Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 751

ตอนที่ 751

กลับไปยังดินแดนสงบสุข

เมิ่งฮ่าวได้รับเวทผนึกกรรมมาจากปรมาจารย์อสูรโลหิต ในตอนที่เขาบรรลุถึงระดับสี่แห่งเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต มันเป็นวิชาเวทที่เป็นของผู้ผนึกอสูรเพียงผู้เดียว และเป็นสิ่งที่มีแต่ผู้ผนึกอสูรเท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้และใช้ออกมาได้

เมิ่งฮ่าวได้รู้แจ้งเกี่ยวกับเวทนี้อยู่ภายในใจมานานแล้ว แต่หลังจากที่ทดสอบมัน เขาก็พบว่าไม่อาจจะทำได้สำเร็จไปทุกครั้ง ตอนนี้เมื่อเขาเห็นภูติน้อยสีดำกำลังจะหลบหนีจากไป ความเย็นชาก็เต็มอยู่ในดวงตา และเขาก็ปลดปล่อยวิชาเวทนี้ออกมาในทันที

เมื่อเขายกมือขึ้น และจากนั้นก็สับลงไป ทั่วทั้งโลกแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะหยุดชะงักนิ่ง ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นเส้นใยที่คล้ายกับเส้นไหมมากมายนับไม่ถ้วน เชื่อมต่ออยู่กับคนทั้งหมด เส้นใยเหล่านั้นห่อหุ้มพันกันเป็นเกลียวเข้าด้วยกัน ขณะที่กระจายออกไปในอากาศ เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกแห่งนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวได้เห็นสิ่งที่เป็นเช่นนี้ การตัดกรรมของตระกูลจี้ก็ทำให้เกิดภาพเช่นเดียวกันนี้

แต่เมิ่งฮ่าวเป็นผู้ผนึกอสูร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตัดกรรม แต่เขาจะผนึกมันไว้!

การตัดกรรม แน่นอนว่าก็คือการตัดออกไป ในขณะที่การผนึกกรรม ก็คือการผนึกชนิดหนึ่ง!

การตัดกรรมของใครบางคนด้วยเวทตัดกรรม ผลลัพธ์ก็คือคนผู้นั้นตกตายไปโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีร่างจำแลงมากมายเพียงใด ความทรงจำทั้งหมดที่คงอยู่ภายในจิตใจของคนผู้นั้นจะถูกลบไป ด้วยการลบภาพของผู้คนทั้งหมดในจิตใจไป ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะยังคงมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ก็ต้องตายไปอย่างแน่นอน

เวทแห่งเต๋าที่น่ากลัวเช่นนั้น เป็นเวทพื้นฐานของตระกูลจี้ และจริงๆ แล้ว ก็สามารถจะถือว่าเป็นวิชาที่ทรงพลังมากที่สุดในขุนเขาที่เก้า เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็แน่นอนว่า สวรรค์แห่งขุนเขาที่เก้าแห่งนี้…ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นจี้เทียน (天 = เทียน แปลว่าสวรรค์ เป็นชื่อของราชันจี้)

สำหรับเมิ่งฮ่าว เวทผนึกกรรมของเขาเป็นแค่การนำกรรมมาผนึกไว้เท่านั้น

สามารถที่จะใช้กรรมของตัวเองมาผนึกตนเองไว้!

ยิ่งมีกรรมมากเท่าใด การผนึกก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นมนุษย์ธรรมดา, เซียน หรือผู้แข็งแกร่งบางคน ตราบเท่าที่ยังมีกรรม ก็จะถูกผนึกไว้ได้

เพียงมองแค่แวบแรก ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีความสามารถเหนือกว่าวิชาของตระกูลจี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว…การตัดสิ่งใดๆ ไป เป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการใช้ใบมีดที่คมกริบ แต่การผนึกใครบางคนด้วยกรรม จำเป็นต้องควบคุมตัวกรรมเอง ดังนั้นจึงต้องมีความเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง

