Skip to content

King of Gods 1089

King Of Gods

บทที่ 1089 เจ้าแมวขโมยน้อยลงมือ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ‘ครึ่งเทพกูซี’ ที่เปลี่ยนจากโจมตีมาป้องกัน ต่างเผ่าพันธุ์ ‘ครึ่งเทพเมี่ยฝ่า’ ไม่รู้จะทำอย่างไรไปชั่วขณะ

ครึ่งเทพเมี่ยฝ่าสามารถต้านทานครึ่งเทพกูซีที่ใช้อาวุธเทพชั้นรอง ครึ่งเทพกูซีก็ย่อมต้านทานการรุกคืบโจมตีของเขาได้

แกรก! รอยร้าวบนผลสีแดงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งเทพเมี่ยฝ่าร้อนรนอย่างยิ่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้

ราชาเซียนต่างเผ่าพันธุ์เพียงสองคนในนี้ก็ไม่กล้าขึ้นไปให้ความช่วยเหลือครึ่งเทพเมี่ยฝ่า เพราะเมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งต่างเผ่าพันธุ์แล้ว ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่นี่ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ

“ครึ่งเทพเมี่ยฝ่า ที่สุดก็สู้ครึ่งเทพกูซีไม่ได้!”

จ้าวเฟิงได้ความรู้ใหม่มา

ในบรรดาครึ่งเทพมีความต่างของพลังอย่างชัดเจนเช่นกัน และครึ่งเทพกูซีที่อยู่ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของวังลอยฟ้า น่าจะเป็นรองเพียงครึ่งเทพหลงหวงแห่งตำหนักไท่หวง

“หากไม่มีข้อผิดพลาดอะไร ผลไม้สีแดงลูกนี้คงจะตกเป็นของครึ่งเทพกูซีแห่งวังลอยฟ้า!”

จ้าวเฟิงเอ่ยช้าๆ จากนั้นเคลื่อนสายตาไปทิศทางอื่น

จ้าวหยูเฟยในตอนนี้กำลังฝึกตนอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพง กำแพงผลึกด้านหลังนางมีแผ่นหินผลึก ด้านบนนั้นแบ่งออกเป็นวงกลมจำนวนมาก พวกมันหมุนวนไปช้าๆ สาดกลิ่นอายเทพเบาบางที่แปลกประหลาดแทรกซึมเข้าไปในร่างจ้าวหยูเฟย

วู้ม!

ร่างดุจผลึกสีม่วงของจ้าวหยูเฟยเปล่งประกายแสงที่ทำให้คนประหวั่นพรั่นพรึง จนไอสวรรค์ในฟ้าดินฟากหนึ่งได้รับผลกระทบจากมันเช่นกัน ก่อนหลอมรวมเข้าร่างนางอย่างรวดเร็ว

“กลิ่นอายเทพงั้นหรือ?”

ไม่ไกลจากจ้าวหยูเฟย เซียนมนุษย์ในขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นสูงคนหนึ่งมีสีหน้าตื่นตะลึง

เขาล่วงรู้สถานะและสายเลือดของจ้าวหยูเฟย ย่อมไม่ไปรบกวนนาง

“ดูแล้วหยูเฟยก็เจอโอกาสส่วนหนึ่งแล้ว!”

จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย

สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณจ้าวหยูเฟยตอบสนองไอสวรรค์ในฟ้าดินและพลังประเภทต่างๆ ได้ดียิ่ง

ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถขุดค้นสมบัติในกำแพงผลึกออกมา แต่สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของจ้าวหยูเฟยกลับสามารถดูดซึมพลังในแผ่นหินผลึกนั้นมาได้

คาดได้ว่าแผ่นหินผลึกก็มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับเผ่าพันธุ์วิญญาณ

ต่อมา จ้าวเฟิงจึงเบนสายตาไปมองหนานกงเซิ่ง

สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงประหลาดใจก็คือ หนานกงเซิงหาสถานที่แห่งหนึ่งสร้างความเสถียรให้สำนึกรู้ แล้วสร้างร่างแยกขึ้น

และเวลานี้เอง จู่ๆ หนานกงเซิ่งก็หยุดการฝึกตนลง

พลังแห่งเงาโลกมิติส่วนตัวรอบกายเขาสลายไป ปรากฏเป็นร่างแยกที่ยังสร้างไม่สมบูรณ์ดี

“จิตเทพปีศาจ ต้องมอบให้เจ้าจัดการแล้ว!”

