Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 583

ตอนที่ 583

สิบสองคำ

ในตอนนี้ พวกมันทุกคนแทบไม่อาจจะทนรอ เพื่อให้รู้ว่าบุคคลผู้นั้นคือใคร เจ้าขี้โกงบัดซบนี้ได้แต่พึ่งพาความช่วยเหลือจากอาวุธเวทอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนไปถึงชั้นสี่สิบได้ ไม่เพียงแต่ศิษย์สำนักเซียนอสูรเท่านั้นที่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ฝึกตนจากดาวหนานเทียนทั้งหมด ต่างก็กระหายใคร่รู้ด้วยเช่นเดียวกัน

ถึงแม้จะมีบางคนได้คาดเดาว่าเป็นเคอจิ่วซือไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจจะยืนยันได้ นอกจากนี้ พวกมันก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงพูดคุยเกี่ยวกับข้อสงสัยนี้

ในตอนนี้ ไม่ว่ากลุ่มฝูงชนจะยอมรับ หรือกำลังจะยอมรับมัน และถึงแม้จะมีผู้คนมากมายได้เข้าไปในเจดีย์เซียนอสูรในครั้งนี้ แต่ตอนนี้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่

การคงอยู่ของคนผู้นี้ ทำให้พวกมันรู้สึกคันปากเป็นอย่างยิ่ง ในด้านหนึ่ง พวกมันเกลียดชังคนผู้นี้ลึกลงไปจนถึงกระดูก แต่ในอีกด้าน พวกมันก็รู้สึกอิจฉาแทบตาย

ถ้าเหตุการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ บางทีเมื่อถึงตอนสุดท้าย เมื่อพวกมันพบว่าแสงที่เจิดจ้านั้นก็คือเมิ่งฮ่าว ก็อาจจะมี ‘เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด’ เกิดขึ้นก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวได้ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นในชั้นที่สี่สิบแล้วก็ตามที

หินอสูรหนึ่งล้านก้อนค่อยๆ ร่อยหรอไม่เพียงพอ นอกจากนี้ เมิ่งฮ่าวก็ไม่ใช่เคอจิ่วซือจริงๆ หินอสูรเหล่านี้ให้เขาหยิบยืมมาใช้ได้เท่านั้น เขาไม่อาจจะดูดซับมันเข้าไปได้ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้กังวลใจที่จะสูญเสียพวกมันไป

“ทำเช่นนี้ไม่น่าจะได้ผล” เมิ่งฮ่าวคิดด้วยความกระวนกระวายใจ “ข้าจำเป็นต้องมีหินอสูรเพิ่มขึ้นอีก…”ตอนนี้ ของวิเศษของเขาลดลงไปเหลือเพียงแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น หลังจากที่ทำให้ชั้นสี่สิบกลายเป็นซากปรักหักพัง เมิ่งฮ่าวก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันจากมุมมองที่แตกต่างกันนับร้อย และในที่สุดก็มีความคิดขึ้นมาหนึ่งอย่าง เขาตั้งใจจะใช้พลังของพื้นฐานฝึกตนยิงมันขึ้นไป เขาขว้างอาวุธเวทจำนวนมากมายออกไป ใช้แสงของมันก่อตัวขึ้นเป็นคำพูดหนึ่งประโยค

เพื่อให้อ่านได้ง่ายดาย จึงไม่อาจจะมีคำพูดที่ยาวไป จากด้านนอกของเจดีย์ มองเห็นแสงของอาวุธเวทปกคลุมพื้นที่เกือบครึ่งของชั้นที่สี่สิบ อย่างช้าๆ ประโยคที่ประกอบด้วยคำพูดสิบสองคำก็เริ่มมองเห็นได้

“เตีย, ข้ามีหินอสูรไม่พอ โปรดส่งมาให้อีก”

ทันทีที่เริ่มมองเห็นคำพูดเหล่านี้ ศิษย์สำนักเซียนอสูรที่อยู่ด้านนอกเจดีย์ ต่างก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่มาจากดาวหนานเทียน

เพียงชั่วพริบตา ทั่วทั้งโลกแห่งนี้ก็ตกอยู่ในความเงียบราวความตาย

ในที่สุดทุกคนก็ตระหนักถึงความหมายของคำพูดเหล่านั้น พวกมันเต็มไปด้วยความประหลาดใจโดยสิ้นเชิง

“มากเกินไปแล้ว! มากเกินไปจริงๆ!!”