การตัดกรรมของตระกูลจี้ ต่อให้ถูกฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด ก็ยังไม่อาจจะใช้ควบคุมกรรมได้ ตระกูลจี้ฝึกฝนใบมีดที่ใช้ในการตัดกรรม ในขณะที่ผู้ผนึกอสูรควบคุมมัน ด้วยคำพูดเพียงแค่คำเดียว ผู้ผนึกอสูรก็สามารถจะทำลายการเชื่อมต่อกรรมไป

วิชาทั้งสองนี้มีระดับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

พลังของเวทผนึกกรรม เพียงพอที่จะทำให้สวรรค์สั่นสะเทือน คล้ายกับเวทผนึกอสูรรุ่นแปด ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดของเวทผนึกอสูรอันยิ่งใหญ่ มีแต่เวทแห่งเต๋าอันไร้ที่เปรียบเช่นนี้เท่านั้น ถึงจะมีคุณค่าอยู่ท่ามกลางเหล่าเวทที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ผนึกอสูรในแต่ละรุ่น

ยิ่งไปกว่านั้น มีแต่การสร้างวิชาเวทที่ไม่เหมือนใครเช่นนี้เท่านั้น คนผู้นั้นถึงจะถูกยอมรับว่าเป็น…ผู้ผนึกอสูรที่แท้จริง!

“ข้าอยากรู้นักว่าเวทของข้าเองจะเป็นเช่นไร เวทผนึกอสูรรุ่นเก้า…จะคล้ายกับ…?” เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตนเอง ดวงตาในตอนนี้ว่างเปล่า ขณะที่มองขึ้นไปในท้องฟ้ายังภูติน้อยสีดำสนิท

เขามองเห็นเส้นใยกรรมมากมายนับไม่ถ้วน เชื่อมต่ออยู่กับมัน และจากนั้นก็เห็นเส้นใยเหล่านั้นบิดเบี้ยวไปมาในทันที ขณะที่เส้นใยได้พันไปมาอยู่รอบๆ ร่างภูติน้อยสีดำ

“ไม่!!” ภูติน้อยแผดร้องออกมา “เวทรุ่นเจ็ด! มันคือเวทรุ่นเจ็ด…ผู้ผนึกอสูรรุ่นเจ็ดได้ตายไปแล้ว เวทผนึกของมันหายสาบสูญไปแล้ว! ทำไมถึงมีใครบางคนในโลกนี้สามารถใช้มันได้อีก!?!?”

“เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่ยอมรับเรื่องนี้! เหลืออยู่อีกเพียงแค่หกสิบปีเท่านั้น…” ภูติน้อยสีดำดิ้นรนไปมา แต่ก็ทำให้เส้นใยเหล่านั้นพัวพันกันยุ่งเหยิงมากขึ้นไปกว่าเดิม ภายในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ มันก็ถูกห่อหุ้มไว้โดยสิ้นเชิง ไม่อาจจะหลบหนีจากไปได้

แน่นอนว่า ถ้ามีใครบางคนกำลังมองไป ก็จะเห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเมิ่งฮ่าว พวกมันไม่อาจจะมองเห็นเส้นใยกรรมได้ เห็นแต่เพียงว่าเมิ่งฮ่าวยกมือชี้ขึ้นไป และทันใดนั้นภูติน้อยสีดำก็หยุดชะงักนิ่งอยู่กลางอากาศ ดูเหมือนว่ามันกำลังดิ้นรนไปมา ราวกับว่ามันไม่อาจจะควบคุมร่างกายของตนเองได้อีกต่อไป จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนที่ย้อนกลับมา

ตรงมายังเมิ่งฮ่าว!

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ มันก็กลับมาอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว และจากนั้นก็มาอยู่บนฝ่ามือของเขา คนทั้งหมดอ้าปากค้างขณะที่เมิ่งฮ่าวเก็บภูติน้อยเข้าไปในถุงสมบัติด้วยท่าทางสบายๆ

เสียงหอบหายใจได้ยินมาจากทั่วทุกทิศทาง ศิษย์สำนักเซี่ยเยาก้าวเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว พวกมันคุ้นเคยกับความลี้ลับที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ของเมิ่งฮ่าว แต่ผู้ฝึกตนเร่ร่อนนับแสนต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน

“นั่นก็คือ…การผนึก?”

