Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 980

ตอนที่ 980

ไต้ฟู่มอบชีพจรเซียน

เสียงเก่าแก่โบราณดังก้องอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวคล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้อง ในที่สุดก็กลายเป็นเสียงสะท้อนจนทำให้ความทรงจำของเขาต้องสั่นกระเพื่อมไปมา

เมิ่งฮ่าวมองเห็นภาพเหตุการณ์บนดาวหนานเทียน มองเห็นตอนที่เขายืนอยู่ที่ด้านบนสุดของเจดีย์แห่งถังในแคว้นจ้าว และมองขึ้นไปยังสนามรบบนดาวดวงอื่นที่อยู่ภายในกลุ่มเมฆ ในสนามรบนั้นมีโลงศพขนาดใหญ่อยู่ ที่ด้านข้างโลงศพเป็นซากศพหนึ่งซาก ที่จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา

ต่อมาซากศพนั้นก็กระโดดลงมาบนโลก หลังจากที่เขาผ่านการทดสอบกลายเป็นเทพกระถางม่วงในสำนักจื่อยิ่น ก็ได้เข้าไปในซากศพที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารซึ่งอยู่ที่ด้านนอกถ้ำกำเนิดใหม่ ภาพทั้งหมดเหล่านี้ได้ฉายขึ้นมาอยู่ภายในใจ

สุดท้ายแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านจิตใจไป จนกลายเป็นสามตัวอักษร ที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นนามของคนผู้หนึ่ง!

“โฉ่วเหมินไถ!” เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไป และจิตใจก็สั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง ขณะที่ลำแสงได้พุ่งตรงมาจากด้านนอกของขุนเขาทะเลที่เก้า ช่างน่าตกใจยิ่งที่มันมาจากขุนเขาที่เจ็ด!

ลำแสงนั้นม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งขุนเขาที่เจ็ด พุ่งผ่านขุนเขาที่แปดมาด้วยความรวดเร็วอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ ผ่านผู้ฝึกตนที่กำลังตกตะลึงอยู่มากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ในขุนเขาที่เก้า!

ในตอนนี้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเหนือขุนเขาทะเลที่เก้าเริ่มกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น เหล่าปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าจากสำนักและตระกูลต่างๆ ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ กำลังมองไปยังลำแสงนั้นด้วยความเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในตระกูลจี้บนขุนเขาที่เก้า ดวงตาหนึ่งข้างได้ปรากฏขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะสามารถกวาดมองไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้าได้ และมันกำลังจ้องมองไปยังลำแสงที่ใกล้เข้ามานี้ด้วยเช่นกัน

แสงนั้นพุ่งมาราวกับเป็นดาวตก ตรงไปยังดาวตงเซิ่งและเมิ่งฮ่าว!

หมู่ดาวสั่นสะเทือน และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างก็ประหลาดใจไปตามๆ กัน!

“พื้นฐานฝึกตนของเต้าจุน (ธรรมาจารย์) อย่างน้อยก็เป็นพื้นฐานฝึกตนแก่นแท้ขั้นสี่!”

“มีแต่พื้นฐานฝึกตนที่สูงกว่าเต้าจุนแก่นแท้ขั้นสามเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะท้านปฐพีต้องสั่นสะเทือนได้เช่นนี้! มันมาจากขุนเขาที่เจ็ด!”

“ในจิ่วต้าซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่) ทั้งหมด มีเต้าจุนเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น…คนผู้นี้คือใคร!? กลิ่นอายนั่นข้าไม่รู้สึกคุ้นเคยแม้แต่น้อย!” เหล่าปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าแห่งขุนเขาทะเลที่เก้ามองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

ลำแสงนั้นทำให้เกิดเป็นเสียงดังกระหึ่มกึกก้อง ราวกับจะแยกท้องฟ้าให้ขาดออกจากกัน พุ่งตรงไปอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว และจากนั้นก็พุ่งเข้าไปในหน้าอกของเขา

ทันใดนั้นมันก็หลอมรวมเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว!

เสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ดังเต็มไปทั่วร่าง และเขาก็เหยียดสองแขนออกไปจนสุด แหงนหน้าไปทางด้านหลังและกู่ร้องออกมา เส้นผมสะบัดพลิ้วไปมาอย่างรุนแรง เสียงกู่ร้องนั้นดังก้องออกมาอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมได้ ขณะที่ลมปราณได้กระจายเต็มไปทั่วร่าง ราวกับว่าปราณนั้นต้องการจะหลุดรอดผ่านลำคอของเมิ่งฮ่าวออกไป

ลำแสงนั้นดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นมาจากโลกขนาดเล็กที่ไหนสักแห่ง ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มันคือชีพจรแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนั่นเอง!

ลำแสงนั้นหลอมรวมเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นชีพจรเซียน คล้ายกับเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวนับไม่ถ้วน จนทำให้กลิ่นอายของเมิ่งฮ่าวต้องพบเจอกับการทะลวงผ่านขึ้นไปอีกครั้ง ไต่ทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรโบราณมากมาย ซึ่งมีตะเกียงวิญญาณที่ดับลงไปแล้วหนึ่งดวงยังต้องตื่นตระหนก

เมื่อลำแสงนั้นจางหายไปโดยสิ้นเชิง แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าวอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดเป็นความเจ็บปวดอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ชีพจรแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตกผลึกแข็งตัวลงอย่างรวดเร็ว และจากนั้นก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

มันถูกบังคับให้เปิดออกโดยที่ไม่อาจจะต่อต้านได้ ประตูเซียนสั่นสะท้าน และปราณเซียนก็ไหลออกมาเพื่อช่วยเหลือ หลังจากที่ธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมา และเสียงกระหึ่มอย่างน่าตกใจก็ได้ยินมา

ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยยี่สิบได้ปรากฏขึ้น!

ในตอนที่ชีพจรเซียนปรากฏขึ้น มังกรเซียนอีกตัวก็พุ่งขึ้นไป บินวนไปมาอยู่ในอากาศ

มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยยี่สิบนี้ คือมังกรแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ร่างมันก่อตัวขึ้นมาจากแสงแห่งดวงดาว เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะหลอมรวมเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวได้ทุกเมื่อ แรงกดดันอันน่าตกใจกระจายออกมาจากร่างมัน ขณะที่ส่งเสียงแผดร้องคำรามไปพร้อมกับมังกรตัวอื่นๆ

ดาวตงเซิ่งสั่นสะเทือนไปทั่ว เช่นเดียวกับขุนเขาทะเลที่เก้า แต่ละคน…ได้จ้องนิ่งไปยังเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง!

“โชคชะตาเช่นนี้…เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”

“เต้าจุนจากด้านนอกขุนเขาทะเลแห่งนี้ ได้ประทานชีพจรแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวให้กับมัน โชควาสนาของเด็กผู้นี้เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน!”

“ข้าคิดว่าหนึ่งร้อยชีพจรคือขีดจำกัดของมัน แต่จากนั้นมันก็เปิดไปถึงหนึ่งร้อยแปดจุด ในตอนนั้น ข้าคิดว่าคงเสร็จสิ้นแล้ว แต่มันก็ยังเปิดได้ถึงหนึ่งร้อยสิบเจ็ดจุด!”

“ข้าคิดว่ามันคงไม่อาจจะทำได้มากกว่าหนึ่งร้อยสิบเจ็ดจุด แต่โชคชะตาของมันก็ปะทุขึ้น เซียนกู่เต้าฉ่างและตระกูลฟางต่างก็มอบชีพจรเซียนให้กับมัน รวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่จากด้านนอกของขุนเขาทะเลแห่งนี้!”

