าวเป่าฉินพูดแล้วหันไปบอกผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังว่า “คุณๆ ปล่อยฉันลงได้แล้ว”

สตรีที่อยู่ข้างหลังก็ปล่อยสตรีอ้วนลงพรืด แล้วเดินลงจากเตียงไปยืนข้างๆ สตรีอีกคน

จ้าวเป่าฉินสูดปากเพราะเจ็บขาทีหนึ่ง เธอมองผู้หญิงทั้งสองคนแล้วคิดว่าทั้งสองคนนี้เหมือนหุ่นยนต์มาก สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เธอมองทั้งสองคนแล้วจับเชือกกางเกงมาผูกให้เรียบร้อยจากนั้นก็ตลบชายเสื้อคลุมปิดให้เรียบร้อย

เมื่อจัดการอาภรณ์เข้าที่เข้าทางดีแล้วจึงหันไปมองผู้หญิงทั้งสองคนนั้นแล้วถามว่า “พวกคุณชื่ออะไรเหรอ?”

“ข้าไม่มีชื่อเจ้าค่ะ” สตรีนางหนึ่งตอบ

“ข้าไม่มีชื่อเจ้าค่ะ” สตรีอีกนางตอบ

“ไม่มีชื่อ” จ้าวเป่าฉินทวนคำ มองทั้งสองอย่างอึ้งๆ งงๆ คนจะไม่มีชื่อได้ไง งั้นจะเรียกกันยังไงล่ะ?

“ถ้างั้นฉันจะเรียกคุณยังไง?” จ้าวเป่าฉินถาม

สตรีทั้งสองยืนนิ่งเฉยไม่ตอบคำถาม

จ้าวเป่าฉินมองๆ แล้วถามอีกครั้ง “จะให้ฉันเรียกพวกคุณยังไงล่ะ? ไม่มีชื่อมันก็เรียกยากนะคะ”

“แม่นางจะเรียกบ่าวอย่างไรก็เชิญแม่นางเรียกขานเถิดเจ้าค่ะ” สตรีนางหนึ่งพูดขึ้นมา

จ้าวเป่าฉินคิดๆ แล้วชี้นิ้วไป “ถ้างั้นฉันเรียกคุณว่า เยี่ยนหรง (艳蓉) ดีไหม?”

“เจ้าค่ะ” เยี่ยนหรงพยักหน้ารับ

“งั้นคุณชื่อ เยี่ยนหลิง (彦玲) ดีไหม?” จ้าวเป่าฉินถามอีกคน

“เจ้าค่ะ” เยี่ยนหลิงพยักหน้ารับ

จ้าวเป่าฉินมองทั้งสองแล้วคิดๆ

“อ้า! นั่นหุ่นเชิดนี่”

จ้าวเป่าฉินหันไปมอง ก็เห็นเถากลืนจิตอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน

เถากลืนจิตเดินเข้ามาพร้อมกับยกชั้นไม้ที่เพิ่งทำเสร็จไปวางไว้ตรงข้างผนังห้องด้านหนึ่ง วางเสร็จแล้วมันก็เดินไปมองหุ่นเชิดสองคนนั้น มันมองๆ ขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ หลายครั้ง

“หุ่นเชิดเหรอ?” จ้าวเป่าฉินถามลอยๆ เธอไม่รู้ว่าหุ่นเชิดคืออะไร

“นายท่านถึงกับมอบหุ่นเชิดให้เจ้าเชียวรึ?” เถากลืนจิตถามคล้ายอิจฉา

จ้าวเป่าฉินจึงถามมันอีกครั้ง “หุ่นเชิดคืออะไร?”

“หุ่นเชิดก็คือหุ่นเชิด เจ้าไม่รู้จักหุ่นเชิดรึ?” เถากลืนจิตถามกลับ

“ไม่รู้จัก” จ้าวเป่าฉินส่ายหน้า ก็เธอไม่รู้จักจริงๆ นี่นา

เถากลืนจิตกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลัน! มันชะงักไปเมื่อจำได้ว่าสตรีอ้วนเป็นครึ่งเทพ ย่อมไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรมากนัก เรียกได้ว่าไร้ความรู้นั่นแหละ มันจึงยิ้มอย่างเหนือกว่าออกมา “เอาเถอะๆ เจ้าไม่รู้ก็ไม่ผิดนี่นะ”

จ้าวเป่าฉินเห็นท่าทางมันเช่นนั้นจึงยกยอมันเสียหน่อย “เช่นนั้นผู้ที่รู้มากอย่างพี่เถาก็ช่วยบอกให้ฉันหายโง่หน่อยซิ”

“วะ! พี่เถาอะไรของเจ้า เรียกได้น่าเกลียดยิ่ง” เถากลืนจิตสถบออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ข้าชื่อจางหลิงเฟย เจ้าควรจะเรียกข้าว่าพี่เฟยซิ”

“ได้ๆ พี่เฟย งั้นพี่เฟยก็ช่วยบอกน้องผู้โง่เง่าหน่อยเถอะว่าหุ่นเชิดคืออะไร?” จ้าวเป่าฉินยกยอมันอีกครั้ง

เถากลืนจิตยิ้มอย่างชอบใจแล้วอธิบายว่า “หุ่นเชิดก็คือหุ่นเชิดที่นายท่านสร้างขึ้นมาอย่างไรล่ะ พวกมันทำตามคำสั่งดีมาก แต่พวกมันไม่ค่อยฉลาดหรอก เจ้าสั่งมันอย่างไรมันก็ทำตามคำสั่งเจ้าอย่างนั้นแหละ”

“อ่อ” จ้าวเป่าฉินเริ่มเข้าใจหุ่นเชิดขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว น่าจะคล้ายๆ กับหุ่นยนต์ซินะ

Chapter 8

สัตว์เลี้ยงตัวใหม่

เถากลืนจิตมองดูจ้าวเป่าฉินขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ สองรอบแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองหูลู่ดีไหม?”

“หูลู่?” จ้าวเป่าฉินเลิกคิ้วขึ้น

ถังหูลู่ค่อยๆ โผล่ดวงตาข้างหนึ่งตรงหน้าต่าง มันมองเข้าไปอย่างรอคอย ก็มันอุตส่าห์ให้เถากลืนจิตไปช่วยพูดให้มัน เพื่อที่สตรีนางนั้นจะได้ไม่ลงโทษลงทัณฑ์อะไรมันมากนัก ยิ่งถ้ายกโทษให้มันได้จะยิ่งยอดเยี่ยมมาก ฮี่ๆๆๆ

“หูลู่ เจ้าออกมาซิ” เถากลืนจิตเรียก

ถังหูลู่จึงค่อยๆ โผล่หน้าออกไปทีละนิด…ทีละนิด

เถากลืนจิตมองไปที่หน้าต่าง พยักเพยิดหน้า “นั่นไง หูลู่”

จ้าวเป่าฉินมองที่หน้าต่าง เธอเห็นดวงตาดวงใหญ่กว่าลูกฟุตบอล กับขนสีส้มเหมือนสีของดวงตะวันตกดินตอนหน้าหนาว แล้วเธอก็เห็นมันค่อยๆ เคลื่อนออกมาจนเห็นทั้งหน้า เธอเบิกตาโต อ้าปากค้าง ตัวกระถดไปจนติดหัวเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจจะรู้ได้ ใจเต้นตึกๆ ยิ่งกว่าตีกลองแล้ว

เถากลืนจิตมองจ้าวเป่าฉิน “ไม่ต้องกลัว มันไม่กล้าทำอะไรเจ้าแล้ว”

“มะ…ไม่…กะ…กล้า…แน่นะ” จ้าวเป่าฉินพูดตะกุกตะกักอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เธอกลัวจริงๆ ความรู้สึกตอนนั้นยังฝังใจไม่อาจลบเลือนได้ในเร็ววัน

“ไม่กล้าแล้ว มันรู้แล้วว่าเจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของนายท่านมันย่อมไม่กล้ากินเจ้าแล้ว” เถากลืนจิตพูดอย่างผู้ทรงภูมิ ท่าทางเลียนอย่างนายท่านไม่ผิดเพี้ยน

“สัตว์เลี้ยง!” จ้าวเป่าฉินเสียงสูงปรี๊ดขึ้นมาทันที เธอหันขวับไปจ้องเถากลืนจิต เฟ้ย! ฉันเป็นคนนะ!

“ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ!” เธอเถียงออกไปเสียงดังลั่น

ถังหูลู่กะพริบตาปริบๆ มองสตรีอ้วนกับเถากลืนจิต แล้วเบนสายตากลับไปมองสตรีอ้วนอีกครั้ง “เจ้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของนายท่าน เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไร? นายหญิงรึ?”

“เพ้ยๆๆๆ นายหญิงมารดาเจ้าซิ!” เถากลืนจิตสถบออกมา มันยื่นเถาไปตีหน้าผากถังหูลู่ทีหนึ่ง

ถังหูลู่เบี่ยงหลบไวยิ่งทำให้เถายืดยาวเส้นนั้นฟาดอากาศอย่างพลาดเป้า

เถากลืนจิตหดเถากลับไปอย่างโมโห

ถังหูลู่โผล่หน้ากลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง “นางไม่ใช่นายหญิง เช่นนั้นนางเป็นอะไรกับนายท่าน?”

“เป็นศิษย์ข้า”

หนึ่งคน หนึ่งเถา หนึ่งเสือ หันไปมองตามเสียงเป็นตาเดียว พวกเขาเห็นจางอี้ปินยืนอยู่ตรงประตูเรือน

จางอี้ปินเดินเข้าไป เขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วมองถังหูลู่กับเถากลืนจิต พูดออกมาอีกครั้งอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “นางเป็นศิษย์ข้า”

“อ๋า!” เถากลืนจิตปากอ้าตาค้างแล้ว

ถังหูลู่มีท่าทีเฉยๆ

จ้าวเป่าฉินอึ้งไป เธอกะพริบตาปริบๆ เรียงลำดับความคิดในสมองอยู่

เถากลืนจิตกะพริบตาปริบๆ แล้วพยายามตั้งสติ “นางเป็นศิษย์ท่าน?”

