บทที่ 1038 แลกทรัพยากร
“ฮึๆ การคาดเดาขององค์ชายเก้านี่ไม่ผิดเลยจริงๆ!”
จ้าวเฟิงยิ้ม มองไปยังชื่อที่อยู่อันดับสามบนหลักศิลาหลักแรก
ตั้งแต่แรกเริ่ม องค์ชายเก้าก็คาดเดาความดีความชอบในการศึกของจ้าวเฟิงอย่างคร่าวๆ ว่าอย่างไรเสียก็ติดอันดับหนึ่งในสิบเป็นแน่
ศึกแรก ผลงานในการศึกที่จ้าวเฟิงสะสมได้ นำหน้าคนกว่าล้านคนในเขตสงครามมณฑลหลานในพริบตา รายชื่ออยู่ภายในสองพันอันดับแรก สร้างความฮือฮาไปทั่ว
ผลงานการรบของศึกที่สอง จ้าวเฟิงพุ่งขึ้นไปอยู่อันดับที่สามในสิบอันดับแรก!
ถึงแม้ว่าบนรายชื่อผลงานการรบ คะแนนของรายชื่อห้าพันอันดับแรกจะแตกต่างกันไม่มากนัก แต่คะแนนในร้อยอันดับแรกมีความแตกต่างอยู่มากโข ส่วนสิบอันดับแรก ส่วนใหญ่แล้วเป็นเซียนเทวาเร้นลับ
ต้องรู้ว่า เซียนผู้หนึ่งเพียงแค่รักษาเมือง ก็ได้รับคุณงามความชอบในการรบจำนวนมากทุกเดือน อีกทั้งในตอนนี้ยังไม่อยู่ในขั้นที่เปิดศึกบุกตีเมืองเป็นว่าเล่น ดังนั้นความแตกต่างด้านผลงานการรบของเซียนกับพวกที่ต่ำกว่าเทวาเร้นลับลงไปจึงสูงอย่างมาก
อีกทั้งคนอย่างจ้าวเฟิงที่โด่งดังในเปรี้ยงเดียว คะแนนการรบนำหน้าเซียน แน่นอนว่าย่อมดึงดูดผู้คนมากมายมามุงดู
จ้าวเฟิงก็มองไปแวบหนึ่ง จากนั้นตามทหารองครักษ์ผู้นี้มายังจุดแลกทรัพยากร
จุดแลกทรัพยากรมีผู้คนเดินไปมาเป็นจำนวนมาก นอกจากจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่นำผลงานการรบมาแลกทรัพยากรแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนในที่คอยคำนวณ จัดสรร และจัดการผลงานการรบกับทรัพยากร
“ชื่ออะไร?”
เบื้องหน้าโต๊ะยาวที่กองเป็นภูเขาเลากา ผู้เฒ่าชราผมขาวทั้งหัวถามขึ้น
“จ้าวเฟิง!” จ้าวเฟิงเอ่ยออกไปตรงๆ
ผู้เฒ่ามองจ้าวเฟิงแวบหนึ่ง จากนั้นหยิบบัญชีเล่มหนาออกมาหนึ่งกอง แล้วเริ่มเปิดอ่าน แต่จู่ๆ ผู้เฒ่าก็หยุดมือลง ดวงตาปูดโปนทั้งสองจ้องเขม็งมายังจ้าวเฟิง
รอบด้าน ผู้ที่มาแลกผลงานการรบกับเจ้าหน้าที่ภายในที่ยุ่งวุ่นวายต่างหยุดมือลง ดวงตามองจ้าวเฟิงอย่างตกใจสงสัย
“เขาก็คือจ้าวเฟิง คนที่กระโดดขึ้นเป็นอันดับสามของรายชื่อผลงานการรบ?”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาทำอะไรในสนามรบจึงได้คุณงามความดีมากมายเช่นนี้!”
“ดูท่าทีอายุน้อยเช่นนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวจริงรึเปล่า!”
ข้างๆ จ้าวเฟิง พวกราชันและจักรพรรดิที่มาแลกรางวัลซุบซิบวิจารณ์
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสนใจในตัวจ้าวเฟิงเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่สงสัยยิ่งกว่าคือตัวตนที่แท้จริงของคนตรงหน้า
“กรุณาพิสูจน์ตัวตนของเจ้า!”