“นี่มันโกงกันอย่างหน้าด้านๆ! มันไม่ได้พยายามจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย! ช่างน่าโมโหนัก!!”

“มีใครบางคนกำลังจะส่งหินอสูรเข้าไปอีก?! เจ้าบัดซบสารเลว! มันคิดว่ามันเป็นใคร? มันคิดว่าวิชาทั้งหมดในเจดีย์เซียนอสูรนี้เป็นของมันจริงๆ!?”

ศิษย์สำนักเซียนอสูรกำลังหอบหายใจ และโทสะของพวกมันก็บรรลุถึงจุดเดือดพล่าน

แต่ผู้ที่มีโทสะมากที่สุดก็คือ ผู้ฝึกตนที่มาจากดินแดนแห่งดาวหนานเทียน ความโกรธเกรี้ยวของพวกมันเต็มไปด้วยความขุ่นมัวและกังวลใจ แต่พวกมันก็ต้องยอมรับว่า ได้พ่ายแพ้ให้กับคนที่ตายมานานแล้ว ในโลกแห่งภาพลวงตานี้

ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันต่างก็รู้สึกว่าเป็นความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจจะยอมรับได้

ยกเว้นฟางอวี๋ นางยืนห่างออกไปไกล เอามือปิดปากเพื่อปกปิดเสียงหัวเราะ นางแทบจะสั่นไปทั้งตัวจากการหัวเราะนี้ และดวงตาก็เปลี่ยนเป็นดวงจันทร์เสี้ยวอันสวยงาม ซึ่งส่องเป็นแสงอันงดงามออกมา

สำหรับประมุขยอดเขาทั้งหก พวกมันมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ขณะที่มองไปยังเคออวิ๋นไห่ รอยยิ้มอันแห้งแล้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกมัน

เคออวิ๋นไห่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ จ้องมองไปยังตัวอักษรเหล่านั้นด้วยความงุนงง สีหน้ามันเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพึมพำกับตัวเอง จากนั้นร่างก็แวบขึ้น ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของศิษย์สำนักเซียนอสูรนับแสน มันบินตรงไปยังเจดีย์

“ประมุขอวิ๋นไห่ ท่านกำลังจะ…” หนึ่งในประมุขคนอื่นๆ กล่าวขึ้น

“ท่านกำลังจะไปลงโทษคนผู้นั้นอย่างแน่นอน!” ใครบางคนในฝูงชนกล่าวขึ้น “ใครที่มาคดโกงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ท่านไม่อาจจะยอมรับได้!”

“ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่จู่ๆ ก็นึกไปถึงเคอจิ่วซือ…”

ขณะที่กลุ่มศิษย์เริ่มลังเล เคออวิ๋นไห่ก็เข้าไปใกล้เจดีย์เซียนอสูร มันหยุดอยู่ที่ด้านนอกชั้นสี่สิบ จากนั้นก็หยิบเอาถุงสมบัติออกมาจากภายในเสื้อของมันอย่างช้าๆ ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ขณะที่มันผลักถุงไปติดกับพื้นผิวของเจดีย์ จากนั้นก็หยิบเอาเหรียญประมุขของมันออกมา

ทันใดนั้น ถุงสมบัติก็จมหายเข้าไปในเจดีย์

“ระมัดระวังตัวด้วย” มันกล่าวพร้อมหัวเราะ “ขึ้นไปให้ถึงชั้นเก้าสิบเพื่อเตียเจ้าด้วย!” ด้วยเช่นนั้น มันจึงกลับไปนั่งขัดสมาธิอยู่ในกลางอากาศ ไม่สนใจกลุ่มฝูงชนทั้งหมดที่กำลังมองมาที่มัน

หลังจากที่เงียบไปสักพัก เสียงอึกทึกโกลาหลก็ดังขึ้นมาในทันที

“มันก็คือเคอจิ่วซือ! บัดซบ! เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน!!”