“อืม” จางอี้ปินส่งเสียงรับอย่างเอื่อยเฉื่อยยิ่ง

“นายท่าน! ท่านรับนางเป็นศิษย์ได้อย่างไร? มีเทพมากความสามารถตั้งมากมายอยากเป็นศิษย์ท่าน มาคุกเข่าขอให้ท่านรับเป็นศิษย์ที่ตีนเขาตั้งหลายพันคน แต่ท่านไม่คิดจะรับพวกเขาเลย แล้วไยท่านจึงรับสตรีนางนี้เป็นศิษย์ท่านล่ะเจ้าคะ? นางเป็นครึ่งเทพนะเจ้าคะ ศิษย์ของท่านก็ควรจะเลือกคนที่เก่งกาจมากความสามารถไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” เถากลืนจิตพูดรัวเร็วออกมาอย่างแตกตื่นตกใจ มุมมองเรื่องรับศิษย์ของนายท่านของมันพังทลายดั่งโลกแตกสลายอย่างไรอย่างนั้น

“ข้ามอบตำราให้นางใช่หรือไม่?” จางอี้ปินย้อนถามเสียงเอื่อยเฉื่อย

“ใช่เจ้าค่ะ” เถากลืนจิตพยักหน้า

“เช่นนั้นนางก็เป็นศิษย์ข้าแล้วไม่ใช่หรือ?” จางอี้ปินถามอีกครั้งน้ำเสียงยังคงเอื่อยเฉื่อยเช่นเดิม

“อ่อ” เถากลืนจิตพยักหน้ารับ ครู่ต่อมามันก็เบิกตากว้าง ปากอ้าตาค้าง “อ๋า!”

มันหันไปมองสตรีอ้วนอย่างตกตะลึงแล้ว ดูอย่างไรสตรีนางนี้ก็ไม่คู่ควรให้นายท่านรับเป็นศิษย์สักนิด

จางอี้ปินหันไปมองถังหูลู่

ถังหูลู่ขนลุกชันขึ้นมาทันทีทันใด มันรีบหดศีรษะลงไปจนเหลือแค่ลูกตาข้างหนึ่งกับข้างแก้มส่วนหนึ่งให้เห็น

“เรื่องโทษทัณฑ์ของเจ้าก็ขึ้นอยู่กับเป่าฉิน เจ้าทำนางขาหัก นางจะหักขาเจ้าหรือให้เจ้าชดใช้คืนด้วยสิ่งใดก็แล้วแต่นาง” จางอี้ปินพูดน้ำเสียงราบเรียบ

ถังหูลู่ฟังแล้วหนาวไปถึงกระดูก มันขนลุกชันแล้วลุกชันอีก มันพูดเสียงอ่อยอย่างขอความเมตตา “นายท่าน”

จางอี้ปินไม่สนใจมันอีก เขาหันไปมองจ้าวเป่าฉิน นิ้วก็ชี้ไปที่หุ่นเชิดทั้งสอง “ข้ามอบหุ่นเชิดสองตัวนี้ให้เจ้า พวกนางจะคอยรับใช้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะสั่งอะไรพวกนางล้วนฟังคำสั่งเจ้าทั้งสิ้น”

“ขอบคุณค่ะ…เอ้ย เจ้าค่ะ” จ้าวเป่าฉินยกมือไหว้

“เจ้าต้องคารวะเช่นนี้” จางอี้ปินกุมมือให้ดู

จ้าวเป่าฉินจึงเปลี่ยนจากไหว้เป็นกุมมือตามอย่างเขา เขาบอกว่าเป็นอาจารย์ก็ถูกแล้ว คนที่สอนสิ่งต่างๆ ให้ก็นับว่าเป็นครูบาอาจารย์ซิ ดังนั้นเธอเป็นลูกศิษย์เขาก็ถูกต้องแล้ว เธอลดมือลงแล้วมองหุ่นเชิด ยังสงสัยคาใจว่าหุ่นเชิดคืออะไร? เป็นคนแบบไหน? คนปัญญาอ่อนที่คอยแต่ทำตามคำสั่งเหรอ? “อาจารย์ หุ่นเชิดคือคนแบบไหนเหรอ?”

“ไม่ใช่คน” จางอี้ปินตอบ เขาขี้เกียจอธิบายให้มากความจึงชี้ไปที่หุ่นเชิดตัวหนึ่ง “เจ้าดู”

จ้าวเป่าฉินมองเยี่ยนหรงที่ถูกชี้ตัว พลัน! เยี่ยนหรงก็ค่อยๆ หดลงไป หดลงจริงๆ นะ หดลงเหมือนกำลังดูหนังอุลต้าแมนฉากที่อุลต้าแมนตัวหดเล็กลงนั่นแหละ เยี่ยนหรงหดเล็กลงจนกลายเป็นหุ่นไม้ตัวหนึ่ง ทำเธออึ้งจนปากอ้าตาค้างไปเลย “โอ…”

“นี่คือหุ่นเชิด” จางอี้ปินบอกแล้วใส่พลังเข้าไปในหุ่นเชิดตัวเดิม มันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นเยี่ยนหรง

“โอ…” จ้าวเป่าฉินเบิกตาโตอีกครั้ง เธอมองเยี่ยนหรงอย่างทึ่งๆ อึ้งๆ มาก

“เข้าใจแล้วนะ?” จางอี้ปินถาม

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าหงึกๆ เหมือนไก่จิกข้าวแล้ว เป็นเทพมันดีแบบนี้เอง ทำอะไรๆ ได้หลายอย่างมาก!

ขณะที่เธอพยักหน้า จู่ๆ ท้องก็ร้องดังจ๊อกกกก—

เถากลืนจิตทำหน้าอับอายแทน

จ้าวเป่าฉินอายจนหน้าแดงๆ

จางอี้ปินกระแอมไอสองที พูดว่า “เจ้าคงหิวแล้ว เช่นนั้นก็ให้เจ้าตัวตะกละไปทำกับข้าวเถอะ”

จ้าวเป่าฉินหันขวับไปมองเถากลืนจิตทันที ให้มันทำกับข้าว! คงกินลงหรอก เธอรีบพูดออกไป “ไม่ต้องๆ ข้าไม่หิว”

“จะไม่หิวได้อย่างไร ท้องเจ้าร้องเสียดังขนาดนี้” เถากลืนจิตพูดแล้วทำหน้าภาคภูมิใจขึ้นมาทันทีทันใด “รอเดี๋ยวนะน้องสาว เดี๋ยวพี่เฟยจะไปทำกับข้าวให้เจ้ากินเอง”

“ไม่ต้องๆ ข้าไปทำเองดีกว่า” จ้าวเป่าฉินรีบโบกมือพัลวัน ให้มันไปทำกับข้าว แล้วเธอกระเดือกไม่ลงก็เสียของแย่ซิ เธอมองเยี่ยนหรง เยี่ยนหลิงแล้วสั่งว่า “พวกเธอสองคนมาอุ้มฉันไปที่ห้องครัวที”

“เจ้าต้องพูดว่า พวกเจ้าสองคนมาอุ้มข้าไปที่ห้องครัวที ต่างหาก” จางอี้ปินสอนน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย

“อ่อๆ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้าแล้วพูดใหม่ว่า “พวกเจ้าสองคนมาอุ้มข้าไปที่ห้องครัวที”

“เจ้าค่ะ” เยี่ยนหรง เยี่ยนหลิงรับคำพร้อมกัน ทั้งสองขยับก้าวขึ้นไปบนเตียงแล้วยืนตรงหว่างขาคนหนึ่ง อีกคนยืนข้างหลัง จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันหามจ้าวเป่าฉินลงจากเตียง

เถากลืนจิตมองอย่างอึ้งๆ “เจ้าจะต้องลำบากไปไย ข้าทำให้ก็ได้”

จ้าวเป่าฉินรีบพูดพร้อมโบกมือ “ไม่ลำบากๆ ฉันทำเองดีกว่า รบกวนพี่เฟยไปทำเฟอร์นิเจอร์ให้ฉันดีกว่า”

“เอาๆ ก็ได้ๆ” เถากลืนจิตพยักหน้ารับ

จางอี้ปินยิ้มจางๆ ที่จ้าวเป่าฉินรู้จักพูดจาถนอมน้ำใจเจ้าตัวตะกละ ไม่พูดออกไปตรงๆ ว่ารสชาติอาหารที่มันทำนั้น ‘กลืนไม่ลง’ ให้มันชงชานั้นพอดื่มได้อยู่บ้าง แต่ฝีมือการทำอาหารของมันกลืนไม่ลงจริงๆ แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจพูดทำลายน้ำใจของมันได้ ก็เห็นสีหน้าของมันตอนที่รอดูเขากินแล้วรอคำชมซิ จะติว่า ‘กลืนไม่ลง’ ออกมาก็กระไรอยู่

“เจ้าไปต่อเครื่องเรือนให้นางเถอะ” เขาบอกมัน แล้วมองถังหูลู่ สั่งว่า “เจ้าก็ไปช่วยเจ้าตัวตะกละด้วย”

“ขอรับนายท่าน” ถังหูลู่รับคำสั่ง

เถากลืนจิตจึงเดินออกไป

ถังหูลู่เดินตามไป

จางอี้ปินมองหนึ่งเถา หนึ่งเสือ แล้วหันไปมองรอบๆ เรือนของศิษย์คนเดียวของเขา ในเรือนยังขาดเครื่องเรือนอีกมาก แต่เดี๋ยวเจ้าตัวตะกละก็ค่อยๆ ต่อให้เอง ส่วนข้าวของอย่างอื่นก็ค่อยๆ ซื้อหาทีหลังได้ เขามองๆ แล้วเดินออกไปนั่งรอที่ศาลา

จ้าวเป่าฉินถูกหามไปจนถึงห้องครัว ระหว่างทางที่ไปห้องครัวเธอก็ต้องบอกทางเยี่ยนหรง เยี่ยนหลิงไปตลอดทาง เพราะหุ่นเชิดทั้งสองคนนี้ก็ไม่รู้ทางเช่นกัน เมื่อไปถึงห้องครัวเธอก็มองๆ วัตถุดิบที่จะใช้ทำอาหาร แล้วชี้มือสั่งเยี่ยนหลิงให้จุดเตาไฟ