หนานกงเซิ่งเอ่ยอย่างร้อนใจ

จากนั้นจึงเห็นภายในร่างของหนานกงเซิ่งมีเงาแสงสีม่วงโลหิตขยับวิบวับ ส่วนหนึ่งของเงาแสงนี้หมุนวนเข้าไปยังร่างแยกที่ยังไม่สมบูรณ์

“จิ๊ๆ เริ่มเถอะ!”

ดวงตาทั้งสองข้างของร่างแยกหนานกงเซิ่งเปล่งแสงประหลาดสีม่วงโลหิต ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

ร่างแยกหนานกงเซิ่งยังไม่สมบูรณ์ พลังเจตจำนงในนั้นค่อนข้างขาดหาย

แต่ในเวลานี้ ความคิดบางส่วนของจิตเทพปีศาจทะลักเข้าไปในร่างแยก เกาะกลุ่มรวมกับพลังเจตจำนงในร่าง จนส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดของพลังเจตจำนงนั้น หนำซ้ำยังปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณที่แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งออกมาด้วย

ตุบ โครม!

ถัดจากนั้น หนานกงเซิ่งและร่างแยกที่ยังไม่สมบูรณ์โจมตีหินยักษ์ที่หนานกงเซิ่งฝึกตนเมื่อครู่นี้พร้อมกัน

เห็นได้เลยว่าบนกำแพงผลึกที่หนานกงเซิ่งและร่างแยกโจมตีปรากฏรอยร้าวจำนวนมาก ในรอยแตกร้าวนั้นพอจะมองเห็นผลสีดำอยู่รางๆ ทว่าผลลูกนั้นไม่มีประกายแสงใดๆ ไม่เหมือนกับผลที่แขวนอยู่บนเถาวัลย์ซึ่งสาดแสงเจิดจ้าออกมา

บึ้ม!

พลังของหนานกงเซิ่งและร่างแยกเท่ากัน และคนทั้งสองยังใช้พลังเทพเสี้ยวหนึ่งได้อีกด้วย

“หลังจากหนานกงเซิ่งเข้ามาที่นี่ ระดับพลังสำนึกรู้ก็พัฒนาขึ้น ด้วยเหตุนี้พลังทั้งหมดจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!”

จ้าวเฟิงเอ่ยวิเคราะห์อย่างช้าๆ

อีกทั้งในเวลานี้ หนานกงเซิ่งยังได้ความช่วยเหลือจากร่างแยก ร่างแยกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของจิตเทพปีศาจ ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งเช่นกัน

เช่นเดียวกันกับหนานกงเซิ่ง ผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็เริ่มจับจ้องไปที่ก้อนผลึกบางส่วนในที่แห่งนี้

เพราะพวกเขารับรู้ได้ว่าในก้อนผลึกพวกนี้มีอาวุธเทพหรือสมบัติส่วนหนึ่งผนึกเอาไว้แทบทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าชั้นผลึกขวางกั้นกลิ่นอายทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถระบุระดับของสมบัติและอาวุธเทพที่อยู่ภายในได้

ทันใดนั้นเอง ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงระลอกพลังประหลาด อีกทั้งระลอกรางลือนนี้มีเพียงจ้าวเฟิงถึงจะสามารถสัมผัสได้

“เจ้าแมวขโมยน้อย!” จ้าวเฟิงหันมองเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

เจ้าแมวขโมยในตอนนี้พรางกายอยู่กลางอากาศ คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้

เบื้องหน้าเจ้าแมวขโมยน้อยมีก้อนหินผลึกขนาดยักษ์

พรึ่บ! ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปกคลุมไปด้วยคลื่นสีทองอ่อน ทะลุผ่านทุกสรรพสิ่งที่มันผ่านไป

ยามนี้จ้าวเฟิงจึงมองเห็นสิ่งของในหินยักษ์ด้านหน้าเจ้าแมวขโมยตัวน้อยอย่างชัดเจน ในนั้นมีมีดสั้นสีดำเล่มหนึ่ง และยังมีผลึกโลหิตม่วงกองหนึ่งด้วย

จ้าวเฟิงมองเห็นแต่ลายคลื่นที่เคลื่อนไหวด้านบนมีดสั้นทมิฬ อีกทั้งส่วนหนึ่งของก้อนผลึกโลหิตสีม่วงยังซุกซ่อนอยู่ใต้พิภพ เหมือนมีความสอดคล้องกับพลังบางอย่างใต้ดินด้วย

“เจ้าแมวขโมยน้อยคิดจะทำอะไร?”