“ไม่ยุติธรรม! นี่มันคดโกงกันอย่างหน้าด้านๆ! พวกเรารับไม่ได้!!”

“ที่แท้ก็คือมัน เคอจิ่วซือ นั่นเอง!!” ศิษย์หลักยอดเขาแรกกล่าว กัดฟันแน่น

“มีแต่มันเท่านั้นที่จะมีอาวุธเวทมากมายเช่นนี้” ศิษย์สายในยอดเขาสองกล่าว จิตใจมันเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งและอิจฉา ”มันขึ้นไปจนถึงชั้นสี่สิบ นี่…นี่…”

“แค่คดโกงยังไม่เท่าไหร่” ศิษย์อีกคนกล่าว “แต่มันก็ยังคงไม่ละอายใจ ขอเติมหินอสูรในช่วงระหว่างการต่อสู้อีกด้วย มากเกินไปแล้ว!!”

เหล่าศิษย์ส่งเสียงกันอย่างอึกทึกวุ่นวาย สำหรับผู้ฝึกตนดาวหนานเทียน จิตใจพวกมันกำลังเต้นรัว พวกมันบางคนรู้สึกว่าเมื่อเร็วๆ นี้ มีบางสิ่งที่ผิดปกติกำลังเกิดขึ้นกับเคอจิ่วซือ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มคนที่รู้จักเมิ่งฮ่าว เพียงมองแค่แวบเดียว พวกมันส่วนใหญ่ก็สามารถบอกได้ว่า มีบางสิ่งแปลกๆ กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ เรื่องที่เมิ่งฮ่าวกลายเป็นเคอจิ่วซือ ก็ไม่ได้เป็นความลับในท่ามกลางกลุ่มคนจากดาวหนานเทียน

แม้แต่กลุ่มคนจากตระกูลจี้ก็รู้เรื่องนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะจี้เซี่ยวเซี่ยว กลุ่มคนตระกูลจี้ จึงไม่มีความต้องการสังหารเมิ่งฮ่าวมากเกินไปนัก

หานเป้ยได้แต่ฝืนยิ้มออกมา และพยายามควบคุมลมหายใจที่ติดขัด นางไม่อาจจะกล่าวอะไรออกมาได้ แต่ความชื่นชมในตัวเมิ่งฮ่าวของนางได้บรรลุถึงจุดสูงสุด

ใบหน้าหวังลี่ไห่บิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความขัดข้องขุ่นเคืองใจ จากนั้นก็กลายเป็นโทสะ และในที่สุดก็กลายเป็นการที่ไม่อาจจะทำอะไรได้

ม่านตาปรมาจารย์ฮูเหยียนหดเล็กลง มันพบว่าเมิ่งฮ่าวก็คือเคอจิ่วซือมานานแล้ว และพยายามจะหลีกเลี่ยงหลบหน้าเขามาโดยตลอด ถึงแม้ว่ามันไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา แต่ความอิจฉาที่มันมีต่อเมิ่งฮ่าวก็บรรลุถึงขีดสุด และกลายเป็นเปลวไฟแห่งโทสะ

สำหรับฟางอวี๋ นางมีสีหน้าแปลกๆ ขณะที่มองไปยังชั้นที่สี่สิบ ยากที่จะบอกได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ฝึกตนจากดินแดนตะวันออก, ดินแดนทางเหนือ, ดินแดนด้านใต้ และดินแดนสีดำก็คือ…ไม่อาจจะทำอะไรได้ เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการคดโกงเช่นนี้ พวกมันรู้สึกว่าไม่อาจจะกระทำสิ่งใดได้อย่างแท้จริง

ถึงแม้กลุ่มศิษย์สำนักเซียนอสูรมากมายต่างก็มีโทสะ แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยที่จะพูดถึงเมิ่งฮ่าวเป็นเสียงดังออกมา บุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ถูกตามใจของสำนัก และเป็นสมาชิกของพันธมิตรอสูร พวกมันให้การหนุนหลังเมิ่งฮ่าว ทำให้เกิดเป็นความโกลหลสับสนวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม

ในท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมนั้น ประมุขแห่งยอดเขาที่เจ็ด ชายชราที่มีท่าทางราวกับเซียนผู้วิเศษ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชา และจากนั้นก็กล่าวว่า “หุบปาก!”