ซึ่งเยี่ยนหลิงทำไม่เป็น จ้าวเป่าฉินจึงต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างทีละขั้นตอนอย่างละเอียด

เยี่ยนหลิงมองดูแล้วก็จดจำเอาไว้

เมื่อจุดเตาไฟแล้ว จ้าวเป่าฉินก็สั่งให้เยี่ยนหรงหุงข้าว ซึ่งเยี่ยนหรงก็ทำไม่เป็นอีก ดังนั้นจ้าวเป่าฉินจึงต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างอีกแล้ว ภายในครัวจึงค่อนข้างวุ่นวาย จ้าวเป่าฉินคอยสั่งนั่น นู่น นี่ อย่างละเอียดทีละขั้นตอน

ก็นะ หุ่นเชิดทั้งสองคนนี้ไม่ฉลาดนี่นา จึงต้องค่อยๆ สอนเอาทีละอย่าง…ทีละอย่าง ดังนั้นกว่าจะหุงข้าว ทำกับข้าวเสร็จจึงเสียเวลาไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว

เมื่อทำกับข้าวเสร็จแล้ว เถากลืนจิตก็พุ่งพรวดมาที่หน้าต่าง “หอมมาก”

“กับข้าวเสร็จแล้ว ก็ยกมาที่ศาลานี่เจ้าตัวตะกละ” เสียงจางอี้ปินลอยแว่วมา

เถากลืนจิตจึงรีบสำรวมกริยาขึ้นมาทันทีทันใด มันยื่นเถาไปยกจานอาหารหลายจานแล้วเดินไปที่ศาลาทันที

“พวกเจ้าหามฉันไปที่ศาลาเถอะ” จ้าวเป่าฉินสั่งเยี่ยนหรง เยี่ยนหลิง

“เจ้าค่ะ” ทั้งสองรับคำสั่งแล้วช่วยกันหามจ้าวเป่าฉินออกจากห้องครัว

จ้าวเป่าฉินจึงบอกทางไปศาลากับทั้งสอง ทั้งสองก็หามไปตามทางที่บอก

เมื่อไปถึงศาลา จ้าวเป่าฉินก็นั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม นั่งตรงข้ามกับอาจารย์เหมือนเช่นเดิม

“หูลู่” จางอี้ปินส่งเสียงเรียกออกไป

ถังหูลู่ได้ยินเสียงเรียกจึงคำรามรับ “กรร—”

มันรีบวิ่งไปตามเสียงเรียกทันที

เมื่อไปถึงศาลามันก็เห็นนายท่านนั่งอยู่ สตรีอ้วนนั่งอยู่ เจ้าเถาตะกละก็อยู่ข้างๆ นายท่าน ส่วนหุ่นเชิดทั้งสองก็ยืนอยู่ข้างหลังสตรีอ้วน

“มากินข้าวด้วยกัน” จางอี้ปินสั่ง

ถังหูลู่จึงค่อยๆ เดินฝีเท้าเบายิ่งเข้าไปในศาลา แล้วนั่งลงกับพื้นอยู่ข้างๆ นายท่านอีกด้าน

จางอี้ปินเอากับข้าวจานหนึ่งโป๊ะใส่ชามข้าว แล้วใช้พลังทำให้ชามข้าวลอยไปวางตรงหน้าถังหูลู่

ถังหูลู่มองชามข้าวแล้วพูดว่า “ขอบคุณขอรับ”

“อืม” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่ง แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา

เถากลืนจิตจึงตักข้าวอีกชามยกไปวางตรงหน้านายท่าน “นายท่านเจ้าขา”

“กินข้าวเถอะ” จางอี้ปินพูดแล้วยื่นตะเกียบไปคีบกับข้าว

จ้าวเป่าฉินจึงลงมือกินข้าวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็เธอหิวจะแย่แล้ว แต่จะแอบกินก่อนคนอื่นก็ไม่ค่อยดีใช่ป่ะ อยู่ร่วมกันก็ต้องกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันซิ

เถากลืนจิตเห็นนายท่านเริ่มกิน มันจึงลงมือกินทันทีอย่างไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ มันอยากกินจะตายแล้วตั้งแต่ตอนที่ได้กลิ่นอาหารหอมฉุยลอยออกไปจนถึงบริเวณที่มันกำลังทำงานอยู่

ถังหูลู่จึงก้มลงกินข้าวชามนั้น คำแรกที่มันได้กิน มันก็แทบอยากจะกระแทกชามให้ข้าวชามนั้นลอยขึ้นมาแล้วอ้าปากงับเข้าไปในคำเดียวทันที แต่มันไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะนายท่านไม่ชอบคนไร้มารยาท มันจึงต้องค่อยๆ กินอย่างเรียบร้อยยิ่ง

หลังจากกินเสร็จแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป

จางอี้ปินเดินกลับเรือนไป

จ้าวเป่าฉินก็ให้หุ่นเชิดทั้งสองหามตัวเองกลับบ้าน อ่อ ต้องเรียกว่าเรือนซิ

ส่วนเถากลืนจิตกับถังหูลู่ก็กลับไปทำงานต่อ ทั้งสองช่วยกันต่อเครื่องเรือนให้จ้าวเป่าฉิน

วันคืนผ่านไปอย่างสงบสุข จนกระทั่งขาของจ้าวเป่าฉินหายดีแล้ว เธอจึงเดินไปไหนมาไหนเองได้โดยไม่ต้องให้หุ่นเชิดทั้งสองช่วยหามแล้ว

ทุกๆ วันเธอจะทำกับข้าวให้ทุกคนกิน

จางอี้ปินก็คอยออกไปจับสัตว์มาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารให้จ้าวเป่าฉิน เขาติดใจรสชาติอาหารของนางมาก เรียกว่าอร่อยยิ่งกว่าเหลาอาหารเลิศรสที่ขึ้นชื่อเสียอีก

จ้าวเป่าฉินก็สนิทกับเถากลืนจิตและถังหูลู่ดี แม้ว่าบางครั้งถังหูลู่จะถูกจ้าวเป่าฉินเรียกใช้งานอย่างหนัก มันก็ยอมนางทุกอย่างแล้ว ไม่เช่นนั้นนางอาจจะเอาเรื่องเอาราวเมื่อคราวนั้นก็ได้ มันยังไม่อยากอดกินถังหูลู่ฝีมือนางหรอกนะ ถังหูลู่ที่นางทำอร่อยยิ่งกว่าถังหูลู่ที่นายท่านซื้อมาให้มันกินมากนัก รสชาติเรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว ของแม่นางจ้าวเป็นฟ้า ส่วนของคนอื่นๆ ล้วนเป็นเหว

เมื่ออยู่กับนาง มันก็กลายเป็นแมวเชื่องๆ ตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งแล้ว ไม่มีท่าทีดุร้ายต่อนางอีกเลย

จางอี้ปินก็คอยสอนเรื่องต่างๆ ให้จ้าวเป่าฉินได้รับรู้

จ้าวเป่าฉินก็ตั้งอกตั้งใจฟังทุกคำพูดของอาจารย์เป็นอย่างดี รวมถึงการฝึกฝนสะสมพลังเทพให้เพิ่มพูน วันหนึ่งเธอจะได้กลายเป็นเทพเต็มตัวกับเขาเสียที

เวลาผ่านไป 2 ปี จ้าวเป่าฉินเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ กับอาจารย์จนรู้ซึ้งทะลุปรุโปร่งเกี่ยวกับหกภพแล้ว

คำเรียกขานชื่อก็เปลี่ยนมาเรียกชื่อเล่นของเธอนานแล้วเช่นกัน

วันนี้มีเทพจากตำหนักเก้าชั้นฟ้ามาพบอาจารย์ จ้าวเป่าฉินจึงแอบชะเง้อมองอยู่ห่างๆ ข้างๆ เธอ เถากลืนจิตก็แอบอยู่ข้างๆ ชะเง้อมองอย่างอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เรียกได้ว่า ‘เรื่องของชาวบ้านคืองานของข้า’ ก็ได้ ซึ่งนิสัยข้อนี้ของเถากลืนจิตนั้นแก้ไม่หายเสียที มันชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องราวของผู้คนยิ่งนัก

เทพที่มาพบอาจารย์ รูปร่างหน้าตาจัดว่าหล่อเหลาอยู่หรอก แต่ถ้าเทียบกับอาจารย์แล้วยังห่างชั้นกันมาก เธอไม่ได้ยกยออาจารย์ตัวเองนะ ก็เขาหล่อมากจริงๆ หล่อนิ่งๆ เหมือนมหาเทพตงหัวไม่มีผิด ทำให้เธอนึกสงสัยว่าตัวเองหลุดเข้ามาในนิยายเรื่อง Eternal Love(สามชาติสามภพป่าท้อสิบลี้)รึเปล่า?

เธอเห็นเทพคนนั้นยื่นเทียบเชิญให้อาจารย์ พูดคุยกันสองสามประโยคแล้วก็ขอตัวกลับไป

จางอี้ปินเหล่ตามองตรงที่จ้าวเป่าฉินแอบอยู่ เขาพูดน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “ออกมา”

จ้าวเป่าฉินสะดุ้งทีหนึ่ง แล้วค่อยๆ ก้าวออกไปหาอาจารย์ เธอเรียกเสียงอ่อยอย่างกลัวถูกดุ “อาจารย์”

เถากลืนจิตสะดุ้งแล้วรีบเผ่นทันที

“เจ้าตัวตะกละ” จางอี้ปินเรียกมันน้ำเสียงราบเรียบ

เถากลืนจิตชะงักกึก! มันค่อยๆ หันไปยิ้มแหยๆ “นายท่าน”

หนึ่งคน หนึ่งเถา ค่อยๆ เดินไปหาจางอี้ปินอย่างเกรงๆ กลัวๆ

“ไร้มารยาทนัก” จางอี้ปินตำหนิน้ำเสียงราบเรียบหนึ่งประโยค เขายกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง

จ้าวเป่าฉินกับเถากลืนจิตสะดุ้งเฮือก กลัวถูกทำโทษ

จางอี้ปินวางถ้วยชาลง “เจ้าตัวตะกละอยู่เฝ้าเรือนดีๆ ส่วนเป๋าเป้ยเจ้าไปตำหนักเก้าชั้นฟ้ากับข้า”

“เจ้าค่ะนายท่าน” เถากลืนจิตรับคำสั่งแล้วรีบเผ่นไปไวอย่างยิ่ง มันเผ่นก่อนที่นายท่านจะคิดลงโทษอะไรมัน

Chapter 9

ไสหัวไป!