จ้าวเฟิงสงสัยเล็กน้อย

เขาย่อมล่วงรู้ได้ว่าเจ้าแมวขโมยตัวน้อยถูกใจมีดสั้นทมิฬและผลึกโลหิตม่วงในก้อนหินผลึกยักษ์เสียแล้ว แต่ของทั้งสองสิ่งนี้ซุกซ่อนอยู่ในใจกลางก้อนหินผลึก บนก้อนหินผลึกไม่มีแม้กระทั่งรอยร้าวใดๆ ถึงครึ่งเทพจำนวนนับสิบร่วมมือกันก็ยังไม่สามารถทำลายก้อนหินผลึกขนาดใหญ่นี้ได้

เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยอ้าปากเล็กน้อย มีเพียงจ้าวเฟิงที่เข้าใจความตั้งใจของมันอย่างชัดเจน

“มีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นหรือ?”

ประโยคนี้วนในหัวจ้าวเฟิง ด้วยไม่เข้าใจความหมายของมัน

ในทันใดนั้นเอง เจ้าแมวขโมยน้อยที่พรางกายอยู่กลางอากาศ ภายในร่างทะลักระลอกสีเทาเงินเลือนรางออกมา ระลอกสีเข้มหมุนวนอยู่ทั่วร่างรอบหนึ่ง เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่อยู่ในดวงตาซ้ายจ้าวเฟิงก็โปร่งแสงยิ่งขึ้นเหมือนว่าเคล็ดวิชาพรางกายของมันเพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับขั้น

แต่จากที่จ้าวเฟิงดู เจ้าแมวขโมยในตอนนี้ไม่เพียงแต่พรางกายอยู่ในมิติแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังเร้นกายอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์ดั้งเดิมในระดับขั้นที่ลึกล้ำมากขึ้นด้วย

ถึงจะเป็นจ้าวเฟิง แต่หากไม่ใช้ความสามารถของดวงตาสีทองก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย เพียงแต่ว่าเขารับรู้ตำแหน่งของมันได้ตามพันธะสัญญากับสัตว์วิเศษ

ฟู่! เจ้าแมวขโมยตัวน้อยใช้สภาวะพรางกาย เปลี่ยนร่างเป็นเงาไร้รูปร่างที่คนปกติธรรมดาไม่อาจมองเห็น เดินทางผ่านในอากาศ หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในวินาทีต่อมา จ้าวเฟิงก็ประหลาดใจเมื่อค้นพบว่าเจ้าแมวขโมยตัวน้อยทะลุผ่านหินผลึกยักษ์นั้นได้

เจ้าแมวขโมยน้อยในตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนก้อนผลึกโลหิตม่วง กรงเล็บขวากางออก เกาะอยู่บนมีดสั้นทมิฬ

“นี่เป็นไปได้อย่างไร?”

จ้าวเฟิงตื่นตกใจเกินจะเปรียบ เกือบจะหลุดออกจากสภาวะของการทำความเข้าใจ

“เป็นอะไรไป?”

ราชาเซียนตี้กุ่ยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มองผลึกยักษ์สิบชิ้นที่จ้าวเฟิงจดจ้องอยู่ แต่กลับมองไม่เห็นอะไร

จ้าวเฟิงปรายตามองราชาเซียนตี้กุ่ย

คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทำลายเส้นผลึกนั่นอีก แต่ทว่านี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อย่างไรเสียราชาเซียนตี้กุ่ยก็ไม่เหมือนกับครึ่งเทพกูซีกลางอากาศที่ลงมือโจมตีอย่างอุกอาจ

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นสังเกตเจอ ราชาเซียนตี้กุ่ยโจมตีเส้นผลึกอย่างระมัดระวังยิ่ง ไม่กล้าใช้พลังที่แข็งแกร่งมากเกินไป ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่คนทั้งสองร่วมมือกันจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่นานเท่าไหร่นัก

จ้าวเฟิงไม่ได้ไปใส่ใจราชาเซียนตี้กุ่ย มองที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยอีกครั้ง

ไม่รู้เจ้าแมวขโมยใช้วิธีใด จึงสามารถเข้าไปภายในหินผลึกขนาดยักษ์ได้!

