บทที่ 102 : การตัดสินใจและการออกเดินทาง
เหล่าศิษย์ตกอยู่ในความเงียบงันภายในสวนที่พังทลาย
จ้าวเฟิงเห็นแสงแห่งความหวังที่จางหายไปจากสายตาของเจ้าเมืองกว่านจวิน บุคคลในตำนานผู้นี้ดูเหมือนจะแก่ขึ้นอีก 30 ปีในเสี้ยววินาที
จ้าวเฟิงรู้ว่าเป่ยโม่ยนั้นเป็นความหวังเดียวของอีกฝ่าย และเขาไม่ได้คาดหวังในตัวผู้อื่นไว้นัก
ในตอนนั้น เหล่าศิษย์ต่างจมลึกอยู่ในห้วงภวังค์
การตัดสินใจต่อไปของพวกเขาจะส่งผลต่อโชคชะตาของพวกเขา
ไม่ว่าอัจฉริยะผู้ใดย่อมอยากจะเข้าร่วมสำนัก ทว่าปัญหาคือพวกเขาอาจจะพบปัญหาหากพวกเขาเข้าไป
มันไม่ยากที่จะจินตนาการว่าหนทางนี้จะยากลำบากและท้าทายยิ่งกว่าเก่า ทว่าจ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงเปลวเพลิงที่ลุกโชนภายในตัวเขา แสงสีครามซีดปรากฏขึ้นในดวงตาซ้ายซึ่งราวกับเต้นรำเช่นเปลวเพลิง
“ข้าต้องการที่จะเดินไปในหนทางนี้ไม่ว่ามันจะยากเพียงใด! ข้าจะทำให้ไอ้เวรเป่ยโม่ยนั่นต้องเสียใจ!” หยางชิงชั่นกัดฟันกรอดและเอ่ยอย่างซื่อตรง
การตัดสินใจของเขากระตุ้นจ้าวเฟิง ดูเหมือนว่าคนอื่นจะยังไม่ยอมแพ้
ในบรรดาคนทั้งหมด หยางชิงชั่นนับเป็นคนที่ซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุด
“ข้าเองก็ไม่ยอมแพ้! มีการทดสอบเข้าเพียงแค่หนึ่งครั้งในห้าปี” หนานกงฟั่นเอ่ยตอบขึ้นด้วยความเห็นเดียวกันในไม่ช้า
เบื้องหน้าเขาเป็นประตูบานใหม่ ผู้ฝึกตนส่วนมากไม่แม้แต่จะมีโอกาสเข้าไปในนั้น
โดยปกติแล้ว การทดสอบสำหรับสำนักนั้นคือทุกๆ ห้าปี บางครั้งกระทั่งสิบปี
เมื่อคนพลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว พวกเขาย่อมต้องเสียใจไปตลอดชีวิตของพวกเขา
“ข้าเองก็จะไม่เสียโอกาสนี้ไปเช่นกัน” เฟิงฮันเยว่ผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย
ในที่สุดจึงเป็นตาของจ้าวเฟิง
“ข้าได้ตกลงรับคำสัญญาของเป่ยโม่ยไปแล้ว ข้าย่อมไม่บิดพลิ้ว”
หนานกงฟั่นและคนอื่นๆ จดจำถึงสิ่งที่ทั้งสองจะจัดการในสำนักได้ในไม่ช้า ทว่าพวกเขาเพียงแค่ยิ้มและหาได้เก็บมันใส่ใจ
เจ้าเมืองกว่านจวินมองไปยังศิษย์ของเขา เขาเข้าใจว่าทั้งหมดรู้สึกเช่นไร ทว่าเจ้าเมืองกว่านจวินไม่คิดว่าชะตาในอนาคตของพวกเขาจะดีนัก
“ต่อไป พวกเจ้าก็สู้กันเพื่อตำแหน่งทั้งสาม” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เมื่อเป่ยโม่ยอยู่ที่นี่ มีสามที่สำหรับพวกเขาหกคน บัดนี้เหลือเพียงห้าคน
หืม? ช้าก่อน!
สีหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อเขากวาดตามองรอบด้าน
นอกจากเจ้าเมืองกว่านจวินแล้ว เหลือเพียงหยางชิงชั่น หนานกงฟั่น เฟิงฮันเยว่ และตัวเขา
มีคนหายไป!