จ้าวเป่าฉินมองเถากลืนจิตที่เผ่นได้ไวยิ่งนัก ทิ้งเธอให้ต้องเผชิญหน้ากับอาจารย์ตามลำพัง เธอค่อยๆ ถามให้แน่ใจ “ข้าต้องไปตำหนักเก้าชั้นฟ้ากับท่านหรือเจ้าคะ?”

“อืม” จางอี้ปินพยักหน้าแล้วสั่งว่า “เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ อีกครึ่งชั่วโมงออกเดินทาง”

“เจ้าค่ะ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับคำสั่งแล้วถอยออกไป

จางอี้ปินมองตามแล้วลุกกลับเรือนไปเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ให้ภูมิฐาน

เมื่อเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้ว เขาก็เดินไปรอจ้าวเป่าฉินที่ศาลาเล็ก

จ้าวเป่าฉินเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ให้ดูดีสมกับที่เป็นศิษย์ของจางอี้ปินเรียบร้อยแล้วก็เดินไปหาอาจารย์ เธอเห็นอาจารย์รออยู่ที่ศาลาจึงเข้าไปหา “อาจารย์”

จางอี้ปินมองศิษย์คนเดียวของเขาแล้วลุกขึ้นเดินออกจากศาลา เขาใช้พลังดึงตัวจ้าวเป่าฉินให้ลอยขึ้นไปพร้อมกับเขา แล้วเขาก็ฉีกช่องว่างออก

ท้องฟ้าฉีกออกเป็นช่องดำมืด จ้าวเป่าฉินมองฉากอันน่าตื่นตะลึงนี้อย่างตื่นเต้น เธอก็เพิ่งจะเคยเห็นการฉีกช่องว่างเป็นครั้งแรกนี่แหละ

เธออยู่กับอาจารย์มา 2 ปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ออกไปข้างนอกกับอาจารย์ ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ออกไปไหนเลย นอกจากไปจับสัตว์มาทำอาหารกับนั่งตกปลาที่ทะเลสาบ วันๆ หนึ่งของเขาเรียกได้ว่าเป็น ‘ชีวิตสโลว์ไลฟ์’ จริงๆ

เธอลอยเข้าไปในช่องดำมืดช่องนั้นพร้อมกับอาจารย์ เธอหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นเต้น

จางอี้ปินมีท่าทางสุขุมนิ่งสงบอย่างไร เขาก็ยังคงมีท่าทางสุขุมนิ่งสงบอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

จนกระทั่งออกจากช่องว่างที่ฉีกออกแล้ว จ้าวเป่าฉินจึงเห็นว่าตัวเองลอยอยู่กลางท้องฟ้า เธอเห็นด้านหนึ่งมีอาคารอยู่กลางหมู่เมฆ ดูราวกับสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

จางอี้ปินเหินลอยไปตรงหน้าประตูใหญ่พร้อมกับจ้าวเป่าฉิน

ทหารที่เฝ้ายามอยู่ที่หน้าประตูมองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีอ้วนแล้วถามว่า “ผู้มาคือใคร?”

จางอี้ปินหยิบเทียบเชิญออกมาแล้วใช้พลังส่งเทียบเชิญไปให้ทหารที่เฝ้ายาม

ทหารรับเทียบเชิญมาดูแล้วเปิดทางให้ทันที

เทียบเชิญก็ลอยกลับไปสู่มือจางอี้ปิน เขาเก็บเทียบเชิญไปแล้วเดินผ่านทหารไป

จ้าวเป่าฉินรีบก้าวตามอาจารย์ไปทันที

เมื่อคล้อยหลังหนึ่งบุรุษผมขาวและสตรีอ้วนแล้ว ทหารที่เฝ้ายามก็ขยับไปกระซิบคุยกันว่า “นั่นใครรึ?”

“ข้าก็ไม่รู้ แต่เขามีเทียบเชิญของเทียนจวิน”

“อ่อ” ทหารส่งเสียงรับรู้แล้วพูดว่า “บุรุษผมขาวผู้นั้นรูปงามนัก แต่เหตุใดบ่าวของเขาจึงได้รูปลักษณ์น่าเกลียดยิ่ง ข้าไม่เคยเห็นเทพคนไหนอัปลักษณ์เท่านางเลย”

“นินทาสตรีมากๆ ระวังเถอะเจ้าจะได้ฮูหยินอัปลักษณ์เช่นที่เจ้านินทา” ทหารอีกคนพูดหยอกเย้า

“เพ้ยๆๆๆ หากข้าต้องแต่งสตรีอัปลักษณ์เข้าเรือน ข้าขออยู่คนเดียวดีกว่า” ทหารคนนั้นสถบอย่างไม่ชอบใจ

“ฮ่าๆๆๆ” เหล่าทหารหัวเราะขำขันแล้วก็ขยับตัวไปยืนเฝ้ายามอย่างแข็งขัน

จ้าวเป่าฉินได้ยินเสียงซุบซิบนินทา ทำให้เธอหันไปมองทหารพวกนั้นอย่างจดจำพวกเขาเหล่านั้นเอาไว้ เธออ้วนแล้วมันหนักหัวพวกนั้นตรงไหนฟร่ะ! ชิ!

จางอี้ปินย่อมได้ยินคำนินทาเหล่านั้นเต็มสองหู แต่เขาคร้านจะสนใจ เป๋าเป้ยอ้วนแล้วอย่างไร ถึงนางอ้วนแต่ก็หาได้อัปลักษณ์จนดูไม่ได้เสียหน่อย นางนั้นมีความน่ารักในหลายๆ ด้าน กริยามารยาทก็ดีงามราวกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ ทั้งมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ตำราของเขาทุกม้วนนางล้วนอ่านจนหมดสิ้นแล้ว

เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่สนใจผู้ใด

จ้าวเป่าฉินเดินตามอาจารย์ไป เธอมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ

ท่าทางของสตรีอ้วนทำให้เหล่าเทพที่เห็นต่างพากันซุบซิบนินทา

“บ่าวนางนั้นคงไม่เคยออกจากเรือนเลยกระมัง”

“นั่นซิ ช่างเป็นสตรีรูปลักษณ์อัปลักษณ์ยิ่ง”

“เหตุใดจึงอ้วนถึงเพียงนั้น? คงจะตะกละตะกลามกินไม่บันยะบันยังเลยกระมัง”

“ท่าทางนางช่างเหมือนเทพใหม่ที่ไม่เคยเห็นโลกเบื้องบน”

ฯลฯ

คำนินทาต่างๆ ล้วนเข้าหูจ้าวเป่าฉินไม่น้อย เธอจึงหยุดมองไปมองมาแล้วเชิดหน้ามองตรงแหน๊ว! แต่สายตาคอยเหล่มองไปตามที่ต่างๆ แทนการหันหน้ามองไปมองมา

วิชาบุคลิกภาพเธอก็เคยเรียนมานะ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงงัดเอามาใช้อย่างเต็มที่แบบจัดเต็มไปเลย ท่วงท่าเดินเหินอกผายไหล่ผึ่ง หน้าเชิดเหมือนนางแบบบนแคทวอล์คทุกกระเบียดนิ้วแล้ว

จางอี้ปินเดินไปถึงท้องพระโรง นางกำนัลที่คอยดูแลจึงก้าวไปต้อนรับ “เชิญเจ้าค่ะ”

“อืม” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่งแล้วเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้

จ้าวเป่าฉินเดินไปนั่งข้างอาจารย์

นางกำนัลก็ยกเหล้า น้ำชา ขนม ผลไม้มารับแขกแล้วถอยไปอย่างรู้งาน

จางอี้ปินยกจอกเหล้าขึ้นจิบอึกหนึ่งแล้วหยิบผลไม้กินชิ้นหนึ่ง

จ้าวเป่าฉินก็ยกเหล้าขึ้นจิบ เพียงคำแรกเธอก็อยากจะถ่มทิ้งแล้ว เหล้านี้รสร้อนแรงจนเหมือนดื่มแอลกอฮอล์ 95% เข้าไปยังไงอย่างงั้น เธอฝืนกลืนลงไป เธอหน้าแดงน้ำตาแทบเล็ดจนต้องรีบยกน้ำชาขึ้นดื่มอึกๆ ตาม

จางอี้ปินไม่ทันเตือนนาง เหล้าแดนเทพย่อมรุนแรงจนครึ่งเทพอย่างนางไม่อาจทนไหว เขาเห็นนางยกชาดื่มอึกๆ จึงมองอย่างเป็นห่วง

จ้าวเป่าฉินดื่มชาจนหมดถ้วยอย่างไม่รักษากริยาแล้ว เธอวางถ้วยชาแล้วหยิบผลไม้กินชิ้นหนึ่ง เมื่อกินผลไม้ลงไปทำให้หลอดอาหารไม่รู้สึกแสบร้อนแล้ว เธอจึงกินผลไม้จนหมดจาน เธอเหลือบมองกาเหล้าอย่างเข็ดขยาด เธอไม่กล้าดื่มเหล้าแล้วล่ะ

“อาจารย์ ข้าออกไปเดินเล่นแถวนี้นะเจ้าคะ” เธอหันไปขออนุญาต

“อืม ไปเถอะ” จางอี้ปินพยักหน้า เพราะถึงอย่างไรตอนที่เขาคุยกับเทียนจวิน นางก็ไม่อาจอยู่ด้วยได้อยู่แล้ว

นางจะไปเดินเล่นตอนนี้หรือรอจนเทียนจวินมาแล้วก็ไม่แตกต่างกันสักนิด

จ้าวเป่าฉินจึงลุกขึ้นเดินออกไป เธอเดินอย่างอกผายไหล่ผึ่ง หน้าเชิด

นางกำนัลมองแล้วแอบเบะปากดูแคลน

จ้าวเป่าฉินเดินเล่นไปเรื่อยๆ สถานที่สวยงามทำให้เธอเดินเล่นได้อย่างไม่รู้เบื่อ อีกทั้งสถานที่นี้เธอก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกจึงน่าตื่นตาตื่นใจมาก เธอเดินไปทางไหนก็ถูกคนซุบซิบนินทาจนเธอขี้เกียจจะฟังจึงก้าวเท้าไปตามเส้นทางที่ไร้ผู้คน