“แต่ข้าไม่รู้สึกถึงระลอกคลื่น หรือสัญญาณแห่งเวทผนึกใดๆ มันเหมือนกับ…ภูติน้อยสีดำนั่นบินลงมาเอง!”

“เจ้าสำนักน้อยแห่งเซี่ยเยาจง, เมิ่งฮ่าว…ยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ!”

สำนักชิงหลัวในตอนนี้ ถูกทำลายล้างไปโดยสิ้นเชิง

มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือปล่องภูเขาไฟ ภูเขามากมายพังทลายลงไป และสำนักที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์เกรียงไกรตอนนี้ก็เหลืออยู่แต่ในความทรงจำของผู้คน สิ่งที่ถูกทิ้งไว้อยู่เบื้องหลังก็คือดินแดนที่ถูกทำลายไปและแห้งแล้ง ซึ่งเป็นวัฏจักรที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของสวรรค์เบื้องบนตลอดไป

สำนักอันยิ่งใหญ่ที่คงอยู่มานานนับหมื่นปี ตอนนี้ไม่มีอะไรนอกไปจากความหายนะและเศษซากปรักหักพัง

ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกต่อไป

ผู้ฝึกตนเร่ร่อนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นมองลงไปอย่างเงียบๆ ยังสิ่งที่เคยเป็นสำนักชิงหลัว และค่อยๆ เริ่มถอนหายใจให้กับตนเอง

เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่กลางอากาศ มองลงไปยังซากปรักหักพังของสำนักชิงหลัว และคิดย้อนกลับไปยังครั้งแรกที่เขาได้มายังที่แห่งนี้ และยังได้คิดไปถึงตอนที่เขามายังที่นี่ในฐานะฟางมู่ จากนั้นก็เป็นครั้งที่สามที่เขามาเพื่อสวี่ชิง

หลังจากผ่านไปนานสักพัก เขาก็ส่ายหน้า กำลังจะจากไปแต่ก็ต้องหยุดชะงักลง มองลงไปยังซากปรักหักพัง และจากนั้นแสงแปลกๆ ก็เริ่มสาดประกายอยู่ในดวงตา

“ดูเหมือนว่าข้าจะลืมบางสิ่งไป…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ดวงตาวาววับขณะที่คิดย้อนกับไปยังครั้งแรกที่เขามายังสำนักชิงหลัว และดินแดนแห่งความสงบสุข

ในที่แห่งนั้น เขาได้พบกับสุดยอดความรำคาญผีโต้ง

และเป็นสถานที่ที่เขาได้เห็นกระถางโบราณเช่นเดียวกัน!

มันเป็นกระถางขนาดใหญ่ ที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่ที่ด้านนอก และด้านในเป็นรูปทรงกลม มีรอยแตกร้าวอยู่มากมาย และประกอบไปด้วยสายฟ้าที่ไม่มีวันหมดสิ้นอยู่ข้างใน รวมทั้งรูปปั้นขนาดใหญ่ที่มีแซ่ของบรรพบุรุษต่างๆ จากในสมัยโบราณอยู่หลายรูป

ตรงตำแหน่งกึ่งกลางของรูปปั้นเป็นกระถาง ที่ด้านนอกเป็นวงกลม และด้านในเป็นสี่เหลี่ยม ภายในกระถางนั้น…เป็นของวิเศษอันล้ำค่าแห่งผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น และเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่จากไป แต่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ตรงเข้าไปในรอยแยกบนพื้น เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าซากศพแห้งกรังนั้น เคยนั่งขัดสมาธิอยู่ที่หน้าประตู

ร่างจริงที่สองเป็นผู้นำเข้าไปในรอยแยก พวกเขาพุ่งลงไปหยุดอยู่ที่แท่นรูปร่างดอกบัวอย่างรวดเร็ว ไปอยู่ที่เบื้องหน้าของประตู ซึ่งกระจายกลิ่นอายแห่งบรรพกาลในสมัยโบราณออกมา

เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วขณะ ขณะที่มองไปยังประตู จิตใจเต้นรัว เขาส่งร่างจริงที่สองให้มุ่งหน้าเข้าไป

หลังจากนั้นไม่นาน ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็แวบขึ้น และสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างจริงที่สองก็ช่วยให้เขามองเห็นทุกสรรพสิ่งที่ร่างจริงที่สองกำลังเห็นอยู่ โดยไม่ลังเล เขาก้าวเท้าเข้าไปในประตูทันที

ตูม!

