Skip to content

King of Gods 1046

King Of Gods

บทที่ 1046 หนานกงเซิ่งมาเยือน

หนึ่งเดือนหลังจากประกาศภารกิจลอบสังหาร

เรื่องรางวัล ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’ ของภารกิจลอบสังหาร ก็กระจายมาจากวงการนักฆ่าที่แฝงกายอยู่ใน ‘หอสังหารเดียวดาย’ ส่วนนักฆ่าของหน่วยลอบสังหารอื่น หลังจากที่ได้ยินเรื่องของ ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’ ส่วนมากจะไม่เชื่อ คิดว่านี่คือเรื่องตลกที่หอสังหารเดียวดายสร้างขึ้นเพื่อจะยกระดับตัวเอง

หลังจากนั้นหลายวัน จักรพรรดิคูอิ่งก็ปกปิดตัวตนแล้วประกาศภารกิจลอบสังหารอีกเล็กน้อยที่มุมมืดทมิฬ

นักฆ่าของมุมมืดทมิฬแข็งแกร่งเป็นมืออาชีพกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ภายในสิบวันที่จักรพรรดิคูอิ่งประกาศภารกิจลอบสังหาร ก็มีสองภารกิจที่ทำสำเร็จ

“ได้ยินมาว่า ‘กุ่ยช่า’ อันดับที่หนึ่งร้อยสี่สิบแปดของมุมมืดทมิฬ จู่ๆ ก็ทะลวงถึงขอบเขตพลังจักรพรรดิ พุ่งไปอยู่ลำดับที่แปดสิบสอง!”

“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ว่ากันว่าเขาทำภารกิจลอบสังหารหนึ่งสำเร็จ จึงได้รับยาล้ำค่าชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’!”

“โอสถโลหิตจิตวิญญาณ ยาเช่นนี้มีในรางวัลภารกิจลอบสังหารของ ‘หอสังหารเดียวดาย’ ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว!”

ที่แห่งหนึ่งในจุดรับภารกิจสำคัญของมุมมืดทมิฬ นักฆ่ามืออาชีพท่าทางเหี้ยมโหดมากมายที่สัญจรไปมาคุยกันเพื่อเปลี่ยนแลกข่าวสาร

นักฆ่าคนใดคนหนึ่งที่จู่ๆ ทะลวงขั้น พลังเพิ่มขึ้นมหาศาล แน่นอนว่าสามารถดึงดูดความสนใจจากนักฆ่ามืออาชีพคนอื่นได้

อีกทั้งภารกิจลอบสังหารที่เหล่านักฆ่ารับมา ย่อมเลือกภารกิจที่ได้รางวัลมากมายที่สุด ระดับความยากในการลอบสังหารต่ำ

“พี่ใหญ่ ภารกิจลอบสังหารที่เกี่ยวกับโอสถโลหิตจิตวิญญาณของที่นี่เหลืออีกแค่สี่เท่านั้น พวกเราลองดูดีรึไม่?”

ในมุมมืดมิดแห่งหนึ่ง หนุ่มอายุน้อยตัวผอมแห้งคนหนึ่งพูดขึ้น

ข้างกายของเขายังมีอีกสามคน ชายสองหญิงหนึ่ง จิตสังหารเย็นเยือกเสียดกระดูก ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้

“ได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นวังเก้านิรย หากพวกเราทำสำเร็จ จากนั้นก็ปกปิดตัวตนไปช่วงระยะหนึ่งก่อน!”

หัวหน้านักฆ่าที่เป็นตัวนำก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนใจจาก ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’ ในข่าวลือได้

……

ตำหนักราชัน

“นายท่าน ภารกิจลอบสังหารที่ประกาศในมุมมืดทมิฬสำเร็จทั้งหมดเเล้ว!”

เซียนราตรีทมิฬแววตาฉายความยินดี

ในระยะนี้ เพราะภารกิจลอบสังหารที่จ้าวเฟิงประกาศ ปริมาณการเข้าออกของนักฆ่าหอสังหารเดียวดายมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาหนึ่งเท่า หน่วยลอบสังหารขนาดเล็กรอบๆ มากมายก็เกือบจะถูก ‘หอสังหารเดียวดาย’ กลืนจนสิ้น

แม้กระทั่งนักฆ่าของมุมมืดทมิฬก็มีบ้างที่ย้ายมาที่นี่

“ต่อไปถึงจะเป็นฉากสำคัญ!”