“ศิษย์พี่หยูเฟ่ยหายตัวไป!” จ้าวเฟิงอุทานออกมาอย่างตกใจ
คนอื่นจึงได้ตระหนักขึ้นในที่สุดว่าเด็กสาวได้หายตัวไป
เป็นเพราะการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนในหนทางแห่งเซียนก่อนหน้าจึงไม่มีใครรับรู้ว่ามีบางคนหายไป
“ส่งทุกคนออกไปตามหานาง! ไปดูในห้องที่ถูกทำลายด้วย!” เจ้าเมืองกว่านจวินพลันออกคำสั่ง
เย่หลินเหลียนและองครักษ์สามเริ่มค้นหารอบๆ ในทันที การต่อสู้ระหว่างเจ้าเมืองกว่านจวินและกวานเฉินนั้นได้ทำลายสิ่งก่อสร้างไปจำนวนมาก และจ้าวหยูเฟ่ยอาจโดนลูกหลงจากพลังที่หลงเหลือ
ทุกคนร่วมกันตามหาในพื้นที่ใกล้ๆ
“ไม่มี! ไม่มีวี่แววของผู้ใดเลย!”
“ไม่มีร่องรอยภายในพื้นที่ต่อสู้!”
หลังจากค้นหาอยู่สักพัก ก็ยังไม่มีผู้ใดพบร่างของจ้าวหยูเฟ่ย
เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอย่างลึกล้ำ
“เมื่อยามที่ข้าสู้กับกวานเฉิน เราได้พยายามถึงที่สุดที่จะไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นแล้วนางไม่ควรได้รับบาดเจ็บ”
แม้ว่าจ้าวหยูเฟ่ยจะตายก็ควรจะหลงเหลือศพ ทว่าบัดนี้กลับไม่มีร่างของเด็กสาว
“นางระเหยไปรึอย่างไร? เป็นไปไม่ได้!” จ้าวเฟิงลนลานอย่างหนัก
“เพิ่มวงการค้นหา!” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยสั่ง
ไม่ช้า เย่หลินเหลียนก็ได้นำกองกำลังชั้นยอดกว่าร้อยคนไปเพื่อออกตามหา
ผลลัพธ์นั้นคือไม่มีวี่แววของนาง เพื่อค้นหาจ้าวหยูเฟ่ย ตำหนักกว่านจวินได้ส่งคนนับพันออกตามหา
“คนทั้งคนไม่อาจหายไปเช่นนี้ได้!” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
ปึก!
ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว เขาก็ร่อนลงบนต้นไม้ที่สูงยิ่งนัก จากนั้นจึงกระโดดไปยังสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในตำหนักกว่านจวิน
“ศิษย์น้องจ้าว นั่นเจ้าทำอันใด?”
ผู้อื่นด้านล่างต่างรู้สึกงงงวยเล็กๆ ทว่าเย่หลินเหลียนและเฟิงฮันเยว่ต่างรับรู้สถานการณ์เล็กน้อย
“จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยนั้นล้วนมาจากตระกูลเดียวกัน และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน”
เย่หลินเหลียนเอ่ยต่อเจ้าเมืองกว่านจวิน
ในตอนนั้น ดวงตาของจ้าวเฟิงกลับกลายเป็นแหลมคมขณะที่เขากวาดมองไปทั่วทั้งตำหนักกว่านจวิน เขาเพิ่มระยะสายตาและสำรวจรอบตำหนักได้อย่างรวดเร็ว
สิบลมหายใจต่อมา
ระยะสายตาของเด็กหนุ่มขยายไปจากตำหนักกว่านจวินสู่ภายนอก
ในช่วงระยะเวลานี้ สายตาของเขาได้จับจ้องไปยังถนนห่างออกไปสามสิบลี้
ร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในสายตา
ในมุมหนึ่งของถนน เด็กสาวผู้งดงามและชายชราแขนเดียวยืนอยู่ด้วยกัน
“ท่านปู่ เหตุใดท่านจึงได้นำข้าออกมา?” จ้าวหยูเฟ่ยมองกลับไปยังตำหนักกว่านจวินด้วยความไม่เต็มใจ
ชายชราแขนเดียวเอ่ยตอบ