ทุกสิ่งทุกอย่างบิดเบี้ยวไปมา และมืดสลัวเลือนลางลง เมื่อทุกสิ่งเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวก็ไปปรากฏขึ้นที่โลกแห่งเดียวกันกับที่เขาเคยมาก่อนหน้านี้ ดินแดนสงบสุขโบราณ!

เนื่องจากเขามีความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ จึงสามารถมองเห็นสิ่งที่ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเงียบสงบ ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า และทุกสรรพสิ่งก็เป็นสีดำ

ยังคงมีภูเขาให้มองเห็น แต่พวกมันก็มีสายโซ่เหล็กสีดำพันไปรอบๆ ทั่วทั้งโลกแห่งนี้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นค่ายกลเวทขนาดใหญ่

“ภูติน้อยสีดำนั่นคอยคุ้มกันประตูบานนี้ไว้ ดังนั้นมันต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมืดมิดของที่แห่งนี้ทั้งหมด” เมิ่งฮ่าวคิด บินขึ้นไปในอากาศ จากสิ่งที่เขาจดจำได้ของสถานที่แห่งนี้ จึงมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของกระถางขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านดินแดนแห่งนี้ไป ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดกลายเป็นสีดำสนิทไปเกือบเจ็ดในสิบส่วน อีกสามส่วนที่เหลือค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เมื่อดูจากความเร็วที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ก็อาจจะต้องใช้เวลาประมาณหกสิบปี หรือน้อยกว่านั้นเพื่อให้สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดกลายเป็นสีดำ

ขณะที่เขาศึกษาดินแดนที่ด้านล่าง สีหน้าการหวนรำลึกก็ปรากฏขึ้น ขณะที่เขานึกไปถึงการได้พบกับสวี่ชิงเป็นครั้งแรกในสถานที่แห่งนี้

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ถอนหายใจออกมา

เวลาธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป ก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะไปถึงตำแหน่งที่ยังไม่ได้กลายเป็นสีดำ ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลที่ยังคงทำงานได้ก็ยังอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม

เมื่อพิจารณาจากพื้นฐานฝึกตนและประสบการณ์ของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ เพียงแค่มองไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลนั้นเพียงชั่วขณะ เขาก็รู้ถึงวิธีการใช้งานมัน เขาหยิบเอาหินลมปราณออกมา วางไปบนพื้นผิวของมัน ทันใดนั้น แสงของการเคลื่อนย้ายทางไกลก็พุ่งขึ้นมาและเมิ่งฮ่าวก็จางหายไป

เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นใหม่ ก็ไปอยู่ใกล้กับที่ตั้งของกระถางขนาดใหญ่ เขาได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มอย่างน่าตกใจ และที่ห่างไกลออกไป ก็มองเห็น…

กระถางสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่มหึมา!

ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังกระถาง ก็รำลึกไปถึงภาพที่เขาเคยเห็นมา เป็นภาพของผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ยอมจำนน เมื่อบรรพบุรุษตระกูลจี้ได้ควบคุมขุนเขาที่เก้าไว้ และใช้กระถางเพื่อพยายามจะปิดกั้นสวรรค์แห่งจี้

การตัดสินใจของผู้ยิ่งใหญ่นั้น เป็นเช่นเดียวกับตำนานต้นเจี้ยนมู่ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดต้นเจี้ยนมู่ก็ระเบิดออกในท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยกลุ่มดาว สำหรับผู้ยิ่งใหญ่นั้น หลังจากที่กระถางแตกร้าวออก มันก็ถูกกำจัดไปทั้งร่างกายและวิญญาณ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่เบื้องหลังก็คือกระถางอันน่าตกใจนี้

บางทีสำหรับราชันจี้แล้ว กระถางและเจตจำนงที่จะสังหารสวรรค์ของมันต่างก็ไร้ประโยชน์ บางทีอาจจะมีเหตุผลอื่น ที่ทำไมมันถึงไม่นำกระถางไปเป็นของตนเอง ไม่ว่าอย่างไร สำหรับคนอื่นๆ แล้ว ก็ถือได้ว่ากระถางนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่าอย่างแท้จริง