เบื้องหน้าของจ้าวเฟิง ผู้เฒ่าผมขาวผู้นั้นเอ่ยอย่างจริงจัง
ด้วยผลการรบและทรัพยากรของจ้าวเฟิงไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้นผู้เฒ่าชราผู้นี้จึงไม่กล้าประมาท พวกเขาไม่เคยสัมผัสกับจ้าวเฟิงมาก่อน ต้องป้องกันไม่ให้คนที่ปลอมตัวเป็นจ้าวเฟิงมาแลกทรัพยากร
“พิสูจน์ตัวตน?”
จ้าวเฟิงตะลึง เขาจะพิสูจน์ตัวตนเช่นไร?
พรึ่บ! ในมือของจ้าวเฟิงมีป้ายมังกรทองสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้น
ผู้เฒ่ารับป้ายในมือจ้าวเฟิงมา รับรู้ด้วยการสัมผัสเล็กน้อย
“ตราคำสั่งสวรรค์ขององค์รัชทายาท!”
มือทั้งสองข้างของผู้เฒ่าสั่นเทา ก่อนนำป้ายตราคืนให้แก่จ้าวเฟิง
“โปรดตามข้ามาข้างใน” ผู้เฒ่าลุกขึ้นพูด
จากนั้น จ้าวเฟิงก็ตามผู้เฒ่าเข้ามายังชั้นในของตำหนักแห่งนี้
จ้าวเฟิงนึกสงสัยอยู่บ้าง เพียงแค่แลกทรัพยากร รู้สึกเหมือนว่าจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยแล้ว
“รายชื่อยิ่งอยู่อันดับต้นๆ ก็ยิ่งสามารถแลกทรัพยากรล้ำค่าได้มาก”
ผู้เฒ่าอธิบาย
“ด้วยอันดับรายชื่อของเจ้า กระทั่งสามารถแลกสิ่งของซึ่งไม่มีอยู่ในขอบเขตที่ให้แลกได้ เพียงแต่ก็ต้องการผลงานการรบมากขึ้นอีก”
ผู้เฒ่าอธิบายให้จ้าวเฟิงฟังต่อ ราวกับกำลังแนะนำเขา
จ้าวเฟิงตามผู้เฒ่าผู้นี้มาในตำหนักที่กลิ่นอายปิดตาย
ในมือของผู้เฒ่าพลันมีบัญชีสีทองปรากฏขึ้น
ฟิ้ว! บัญชีสีทองแผ่กระจายลำแสงมังกรสีทองหลายเส้นออกมา ผสานกันไปในอากาศ ก่อให้เกิดเป็นม่านแสงขนาดใหญ่ บนม่านแสงมีสิ่งของแน่นขนัดและคะแนนการรบที่ต้องใช้แลก
ชื่อยิ่งอยู่แถวหน้า ก็ยิ่งต้องใช้คะแนนคุณงามความชอบมาก
จ้าวเฟิงมองแวบหนึ่ง ในบรรดาการแลกผลงานการรบ ชื่อที่อยู่อันดับต้นโดยพื้นฐานแล้วคือของล้ำค่าหายากหรือไม่ก็อาวุธชั้นนภา หากแลกของสักชิ้นหนึ่งในนี้ เกือบจะต้องใช้คะแนนของจ้าวเฟิงถึงเจ็ดส่วน
อีกทั้งในยามนี้ ชื่ออันดับหนึ่งเป็นบรรดาศักดิ์กงแห่งราชวงศ์ เรียกได้ว่าใช้คะแนนทั้งหมดของจ้าวเฟิงก็ยังไม่พอที่จะแลก
บรรดาศักดิ์กง เป็นบรรดาศักดิ์สูงที่สุดในราชวงศ์รองลงมาจากจักรพรรดิต้าเฉียน โดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นผู้ปกครองของมณฑลใดมณฑลหนึ่ง
“ตามการยืดเยื้อของสงคราม ของที่สามารถแลกได้อาจจะมีมากยิ่งขึ้น!”