เธอเดินไปเรื่อยๆ ชมสวนชมอาคารไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำดังจ๋อมๆ

ข้างหน้ามีน้ำเหรอ? เธอคิดๆ แล้วก้าวเท้าต่อไป จนกระทั่งเห็นธารน้ำร้อน ธารน้ำร้อนเธอเคยเห็นมาตั้งเยอะแยะแล้ว รอบๆ เรือนของเธอก็มีธารน้ำร้อนหลายแห่ง เธอชอบไปแช่น้ำร้อนเป็นประจำ แต่ที่ทำให้เธอตกตะลึงจนเบิกตาโตก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่เปลือยกายอยู่ในธารน้ำร้อนต่างหาก โอ—

เส้นผมยาวสลวยสีดำขลับเป็นเงางามยิ่งกว่าเส้นผมของนางแบบในโฆษณาแชมพู ทำให้วงหน้าขาวๆ หล่อเหลายิ่งโดดเด่น เธอจ้องมองวงหน้านั้นอย่างตกตะลึง เขามีใบหน้าที่หล่อเท่าเทียมอาจารย์ได้เลย แต่หล่อคนละแบบ อาจารย์ของเธอนั้นหล่อคมเข้ม ส่วนผู้ชายคนนี้หล่อดุดันเต็มไปด้วยเสน่ห์ของบุรุษเพศ เขานั่งพิงก้อนหินข้างธารน้ำหลับตาแช่น้ำร้อนท่าทางสบายอกสบายใจ

เธอยืนตะลึงมองเขาอยู่นานมาก มองนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยซักนิด จนเธอคิดอยากเอาเขากลับไปนั่งมองนอนมองที่บ้านด้วยจังเลย เธอยืนจนเมื่อยขาจึงขยับตัว เท้าพลันเตะก้อนกรวดก้อนหนึ่งใต้เท้า เป๊ะ!

ชายรูปงามลืมตาทันที เขามองตรงไปแล้วเห็นสตรีอ้วนนางหนึ่งยืนมองเขาอยู่ เขารู้ว่านางไม่ใช่นางกำนัลในตำหนักเก้าชั้นฟ้าแห่งนี้ แล้วนางเป็นใคร? บริเวณโดยรอบธารน้ำร้อนนี้ล้วนกางเขตอาคมเอาไว้ ใครก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้นอกจากเขา เช่นนั้นนางเข้ามาได้อย่างไร?

“เอ่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ” จ้าวเป่าฉินพูดออกไปพลางโบกมือไปมา เธอไม่ได้ตั้งใจเข้ามาที่นี่ เธอไม่ได้ตั้งใจเตะก้อนกรวดนะ ส่วนจะบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจดูเขา ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเธอยืนดูเขาอยู่นานมาก นานจนขาเธอแข็งไปหมดแล้ว

“ไสหัวไป!” บุรุษรูปงามพูดสามคำ

จ้าวเป่าฉินหน้าตึงขึ้นมาทันทีทันใด ถ้าเขาพูดดีๆ เธอก็คงเดินไปแล้ว แต่นี่เขาพูดจาไม่ดีเลย ดังนั้นเธอจึงปักหลักอยู่กวนประสาทคนซะเลย ชิ!

เธอยกมือกอดอก ยืนมองเขา “ทำไมข้าต้องไสหัวไปด้วย? หากเจ้าไม่อยากให้ใครเห็นก็ควรจะไปแช่น้ำในห้องหับให้มิดชิดซิ สถานที่เช่นนี้ใครก็ผ่านไปผ่านมาได้ ข้าก็แค่ผ่านมาเท่านั้น ไม่เห็นต้องหยาบคายเลยนี่”

ชายรูปงามหน้ากระตุกยึกๆ เขาโกรธจนโทสะท่วมฟ้าขึ้นมาแล้ว ไม่เคยมีใครกล้าว่าเขาเช่นนี้เหมือนนาง เขาลุกขึ้นยืนทันใด

จ้าวเป่าฉินมองอย่างไม่หลบตาสักนิด เรือนร่างผู้ชายเธอเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว ก็ผ่าศพมาหลายร้อยศพแล้วนี่ เห็นมาหมดแล้วทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนหนุ่ม คนสาว คนแก่ ผ่านมือหมอนิติเวชอย่างเธอมาตั้งมากมาย

ชายรูปงามยิ่งโกรธจนขบกรามกรอดๆ สตรีอื่นล้วนหน้าบาง ยามเห็นเรือนกายบุรุษล้วนเอียงอายหันหน้าหนี แต่สตรีอ้วนนางนี้ไม่แม้แต่จะหันหน้าหนี ตาก็ไม่กะพริบสักนิด จ้องมองดูเขาอย่างหน้าหนายิ่ง! นางบุกรุกเข้ามาในสถานที่ของเขาแล้วยังมายืนชมเรือนร่างเขาอย่างไร้ยางอาย นางช่างเป็นสตรีหน้าหนาที่สุดที่เขาเคยพบเจอ เขาจึงส่งพลังเล็กๆ ออกไปสายหนึ่ง โยนนางออกไป!

“เหวอ—” จ้าวเป่าฉินร้องลั่นเมื่อตัวเธอจู่ๆ ก็ลอยละลิ่วพุ่งไปข้างหลังราวลูกกระสุนปืนใหญ่ แล้วตัวเธอก็กระแทกผนังอาคาร โคร้ม!

เธอเจ็บจนจุกพูดไม่ออก ตัวเธอไม่ได้หยุดที่ผนังนี้ แต่เธอกระแทกผนังจนทะลุไป ตัวเธอลอยพุ่งไปกระแทกผนังอีก โคร้ม!

ผนังนี้ก็ยังไม่อาจต้านทานแรงกระแทกได้ ตัวเธอทะลุผนังไปอีกครั้ง แล้วกระแทกผนังถัดไป โคร้ม!

แล้วก็ทะลุผนังไปอีกครั้งหนึ่ง แล้วกระแทกใส่ผนังอีกครั้ง โคร้ม!

แล้วก็ โคร้ม! โคร้ม! โคร้ม! โคร้ม! โคร้ม! โคร้ม!

จนในที่สุดตัวเธอก็ไม่ทะลุผนังไปแล้ว เธอหล่นตุบลงตรงนั้น เนื้อตัวเธอเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน แขนขาหักผิดรูป กระดูกทิ่มแทงออกมานอกเนื้อสภาพอเนจอนาถยิ่ง เธอเจ็บจนร้องไม่ออกสักคำ เจ็บจนแทบขาดใจตายแล้ว

ชายรูปงามตกตะลึงบื้อใบ้ไป เขาไม่คิดว่าพลังเล็กๆ สายหนึ่งของเขาจะก่อให้เกิดผลเช่นนี้ได้ ปกติแล้วเทพส่วนใหญ่ถูกพลังของเขาโยนออกไปก็ไม่ปลิวราวลูกธนูหลุดจากคันศรเช่นนี้

เสียงโครมครามที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าเทพที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงตกใจ “เกิดอะไรขึ้นรึ?”

พวกเขารีบเดินไปดูต้นเหตุ แล้วพวกเขาก็พบก้อนเนื้อก้อนหนึ่งข้างผนังที่ถูกกระแทกจนปริแตกใกล้จะพังลงมา

“นี่!”

เหล่าเทพตกใจจนพูดไม่ออก พวกเขามองไปทางด้านหน้าของก้อนเนื้อก้อนนั้นแล้วเห็นผนังที่ทะลุเป็นช่องใหญ่โต

ชายรูปงามหายตกตะลึงลงบ้างแล้วจึงคว้าอาภรณ์มาสวมแล้วรีบพุ่งไปดูสตรีอ้วนทันที

เมื่อเห็นสภาพของนางเขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง เขาไม่ได้ตั้งใจจะกระทำรุนแรงกับนางถึงขนาดนี้นะ! จริงๆ นะ แค่พลังเล็กๆ สายหนึ่งของเขา ต่อให้เป็นสตรีรูปร่างผอมบางก็ไม่อาจปลิวมาไกลถึงขนาดนี้ได้ อย่างมากก็ราวๆ ไม่เกิน 10 เมตรเท่านั้น แล้วเหตุใดสตรีนางนี้จึงได้กลายเป็นเช่นนี้เล่า!?

จ้าวเป่าฉินพยายามลืมตาผ่านม่านเลือดที่ไหลเข้าตา เธอมองเห็นชายรูปงามโหดร้ายคนนั้นจึงพยายามจ้องมองเขาอย่างอาฆาตแค้น คอยดูซิถ้าเธอต้องตายกลายเป็นผี เธอจะตามหลอกหลอนเขาทุกคืนเลย! คนใจร้าย!

เธอแค่ยืนดูเขาเท่านั้นเอง เขาต้องลงมือกับเธอถึงขนาดจะฆ่าจะแกงกันเลยเหรอ!? ใจร้าย! ใจร้ายที่สุด!

เธอเจ็บมาก เจ็บจนแค่หายใจก็เจ็บปวดไปทั้งตัวแล้ว

เหล่าเทพมองชายรูปงามแล้วกุมมือถาม “เทียนจวินพะย่ะค่ะ นี่…”

“ตามหมอมาเร็ว!” เทียนจวินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด

“พะย่ะค่ะ” ทหารคนหนึ่งรับคำสั่งแล้วรีบเหาะเหินไปทันที

เทียนจวินมองสตรีอ้วนที่มีสภาพคล้ายก้อนเนื้อก้อนหนึ่งอย่างรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์จะบานปลายถึงเพียงนี้! คิดไม่ถึงเลยจริงๆ

ผู้คนยืนมุงดูอย่างอยากรู้อยากเห็น ซุบซิบกันเสียงเบายิ่งราวกับเสียงผึ้งกระพือปีก

ข่าวๆ นี้แพร่ไปไวอย่างยิ่ง แพร่ไปจนถึงท้องพระโรง

“นี่ๆ ใกล้ๆ ตำหนักเทียนจวินเกิดเรื่องแล้ว”

“เรื่องอะไรรึ?”

