บทที่ 1092 การล่าสังหารของครึ่งเทพ
“เจ้าคงเป็นจ้าวเฟิงกระมัง!”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งมองไปที่จ้าวเฟิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ผลีผลามลงมือ เพราะที่นี่ยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมาก ในนั้นมีราชาเซียนของตำหนักไท่หวงหลายคนที่เขารู้จัก ถ้าหากผู้แข็งแกร่งมนุษย์เหล่านี้ร่วมมือกัน ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งก็ทำอะไรคุนอวิ๋นและจ้าวเฟิงไม่ได้ ทำได้เพียงหลบหนีไป
อย่างไรเสีย ครึ่งเทพก็อยู่ในขอบเขตราชาเซียน เพียงแต่พลังไปแตะขั้นเทพหรือระดับสำนึกรู้สูงส่งเทียบเท่ากับเทพแท้จริงเท่านั้น
“จ้าวเฟิง เจ้าและครึ่งเทพจวี้เหมิ่งมีเรื่องอะไรกันมาก่อน?”
คุนอวิ๋นชะงักเล็กน้อย มองไปที่จ้าวเฟิง
“คุนอวิ๋น ครั้งนี้เจ้าอย่าคิดล้างแค้นเลย!”
จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเย็น
คุนอวิ๋นเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย เขาไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วย
อีกอย่าง ถึงแม้ว่าคุนอวิ๋นจะได้รับโอกาสไม่น้อยในร่างเทพ
แต่โอกาสเหล่านี้ยังไม่มากพอจะทำให้เขาทะลวงขั้นเทพได้ ดังนั้นคุนอวิ๋นยังคงต้องการทรัพยากรของจ้าวเฟิงมาก
เซียนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ดูอยู่รอบบริเวณรู้สึกว่าสถานการณ์ผิดปกติ จึงเริ่มเกาะกลุ่มอย่างรวดเร็ว
ในที่นั้น มีเพียงผู้แข็งแกร่งในขั้นราชาเซียนที่มีความเป็นไปได้ที่จะรับมือกับครึ่งเทพต่างเผ่าพันธุ์ผู้นี้ ดีที่ราชาเซียนมนุษย์ที่นี่มีจำนวนไม่น้อย คนจากตำหนักไท่หวงก็มีสามคน
ดังนั้นเซียนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่นี่จึงเข้าใกล้กลุ่มของตำหนักไท่หวงเพื่ออาศัยความคุ้มครอง
ราชาเซียนสามคนแห่งตำหนักไท่หวงและราชาเซียนตี้กุ่ยที่อยู่เบื้องหน้าจ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปในห้วงความคิด พวกเขาย่อมมองออกว่าระหว่างครึ่งเทพจวี้เหมิ่งและจ้าวเฟิงคล้ายมีความแค้นกัน
ในฐานะที่เป็นกองกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน ตามหลักการแล้ว พวกเขาหลายคนควรร่วมมือกับผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนที่นี่ตั้งรับครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง
ทว่าหากเป็นแบบนี้ จะกลายเป็นว่าพวกเขาช่วยจ้าวเฟิงคลี่คลายอันตราย ที่สำคัญก็คือหลังจากที่ช่วยจ้าวเฟิงจัดการครึ่งเทพจวี้เหมิ่งแล้ว พวกเขาสามคนก็ไม่กล้าลงมือทำร้ายจ้าวเฟิงอยู่ดี
“ถอย!”
ราชาเซียนอวี่หลิงนำกลุ่มถอยร่นไปด้านหลัง ทิ้งระยะห่างกับจ้าวเฟิง
“ตำหนักไท่หวงมีความแค้นกับพวกของจ้าวเฟิง คิดจะทอดทิ้งพวกเขาแล้ว!”
“จะสนใจพวกเขาไปทำไม ขอแค่เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็พอ นี่เป็นถึงครึ่งเทพต่างเผ่าพันธุ์เชียวนะ พวกเราจำต้องพึ่งพาพลานุภาพของตำหนักไท่หวง!”