เสียงอันน่าตกใจนี้ ทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน

ทันใดนั้น ศิษย์ในสำนักก็ปิดปากลง จิตใจพวกมันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

“เจดีย์เซียนอสูรไม่ควรจะเปิดออกในยุคนี้” ชายชรากล่าวต่อ “วันนี้มันถูกจัดเตรียมขึ้นมาเพื่อเคอจิ่วซือโดยเฉพาะ”

ไม่มีคำอธิบายมากไปกว่านี้ มีเพียงประโยคความจริงนี้เท่านั้น แต่ก็ทำให้จิตใจของทุกคนในบริเวณนั้นหมุนเคว้งคว้าง ในเวลาเดียวกันนั้น คนทั้งหมดก็มีคำถามเดียวกันขึ้น

ทำไมถึงไม่มีผู้อาวุโส หรือแม้แต่ศิษย์ชั้นยอด เข้าไปในเจดีย์?

เห็นได้ชัดว่า เจดีย์นี้ถูกเปิดออกเพื่อเคอจิ่วซือโดยเฉพาะอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่าผู้คนในสำนักที่รู้เรื่องนี้ ไม่ต้องการจะมาเข้าร่วมด้วย แม้แต่ศิษย์ชั้นยอดหรือผู้อาวุโส ถ้าพวกมันมาร่วมด้วย ก็คงจะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อยอดเขาสี่เป็นอย่างมาก

ทุกคนมองไปอย่างเงียบๆ ขณะที่แสงแห่งอาวุธเวท ปกคลุมล้อมรอบเมิ่งฮ่าวอยู่บนชั้นสี่สิบ อาวุธเวทและยันต์ป้องกัน ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างอิสระ ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งออกมาจากชั้นสี่สิบ

หนึ่งในร้อยวิชาแรกอีกหนึ่งเวทปรากฏขึ้น ทำให้กลุ่มฝูงชนที่ด้านนอกยิ้มอย่างขมขื่นออกมา พวกมันได้แต่มองดูเมิ่งฮ่าว ไม่อาจจะกล่าวอะไรออกมาได้

พวกมันมองดูต่อไป ขณะที่แสงแห่งอาวุธเวทของสำนักเซียนอสูร พุ่งขึ้นจากชั้นสี่สิบไปยังชั้นสี่สิบเอ็ด จากนั้นก็สี่สิบสอง, สี่สิบสาม…เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไปปรากฏขึ้นที่ชั้นห้าสิบ

จากนั้นก็หกสิบ…

ตลอดเส้นทาง แสงแห่งอาวุธเวทเปล่งประกายเต็มท้องฟ้า ขณะที่คนทั้งหมดมองไป หนังศีรษะก็ค่อยๆ เริ่มด้านชา ทุกๆ สิบชั้น เมื่อเวทแห่งเต๋าปรากฏขึ้น จิตใจพวกมันก็เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งและอิจฉา

มีการฉ้อโกงและการเติมเต็มหินอสูรตลอดเส้นทาง จะมีอะไรที่สามารถเปรียบเทียบกับความเจ้าเล่ห์เช่นนี้ได้อีก…?

สำหรับความโกรธเกรี้ยว เมื่อประมุขยอดเขาเจ็ด ได้กล่าวว่า เจดีย์เซียนอสูรนี้ถูกเปิดออกเพื่อเคอจิ่วซือโดยเฉพาะ แล้วจะมีใครกล้ามีโทสะอีก…?

ไม่นานต่อมา กลุ่มฝูงชนก็ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ และเริ่มพูดคุยเรื่องราวนี้อยู่ในท่ามกลางพวกเดียวกัน

“ฮึ่ม ถึงแม้ท่านประมุขจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่การคดโกงเพื่อให้ได้รับโชควาสนา ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่จะทำให้มีความก้าวหน้าอย่างมั่นคงตลอดไป!”