ผู้เฒ่าเห็นสีหน้าตกใจของจ้าวเฟิง จึงยิ้มพูดขึ้น
“เป็นเช่นนี้นี่เอง….” จ้าวเฟิงพยักหน้า
ระยะเวลาต่อเนื่องของสงครามระหว่างสองราชวงศ์ไม่สั้นเหมือนกับที่จ้าวเฟิงคิดไว้ อาจจะยาวนานเป็นสิบปีหรือกระทั่งร้อยปี
และหลายร้อยปีสำหรับจักรพรรดิหรือเซียน เป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆ เพียงช่วงหนึ่ง แต่คะแนนผลงานการรบที่สะสมเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีกลับมากเกินไป
หลังจากดูรายการสิ่งของที่แลกได้แผ่นนี้แล้ว ในใจของจ้าวเฟิงก็ยิ่งมุ่งมั่นกับคะแนนขึ้นไปอีก
หลังคัดเลือกไประยะหนึ่ง จ้าวเฟิงใช้คะแนนทั้งหมดไปจนสิ้น
ทรัพยากรที่แลกมา ส่วนมากเป็นของทรัพยากรล้ำค่าที่เอาไว้ฝึกฝนธาตุดิน ของล้ำค่าสำหรับฝึกฝนวิญญาณและพัฒนาระดับขั้นชีวิตเป็นต้น…
ของล้ำค่าที่เหมือนกัน เมื่อดื่มกินมากไป ผลของยาจะหักกลบลดลงไปมาก หากเป็นของล้ำค่าบางอย่างที่ผลลัพธ์ของยาค่อนข้างต่ำ ใช้ครั้งแรกกลับได้ผลดีมาก
ผู้เฒ่าผู้นั้นนำทรัพยากรทั้งหมดที่จ้าวเฟิงต้องการแจ้งขึ้นไปทั้งหมด
วันที่สอง ผู้เฒ่าส่งแหวนเก็บของวงหนึ่งให้จ้าวเฟิง “จ้าวเฟิง ของที่เจ้าต้องการทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว”
ห้วงคิดเซียนของจ้าวเฟิงเพียงกวาดผ่าน ก็นำของทั้งหมดไปไว้ในมนตราอากาศ ต่อมาจึงค่อยจากตำหนักรบมณฑลหลานไป
ฟิ้ว! จ้าวเฟิงนั่งพาหนะเพลิงวายุ เริ่มออกเดินทาง
หลังออกบินได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว จ้าวเฟิงหยุดลง ในหัวปรากฏข้อมูลแผนที่ของราชวงศ์ต้าเฉียน
“ระยะห่างนี้น่าจะใช้พลังทะลุมิติของมนตราอากาศได้!”
ตอนที่จ้าวเฟิงมุ่งหน้าไปยังสนามรบ ก็ได้ทิ้งสัญลักษณ์มิติเอาไว้มากมายตามรายทาง
ฟุ่บ! จ้าวเฟิงสะบัดเกราะแขนในมืออยู่ที่เดิม ร่างอยู่ท่ามกลางแสงสีเงินที่ทับซ้อนเป็นชั้น พลันอ่อนจางลงแล้วเลือนหายไป
เสี้ยววินาทีต่อมา นอกตำหนักวิญญาณแห่งหนึ่ง
วู้ม ฟุ่บ! แสงสีเงินชั้นหนึ่งทับซ้อนกลางอากาศ ภายในปรากฏร่างผมสีทองพร้อมด้วยอากาศที่ไหวกระเพื่อม
ในเสี้ยววินาทีที่จ้าวเฟิงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ผู้แข็งแกร่งและขั้วอำนาจที่ผ่านไปมามากมายพากันตกใจสงสัย
“ใช้พลังค่อนข้างมากทีเดียว!”
