Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1167

ตอนที่ 1167

เมิ่งฮ่าว อย่าหนี

โคมไฟประดับและธวัชหลากสีสัน มองเห็นได้ทั่วทุกที่บนดาวหนานเทียน กลุ่มคนตระกูลฟางบินลงมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เข้าไปในอาณาเขตต่างๆ ของต้าถังแห่งดินแดนตะวันออก ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกมันใช้พลังเวทอันหลากหลาย สร้างเป็นวิหารและแท่นบูชาขนาดใหญ่ขึ้นมา

ตลอดเวลาทั้งหนึ่งเดือน พวกมันเปลี่ยนให้ต้าถังกลายเป็นวิหารที่หรูหราซับซ้อนเหมาะสมกับผู้นำแห่งตระกูลฟาง และยังได้สร้างเป็นถ้ำแห่งเซียนจำนวนมาก เพื่อให้ผู้ฝึกตนอาศัยอยู่อีกด้วย

ต้าถังแห่งดินแดนตะวันออกคือสถานที่ที่ใช้สำหรับจัดงานแต่งตั้งผู้นำตระกูลอย่างยิ่งใหญ่

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากฟางซิ่วเฟิงต้องอยู่บนดาวหนานเทียนหลังจากพิธีแต่งตั้งนี้ ทำให้มันกลายดาวแห่งที่สองของตระกูลฟางไป โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงว่าในตอนนี้ มันได้กลายเป็นสถานที่อันสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับตระกูลฟางไปแล้ว

ฟางโส่วเต้าสั่งการไปในทันที ให้สมาชิกของตระกูลทั้งหมด มาเข้าร่วมการปรับปรุงดาวหนานเทียนกันใหม่ ในเวลาเดียวกันนั้น ก็ทำการติดตั้งประตูเคลื่อนย้ายทางไกลเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เชื่อมต่อกับประตูเคลื่อนย้ายทางไกลหลักบนดาวตงเซิ่ง

สามารถกล่าวได้ว่าดาวหนานเทียนกำลังถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ต้าถังแห่งดินแดนตะวันออกจะมีกองกำลังมารวมตัวกันอยู่เท่านั้น ดินแดนอื่นๆ ก็รวมอยู่ในการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่นี้ด้วยเช่นกัน รวมทั้งดินแดนทางเหนือ, ดินแดนด้านใต้ และทะเลทรายตะวันตก

ในที่สุดดาวทั้งดวงก็กลายเป็นส่วนหลักของตระกูลฟาง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

เพราะว่า…เมื่อไหร่ที่ฟางซิ่วเฟิงกลายเป็นผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการ ก็หมายความว่าผู้นำตระกูลกำลังมาเป็นผู้พิทักษ์อยู่บนดาวหนานเทียน ทำให้กลายเป็นว่าทั่วทั้งตระกูลฟางกำลังมาเฝ้าพิทักษ์อยู่ด้วยเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่ออย่างมากมาย เริ่มเกิดขึ้นในสี่ทวีปใหญ่บนดาวหนานเทียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงดินแดนด้านใต้ เนื่องจากเมิ่งฮ่าวมีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับดินแดนด้านใต้ ทำให้ในที่สุดมันก็กลายเป็นส่วนสำคัญรองลงมาจากดินแดนตะวันออกเท่านั้น และผู้ฝึกตนจำนวนมากก็ให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ในแง่ของการฝึกตนและวิธีการต่างๆ นอกจากนี้สำนักส่วนใหญ่ต่างก็มีความสัมพันธ์กับกองกำลังที่อยู่ด้านนอกในขุนเขาทะเลที่เก้า ทำให้เมิ่งฮ่าวมีตำแหน่งสูงสุดอยู่ในดินแดนด้านใต้!

สำหรับผู้ฝึกตนแห่งดินแดนด้านใต้แล้ว เมิ่งฮ่าวยังมีความสำคัญมากกว่าสำนักของพวกมันเองซะอีก!