จ้าวเฟิงแสยะยิ้มเหี้ยม

“ประกาศภารกิจลอบสังหารต่อไป ในขณะเดียวกันก็ยกระดับของภารกิจด้วย!”

จ้าวเฟิงบัญชา

ในวันนั้น ปี้ชิงเยวี่ย เซียนราตรีทมิฬ และจ้าวเฟิงหารือเรื่องเป้าหมายลอบสังหารกลุ่มต่อไปได้แล้ว

เป้าหมายลอบสังหารกลุ่มแรก ส่วนมากเป็นระดับราชันและจักรพรรดิอีกจำนวนน้อยนิด แต่เป้าหมายลอบสังหารของกลุ่มนี้ระดับความยากมากขึ้น กระทั่งกำหนดเป้าหมายไว้ที่ระดับปฐมเซียนหนึ่งคน

“เอ๋ ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณทมิฬนี่!”

จ้าวเฟิงพบข้อมูลหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ

สำนักวิญญาณทมิฬและสำนักฟ้าทมิฬล้วนเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสังกัดระดับสุดยอดของวังเก้านิรย จ้าวหวางก็เข้าร่วมกับสำนักวิญญาณทมิฬพอดี

อีกทั้งจ้าวเฟิงพบว่า ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณทมิฬคือผู้เฒ่าผมขาวที่ร่วมกับเซียนเกราะดำและคนอื่นๆ ไล่สังหารเขาเมื่อครั้งที่แล้ว ผู้เฒ่าผมขาวคนนี้เชี่ยวชาญเสวียนอ้าวแห่งมิติ ในตอนนั้นโชคดีที่หนีมาได้ แต่จ้าวเฟิงก็ได้ลงดวงตาเทพจับเป้าหมายไว้บนร่างของเขาแล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เขามีชีวิตไปอีกช่วงก็แล้วกัน!”

ในใจของจ้าวเฟิงมีแผนเพิ่มขึ้นมาอีก แผนนี้ต้องการความร่วมมือจากจ้าวหวาง แต่พลังของจ้าวหวางในยามนี้ยังไม่พอ

“รางวัลของการลอบสังหารปฐมเซียนคือ ‘โอสถเลือดบริสุทธิ์’!”

จ้าวเฟิงหยิบ ‘โอสถเลือดบริสุทธิ์’ ออกมาหลายเม็ด แล้วใส่ไว้ในอีกขวดหนึ่ง

วัตถุดิบในการหลอมโอสถโลหิตจิตวิญญาณและโอสถเลือดบริสุทธิ์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โอสถเลือดบริสุทธิ์หลอมขึ้นจากเลือดบรรพกาลบริสุทธิ์ มีผลในการกระตุ้นสายเลือดที่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

จ้าวเฟิงมอบขวดเล็กนี้ให้แก่จักรพรรดิคูอิ่ง อีกทั้งให้เขาประกาศภารกิจในมุมมืดทมิฬ

ภารกิจลอบสังหารปฐมเซียนมีระดับสูงมาก ประกาศใน ‘หอสังหารเดียวดาย’ กลับไม่มีประโยชน์อะไรนัก

“เรื่องนี้ต่อไปให้เจ้าเป็นผู้จัดการ สำหรับ ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’ และ ‘โอสถเลือดบริสุทธิ์’ ก็มาเอาที่ข้าได้!”

จ้าวเฟิงมอบหมายเรื่องนี้ให้กับปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬ

“รับทราบ!”

ปี้ชิงเยวี่ยและเซียนราตรีทมิฬต่างก็ปรารถนาในโอสถเลือดบริสุทธิ์เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจทำงานอย่างยิ่ง หวังว่าหลังจากที่จัดการเรื่องพวกนี้เรียบร้อยแล้ว จะได้ยา ‘โอสถเลือดบริสุทธิ์’ มาจากจ้าวเฟิงบ้าง

ในวันนั้น

ภารกิจลอบสังหารชุดใหม่ที่มี ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’ เป็นรางวัลประกาศออกไป ในโลกนักฆ่าเกิดการยื้อแย่งกันอย่างบ้าคลั่งทันใด

สำหรับสรรพคุณของโอสถโลหิตจิตวิญญาณได้รับการพิสูจน์จากตัวอย่างจริงมานับไม่ถ้วนแล้ว

“ข้าขัดหูขัดตาวังเก้านิรยนี่มานานแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ใดที่กำลังตั้งผงาด ประกาศภารกิจลอบสังหารมากมายถึงเพียงนี้!”