แต่ร่างเจ้าแมวขโมยน้อยกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ถูกกักขังอยู่ในหินผลึก

ถึงแม้มันจะเอ่ยไม่ได้ในตอนนี้ แต่จ้าวเฟิงก็รับรู้ได้ถึงเจตนาของเจ้าแมวขโมย มันกำลังโอ้อวดใส่จ้าวเฟิงอยู่

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยลงไปลึกในก้อนหินผลึก ภายในร่างมันทะลักระลอกสีเข้มออกมาอีกครั้ง ส่งเข้าไปในมีดสั้นทมิฬผ่านทางกรงเล็บของมัน

พรึ่บ! ลวดลายคลื่นประหลาดเหนือมีดสั้นทมิฬเปล่งประกายสีเงินวิบวับ

“เจ้าระวังจะออกมาไม่ได้ตลอดชีวิต!”

จ้าวเฟิงก่นด่า

ในตอนนี้ จ้าวเฟิงพบว่าเขาประเมินเจ้าแมวขโมยต่ำไปอีกแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะยังมีวิชาที่แข็งแกร่งลึกลับเช่นนี้ซ่อนไว้ แต่สัตว์วิเศษที่น่ารังเกียจตัวนี้ไม่ได้ทำเพื่อคว้าผลประโยชน์ให้ผู้เป็นนาย แต่คิดเผื่อตนเองเท่านั้น

มีดสั้นทมิฬที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยหมายตาต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ จะต้องรู้ว่า เดิมทีตัวของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยก็มีอาวุธเทพที่ทรงพลังอย่างกริชจักรพรรดิเงาสังหารและแส้งูมังกรทอง

เจ้าแมวขโมยน้อยชายตามองจ้าวเฟิง ส่งข่าวแจ้งเขา สีหน้าของจ้าวเฟิงจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะผงกศีรษะเพื่อแสดงความเห็นด้วยแก่แผนการของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

ต่อมา แววตาของจ้าวเฟิงจึงทอดมองทางเข้าที่อยู่ไกลๆ มองเห็นแค่เงาร่างทั้งเจ็ดกระโจนเข้ามา

เจ็ดคนนี้เป็นกลุ่มราชาเซียนอวี่หลิง ราชาเซียนซีไห่ ราชาเซียนปี้กวงที่ไล่ตามพวกจ้าวเฟิงสามคนในตอนแรก

“จ้าวเฟิง!” ราชาเซียนปี้กวงมองเห็นจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรเสียตำแหน่งที่จ้าวเฟิงอยู่ก็ค่อนข้างสะดุดตา อีกทั้งยังแผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณที่แกร่งกล้า กระเทือนพลังสำนึกรู้ในฟ้าดิน

“พวกเรามาสายไปเสียแล้ว สมบัติที่ถูกขุดค้นได้ง่ายก็ถูกคนอื่นเอาไปหมด ไม่สู้สังหารมันตอนนี้เลย!”

ราชาเซียนอวี่หลิงเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อสำรวจสถานการณ์รอบด้านแล้ว

“ไป!”

ราชาเซียนซีไห่มองดูสภาพการณ์รอบๆ เห็นด้วยกับความเห็นของราชาเซียนอวี่หลิง

เซียนหลายคนที่เหลือ ถึงแม้จะอยากได้สมบัติและพลังสำนึกรู้ในที่นี่ อยากจะค้นหาสมบัติหรือไม่ก็ฝึกฝน แต่ก็ไม่กล้าขัดความต้องการของราชาเซียนทั้งสาม

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ~ คนทั้งเจ็ดตรงดิ่งไปหาจ้าวเฟิง

“ราชาเซียนตี้กุ่ย คนของตำหนักไท่หวงตรงมาหมายจะสังหารข้า เจ้าจำต้องหยุดมือก่อน ล่อพวกเขาไปกับข้าด้วยกัน!”