เหล่าปรมาจารย์จากสำนักและตระกูลต่างๆ ไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้พวกมันสงบจิตใจลงได้ พวกมันไม่เคยคาดคิดว่าการเปิดชีพจรเซียนของผู้เยาว์คนหนึ่ง จะทำให้พวกมันต้องตกตะลึงได้เช่นนี้มาก่อน

ตระกูลจี้บนขุนเขาที่เก้าก็ตกอยู่ในความเงียบด้วยเช่นเดียวกัน ดวงตาที่สามารถกวาดมองไปทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้าได้หายไปแล้ว ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

ผู้ถูกเลือกมองภาพที่เห็นนี้ด้วยสีหน้าที่งุนงง เมื่อพวกมันได้เห็นเมิ่งฮ่าวเปิดชีพจรเซียนได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบจุด ความรู้สึกที่ไม่อาจจะทำอะไรได้ก็เต็มอยู่ในจิตใจอย่างลึกล้ำ

ระยะห่างระหว่างพวกมันและเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนว่า…มีแต่จะขยายกว้างออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น

บิดามารดาของเมิ่งฮ่าวยืนอยู่ในเจดีย์แห่งถังบนดาวหนานเทียนด้วยความตื่นเต้น ดวงตาพวกท่านสาดประกายขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่มองไปยังภาพของเมิ่งฮ่าวที่กำลังเปิดชีพจรเซียนอยู่บนดาวตงเซิ่ง

“ฮ่าวเอ๋อร์…” เมิ่งลี่พึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา รู้สึกดีใจที่ได้เห็นบุตรชายมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันอบอุ่นอ่อนโยน

ข้างกายนางยืนไว้ด้วยฟางซิ่วเฟิง ซึ่งมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย แต่ภายในใจกำลังเต้นรัวด้วยความภาคภูมิใจ ท่านรับรู้ได้ถึงเหตุผลที่เมิ่งฮ่าวต้องกระทำเช่นนี้ ซึ่งก็คือว่าเพื่อให้พวกท่านได้ภาคภูมิใจ

เมิ่งฮ่าวต้องการพิสูจน์ให้คนทั้งหมดในตระกูลฟางรู้ว่า ไม่ว่าจากก่อนหน้านี้หรือในตอนนี้ เขาคือผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งของตระกูล และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป สำหรับบิดาและมารดาของเขา ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไปอยู่ที่ดาวหนานเทียนอันห่างไกลออกไปก็ตามที เขาต้องการให้คนในตระกูลยังคงให้ความเคารพนับถือพวกท่านอยู่ต่อไป

หนึ่งร้อยยี่สิบชีพจรเซียน ทำให้ขุนเขาทะเลที่เก้าสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง

ในตอนนี้เองตรงขุนเขาทะเลที่สี่ ลึกลงไปภายในกลุ่มหมอกของขุมนรกอันลี้ลับ รูปปั้นขนาดใหญ่จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา

ทันใดนั้น ขุมนรกทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบ ฉับพลันนั้นก็ดูเหมือนว่าเวลาในขุนเขาทะเลที่สี่ทั้งหมดจะหยุดชะงักนิ่ง ทำให้กลายเป็นความเงียบไปโดยสิ้นเชิง

วิญญาณนับไม่ถ้วนที่กำลังเกิดใหม่ในน้ำพุเหลือง และแม่น้ำแห่งการเกิดใหม่ทั้งหมดหยุดการเคลื่อนไหว

ราวกับว่ามีแต่รูปปั้นเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในขุนเขาทะเลที่สี่ ประกายแสงอันลึกล้ำได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของรูปปั้น ขณะที่จ้องมองออกไปยังทิศทางของขุนเขาที่เก้า หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก รูปปั้นก็ยกมือขวาขึ้นและขยับร่ายเวทราวกับทำการพยากรณ์อยู่ หลังจากที่ผ่านไปชั่วครู่ เสียงถอนหายใจก็ได้ยินมา

“ข้าไม่อาจจะมองเห็นอนาคตของมันได้…”

“จากตอนที่ข้าได้ตระหนักถึงเต๋าของตนเองจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ นี่คือคนที่สามซึ่งข้าไม่อาจจะมองเห็นอนาคตของมันได้…แต่ก็สามารถจะมองเห็นอดีตของมัน…”

“ข้าจะหว่านโชควาสนาบางอย่างออกไป ในที่สุดมันและข้าก็จะได้พบกันอีกครั้งในวันข้างหน้า” หลังจากที่พึมพำคำพูดเหล่านี้ รูปปั้นก็ยื่นมือขวาออกไป ทำให้โองการนรกปรากฏขึ้น

โองการนรกนี้กระจายเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ออกมา ถึงแม้ดูเหมือนเป็นภาพลวงตา แต่ก็เป็นโองการนรกขั้นสูงสุดในขุนเขาทะเลที่สี่แห่งนี้

สิ่งที่สามารถมองเห็นได้บนโองการนรกคือข้อความ ที่ถูกเขียนขึ้นมาด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่!