สำหรับสำนักอสูรโลหิต นั่นคือสถานที่ที่เมิ่งฮ่าวและสวี่ชิงวิวาห์กัน เนื่องมาจากความต้องการของเมิ่งฮ่าว ทำให้บริเวณรอบๆ สำนักอสูรโลหิตถูกเก็บรักษาไว้เหมือนกับที่มันเคยเป็นมาก่อน

มองเห็นลำแสงหลากสีเป็นริ้วยาวไปทั่วทั้งท้องฟ้าแห่งดาวหนานเทียนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สมาชิกของตระกูลฟางมาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ การมาถึงของพวกมันทำให้พลังลมปราณบนดาวหนานเทียนไม่ลดน้อยลง แต่กลับมีความเข้มข้นมากขึ้น

สำหรับส่วนของตระกูลจี้บนดาวหนานเทียน

พวกมันรู้สึกหวาดกลัวต่อฟางซิ่วเฟิงมานานแล้ว ตอนนี้พวกมันยิ่งถูกบังคับให้ต้องอ่อนน้อมลงไปมากขึ้น ขณะที่สมาชิกตระกูลฟางเริ่มทำการตกแต่งดาวหนานเทียน เมิ่งฮ่าว, ฟางโส่วเต้า, ฟางเหยียนซวี และฟางซิ่วเฟิง เข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวมานานแล้ว

ตลอดช่วงเวลานั้นเมิ่งฮ่าวได้อธิบายให้คนทั้งหมดฟังถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับตระกูลทุกชั้นฟ้า ซึ่งรวมทั้งต้นกำเนิดเต๋าของตนเอง เช่นเดียวกับผลกระทบของเมล็ดเต๋า เขาทำการอธิบายลงไปในรายละเอียดทั้งหมดอย่างไม่ปิดบังใดๆ

ถึงแม้ว่าฟางโส่วเต้าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับคนทั้งหมด สำหรับฟางเหยียนซวีและฟางซิ่วเฟิง คนทั้งคู่ต่างก็รู้สึกกระตือรือร้นต่อสิ่งที่กำลังได้ยินอยู่นี้และเริ่มเข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหมด

“ตระกูลฟางถูกลิขิตให้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว พวกเราไม่เพียงแต่จะเป็นแค่ราชันแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าเท่านั้น พวกเราจะยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นและกลายเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งมากที่สุดในอาณาจักรขุนเขาทะเลทั้งหมด!!” ฟางซิ่วเฟิงกล่าว

“สำหรับตอนนี้ เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับฮ่าวเอ๋อร์ต้องเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด มีเพียงคนที่อยู่ในอาณาจักรเต๋าเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติที่จะรับรู้ถึงความจริงนี้!” หลังจากที่ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แล้ว ฟางซิ่วเฟิงก็ให้คำแนะนำว่าเมิ่งฮ่าวน่าจะอยู่บนดาวตงเซิ่งต่อไป

เมิ่งฮ่าวฝืนยิ้มออกมาและกล่าวปฏิเสธไปอย่างแนบเนียน ถ้าคนอื่นๆ เป็นผู้ให้คำแนะนำนี้ เขาก็แค่ไม่ต้องให้ความสนใจ แต่เมื่อเป็นบิดาของตนเอง เขาก็ได้แต่กล่าวอธิบายในหลายมุมมองด้วยความสุภาพ ถึงแม้ว่าฟางซิ่วเฟิงจะขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมรับ

ถึงจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่ในที่สุดเขาก็เกลี้ยกล่อมบิดาได้สำเร็จ และจากนั้นก็ออกไปหามารดา เขานำสิ่งของทั้งหมดที่ซื้อมาจากตลาดยื่นส่งให้อย่างรวดเร็ว เมิ่งลี่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับนางแล้วไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะซื้ออะไรมาให้ ความรู้สึกในจิตใจเขา คือสิ่งที่สำคัญมากที่สุด

“เจ้านี่ มักจะใช้จ่ายอย่างมือเติบมาโดยตลอด! เจ้าต้องเรียนรู้วิธีการประหยัดบ้าง! เจ้ายังจำสิ่งที่เหนียงสอนเจ้าในตอนเยาว์วัยได้หรือไม่?

ถ้าเจ้ามีเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ ให้แบ่งออกเป็นสองส่วนก่อนที่จะใช้มัน หลักการนี้นำมาใช้กับหินลมปราณได้เช่นเดียวกัน”

“นอกจากนี้ เจ้ายังเป็นเด็กที่มีน้ำใจ คิดถึงแต่คนอื่น ซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง! ถึงแม้ว่าเจ้าจะฉลาด แต่ก็ต้องจำในสิ่งที่เหนียงเคยสอนไว้ อย่าปล่อยให้ตนเองถูกผู้อื่นหลอกลวงได้!”