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และมุ่งหน้าตรงไป ขณะที่เข้าไปใกล้กระถางสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ เสียงฟ้าร้องก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ และมีความถี่มากขึ้น สายฟ้าสีน้ำเงินฟาดลงมาอย่างไม่ลดละ ทำให้บริเวณนั้นทั้งหมดกลายเป็นทะเลแห่งสายฟ้า

อย่างน่าตกใจยิ่ง สายฟ้าบางสายยังได้กลายเป็นสีดำอีกด้วย

เมื่ออยู่ห่างจากกระถางประมาณหนึ่งพันจ้าง เมิ่งฮ่าวก็หยุดลง “เมื่อข้ามายังที่แห่งนี้พร้อมกับหานเป้ยและคนอื่นๆ พวกเราเฝ้ารอจนกระทั่งสายฟ้าอยู่ในช่วงที่อ่อนแอมากที่สุดถึงจะกล้าเข้าไปด้านใน แต่ตอนนี้…”

“ตอนนี้…ข้าแตกต่างไปจากเมื่อตอนนั้นแล้ว” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย ก้าวเท้าเดินตรงไปในสายฟ้า สายฟ้ามากมายนับไม่ถ้วนฟาดลงมา ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงที่ทรงอำนาจก็ดังออกมาจากภายในกระถาง

“หยุด!”

พร้อมกับเสียงที่ดังออกมา สายฟ้าก็ฟาดลงมาอย่างแน่นหนามากขึ้น กลายเป็นสิ่งที่แทบจะคล้ายกับเป็นผืนผ้าที่ปกคลุมทุกสรรพสิ่งไว้ทั่วทุกทิศทาง

“ข้าจำเจ้าได้” เสียงนั้นกล่าวต่อ ดังก้องอยู่ท่ามกลางสายฟ้าที่ทรงพลังราวกับสวรรค์ “เจ้าไม่ควรจะมายังที่แห่งนี้ ให้จากไปในทันที ถ้าเจ้าเข้ามาอีกแม้แต่เพียงก้าวเดียว ทัณฑ์แห่งเปลวไฟและสายฟ้าก็จะฟาดลงไป และเจ้าก็จะต้องตายไปอย่างแน่นอน”

เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง จากนั้นก็ตะโกนออกไป “ผู้อาวุโส ท่านคงจะเป็นวิญญาณแห่งกระถางวิเศษนี้อย่างแน่นอน!”

เสียงโบราณนั้นไม่ได้พูดขึ้นมาอีก และเสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบก็ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น แต่เส้นทางที่ผ่านสายฟ้าไป ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเมิ่งฮ่าว เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับข้อความว่า…เส้นทางสำหรับเขามีแค่ทางเดียวเท่านั้นก็คือออกไปจากสถานที่แห่งนี้

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และจากนั้นก็กล่าวว่า “ผู้อาวุโส วันนี้ที่ข้ามายังสถานที่แห่งนี้มีเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ข้าต้องการจะนำกระถางนี้ออกไปจากที่นี่ ผู้อาวุโส ได้โปรดช่วยบอกวิธีข้าด้วย จะได้หรือไม่?”

หลังจากที่ผ่านไปนาน ก็ได้ยินเสียงโบราณนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้มีน้ำเสียงที่เย็นชามากขึ้นกว่าเดิม และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดูถูกเหยียดหยาม “สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ เข้าไปใกล้กระถางและประทับมันด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า จากนั้นเจ้าก็สามารถจะนำมันจากไปได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวก็กล่าวคำพูดที่แฝงความนัยว่า “ท่านไม่ใช่วิญญาณกระถาง?”

“แน่นอนว่าข้าไม่ใช่!”

———————

หมายเหตุ :

  1. 1. ต้นเจี้ยนมู่ (ต้นไม้แห่งการสร้าง) มีพูดถึงในตอนที่ 109 : ตำนานไท่เอ้อร์
  2. 2. กระถางสี่เหลี่ยม เริ่มมีบทบาทในตอนที่ 157 : กระถางทรงสี่เหลี่ยมด้านนอก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version