“ท่ามกลางกลุ่มดวงวิญญาณที่กำลังจะไปเกิดใหม่จากขุนเขาทะเลที่เก้า เป็นวิญญาณของหญิงสาวแซ่สวี่ ส่งภูตผีหนึ่งหมื่นตนไปคอยคุ้มกันนาง มอบโชควาสนาระดับแรกให้กับนาง ช่วยให้นางมีชีวิตที่สงบสุขและปลอดภัย!”

โองการนรกส่องแสงเจิดจ้าอย่างไร้ขอบเขตออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ รูปปั้นนั้นหลับตาลง และทันใดนั้นขุนเขาทะเลที่สี่ก็กลับคืนเป็นปกติเหมือนเดิม

รูปปั้นนั้น…ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นราชันแห่งขุนเขาทะเลที่สี่, ตี้จ้างต้าจุน!

ในปีนั้นเมื่อเมิ่งฮ่าวได้นั่งอยู่บนเรือที่ลอยผ่านท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวไป พร้อมกับชายชราผู้ลึกลับนั้น คนทั้งสองได้ทำให้ตี้จ้างต้าจุน…ให้ความสำคัญขึ้นมาเป็นอย่างมาก!

เมิ่งฮ่าวไม่เคยคาดคิดว่า ในตอนที่เขาได้บรรลุกลายเป็นเซียนแท้ เขาจะไปทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนเช่นนี้ขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าการเปิดประตูเซียนของเขา ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น โชควาสนาทั้งหมดที่เขาได้สะสมมาตลอดชีวิต ได้มารวมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ ราวกับว่าสิ่งที่พวกมันกำลังเฝ้ารอคอยก็คือช่วงเวลานี้เท่านั้น

โฉ่วเหมินไถ, ดอกปี่อ้าน, ปรมาจารย์อสูรโลหิต, เซียนกู่เต้าฉ่าง แต่ละคนได้ช่วยให้เมิ่งฮ่าวสามารถสร้างชีพจรเซียนขึ้นมาได้

เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ที่ด้านนอกของประตูเซียน ดวงตาแวบขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า เขารับรู้ได้ถึงพลังอันไร้ขอบเขตของชีพจรเซียนทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบจุดนี้ มองไปยังมังกรเซียนหนึ่งร้อยยี่สิบตัวที่กำลังแผดร้องคำราม และรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของตนเอง

เมิ่งฮ่าวก้มศีรษะต่ำลงอย่างช้าๆ และจากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลง ตรงไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

การโค้งตัวนี้คือการโค้งตัวลงเพื่อขอบคุณคนทั้งหมดที่ได้ช่วยเหลือเขา เป็นการแสดงออกถึงความซาบซึ้งต่อโชคชะตาและโชควาสนาทั้งหมดที่เขาได้รับมา

ผู้ฝึกตนทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้า มองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างเงียบๆ ขณะที่เขาโค้งตัวลง ไม่มีใครจะคาดคิดว่าการเปิดประตูเซียนของเมิ่งฮ่าว จะจบลงเช่นนี้

ขณะที่คนทั้งหมดมองไป ก็ปรากฏว่า…เหตุการณ์ยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านี้!

อีกครั้งที่ประตูเซียนเริ่มสลัวเลือนรางลงไป แสงเซียนเริ่มจางหายไป และปราณเซียนก็เริ่มกระจัดกระจายออกไป

อย่างไรก็ตาม มีอยู่หลายคนที่รู้สึกลึกๆ อยู่ภายในใจว่าเมิ่งฮ่าว…กำลังจะเปิดชีพจรเซียนขึ้นมาอีก

เวลาผ่านไป ขณะที่ดูเหมือนว่าประตูเซียนกำลังจะจางหายไปโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกเช่นนั้นก็เริ่มหายไปด้วยเช่นเดียวกัน ในที่สุดกลุ่มคนก็เริ่มถอนหายใจ

“ในที่สุด…มันก็จบลง…”

“หนึ่งร้อยยี่สิบชีพจรเซียน เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”

“ในตลอดชีวิตอันยาวนานของข้า…นี่คือโชคชะตาเซียนแท้ที่ทรงพลังมากที่สุด เท่าที่ข้าเคยพบเห็นมา!”