“โลกแห่งการฝึกตนเป็นสถานที่ที่มีแต่เจ้าหลอกลวงข้า ข้าคดโกงเจ้า และเจ้าต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่เหนียงกังวลมากที่สุด เจ้าทั้งจิตใจดี คิดถึงแต่คนอื่น ซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกับพี่สาวเจ้า นางมีส่วนคล้ายกับเตียเจ้ามากกว่า มักจะหวาดระแวงไปทุกเรื่อง” เมิ่งลี่ส่ายหน้า และแววตาก็เต็มไปด้วยความห่วงใย

เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าแปลกๆ ปรากฏขึ้น ขณะที่รับฟังคำสอนของมารดา ใบหน้าก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้น มองไปยังมารดาอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้พูดจาเหน็บแนมตนเองอยู่

“เหนียง ข้า…ข้าไม่เคยถูกหลอกลวงมาก่อน” เมิ่งฮ่าวกล่าวอธิบาย

“ยังบอกว่าไม่ถูกหลอกลวงอีก เจ้านำสิ่งของทั้งหมดนี้มาให้เหนียง ดูแค่แวบเดียวก็รู้ว่าต้องใช้เงินไปไม่น้อย ทำให้ผู้คนต้องกลวงไปทั้งร่างได้เลย” เมิ่งลี่รู้สึกเจ็บปวดใจ

“ข้าไม่ได้กลวง ข้า…”

เมิ่งฮ่าวรีบกล่าวอธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเทียนอวิ๋นซ่างเหริน ยกเว้นเรื่องเหรียญหยก เนื่องจากเกรงว่ามารดาจะรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม เขาจะรอจนกว่ารวบรวมเบาะแสได้มากกว่านี้ ก่อนที่จะแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้นางทราบ หลังจากที่กล่าวจบ เมิ่งลี่ก็ขมวดคิ้ว มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าที่วิตกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม

“เด็กโง่ ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนั้น?” นางกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

“เจ้าไม่ควรจะสังหารเทียนอวิ๋นซ่างเหรินไปตรงๆ เจ้าเด็กโง่ ยังบอกว่าไม่กลวงอีก เจ้าควรจะรู้ว่าทุกคนต่างก็มีสหายและครอบครัว เช่นเดียวกับเทียนอวิ๋นซ่างเหริน เหนียงเคยได้ยินมาว่า มันมีสหายอยู่มากมาย เจ้าควรจะปล่อยมันไป มันต้องไปขอความช่วยเหลือจากสหายอย่างแน่นอน และเจ้าก็ตามมันไปเพื่อดูว่าใครเป็นสหายของมันบ้าง”

“จากนั้นเจ้าก็สามารถไปปล้นชิงพวกมันได้ทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องหาข้ออ้างใดๆ ช่างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่ง ฮ่าย, บุตรผู้นี้ช่างเหมือนข้าซะจริงๆ ซื่อสัตย์มากเกินไป” มารดาเมิ่งฮ่าวกล่าวจบก็หัวเราะหึๆ ด้วยความขมขื่นออกมา

ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้างขึ้น ด้วยความตกตะลึง

“ยังมีอีกเหตุผล ที่เจ้าไม่ควรสังหารมัน” นางกล่าวต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้แข็งแกร่งเสมือนเต๋ามีราคามากแค่ไหน? ถ้านำมันไปยังขุนเขาทะเลที่แปด เจ้าสามารถจะขายมันไปด้วยราคาที่น่าประหลาดใจยิ่ง เจ้ามีประสบการณ์น้อยเกินไป สายตายังไม่กว้างไกลพอ มองเห็นแค่ตลาดเก่าๆ มันจะมีค่าสักเท่าไหร่กัน?”

“เจ้าลองคิดดูให้รอบคอบ ยังจะบอกว่าไม่กลวงอีก ยังจำสิ่งที่เหนียงเคยสอนเจ้าตอนยังเยาว์ได้หรือไม่? เมื่อออกจากบ้านแล้วเห็นสิ่งที่มีค่า ถ้าเจ้าไม่หยิบมันขึ้นมา ก็เหมือนกับว่าเจ้าทำมันหายไป!”