จ้าวเฟิงประเมิณระยะทางกับการใช้พลัง
ในยามนี้ จ้าวเฟิงพอจะสามารถข้ามเมืองใหญ่สองเมืองได้ทันที แต่หากคิดจะข้ามมณฑลยังมีระดับความยากอยู่มาก แต่ว่า การข้ามเมืองใหญ่สองเมืองในทันที ก็เท่ากับประหยัดระยะทางหลายสิบวันได้
เช่นนี้แล้ว จ้าวเฟิงจึงใช้ค่ายกลขนส่งของตำหนักวิญญาณและการทะลุมิติของมนตราอากาศ บินมุ่งไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว
ตอนที่บินอยู่ในเส้นทาง จ้าวเฟิงก็รีบฟื้นฟูพลังปราณแท้จริงที่ใช้ไป
เซียนเกราะดำที่อยู่ในมิติดวงตาซ้ายค่อยๆ ยอมศิโรราบภายใต้การทรมานอันยาวนานของจ้าวเฟิง และถูกเขาลงตราผนึกดวงใจทมิฬ
หลังจากที่เซียนเกราะดำถูกจ้าวเฟิงจับเป็นทาสรับใช้แล้ว จึงบอกที่มาที่ไปของการไล่สังหารในครั้งนี้กับจ้าวเฟิงทั้งหมด
“มีขั้วอำนาจมากมายถึงเพียงนี้เชียว…”
จ้าวเฟิงตกตะลึงไปเล็กน้อย
การไล่สังหารจ้าวเฟิงในครั้งนี้ ตัวการคือองค์ชายสิบสามและวังเก้านิรย แต่ขั้วอำนาจทั้งหลายเบื้องหลังองค์ชายสิบสามร่วมด้วยเกือบทั้งหมด แต่เหมือนว่าจะไม่มีตระกูลตวนมู่อยู่ด้วย
ขั้วอำนาจพวกนี้ล้วนคิดว่าจ้าวเฟิงใช้ศรสังหารเทพไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงสร้างสถานการณ์ขัดแย้งกับขั้วอำนาจที่กำลังพัฒนาอย่างหอควันสมุทร ทำให้จ้าวเฟิงออกจากสนามรบ จากนั้นวางแผนดักซุ่มโจมตีกลางทาง
เซียนสามคนและปฐมเซียนหนึ่งคนนี้ ทั้งหมดมาจากขั้วอำนาจที่ต่างกัน
ถึงแม้ว่ายามนี้สองราชวงศ์ทำศึกใหญ่ แต่เมืองเมืองหนึ่ง อย่างมากที่สุดก็มีเซียนเพียงสองคน
การไล่สังหารจากเซียนสามคนก็นับว่าน่าตื่นตกใจมากแล้ว
อีกทั้งผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ยังมีค่ายกลวิญญาณทมิฬของพวกระดับสูงในวังเก้านิรย สามารถสังหารเทวาเร้นลับชั้นต้นได้อย่างง่ายดาย
“แค้นนี้ ข้าแซ่จ้าวจะจดจำไว้ในใจ!”
สีหน้าท่าทางของจ้าวเฟิงเย็นชา
ขั้วอำนาจเบื้องหลังของเขาต้องการการพัฒนา ทรัพยากรที่ต้องใช้มากมายมหาศาล อีกทั้งเป้าหมายของจ้าวเฟิงก็ไม่ธรรมดา
หากมีโอกาส จ้าวเฟิงก็ไม่รังเกียจที่จะไปยังขั้วอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์พวกนั้นเพื่อเก็บค่าใช้จ่ายทรัพยากรบ้าง
“ด้วยความเร็วของนายท่าน บางทีอาจจะกลับถึงมณฑลเหลียนทันก่อนวังเก้านิรยจะลงมือ!”
หลังเซียนเกราะดำถูกจ้าวเฟิงจับเป็นทาส ก็รับใช้จ้าวเฟิงอย่างซื่อสัตย์
ในยามนี้ เขานับว่าหักหลังวังเก้านิรย จ้าวเฟิงล้มเหลวลงเมื่อใด เขาก็จะถูกวังเก้านิรยลงโทษไปด้วย
ทว่าในระยะนี้ที่ร่วมเดินทางกับจ้าวเฟิง เซียนเกราะดำได้เห็นความสามารถมากมายและไพ่ตายของผู้เป็นนาย จึงมั่นใจในตัวเขาพอสมควร
“ก็จริง!” จ้าวเฟิงพยักหน้า เร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังมณฑลเหลียน
การไล่ล่าสังหารจ้าวเฟิงล้มเหลว ผู้เฒ่าผมขาวที่หลบหนีไป ต่อให้ใช้ความเร็วสูงสุดเร่งเดินทางกลับไปหรือส่งข่าว ก็ไม่มีทางที่จะเร็วไปกว่าจ้าวเฟิงได้
และมณฑลเหลียนคือมณฑลขนาดใหญ่ซึ่งหอควันสมุทรขยายพื้นที่เข้าไปในแผ่นดินใหญ่ได้ไกลที่สุด แต่กลับถูกขัดขวางจากขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสิบสาม
……
มณฑลเหลียน ตำหนักย่อยของหอควันสมุทร
ผู้แข็งแกร่งศาสตร์ซากศพนับสิบล้อมอยู่ด้านนอกตำหนักย่อยของหอควันสมุทร
ผู้เป็นหัวหน้าคือชายวัยกลางคนที่ผอมแห้งราวกับฟืน ดวงตาทั้งสองมีประกายไฟปีศาจสีเขียวเข้มไหววูบ
“วันนี้ พวกเจ้าตำหนักย่อยหอควันสมุทร หากไม่ยอมชี้แจงอะไรละก็ อย่าหาว่าพวกเราสำนักฟ้าทมิฬไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
ชายวัยกลางคนที่ผอมแห้งราวฝืนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ภายในตำหนัก ผู้นำระดับสูงทั้งหลายรวมตัวกันที่โถงแห่งหนึ่ง
“เซียนอั้นกุ่ย (ภูตผีดำมืด) เรื่องนี้พวกเจ้าสำนักฟ้าทมิฬรู้แก่ใจดีอยู่แล้ว ยังจะให้พวกเราพูดอะไรอีก?”