นักฆ่าร่างกายใหญ่กำยำคนหนึ่ง หลังจากที่รับภารกิจลอบสังหารอย่างตื่นเต้นยินดี ก็กระตือรือร้นจากไปทันที

“ฮี่ๆ ภารกิจลอบสังหารพวกนี้ต้องรีบรับให้ไว!”

นักฆ่าที่แผ่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งคนหนึ่ง แววตาเผยประกายกระหายเลือด

ทุกคนล้วนสังเกตได้ว่า ภารกิจลอบสังหารในครั้งนี้มีระดับความยากเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งขั้วอำนาจสังกัดของวังเก้านิรยก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ความยากของการลอบสังหารจึงเพิ่มขึ้นโดยปริยาย

ไม่นานหลังจากนั้น

มุมมืดทมิฬก็มีภารกิจลอบสังหารที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนปรากฏขึ้นรายการหนึ่ง รางวัลของการลอบสังหารก็คือ ‘โอสถเลือดบริสุทธิ์’ เป็นคนหรือขั้วอำนาจเดียวกับที่ประกาศภารกิจลอบสังหารซึ่งมี ‘โอสถโลหิตจิตวิญญาณ’ เป็นรางวัล

ทันใดนั้น นักฆ่าระดับสูงขึ้นและนักฆ่าชั้นยอดสามสิบลำดับแรกของมุมมืดทมิฬก็ตื่นเต้นฮือฮาเพราะประกาศนี้

‘โอสถเลือดบริสุทธิ์’ เป็นสิ่งเย้ายวนใจสำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นจักรพรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระทั่งเซียนที่พลังสายเลือดไม่แข็งแกร่งมากก็โดนประกาศนี้ดึงดูด

แต่ภารกิจลอบสังหารที่มี ‘โอสถเลือดบริสุทธิ์’ เป็นรางวัล มีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น คือลอบสังหารผู้นำระดับสูงขั้นปฐมเซียนที่ส่งไปอยู่นอกวังเก้านิรย

วันนั้น มีนักฆ่าถึงสามคนรับภารกิจนี้ในเวลาเดียวกัน!

……

ตำหนักราชัน

จ้าวเฟิงส่งเสืออัคคีปีกทองที่จัดการเรียบร้อยแล้วไปให้หมอเทวดา

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าภารกิจลอบสังหารพวกนี้จะเป็นที่ต้องการมากถึงเพียงนี้ ยาในมือไม่เพียงพอให้ใช้

หลังจากที่กลับมาถึงที่พักแล้ว จ้าวเฟิงก็เริ่มปิดด่านฝึกตนทันที

“รออีกช่วงระยะหนึ่ง ก็เตรียมตัวบุกยึดสระน้ำที่ใจกลางนั่น!”

ในมือจ้าวเฟิงมีวัตถุดิบยาหลายชนิดปรากฏขึ้น เริ่มฝึกฝน เปลวเพลิงวายุอัสนีสายหนึ่งห้อมล้อมรอบกาย

ผึ้งเบญพิษส่วนหนึ่งถูกจ้าวเฟิงเลี้ยงไว้ในห้วงฝันบรรพกาล พลังของพวกมันกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่เสืออัคคีปีกทองที่อยู่ตรงสระน้ำกลางป่ามีกำลังรบแข็งแกร่งมากเกินไป ต่อให้อาศัยผึ้งเบญจพิษ จ้าวเฟิงก็ไม่มั่นใจเท่าใดนัก

จ้าวเฟิงประเมินเอาไว้ว่าอาจต้องสูญเสียผึ้งเบญจพิษจำนวนมาก จึงจะสามารถจัดการเสืออัคคีปีกทองได้

ดังนั้น จ้าวเฟิงจึงคิดจะฝึกฝนเสืออัคคีปีกทองให้เป็นกำลังรบชิงทรัพยากรในห้วงฝันบรรพกาล เพื่อชดเชยการสูญเสียของผึ้งเบญจพิษ

หลังจากนั้นสามวัน

กลิ่นอายบนร่างจ้าวเฟิงเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง พลังวายุอัสนีธาตุไฟบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น พลานุภาพก็เพิ่มขึ้นอีกนิดเช่นกัน

“วายุอัสนีธาตุไฟสมบูรณ์!”