นางกำนัลกระซิบกระซาบคุยกัน

“ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดถึงได้มีสตรีอ้วนบาดเจ็บมากกำลังจะตายอยู่ข้างตำหนักเทียนจวิน”

“หือ?” จางอี้ปินหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘สตรีอ้วน’ เขาผุดลุกขึ้นยืนทันควัน ในตำหนักเก้าชั้นฟ้านี้ยังจะมีสตรีอ้วนคนไหนอีกนอกจากเป๋าเป้ยศิษย์คนเดียวของเขา เขารีบพุ่งทะยานออกจากท้องพระโรงทันที

เขามองหาจ้าวเป่าฉินอย่างร้อนใจ เพียงครู่เดียวเขาก็พบสถานที่ที่มีผู้คนรุมล้อมอยู่นับร้อยๆ คน เขารีบพุ่งตรงไปที่แห่งนั้นทันที

“หลีกทาง!ๆ” เขาตะโกนลั่น ใช้พลังแหวกผู้คนที่รุมล้อมอย่างหนาแน่นออก

“อ้า!”

“เหวอ—”

ผู้คนถูกพลังสายหนึ่งดันออกไปจนพวกเขาต้องรีบเหินลอยขึ้นไปหลบพลังสายนั้น ทำให้เส้นทางเปิดออกเป็นช่อง

จางอี้ปินพุ่งไปจนถึงผนังที่แตกร้าวกำลังจะพังแหล่มิพังแหล่ แล้วเขาก็เห็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งกองอยู่กับพื้น เขาตกใจเบิกตาโต “เป๋าเป้ย!”

เขาพุ่งไปหานาง ใช้พลังช้อนก้อนเนื้อก้อนนั้นขึ้นมาแล้วฉีกช่องว่างเดี๋ยวนั้น! อย่างไม่สนใจแล้วว่าการฉีกช่องว่างของเขาจะกระทบกับเขตอาคมที่ปกป้องตำหนักเก้าชั้นฟ้าอย่างไรบ้าง

ครืนนนนน—

ตอนนี้เป๋าเป้ยสำคัญที่สุด เขาต้องรีบพานางไปสำนักโอสถไวที่สุด! เขาพานางก้าวเข้าไปในช่องว่างที่ฉีกออก

“อ้า!” ผู้คนที่ยืนมุงดูล้วนตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างกันถ้วนหน้า

“นั่น!” เทียนจวินอุทานได้คำเดียว ช่องว่างก็ปิดลงแล้ว หลงเหลือไว้เพียงเสียงครื้นครั่นของเขตอาคมที่ถูกทำลายลงไป

เหล่าเทพแตกตื่นตกใจกันหมดทั้งตำหนักเก้าชั้นฟ้าแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น!?”

“ไอหยา! เกิดอะไรขึ้นรึ!?”

ฯลฯ

พวกเขาวิ่งออกมาดูท้องฟ้ากันอย่างแตกตื่น

มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่แตกตื่นเหมือนคนทั่วไป ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นเทพชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า พวกเขาเพียงสงสัยว่าเหตุใดเขตอาคมจึงพังทลายลงได้?

ณ ท้องฟ้าเหนือสำนักโอสถ ช่องว่างฉีกออกตรงกลางสำนักโอสถ ทำให้เขตอาคมถูกทำลาย ครืนนนนน—

ผู้คนในสำนักโอสถตกใจแตกตื่น “อ้า!”

“ไอหยา! เกิดอะไรขึ้นรึ?”

“อ้า! เขตอาคมถูกทำลาย!”

ฯลฯ

จางอี้ปินก้าวออกจากช่องว่างพร้อมกับร่างของจ้าวเป่าฉิน เขาตะโกนลั่นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว “เจ้าสำนักโอสถ—”

เจ้าสำนักโอสถได้ยินเสียงเขตอาคมพังทลาย ตามด้วยเสียงเรียกดังลั่น เขาจึงรีบพุ่งออกไปดู

จางอี้ปินไม่ได้รออยู่ตรงนั้น เขารีบพาจ้าวเป่าฉินเหินลอยไปตามหาเจ้าสำนักโอสถอย่างร้อนใจ

Chapter 10

พยายามรักษาชีวิต

จนกระทั่งเจอเจ้าสำนักโอสถ เหนืออาคารหลังหนึ่ง จางอี้ปินรีบพุ่งไปหาเจ้าสำนักโอสถทันที “เจ้าสำนักโอสถ—”

เจ้าสำนักโอสถมองดู เขาเห็นจางอี้ปินพุ่งมาไวอย่างยิ่งจึงหยุดรอ

เมื่อจางอี้ปินไปถึงตรงหน้าเจ้าสำนักโอสถ เขารีบพูดอย่างร้อนใจว่า “ท่านต้องช่วยนางให้ได้นะ!”

เจ้าสำนักโอสถมองก้อนเนื้ออาบเลือดข้างๆ จางอี้ปิน เขาเบิกตาโตอย่างตกใจ “นี่!”

เขารีบผายมือนำทาง “เชิญที่เรือนข้า”

เขาพูดแล้วก็รีบพุ่งนำไปที่เรือนตัวเองทันที

จางอี้ปินพุ่งตามไปพร้อมกับร่างของจ้าวเป่าฉิน

เมื่อถึงเรือน เจ้าสำนักโอสถก็ชี้ไปที่ตั้งยาวตัวใหญ่ “วางนางตรงนั้น”

จางอี้ปินรีบวางจ้าวเป่าฉินลงบนตั่ง

เจ้าสำนักโอสถรีบตรวจอาการทันที เขาแตะนิ้วที่จุดชีพจร

จางอี้ปินยืนอยู่ข้างตั่งอย่างร้อนใจยิ่ง ศิษย์เขาจะตายไม่ได้นะ! เขาเพิ่งจะรับศิษย์คนแรก และไม่คิดจะรับใครเป็นศิษย์อีก

เจ้าสำนักโอสถตรวจอยู่พักใหญ่ก็ดึงมือกลับแล้วเอาโอสถออกมาหลายขวด เขาเปิดจุกขวดหนึ่งเทโอสถออกมา 1 เม็ดแล้วป้อนใส่ปากสตรีอ้วน

จางอี้ปินยืนมองอย่างร้อนใจ เขาไม่พูดไม่ถามอะไรทั้งนั้น เพราะยามนี้การรักษาจ้าวเป่าฉินต้องแข่งกับเวลาเท่านั้น ไม่อาจชักช้าไปแม้เพียงชั่วอึดใจ หากเขาถามก็จะทำให้การรักษาหยุดชะงักลง ดังนั้นเขาจึงรอ รออย่างร้อนใจยิ่ง!

เจ้าสำนักโอสถป้อนโอสถเสร็จแล้วก็ขยับไปจัดกระดูกแขนขาทั้งสี่ของนาง เขาดึงกร๊อบๆ อย่างไวยิ่ง

จ้าวเป่าฉินเจ็บปวดจนตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เธอไม่มีแม้แต่แรงจะส่งเสียงร้องสักแอ๊ะ เธอคิดแต่ว่าเมื่อไหร่เธอจะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทรมานนี้เสียที ให้เธอสลบหลับไปเลยได้ไหม!? มันเจ็บมาก! เจ็บมากจริงๆ นะ

เจ้าสำนักโอสถเห็นคนเจ็บยังหลงเหลือสติอยู่บ้างจึงเบาใจเล็กน้อย หากนางสลบไร้การตอบสนองใดๆ อาการนางคงสาหัสเกินกว่าที่เขาจะสามารถรักษาได้ เขาจัดกระดูกนางให้เข้าที่เข้าทางอย่างไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วลงมือรักษาบาดแผลเล็กใหญ่บนร่างนาง

จางอี้ปินยืนมองอย่างร้อนใจ เขามองดูการรักษาทุกขั้นตอนอย่างไม่ละสายตาสักนิด

เจ้าสำนักโอสถจัดการกับบาดแผลใหญ่เล็กทั่วร่างเสร็จแล้วก็หันไปหยิบโอสถอีกขวด เทโอสถออกมาแล้วป้อนใส่ปากสตรีอ้วน 1 เม็ด เมื่อป้อนโอสถแล้วเขาก็ถอยหลังไปนั่งปาดเหงื่ออย่างเหน็ดเหนื่อย ก็ตัวนางทั้งใหญ่ทั้งหนัก เขาต้องพลิกตัวนางไปมารักษาบาดแผลเล็กใหญ่เหล่านั้นจึงทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ

จางอี้ปินเห็นว่ารักษาบาดแผลเสร็จแล้วจึงเปิดปากถาม “นางเป็นเช่นไรบ้าง?”

“สาหัสนัก” เจ้าสำนักโอสถพูดออกมา 1 ประโยค

จางอี้ปินพยักหน้าเข้าใจ เขามองดูจ้าวเป่าฉินที่บัดนี้ทั้งตัวถูกพันด้วยผ้าปิดแผลเต็มไปหมด จนเห็นแต่ดวงตาเล็กๆ กับปากและรูจมูกเท่านั้น ผิวเนื้อนอกนั้นล้วนอยู่ใต้ผ้าปิดแผลทั้งสิ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไยนางจึงบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้?” เจ้าสำนักโอสถถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “นางถูกคนรุมตีหรือไร?”

“ข้าก็ยังไม่รู้แน่ชัด รู้แต่ว่านางบาดเจ็บมากจึงได้รีบพามาหาท่านนี่แหละ” จางอี้ปินตอบ

“อ่อ” เจ้าสำนักโอสถพยักหน้ารับรู้

จางอี้ปินถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ตาก็มองแต่จ้าวเป่าฉินอย่างเป็นห่วง

เจ้าสำนักโอสถขยับลุกไปแตะชีพจรตรวจดูอีกครั้งแล้วหยิบขวดโอสถมาเปิดจุกเทโอสถออกมา 1 เม็ดแล้วป้อนใส่ปากสตรีอ้วน

หลังจากกินโอสถนี้เข้าไปแล้วจ้าวเป่าฉินก็ผล๊อยหลับไป ไม่ต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมานแล้ว

เวลาผ่านไป ทุกๆ 1 ชั่วโมง เจ้าสำนักโอสถก็จะป้อนโอสถให้สตรีอ้วนครั้งหนึ่ง

จางอี้ปินมองดูการรักษาอย่างใกล้ชิด

ศิษย์สำนักโอสถชะเง้อชะแง้อยู่ด้านนอก เมื่อสบโอกาสเห็นอาจารย์วางมือจากคนเจ็บแล้วเขาจึงก้าวเข้าไปกุมมือคารวะอาจารย์และคุณชายผมขาว เมื่อคารวะเสร็จแล้วเขาก็หันไปถามอาจารย์ว่า “ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสใหญ่ให้มาถามว่าจะจัดการกับเขตอาคมอย่างไรขอรับ?”