ผู้เฒ่าชุดเขียวผู้กุมอำนาจตำหนักย่อยของหอควันสมุทรเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย
มณฑลเหลียนห่างจากชายทะเลมากนัก
ต่อให้ปี้ชิงเยวี่ยและเฒ่าประหลาดสวีรีบเดินทางมาก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่ต่อให้ทั้งสองเดินทางมาถึงก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก
สำนักฟ้าทมิฬเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจขนาดใหญ่ใต้อาณัติของวังเก้านิรย ควบคุมดูแลหน่วยสืบข่าวกรองของฝ่ายนั้น
ไม่ต้องพูดถึงพลังของเซียนอั้นกุ่ย ที่สำคัญคือวังเก้านิรยที่อยู่เบื้องหลัง หากหอควันสมุทรลงมือบุ่มบ่าม วังเก้านิรยอาจจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้โดยตรง
“ฮ่าๆ พวกเจ้าสมาชิกหอควันสมุทรแฝงตัวเข้ามาสืบข่าวในสำนักฟ้าทมิฬของข้า อีกทั้งยังสังหารศิษย์คนสำคัญของพวกเรา นี่คือเรื่องจริง!”
เซียนอั้นกุ่ยหัวเราะลั่น ใบหน้าเหี้ยมเกรียม
“ผู้อาวุโสสูงสุด พวกเราจะลงมือเมื่อใด?”
ข้างๆ เซียนอั้นกุ่ย ผู้อาวุโสผู้หนึ่งถามอย่างอดใจรอไม่ไหว
ในยามนี้ สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือบีบให้จ้าวเฟิงเดินทางกลับมา จากนั้นก็สังหารเขาระหว่างทาง
ขอแค่เพียงจ้าวเฟิงดับดิ้น เช่นนั้นขั้วอำนาจของเขาก็จะกลับเป็นของวังเก้านิรย
“ข้างบนยังไม่ส่งข่าวมา!” เซียนอั้นกุ่ยส่งกระแสจิตไป
หากจ้าวเฟิงไม่ตายแล้วพวกเขาบุ่มบ่ามจัดการกับตำหนักย่อยของหอควันสมุทร เพียงแค่มีการสืบสาวขึ้นมาจน กลายเป็นเรื่องใหญ่โตก็ไม่ดีเป็นแน่
ทว่าเซียนอั้นกุ่ยดูแล้ว จ้าวเฟิงตายแน่นอน เพียงแต่วังเก้านิรยบอกเอาไว้ มีเพียงแค่ยืนยันว่าจ้าวเฟิงตายแล้วเท่านั้นจึงจะลงมือได้
“แต่พวกเราสามารถเล่นสนุกไปก่อนได้!”
แววตาของเซียนอั้นกุ่ยเหี้ยมโหดเย็นชา พลังเซียนกลุ่มหนึ่งพลันแผ่กระจายออก แทรกซึมไปยังอากาศเบื้องล่าง
เห็นเพียงท้องฟ้าทั่วบริเวณกว่าพันลี้ ค่อยๆ จมลงสู่โลกอันมืดมิดที่มีดวงไฟปีศาจสีเขียวเข้มลอยไปมา
ในตำหนัก ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน ลูกศิษย์และสมาชิกจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกถึงความกดดัน ขาดอากาศหายใจ สายเลือดและปราณที่แท้จริงตกสู่ภาวะแข็งตัว พูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น