บนดาวตงเซิ่ง ฟางเว่ยกัดฟันแน่น จู่ๆ เสียงกระหึ่มก็ได้ยินมา ขณะที่มันพุ่งขึ้นไปในอากาศ กลุ่มคนทั้งหมดของตระกูลฟางมองไปด้วยความตกตะลึง ขณะที่มันพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า

“ฟางฮ่าว ถึงเวลาที่พวกเราต้องมาสู้กันแล้ว!” เสียงของฟางเว่ยแหบแห้ง ขณะที่ดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง พื้นฐานฝึกตนของมันพุ่งขึ้นมา มันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องต่อสู้เท่านั้น ไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตามที มันก็ยังคงจะต่อสู้ มันจะสู้อยู่ที่เบื้องหน้าคนทั้งหมด รวมทั้งกลุ่มผู้ชมในขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมด มันจะเอาชนะเมิ่งฮ่าวอยู่ที่เบื้องหน้าคนทั้งหมด มันจะสังหารเขาไปให้จงได้!

นั่นคือหนทางเดียวที่มันจะสามารถก้าวออกมา จากด้านหลังเงามืดของเมิ่งฮ่าวได้

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สีหน้าของผู้ถูกเลือกเซียนแท้คนอื่นๆ ทั้งหมดก็เปลี่ยนไป ด้วยความต้องการต่อสู้ พวกมันคิดเช่นเดียวกับฟางเว่ย ไม่ว่าพวกมันจะชนะหรือพ่ายแพ้ก็ตามที ถ้าพวกมันสูญเสียเจตจำนงแห่งการต่อสู้ไป ก็คงไม่มีโอกาสที่จะยืนอยู่บนพื้นได้เท่าเทียมกับเมิ่งฮ่าวอีกต่อไป

ขณะที่ความต้องการต่อสู้ของพวกมันพุ่งขึ้นมา เหล่าปรมาจารย์จากสำนักต่างๆ ของผู้ถูกเลือกเหล่านั้น ที่นิ่งเงียบอยู่ก็โบกสะบัดมือขึ้นไป ทำให้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลมากมายปรากฏขึ้น

ผู้ถูกเลือกทั้งหมด ก้าวเดินเข้าไปในประตูเหล่านั้น และพวกมันก็สามารถจะไปยังดาวตงเซิ่งได้โดยตรง

อย่างไรก็ตาม ขณะที่พวกมันกัดฟันแน่นและผ่านเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกล แม้ในขณะที่เสียงของฟางเว่ยได้ดังก้องออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ขณะที่ประตูเซียนกำลังจะหายไปโดยสิ้นเชิง…

ฉับพลันนั้น เสียงถอนหายใจก็ได้ยินดังก้องออกมาจากท่ามกลางหมู่ดาว กระจายเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้าเหนือดาวตงเซิ่ง และผ่านเข้าไปในหูของเมิ่งฮ่าว ทำให้เขาต้องสั่นสะท้านขึ้นมาในทันทีและมองขึ้นไป

“เสี่ยวตี้ (น้องชาย) ข้าจะมอบชีพจรเซียนให้กับเจ้าแทนฟู่จวิน (ท่านพ่อ) เอง!” เสียงนั้นอ่อนโยนและเก่าแก่โบราณ เมื่อดังก้องออกมา กลิ่นอายก็ระเบิดขึ้นมาจากตระกูลจี้บนขุนเขาที่เก้า เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนรู้ว่าเสียงนั้นดังออกมาจากที่ไหน และทำให้พวกมันต้องตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง

——————–

หมายเหตุ : ไต้ฟู่ (代父) แปลว่า พ่อบุญธรรม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version