“อย่างแรก เจ้าเมืองกว่านจวินไม่ได้ค้นพบความสามารถแฝงที่แท้จริงของเจ้า อย่างที่สอง ปู่ไม่รู้ว่าเขาเป็นศัตรูกับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ดังนั้นแล้ว สำนักจันทร์สลายไม่เหมาะกับเจ้า”
“แต่ศิษย์น้องจ้าวเฟิง…” จ้าวหยูเฟ่ยดูจะเป็นกังวล
“สบายใจเถอะ ด้วยความสามารถของเขา ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงย่อมไม่แม้แต่จะเห็นเขาอยู่ในสายตา บางครั้ง การมีความสามารถแฝงต่ำก็ไม่ใช่เรื่องแย่” ชายชราแขนเดียวเอ่ยอย่างเยาะหยัน
จ้าวหยูเฟ่ยรู้ว่าผู้เป็นปู่นั้นหมายถึงสิ่งใด ทว่านางรู้สึกว่าความสามารถแฝงของจ้าวเฟิงนั้นไม่ได้ธรรมเช่นกายครึ่งจิตวิญญาณ
หลังจากที่พูดคุยกันชั่วครู่ ทั้งสองจึงมุ่งหน้าออกจากนครหลวงกว่านจวิน
พวกเขาไม่รู้ว่าถูกเห็นโดยจ้าวเฟิง และแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเห็นพวกเขา เขาก็ไม่อาจจะได้ยินในสิ่งที่ทั้งสองพูด แต่เพียงแค่รู้ว่าจ้าวหยูเฟ่ยนั้นไม่เป็นอันใด เด็กหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกมา
“ทุกคนล้วนมีทางของตน” จ้าวเฟิงนั้นเกือบจะตามทั้งสองไป แต่กลับเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม เด็กสาวก็ไม่ได้ถูกบังคับให้ไป อีกทั้งผู้ที่พานางไปยังเป็นปู่ของเด็กสาว จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าชายชรานั้นไม่ได้ดูธรรมดาเช่นที่เขาเป็นตั้งแต่ยามที่อยู่ที่ตระกูลจ้าวเมื่ออีกฝ่ายนั้นสามารถนำตัวจ้าวหยูเฟ่ยออกไปได้โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
หลังจากยืนยันแล้วว่าอีกฝ่ายปลอดภัย จ้าวเฟิงจึงกลับไปยังหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
ในวันนั้น กองกำลังของตำหนักกว่านจวินได้ขยายการค้นหาเป็นทั่วทั้งนครหลวงในไม่ช้าและพบร่องรอยของเด็กสาวในที่สุด มันถูกกล่าวว่ามีชายชราแขนเดียวได้เดินทางไปกับนาง
“ชายชราผู้นั้นดูลึกลับตั้งแต่ยามที่อยู่ที่ตระกูลจ้าว” จ้าวเฟิงเอ่ยอธิบายซึ่งหยุดกองกำลังไม่ให้ค้นหานางต่อไป
เจ้าเมืองกว่านจวินไม่ได้คิดมาก ศิษย์หลักของเขาได้ถูกพาตัวไปแล้ว ดังนั้นแล้วศิษย์สายนอกจะเป็นอันใดสำหรับเขาได้?
ทว่าแม้กระนั้น เขาก็ยังต้องทำหน้าที่ในฐานะอาจารย์
“บัดนี้พวกเจ้าสี่คนจะสู้กับเพื่อตำแหน่งทั้งสาม” ดวงตาของบุรุษวัยกลางคนกวาดมองคนทั้งสี่เบื้องหน้า
หยางชิงชั่นมีพรสวรรค์สูงที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด ทว่ายังคงห่างไกลเมื่อเทียบกับเป่ยโม่ย จากนั้นจึงเป็นหนานกงฟั่น เฟิงฮันเยว่ และจ้าวเฟิงเป็นอันดับสุดท้าย
การตัดสินใจนั้นคือ หยางชิงชั่น หนานกงฟั่น และเฟิงฮันเยว่
เจ้าเมืองกว่านจวินได้เลือกตัวเลือกเหล่านี้เมื่อพรสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่จะกำหนดถึงความไกลของผู้ที่จะสามารถก้าวเดินไปได้ ทว่าจ้าวเฟิงยังคงมีโอกาสที่จะท้าประลองหนึ่งครั้ง
เมื่อเป่ยโม่ยยังอยู่ที่นี่ เจ้าเมืองกว่านจวินกำลังจะให้โอกาสศิษย์ที่เหลือในการท้าประลองผู้อื่น ทว่าเขากลับถูกขัดขวางโดยแขกไม่ได้รับเชิญเสียก่อน