จ้าวเฟิงพึมพำเสียงต่ำ

ในยามนี้ วัตถุดิบยาล้ำค่าที่แฝงด้วยธาตุไฟของเขาก็ใช้หมดไปพอประมาณแล้ว

คิดถึงในตอนนั้น จ้าวเฟิงอยู่ในเมืองความลับสวรรค์ แลกทรัพยากรฝึกฝนมามากมาย ยังไม่ทันไรก็ใช้ใกล้จะหมดแล้ว

ยังดีที่จ้าวเฟิงเริ่มกักตุนทรัพยากรสำหรับวายุอัสนีธาตุดินขั้นที่เก้าเอาไว้นานแล้ว

หลังจากกลับมาที่ตำหนักราชัน จ้าวเฟิงก็ใช้อิทธิพลของตำหนักราชันกวาดทรัพยากรฝึกฝนที่แฝงด้วยพลังธาตุดินมาจากทั่วทุกทิศ

“เอ๋? กลิ่นอายกลุ่มนี้!”

จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายกลุ่มหนึ่ง

ขณะนี้เอง ห่างจากที่พักของจ้าวเฟิงไปพันลี้ มีเสียงหนึ่งดังมา

“ผู้อาวุโสสูงสุด มีผู้แข็งแกร่งขั้นเซียนผู้หนึ่งบอกว่ามาหาท่าน!”

ร่างของจ้าวเฟิงปรากฏขึ้นนอกตำหนักทันที ก่อนหายไปจากขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว

ที่ซุ้มประตูตำหนักราชัน ผู้นำระดับสูงของตำหนักทั้งหลายเผชิญหน้ากับชายโฉดชั่วผมสีม่วงแดงแต่ไกลๆ

แต่ในด้านรัศมีอำนาจ กลับเป็นชายผู้นี้ที่เหนือกว่า ฝั่งตำหนักราชันรวมทั้งเฒ่าประหลาดสวีและเซียนราตรีทมิฬล้วนไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ

“ถอยไปให้หมด!” เสียงของจ้าวเฟิงลอยมาจากด้านหลัง

ทันใดนั้น ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายของตำหนักราชันถอยออกไปช้าๆ แต่ก็สังเกตประเมินผู้อาวุโสสูงสุดที่ลึกลับเกินจะหยั่งผู้นี้ของพวกเขา

“พวกเจ้ากลับไปให้หมด!”

ปี้ชิงเยวี่ยรับรู้เจตนาจ้าวเฟิง รีบไล่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป

“จ้าวเฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะก่อตั้งขั้วอำนาจสำนัก!”

แววตาของหนานกงเซิ่งส่องประกายสีม่วงหม่นวูบวาบ พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ในใจของเขา จ้าวเฟิงควรมุ่งมั่นให้กับขั้นสุดยอดของการต่อสู้ เป็นผู้แข็งแกร่งสายต่อสู้ที่มีหวังจะไปถึงตำแหน่งเทพ ไม่น่าหยุดลงตรงนี้แล้วไปเปิดสำนัก พัฒนาขั้วอำนาจ

จ้าวเฟิงในยามนี้ทำให้หนานกงเซิ่งผิดหวังเล็กน้อย

“เข้ามาพูดข้างในเถอะ!” จ้าวเฟิงเอ่ยออกมา

ยามที่เขาเห็นพลังของหนานกงเซิ่ง ก็มองออกว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ถูกจิตเทพปีศาจครอบงำทั้งหมด

หากหนานกงเซิ่งเปลี่ยนเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์ จะต้องดูดซับพลังเทพปีศาจโดยไร้ขอบเขต ตอนนี้ไปถึงเทวาเร้นลับชั้นสูงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“จ้าวเฟิง ให้ข้าได้เห็นพลังของเจ้าว่าพัฒนาไปบ้างหรือไม่!”