จ้าวเฟิงส่งกระแสจิตบอกราชาเซียนตี้กุ่ย

“อะไรกัน? เจ้าหนุ่ม กล้ายั่วโทสะคนของตำหนักไท่หวงเลยหรือ!”

ราชาเซียนตี้กุ่ยที่กำลังตัดเส้นผลึกเอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

แต่ที่จ้าวเฟิงพูดก็มีเหตุผลอย่างยิ่ง ตอนนี้ต้องล่อกลุ่มคนเหล่านี้ให้ไปที่อื่น มิฉะนั้นผลสีแดงที่คนทั้งสองต้องการเก็บเกี่ยวจะถูกเปิดเผยหมดสิ้น

“จ้าวเฟิง วันนี้เจ้าไม่มีที่ให้หนีอีก เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน!”

ราชาเซียนอวี่หลิงที่โบยบินมาอย่างรวดเร็วเผยรอยยิ้มเหย่อหยิ่ง

ฟู่! จ้าวเฟิงหยุดการปิดด่านฝึกตน หนีไปที่ไกลๆ อย่างรวดเร็ว

คนระดับสูงของตำหนักไท่หวงทั้งเจ็ดคนรีบไล่ตามไปติดๆ ไล่ล่าสังหารจ้าวเฟิงด้วยท่าทีแน่วแน่

หลังจากที่จ้าวเฟิงล่อคนทั้งเจ็ดไปแล้ว ราชาเซียนตี้กุ่ยที่หลบอยู่ด้านหลังก็ตามไปทันใด

“ไม่รู้ว่าพี่อวี่หลิง พี่ซีไห่ เหตุใดจึงต้องสังหารสหายน้อยจ้าวเฟิงด้วย?”

จู่ๆ ราชาเซียนตี้กุ่ยก็ถามขึ้น

คนทั้งหมดของตำหนักไท่หวงหันมองราชาเซียนตี้กุ่ยในคราวเดียว สีหน้าตื่นตะลึง

พวกเขาต่างรู้ว่าลัทธิมารพิภพและตำหนักราชันน่าจะมีปัญหากันพอควร แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ราชาเซียนตี้กุ่ยจะออกตัวแทนจ้าวเฟิง

“เรื่องเป็นเช่นนี้ ตอนมาถึงที่นี่กลุ่มของข้าและจ้าวเฟิงร่วมมือกันชั่วคราวเพื่อช่วงชิงเอาผลประโยชน์มา….”

ราชาเซียนตี้กุ่ยทำได้เพียงฝืนอธิบาย

เขาและจ้าวเฟิงมีผลประโยชน์ร่วมกันจริงๆ ทว่าผลประโยชน์ที่ได้ร่วมกันก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือผลไม้สีเหลือง

ในฐานะที่ราชาเซียนตี้กุ่ยเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งลัทธิมารพิภพ ซึ่งเป็นสำนักสายมารใหญ่อันดับต้นๆ ของราชวงศ์ต้าเฉียน และเป็นพันธมิตรกับวังเก้านิรย

ถึงแม้ราชาเซียนทั้งสามจะเป็นผู้นำระดับสูงของตำหนักไท่หวง แต่ไม่อาจเป็นตัวแทนครึ่งเทพของตำหนักไท่หวง สำหรับราชาเซียนตี้กุ่ย พวกเขาเองก็ไม่ได้ตอบโต้อย่างวางอำนาจ

“ราชาเซียนตี้กุ่ย เจ้าเด็กจ้าวเฟิงผู้นี้ปล้นชิงทรัพยากรของทุกคนในฝ่ายตำหนักไท่หวง และยังเป็นฆาตกรที่สังหารองค์ชายสิบสามด้วย…”

เวลานี้ ราชาเซียนอวี่หลิงค่อยๆ สาธยายความผิดของจ้าวเฟิง

เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ขอแค่ทุกคนในตำหนักไท่หวงแสดงทีท่าจะสังหารจ้าวเฟิง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งลัทธิมารพิภพก็จะล่าถอยไปเอง

แต่ตอนนี้ จ้าวเฟิงไม่ไยดีด้วยซ้ำว่าราชาเซียนตี้กุ่ยพูดอะไรกับตำหนักไท่หวง กลับแบ่งห้วงความคิดส่วนหนึ่งไปตรวจตราสถานการณ์ของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version