“ยังมีอีกเรื่องก็คือ ตลอดทั้งร่างของผู้แข็งแกร่งเสมือนเต๋าคือของวิเศษในตัวของมันเอง ถ้าเจ้าสังหารมันไป ก็น่าจะนำซากศพมันไปยังขุนเขาทะเลที่สี่ เพื่อรับเงินเป็นจำนวนมากขึ้น”

“กระดูกของผู้แข็งแกร่งเสมือนเต๋ายังมีราคาสูงอยู่ในขุนเขาทะเลที่เจ็ดอีกด้วย นอกจากนั้นเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะพบเจอได้ตลอดเวลา แต่เจ้ากลับโยนทุกอย่างทิ้งไป! ฮ่าย, เจ้าสัตย์ซื่อมากเกินไป เถรตรงมากเกินไปจริงๆ”

เมื่อมารดากล่าวจบ เสียงของนางยังคงดังหึ่งๆ อยู่ในหูของเมิ่งฮ่าว ทำให้เขาต้องจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง

หลังจากผ่านไปสักพัก ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ตบไปที่ต้นขาของตัวเอง มีท่าทางขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ใช่แล้ว! ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้นะ?” จิตใจรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทง เมื่อคิดไปถึงหินลมปราณจำนวนมากที่ต้องสูญเสียไป

เมิ่งลี่ถอนหายใจ เอามือลูบไปที่เส้นผมของบุตรชาย มีท่าทางวิตกกังวลเหมือนก่อนหน้านี้

“เจ้าต้องหัดคิดให้มากกว่านี้ ถ้ายังเป็นเช่นนี้อีกต่อไป เหนียงจะต้องวิตกเกี่ยวกับเจ้าตลอดไป” ขณะที่นางกล่าว ใบหน้าเมิ่งฮ่าวก็บิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียดขึ้น ดูเหมือนว่าเมิ่งลี่จะสังเกตเห็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเมิ่งฮ่าว และใบหน้านางก็มีรอยยิ้มขึ้นมา

“พี่สาวเจ้ากลับมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ากลับมาตั้งแต่จากไป เจ้าน่าจะทำตัวให้เหมือนกับพี่สาว นางกลับมาเยี่ยมทุกครั้ง และมักจะถามว่าเจ้ากลับมาด้วยหรือไม่ ใช่แล้ว ทุกครั้งที่นางมาเยี่ยม ก็มักจะนำเจ้าเด็กที่ร่ำรวยมาด้วยเสมอ” ทันใดนั้นแววตาของเมิ่งลี่ก็แวบประกายแสงแห่งความเจ้าเล่ห์ออกมา ขณะที่นางกล่าวจบ ประตูก็พังทลายลงไปพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง

“เมิ่งฮ่าว เจ้าน่าจะโดนพันดาบสับร่าง!! ในที่สุดข้าก็พบเจ้าแล้ว!” หญิงสาวเยาว์วัยบินผ่านเศษซากประตูเข้ามา ดูคล้ายกับเป็นมังกรพิโรธ มีพื้นฐานฝึกตนที่ลึกล้ำ เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในเซียนขั้นห้า นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นพี่สาวของเมิ่งฮ่าว, ฟางอวี๋!

โชคดีที่ฟางซิ่วเฟิงมีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับสำนักตี้เซียน (เซียนจักรพรรดิ) ทำให้นางได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในที่แห่งนั้น หลังจากที่เข้าสังกัดนางก็มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้ไม่อาจจะถือได้ว่าเป็นคนพิเศษในท่ามกลางกลุ่มคนรุ่นเดียวกัน แต่ก็สามารถจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคง ทำการทะลวงผ่านได้ทุกครั้ง ทำให้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้น

แรงระเบิดที่นางเพิ่งจะสร้างขึ้น ทำให้อาคารทั้งหลังสั่นสะเทือน เมิ่งลี่มีสีหน้าประหลาดใจ และจากนั้นก็แวบออกไปยังที่ห่างไกลในทันที

“พวกเจ้าพี่สาวน้องชายไม่ได้พบกันหลายปี ลองพูดคุยถึงเรื่องสมัยก่อนกันฮ่าวเอ๋อร์ พี่สาวเจ้ามีอารมณ์ที่รุนแรง แต่เจ้าก็เป็นผู้ชาย ยอมได้ก็ยอมไป!” เมิ่งลี่ร้องตะโกนออกมา

“ไม่จำเป็นต้องยอม! เมิ่งฮ่าว อย่าหนี!! ข้าสัญญาว่าจะไม่ตีเจ้าจนตาย!! คาดไม่ถึงว่าเจ้าบังอาจสอนให้ตัวบัดซบซุนไห่มาจัดการข้า เจ้า เจ้า เจ้า…ข้าเป็นพี่สาวเจ้า หรือว่ามันเป็นพี่สาวเจ้ากันแน่!?” พร้อมโทสะที่ลุกโชนขึ้นมา ฟางอวี๋แผดร้องคำรามและพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