ในแววตาของหนานกงเซิ่ง จิตต่อสู้กระหายการฆ่าล้นทะลักออก กลิ่นอายชั่วร้ายที่เย็นเยียบน่ากลัวปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน ลวดลายประหลาดสีโลหิตแผ่ออกบนร่าง

“หนานกงเซิ่ง ข้าจะไม่สู้กับเจ้า!”

เสียงเย็นชาของจ้าวเฟิงดังขึ้น

“ทำไม?”

แววตาของหนานกงเซิ่งตะลึงไปเล็กน้อย จิตต่อสู้อันฮึกเฮิมมลายหายไปในพริบตา

จ้าวเฟิงที่ไม่อยู่ในสภาวะต่อสู้ ต่อให้เขาฝืนลงมือ การต่อสู้เช่นนั้นก็ไม่มีความหมายใดๆ

“เขาในยามนี้เพิ่งจะเป็นปฐมเซียน ไม่มีทางเป็นคู่มือของเจ้าได้ หนานกงเซิ่ง!”

ในกายของหนานกงเซิ่ง เสียงได้ใจของจิตเทพปีศาจดังขึ้น

“เจ้ารู้ไม้ตายของข้า!” จ้าวเฟิงตอบง่ายๆ

หนานกงเซิ่งตะลึงไปเล็กน้อย

ใช่แล้ว เขารู้ไม้ตายของจ้าวเฟิงจริงๆ——ศรสังหารเทพ

หากจ้าวเฟิงใช้ศรสังหารเทพ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดๆ ตนก็แพ้ทั้งสิ้น!

แต่อันที่จริงแล้ว นี่ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของจ้าวเฟิง

พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงในยามนี้ทะลวงเทวาเร้นลับชั้นต้นได้สำเร็จแล้ว ต่อให้ไม่ใช้ศรสังหารเทพ ด้านพลังวิญญาณก็สามารถเอาชนะหนานกงเซิ่งได้

แต่เขาไม่อยากโจมตีหนานกงเซิ่งให้พ่ายแพ้

จ้าวเฟิงรู้ว่า หนานกงเซิ่งมีตนเป็นเป้าหมายที่จะแซงหน้าให้ได้มาโดยตลอด เมื่อหนานกงเซิ่งพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิง จิตใจจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน อาจจะดูดซับพลังเทพปีศาจโดยไม่บันยะบันยัง นี่เป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงไม่อยากเห็น

หนานกงเซิ่งในยามนี้ยังสามารถรักษาสติและสัญชาติญาณเดิมเอาไว้ได้หลายส่วน หากรักษาไว้ได้ต่อไปเช่นนี้ก็ดีแล้ว

“เข้ามาเถอะ ตำหนักราชันเป็นขั้วอำนาจที่เป็นศัตรูกับวังเก้านิรย แถวนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมีสายของวังเก้านิรยก็เป็นได้!”

จ้าวเฟิงส่งกระแสจิตไป

แววตาของหนานกงเซิ่งพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดในทันที จิตสังหารกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่านออกมา

วังเก้านิรยตามล่าสังหารเขาถึงสี่ปีเต็มๆ กระทั่งไล่สังหารไปถึงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ข่มขู่สำนักที่เขาเคยอยู่และศิษย์น้องชายหญิง ความเกลียดแค้นของหนางกงเซิ่งต่อวังเก้านิรย แค่คิดก็น่าจะรู้ได้

แต่หนานกงเซิ่งก็รู้ดี เขาในตอนนี้ยังไม่ใช่คู่มือของวังเก้านิรย

ฟุ่บ! หนานกงเซิ่งตามจ้าวเฟิงเข้ามายังพื้นที่ต้องห้ามด้านหลังตำหนักราชัน

“หนานกงเซิ่ง ช่วงนี้ขั้วอำนาจของข้ากำลังดำเนินแผนการหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะสนใจหรือไม่?”

ในตำหนักลับ จ้าวเฟิงนั่งลงแล้วก็ยิ้มพูดขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version