จางอี้ปินรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาคมป้องกันของสำนักโอสถพังทลายจึงกุมมือขออภัย “ขออภัยด้วย ข้าทำให้ท่านลำบากแล้ว”

“ไม่เป็นไรๆ ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า ข้าเข้าใจดี” เจ้าสำนักโอสถโบกมือไปมาอย่างไม่เอาเรื่องเอาความ แล้วหันไปมองศิษย์ สั่งว่า “ให้ผู้อาวุโสทุกท่านออกมาช่วยกันซ่อมเขตอาคม รอให้คนเจ็บของข้าอาการดีแล้วข้าก็จะไปช่วยซ่อม ตอนนี้ข้ายังไม่อาจปลีกตัวไปได้ อาการนางยังเข้าขั้นตรีทูต”

เขาพูดจบแล้วก็โบกมือไล่ศิษย์

“ขอรับ” ศิษย์รับคำสั่งแล้วถอยออกไป

“รบกวนท่านแล้วๆ” จางอี้ปินพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ

“ไม่เป็นไรๆ ท่านกับข้าล้วนคนกันเองมิใช่หรือเกอเกอ” เจ้าสำนักโอสถพูดอย่างจริงใจ

จางอี้ปินจึงไม่พูดอะไรอีก แต่ในใจเขานั้นคิดคำนวณค่ารักษาเอาไว้ในใจแล้ว เขาไม่ชอบติดค้างบุญคุณผู้อื่น และไม่ชมชอบให้ผู้อื่นติดค้างบุญคุณเขา แต่หากใครก่อหนี้กับเขา เขาย่อมทวงคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่าตามแต่ใจเขาเห็นสมควร

ย้อนกลับไปที่ตำหนักเก้าชั้นฟ้า เมื่อจางอี้ปินพาสตรีอ้วนจากไปแล้ว เทียนจวินจึงเร่งจัดการซ่อมแซมเขตอาคมทันที เขาสั่งการทหารน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เชิญเทพชั้นสูงที่อยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้าทุกท่านออกมาช่วยกันซ่อมเขตอาคมเดี๋ยวนี้”

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็รีบวิ่งออกไป เขาถ่ายทอดคำสั่งของเทียนจวินให้ทหารคนอื่นรับรู้ จากนั้นเหล่าทหารก็รีบไปเชิญเทพชั้นสูงทั้งหลายออกมาช่วยซ่อมเขตอาคม

เสนาขวาวิ่งตุบตับๆ ไปถึงตรงที่เกิดเรื่อง เขามองๆ บริเวณโดยรอบแล้วยังไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถามเทียนจวินว่า “เทียนจวิน จะให้ข้าน้อยไปตามจับชายผู้นั้นกลับมารับโทษหรือไม่พะย่ะค่ะ โทษฐานที่ทำลายเขตอาคมของตำหนักเก้าชั้นฟ้าเป็นโทษหนักต้องประหารเก้าชั่วโคตร…”

“เพ้ย! ตามจับมารดาเจ้าซิ!” เทียนจวินด่าอย่างโมโห

เสนาขวาสะดุ้ง อึ้งงันไป

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดทำลายเขตอาคม?” เทียนจวินถาม

เสนาขวาส่ายศีรษะ เขาไม่อยู่ในเหตุการณ์อีกทั้งไม่เห็นหน้าตาผู้ทำลายเขตอาคม ตอนที่ทหารไปรายงานเรื่องราวเขากำลังนอนพักผ่อนอยู่ เมื่อรู้เรื่องราวคร่าวๆ จึงได้รีบแต่งตัวแล้ววิ่งมานี่แหละ อาภรณ์จึงไม่ค่อยเรียบร้อยนัก เสื้อคลุมตัวนอกเอียงเย้ หมวกบนศีรษะก็เอียง

เทียนจวินกวักมือเรียก

เสนาขวาจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ เทียนจวิน

เทียนจวินกระซิบกระซาบข้างหูเสนาขวาหนึ่งประโยค “เขาก็คือ……..”

เมื่อฟังจบแล้วเสนาขวาก็เบิกตาโต ไม่มีความคิดที่จะไปจับคนที่ทำลายเขตอาคมอีก การไปเอาเรื่องกับคนผู้นั้นมีแต่เสียกับเสีย ไม่คุ้มจริงๆ ไม่คุ้มอย่างยิ่ง!

เขาก้าวถอยไป สีหน้ากระอักกระอ่วนไม่น่าดูนัก

“เจ้านำทหารไปลาดตะเวนรักษาความปลอดภัยโดยรอบก่อน คอยเฝ้าระวังพวกมารอาจจะฉวยโอกาสนี้เล็ดลอดเข้ามาสร้างความวุ่นวายในตำหนักเก้าชั้นฟ้า” เทียนจวินสั่งเสนาขวา

“พะย่ะค่ะ” เสนาขวารับคำสั่งแล้วรีบถอยไป

ผู้คนก็ซุบซิบคุยกันเสียงดังหึ่งๆ เหมือนฝูงผึ้ง

เทียนจวินมองเลือดที่เปื้อนพื้นอย่างรู้สึกผิดแล้วก็ตัดใจรีบไปซ่อมเขตอาคมก่อน

ผู้คนมองๆ อยู่พักใหญ่แล้วก็แยกย้ายกันไป

ณ สำนักโอสถ เหล่าผู้อาวุโสก็ออกมาช่วยกันซ่อมเขตอาคมพลางพูดคุยถามไถ่ถึงสาเหตุที่ทำให้เขตอาคมพังทลาย

เมื่อรู้สาเหตุแล้วพวกเขาก็ไม่ติดใจเอาความ ก็ช่วยชีวิตคนย่อมสำคัญนี่นา ต่อให้เป็นชีวิตเล็กๆ ของสัตว์พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยผ่าน หากช่วยได้ย่อมช่วยเหลือจนถึงที่สุด

เจ้าสำนักโอสถกับจางอี้ปินก็ยังเฝ้าอยู่ข้างตั่งอย่างใกล้ชิดยิ่ง พวกเขาไม่อาจละสายตาจากคนเจ็บแม้เสี้ยวอึดใจ ยิ่งเจ้าสำนักโอสถยิ่งรู้ว่าไม่อาจละสายตาได้เลย คนเจ็บอาการสาหัสมาก หนทางรอดชีวิตมีแค่ 5% เท่านั้น หากนางเป็นเทพเขายังมีความมั่นใจว่าจะรักษาชีวิตนางได้ถึง 1 ส่วน 10 แต่นี่นางเป็นครึ่งเทพ ความมั่นใจของเขาจึงเหลือน้อยนิดเหลือเกิน

เขาคอยป้อนโอสถให้นางทุกๆ 1 ชั่วโมง จาก 1 ชั่วโมงก็หดลงเหลือครึ่งชั่วโมงแล้ว

ครั้นเวลาผ่านไป เจ้าสำนักโอสถก็ต้องป้อนโอสถให้นางทุกๆ 15 นาทีแล้ว เพราะนางเป็นครึ่งเทพ โอสถระดับเทพจึงไม่อาจใช้กับนางได้ เขาจึงได้แต่ใช้โอสถระดับมนุษย์กับนาง โอสถระดับมนุษย์ก็มีฤทธิ์อ่อนไปสำหรับนาง ดังนั้นจึงได้แต่เพิ่มปริมาณโอสถให้มากขึ้นให้เหมาะสมกับร่างกายของนาง

เมื่อเวลาผ่านไปอีก เขาก็คอยป้อนโอสถให้นางทุกๆ 5 นาทีแล้ว

เวลาผ่านไป 1 วัน 1 คืน เจ้าสำนักโอสถตรวจอาการแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่คนเจ็บของเขารอดพ้นความตายมาได้เสียที เขาดึงมือกลับแล้วหันไปพยักเพยิดหน้ากับจางอี้ปิน

จางอี้ปินเข้าใจความหมายจึงรู้สึกโล่งอกตาม เขานั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เป๋าเป้ยรอดแล้ว!

แม้ว่าคนเจ็บจะรอดพ้นจากอาการเข้าขั้นตรีทูตมาได้ แต่เจ้าสำนักโอสถก็ยังไม่วางใจ เขายังคงเฝ้าอาการคนเจ็บอย่างใกล้ชิด ไม่อาจปล่อยปละละเลยแม้ชั่วอึดใจ เขาทุ่มเทกับการรักษาคนเจ็บทุกคนเช่นนี้แหละ ดังนั้นเขาจึงคอยสอนสั่งศิษย์ทุกคนให้ทุ่มเทกับการรักษาคนเจ็บทุกคนอย่างถึงที่สุด หากคนเจ็บยังหายใจอยู่ต้องพยายามช่วยให้สุดความสามารถ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง

จ้าวเป่าฉินรู้สึกตัวลืมตาขึ้น ความเจ็บปวดก็พุ่งพรวดขึ้นมาทำเธอน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว “โอย…”

จางอี้ปินได้ยินเสียงร้อง เขารีบลุกพรวดไปถึงข้างตั่งในชั่วพริบตา

“เป๋าเป้ย!” เขาเรียกอย่างดีใจ โล่งใจ ร้อนใจ เป็นห่วงเป็นใย ความรู้สึกต่างๆ ผสมปนเปไปหมด

“เป๋าเป้ย*?” เจ้าสำนักโอสถทวนคำเสียงเบา แล้วมองจางอี้ปินอย่างตะลึง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสตรีอ้วนผู้นี้จะเป็นคนรักของจางอี้ปิน อา…คิดไม่ถึงจริงๆ

(เป๋าเป้ย 宝贝 แทนความหมายได้หลายอย่าง ใช้เรียก คนรัก ก็ได้ ใช้เรียก ลูกรัก ก็ได้ ใช้เรียกสิ่งของที่เป็น ของรัก ก็ได้)

ทำให้เขามองสตรีอ้วนอย่างพินิจพิจารณาว่านางมีดีอันใดถึงผูกมัดใจจางอี้ปินได้? บุรุษรูปงามเช่นจางอี้ปินเหตุใดจึงเลือกสตรีนางนี้เป็นคนรักเล่า?