“นั่นก็ใช่แล้ว! นอกจากนี้ ใครจะไปรู้ว่ามันจะสามารถผ่านไปจนถึงชั้นที่เจ็ดสิบได้หรือไม่!”

ผู้ที่ไม่พอใจมากที่สุด ก็คือผู้ฝึกตนจากดาวหนานเทียน พวกมันรู้สึกอิจฉา และมีโทสะเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน

อันที่จริง ผู้ฝึกตนจากดาวหนานเทียนทั้งหมด ต่างก็กำลังหลอกลวงคดโกงอยู่ พวกมันเหมือนกับคนที่ไปสอบ แต่ก็รู้ว่ามีคำถามอะไรบ้าง เมื่อพวกมันเข้าไปในห้องสอบ กลับพบว่าใครบางคนมีอาจารย์ยืนอยู่ด้านข้างคอยช่วยเหลือ นั่นก็เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้

บุรุษหนุ่มที่มาจากตระกูลสายโลหิตจักรพรรดิ แห่งดินแดนทางเหนือ ขบฟันแน่น “ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าตายอยู่ในนั้น!” มันคิด

ในกลุ่มคนจากดาวหนานเทียน มีหญิงสาวเยาว์วัยด้วยเช่นกัน สีหน้านางสงบนิ่ง แต่ดวงตาสาดประกายด้วยแสงแวววาว ขณะที่มองไปยังเจดีย์เซียนอสูร

“ท่านอาจารย์เคยบอกข้าว่า มีบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับมัน…” นางพึมพำกับตัวเอง “จริงๆ แล้ว ก่อนที่จะมายังที่แห่งนี้ ท่านได้บอกให้ข้าเฝ้าจับตาดูมันเป็นพิเศษ เมิ่งฮ่าว ท่านมีอะไรพิเศษจนอาจารย์ข้าต้องให้ความสนใจมากเป็นอย่างยิ่ง?” หญิงสาวเยาว์วัยผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นเต้าจื่อสำนักเซี่ยเยา (อสูรโลหิต) แห่งดินแดนด้านใต้, หลี่ซือฉี

ชั้นที่หกสิบเอ็ด หกสิบแปด หกสิบเก้า!

เมิ่งฮ่าวรู้สึกตกใจอยู่ตลอดเวลา คู่ต่อสู้ในตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนอีกต่อไป แต่เป็นอสูรอันยิ่งใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกๆ บางตัวก็มีขนาดใหญ่โตจนเพียงพอที่จะบดขยี้เขาให้ตายไป ด้วยการตบลงมาเพียงแค่ครั้งเดียว

ถ้าไม่มีเกราะป้องกัน เมิ่งฮ่าวก็คงจะตายไปแล้วหลายครั้ง ท่ามกลางเสียงกระหึ่มกึกก้องขนาดใหญ่ ในที่สุดเขาก็ก้าวเท้าลงไปบนชั้นที่เจ็ดสิบ

เริ่มต้นจากชั้นนี้ ถ้าผ่านไปได้ รับประกันว่าเขาก็จะได้รับเวทแห่งเต๋า หนึ่งในสิบวิชาแรกอย่างแน่นอน!เวทแห่งเต๋าสิบวิชาแรก แม้แต่ในสมัยโบราณ ก็เป็นวิชาที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งในจิ่วซานไห่ ในโลกของการฝึกตนสมัยปัจจุบันนี้ พวกมันก็คือตำนานในตำนาน!

ทันทีที่เขาผ่านเข้าไปในชั้นที่เจ็ดสิบ ก่อนที่สายตาของเมิ่งฮ่าวจะเริ่มมองเห็นได้ชัดเจน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่มีความภาคภูมิใจอย่างสูงส่งดังขึ้น

ทันทีที่เขาได้ยินเสียงนี้ เมิ่งฮ่าวก็อ้าปากค้าง เหตุผลก็เพราะว่าเสียงนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่น่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง

“เด็กน้อย เจ้าต้องการจะผ่านชั้นนี้? เหล่าฟู (ผู้เฒ่า) มีนามว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะ มา มา มา เหล่าฟูจะมอบโชควาสนาบางอย่างให้กับเจ้า…”

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version