“ท่านคือพี่สาวข้า! มันเป็นบุรุษ ไม่อาจจะเป็นพี่สาวข้าได้ ต่อให้มันต้องการก็ตามที!” เมิ่งฮ่าวพุ่งออกไปทางด้านหลังในทันที เขารู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นซุนไห่ที่ศีรษะล้านคอยติดตามอยู่ด้านหลังฟางอวี๋อย่างใกล้ชิดราวกับเป็นคนรับใช้ รอยยิ้มของเมิ่งฮ่าวก็ยิ่งขมขื่นมากขึ้นไปเรื่อยๆ

ย้อนกลับไปในตอนที่เขาเก็บดอกเบี้ยบางส่วนมาจากซุนไห่ เขาเคยอธิบายถึงวิธีการเอาชนะใจหญิงสาวที่มันติดพันอยู่ แต่ในตอนนั้นเมิ่งฮ่าวจะไปรู้ได้อย่างไรว่า หญิงสาวที่ซุนไห่กำลังพูดถึงจริงๆ แล้วก็คือพี่สาวของตัวเอง?

หลังจากที่สอบถามจนแน่ใจ เขาคิดว่าจะสอนบทเรียนให้ซุนไห่บ้าง แต่ก็มีเรื่องอื่นสอดแทรกเข้ามาก่อน เมื่อเขาหันหน้าไปก็ไม่เห็นซุนไห่แล้ว ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องจมอยู่ในความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก

จากเสียงร้องตะโกนของฟางอวี๋ ทำให้เมิ่งฮ่าวตระหนักได้ในทันทีว่า ซุนไห่ได้ขายตนเองออกไปแล้ว

“ซุนไห่!” เมิ่งฮ่าวร้องตวาดขึ้น ถึงเขาจะไม่กล้าลงมือต่อฟางอวี๋ แต่สำหรับซุนไห่แล้วเขาไม่มีความวิตกเช่นนั้นแม้แต่น้อย ขณะที่เข้าไปใกล้ เขากำลังจะลงมือไปยังซุนไห่ แต่ทันใดนั้นซุนไห่ก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ

“ซุนไห่ขอน้อมพบจิ้วเกอ ข้าไม่เคยลืมความเมตตาที่ท่านมอบให้กับข้าในวันนั้น” ด้วยเช่นนั้น ซุนไห่ก็หยิบเอาถุงสมบัติออกมา

“จิ้วเกอ นี่คือหินลมปราณทั้งหมดที่ข้าเป็นหนี้ท่านเมื่อปีนั้น ข้ารวมดอกเบี้ยไว้ด้วยแล้ว ขอให้จิ้วเกอได้โปรดรับไว้”

ซุนไห่โยนถุงสมบัติตรงไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังตกตะลึงอยู่อย่างรวดเร็ว นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาจ่ายหนี้เขาก่อน โดยที่ไม่ต้องขบคิด เมิ่งฮ่าวคว้าจับไว้ในทันที

ซุนไห่รีบไปยืนอยู่ตรงหน้าเมิ่งลี่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงผลุบ มันคุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้านาง

“ซุนไห่ขอน้อมพบผอหมู่ ขอให้ผอหมู่มีสุขภาพแข็งแรง นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่มาอย่างรีบร้อน ขอให้ผอหมู่โปรดรับไว้ หวังว่าผอหมู่จะงดงามและเยาว์วัยไปตลอดกาล” ด้วยเช่นนั้น ซุนไห่ก็ลุกขึ้นมายืนและส่งถุงสมบัติให้กับเมิ่งลี่

เมิ่งลี่รับไว้ หลังจากที่มองไป ก็มีรอยยิ้มอันอบอุ่นขึ้นมา

“เด็กผู้นี้มักจะนำของขวัญมาให้ข้าทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทเช่นนี้ก็ได้!”

——————–

หมายเหตุ:

  1. 1. ปกติแล้วน้องชายของภรรยาจะเรียกว่า เสี่ยวจิ้ว (小舅) แต่ในที่นี้ เข้าใจว่าซุนไห่ไม่กล้าเรียกเมิ่งฮ่าวด้วยคำนี้ เลยใช้คำว่าจิ้วเกอ (舅哥) แทน
  2. 2. แม่ยายจะเรียกว่า เยวี่ยหมู่ (岳母) แต่ซุนไห่ใช้คำว่า ผอหมู่ (伯母) แทน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version