จ้าวเป่าฉินพยายามลืมตามองอาจารย์ ทั้งพยายามส่งเสียง “อา…”

แต่แค่ส่งเสียงออกไปคำเดียวก็เจ็บร้าวไปทั้งร่างแล้ว เจ็บจนเหมือนตัวจะระเบิดแตกออกได้ยังไงอย่างงั้น คำต่อมาที่พูดออกไปจึงเป็นคำว่า “…เจ็บ”

“โอ เจ็บหรือเป๋าเป้ย?” จางอี้ปินอุทานอย่างเป็นห่วง เขาหันไปมองเจ้าสำนักโอสถแล้วพูดว่า “เจ้าสำนักฯ นางเจ็บ”

เจ้าสำนักโอสถเข้าใจความหมายของจางอี้ปินดี คือหมายความว่าให้เขาช่วยทำให้นางไม่รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นเขาจึงลุกจากเก้าอี้ไปหยิบขวดโอสถบนชั้นแล้วเทโอสถออกมา 1 เม็ดแล้วเดินไปที่ข้างตั่ง ก้มลงไปป้อนโอสถให้นาง

จ้าวเป่าฉินกลืนโอสถลงไปแล้ว สักพักรู้สึกว่าความเจ็บปวดบรรเทาลงไปนิดหนึ่ง เธอจึงอ้าปากพูดว่า “หิว”

“โอ…” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่ง ปกติแล้วเป๋าเป้ยกินวันละ 3 มื้อ แต่นี่นางไม่ได้กินอะไรมา 2 วัน 1 คืนแล้ว ย่อมหิวซินะ

“เอ่อ…” เจ้าสำนักโอสถรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมา เขาควรจะทึ่งดีหรือขำดีล่ะ คนเจ็บคนอื่นฟื้นขึ้นมาส่วนใหญ่แล้วมักจะสนใจอาการเจ็บป่วยของตัวเองเป็นอันดับแรก แต่สตรีผู้นี้กลับนึกถึงอาหารเป็นอันดับแรก ฮ่าๆๆๆ

เขาจึงหันไปกวักมือเรียกศิษย์ “เจ้ามานี่”

“ขอรับ” ศิษย์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเดินเข้าไปหา

“เจ้าไปบอกพ่อครัวให้ต้มโจ๊กมาชามหนึ่ง” เจ้าสำนักฯ สั่ง

“ขอรับ” ศิษย์รับคำสั่งแล้วถอยออกไป

จางอี้ปินอยากจะลูบแก้มศิษย์ปลอบประโลม แต่ตัวนางถูกพันผ้าจนเขาไม่กล้าแตะต้องเลย กลัวว่าจะยิ่งทำให้นางเจ็บ เขาจึงได้แต่ใช้สายตาปลอบประโลม “อดทนนะเป๋าเป้ย อดทน”

“อื้ม” จ้าวเป่าฉินส่งเสียงได้คำเดียวแล้วเบ้หน้าเพราะความเจ็บ

ราวครึ่งชั่วโมง ศิษย์ก็ถือชามโจ๊กเข้ามา เขาเดินไปจนชิดตั่งแล้ววางโจ๊กไว้บนโต๊ะข้างตั่ง เขาหันไปกวักมือเรียกศิษย์น้อง “พวกเจ้ามานี่ มาช่วยพยุงแม่นางขึ้นที ข้าจะป้อนโจ๊กให้นาง”

“ขอรับศิษย์พี่” ศิษย์น้องรับคำสั่งแล้วพากันเดินเข้าไป ก็เรื่องป้อนโจ๊กให้คนเจ็บจะให้อาจารย์ทำได้หรือ ไม่ได้!

พวกศิษย์น้องหลายคนก้าวไปรุมล้อมรอบตั่งแล้วค่อยๆ ช่วยกันพยุงตัวสตรีอ้วนขึ้นมา

“โอย…” จ้าวเป่าฉินร้องออกมาเพราะความเจ็บ เธอเจ็บจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว

ศิษย์อีกสองสามคนก็รีบเอาหมอนสอดหลังให้สตรีอ้วนได้นั่งพิง จากนั้นศิษย์พี่ก็ตักโจ๊กป้อน

เจ้าสำนักโอสถนั่งดูอยู่ตลอดเวลา

จางอี้ปินก็มองอย่างเป็นห่วง

ศิษย์พี่รู้สึกเกร็งๆ ขึ้นมาที่ตกเป็นเป้าสายตาของอาจารย์และบุรุษผมขาว แต่เขาก็พยายามค่อยๆ ป้อนโจ๊กให้สตรีอ้วนทีละคำ…ทีละคำ

จ้าวเป่าฉินพยายามอ้าปากกินโจ๊กลงไป โจ๊กไม่เลิศรสเหมือนที่เธอทำ แต่รสชาติก็จัดว่าอร่อย เธอจึงกินได้มากหน่อย

จางอี้ปินหันไปมองเจ้าสำนักโอสถแล้วถามว่า “ท่านมีบ่าวสตรีหรือไม่?”

“ย่อมมี” เจ้าสำนักฯ ตอบ เขาเข้าใจความหมายของจางอี้ปินดี ก็สตรีอ้วนเป็นสตรี เรื่องบางเรื่องจะให้บุรุษมาดูแลได้อย่างไร เขาจึงหันไปสั่งศิษย์ว่า “เจ้าไปตามบ่าวสตรีรูปร่างสูงใหญ่มาสักหลายๆ คนหน่อย”

“ขอรับ” ศิษย์รับคำสั่งแล้วรีบออกไปทันที

จางอี้ปินกุมมือขอบคุณ

เจ้าสำนักโอสถโบกมือทำนองว่า ไม่เป็นไร

เมื่อป้อนโจ๊กป้อนน้ำเสร็จแล้วพวกศิษย์ก็ถอยออกไปหมด

จ้าวเป่าฉินได้นั่งพิงหมอน อีกทั้งได้กินอิ่มแล้วจึงรู้สึกดีขึ้นมาก อาการวิงเวียนเพราะหิวจึงบรรเทาลงไป

เธอก้มมองตัวเอง เห็นผ้าพันทั้งตัวทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมัมมี่ยังไงอย่างงั้น เธอพยายามขยับแขนขา เมื่อขยับนิดเดียวก็เจ็บจนน้ำตาไหลแล้ว แต่เธอก็ดีใจที่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าทั้งสี่ยังเคลื่อนไหวได้ นั่นหมายถึงว่าเธอจะไม่เป็นอัมพาต รอให้แผลหาย ทำกายภาพแล้วเธอก็จะกลับมาเดินได้เหมือนเดิม

บ่าวสตรี 8 คนเดินเข้ามาคารวะท่านเจ้าสำนัก “ท่านเจ้าสำนัก”

“พวกเจ้าคอยดูแลนางให้ดี” เจ้าสำนักโอสถสั่ง ชี้นิ้วไปที่สตรีอ้วน

“เจ้าค่ะ” บ่าวทั้ง 8 รับคำสั่งพร้อมเพรียง พวกนางมองไปที่สตรีอ้วนเป็นตาเดียวแล้วเก็บสายตากลับ ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกมา สมกับที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

จางอี้ปินมองบ่าวทั้ง 8 แล้วก็เบาใจ นับว่าทางสำนักโอสถจัดการได้ดี เขาคำนวณค่ารักษาค่าดูแลต่างๆ เพิ่มเข้าไปในใจ

จ้าวเป่าฉินซึ่งกินอิ่มมาสักพัก ก็รู้สึกอยากถ่ายเบาขึ้นมา เธอจึงส่งเสียงบอก “ข้า…อยาก…ถ่าย…เบา”

เธอพยายามพูดออกไปอย่างเจ็บปวดแผลทำให้คำพูดกระท่อนกระแท่น

บ่าวทั้ง 8 ได้ยินคนเจ็บบอกเช่นนั้น บ่าวคนหนึ่งก็หันไปผายมือ “เชิญท่านเจ้าสำนักกับคุณชายออกไปก่อนเจ้าค่ะ”

เจ้าสำนักฯ กับจางอี้ปินจึงเดินออกจากห้องไป

บ่าวคนหนึ่งเดินไปปิดประตู บ่าวคนอื่นๆ ก็จัดแจงเรื่องราวได้ดี

จ้าวเป่าฉินไม่ต้องสั่งอะไรมากความ ไม่นานนักเธอก็ได้ถ่ายเบาจนรู้สึกโล่งสบายตัว

บ่าวก็จัดการเรื่องราวอย่างดี แล้วเดินไปเปิดประตูรายงานท่านเจ้าสำนักฯ ว่า “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม” เจ้าสำนักฯ พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง เขาเดินไปตรวจคนเจ็บ แล้วก็ป้อนโอสถให้นางอีก

จ้าวเป่าฉินกลืนโอสถลงไป แม้จะรู้สึกขมๆ ก็อดทนฝืนกินลงไป โอสถแก้ปวดของท่านเจ้าสำนักไม่ช่วยอะไรมาก ทำให้เธอคิดถึงมอร์ฟีนของโลกบ้านเกิดมาก นี่ถ้าฉีดมอร์ฟีนเข้าไปเธอก็ไม่ปวดแล้ว แต่ทำไงได้ล่ะ คนที่นี่ไม่มีมอร์ฟีนนี่นา เฮ้อ…

“ท่านจ้าวสำนักขอรับ เอ่อ เรื่องรับศิษย์ใหม่ปีนี้” ผู้อาวุโสใหญ่เดินมายืนอยู่ตรงหน้าประตูพูดขึ้นมา

ขอโทษที่เล่มสองจะอัพช้าค่ะ เพราะไรท์อยากเขียนเรื่องวุ่นรักแดนสวรรค์ให้จบก่อนค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version