“ข้าขอท้าประลองหนานกงฟั่น” จ้าวเฟิงเอ่ยโดยไร้ซึ่งความลังเล
ในบรรดาคนทั้งสาม เขาไม่ชอบอีกฝ่ายมากที่สุด
“เจ้าเลือกท้าประลองข้า?” หนานกงฟั่นประหลาดใจเล็กๆ
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นล้วนเข้าสู่ขั้นปลายของขั้นแปด แต่เดิมพวกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มจะท้าประลองเฟิงฮันเยว่เพราะว่าเขามีโอกาสที่จะชนะสูงกว่า
เฟิงฮันเยว่ถอนหายใจ สำหรับตัวเขานั้น เขากังวลถึงจ้าวเฟิงมากกว่าหนานกงฟั่นเสียอีก
“เริ่มได้” เย่หลินเหลียนประกาศ
เจ้าเมืองกว่านจวินและเย่หลินเหลียนต่างปรากฏตัว โดยเฉพาะเย่หลินเหลียนที่คาดหวังในความสามารถของจ้าวเฟิงอย่างมาก ในขณะที่เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นเบื่อหน่ายยิ่งนัก ทว่าทุกคนล้วนเข้าใจว่าเขาได้สูญเสียศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดไป
“ศิษย์น้องจ้าว ในที่สุดวันนี้เราก็จะประลองกันอย่างเต็มที่เสียที” หนานกงฟั่นมีรอยยิ้มบนริมฝีปากขณะที่เขาคิดว่าจะลงโทษอีกฝ่ายอย่างไรดี
คราที่แล้วที่พวกเขาประลองกัน เขาได้เสียหน้าเมื่อเขาจำกัดพลังฝึกตนของเขาไว้ที่ระดับของอีกฝ่ายและพ่ายแพ้
บัดนี้ พวกเขาสามารถต่อสู้ได้โดยไร้ซึ่งข้อจำกัด
แรงดึงแห่งเซียน!
หนานกงฟั่นโบกชายเสื้อก่อนที่ควันสีขาวประหลาดจะปรากฏและแพร่กระจายไปรอบตัวเขา
ฟู่ววว
ในเสี้ยววินาที ฝุ่นบนพื้นก็ได้ถูกดึงดูดไปทางร่างของหนานกงฟั่น กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเก้ายังต้องกังวลกับกระบวนท่านี้เพราะมันเป็นวิชาเซียน!
ทว่า เด็กหนุ่มผู้เป็นคู่ต่อสู้นั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย มันราวกับว่าขาทั้งสองของเขานั้นได้ติดตรึงลงไปในพื้น
ไม่ขยับแม้แต่น้อย!
วิชาเซียนแรงดึงแห่งเซียนไม่อาจขยับร่างของจ้าวเฟิงได้ และนี่ยังเป็นสถานการณ์ที่พลังฝึกตนของหนานกงฟั่นสูงกว่าเด็กหนุ่มอีกด้วย!
เย่หลินเหลียน หยางชิงชั่น และเฟิงฮันเยว่ต่างนิ่งงันไป มีเพียงเจ้าเมืองกว่านจวินที่ยังเยือกเย็น แม้ว่าความประหลาดใจจะแล่นวาบผ่านแววตาเขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใด
กระบวนท่าวายุกรรโชก! ดรรชนีดารา!
จ้าวเฟิงใช้ดรรชนีดาราระดับหกของเขาที่หลอมรวมเข้ากับกระบวนท่าวายุกรรโชก
ฟุ่บบ
เสียงแหวกลมหวีดหวิวบาดแก้วหูดังขึ้นพร้อมกับที่แสงสีครามพุ่งวาบผ่านอากาศราวกับอุกกาบาต
หัวใจของทุกคนกระตุกเมื่อพวกเขาเห็นดรรชนีนั้น
เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งอันใดเช่นนี้!
เย่หลินเหลียนมีความรู้สึกราวกับกระบวนท่านี้กระทั่งสามารถคุกคามผู้ฝึกตนขั้นเก้าได้ ในขณะที่หยางชิงชั่นและเฟิงฮันเยว่รู้สึกว่ากระบวนท่านี้ไม่อาจต่อต้าน
ฟิ้วววว!
หัวใจของหนานกงฟั่นบีบรัดขณะที่เขามองวิชาแรงดึงแห่งเซียนของเขาถูกพุ่งทะลุโดยนิ้วหนึ่งนิ้ว!