กลุ่มเซียนในเผ่าพันธุ์มนุษย์รอบบริเวณย่อมเข้าใจความคิดของราชาเซียนของตำหนักไท่หวง ถึงแม้ว่าพวกเขารู้สึกว่าตอนนี้มนุษย์ควรสามัคคีกันต้านทานต่างเผ่าพันธุ์ แต่พวกเขาไม่กล้าพูดแนะอะไรกับผู้แข็งแกร่งตำหนักไท่หวง
“เหอะๆ ตำหนักไท่หวงจัดการเรื่องราวได้ดีเสียจริง!”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งยิ้มเยาะอย่างโหดเหี้ยม
ตอนมาถึงที่นี่ เขาย่อมมองออกเช่นกันว่าจ้าวเฟิงและผู้แข็งแกร่งของตำหนักไท่หวงเหมือนจะมีปัญหากันไม่น้อย
แต่ดูๆ ไปแล้วความขัดแย้งนี้คงใหญ่หลวงไม่ธรรมดา จึงทำให้ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ ตำหนักไท่หวงถึงกับทอดทิ้งพวกจ้าวเฟิง
“ไปตายเสียเถอะ พวกเจ้าสองคน!”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งทะยานออกมาทันที
โครม!
ฟ้าดินสั่นไหว พลังเสวียนอ้าวที่มีมหาศาลโคจรขึ้น พลานุภาพของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัวพร้อมพลังเทพระเบิดออกกลางอากาศ
ส่วนครึ่งเทพจวี้เหมิ่งมาที่เบื้องหน้าจ้าวเฟิงในพริบตา พลังน่าสะพรึงที่ไม่อาจต้านทานโจมตีไปยังจ้าวเฟิงและคุนอวิ๋นทันที
ตู้ม!
ร่างกายของคุนอวิ๋นเปล่งประกายแสงสีทองทันใด อักขระสีทองที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึงลอยรอบด้าน สาดซัดแก่นแท้พลังที่น่ากลัวออกมา
จ้าวหยูเฟยและหนานกงเซิ่งไม่ใช่เป้าหมายของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง แรงกดดันพลังและกลิ่นอายที่แบกรับเอาไว้จึงค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็รู้สึกว่าราวกับติดอยู่ในบ่อโคลน ร่างกายโดนกดทับจากภูเขาขนาดใหญ่ กระทั่งจะหายใจยังยากลำยากอย่างยิ่ง
“นี่ก็คือผู้แข็งแกร่งขั้นครึ่งเทพ!”
จ้าวเฟิงกระตุ้นเพลิงมารโลหิต ใช้พลังทั้งหมดโคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
ถึงแม้ว่าในผลึกยักษ์พวกเขาสามคนต่างก็มีพัฒนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านระดับสำนึกรู้ แต่ในเวลาดังกล่าว คนทั้งสามเผชิญหน้ากับแรงกดดันพลังของครึ่งเทพ และรู้สึกว่าตนเองเล็กจ้อยราวมดปลวก
“รีบหนีไป!” จ้าวเฟิงรีบเอ่ย
พรึ่บ ฟู่!
เบื้องหลังของจ้าวเฟิงปลดปล่อยพลานุภาพที่แข็งแกร่งสองกลุ่มออกมาทันที กลุ่มหนึ่งเป็นสีดำบ้าระห่ำ อีกกลุ่มเป็นสีม่วงหม่นลึกล้ำ
จ้าวเฟิงสำแดงพลังเงาโลกมิติส่วนตัวสองกลุ่ม สลายแรงกดดันจากครึ่งเทพผู้นี้
จ้าวหยูเฟยย่อมล่วงรู้ว่าครึ่งเทพจวี้เหมิ่งทำร้ายจ้าวเฟิงและคุนอวิ๋นเท่านั้น แต่นางจะไม่มีทางหนีไปจากจ้าวเฟิง
พู่ว! รอบกายจ้าวหยูเฟยเผาไหม้ขึ้นทันใด ประดุจดาวตกเพลิงสีม่วงที่ลุกไหม้ กระตุ้นไอสวรรค์ในฟ้าดิน
“บ้าเอ๊ย!” หนานกงเซิ่งเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าครึ่งเทพจวี้เหมิ่งจะพุ่งเป้าไปที่จ้าวเฟิงและคุนอวิ๋น แต่เขากลับไม่สามารถแยกตัวออกจากจ้าวเฟิง มิฉะนั้นแล้วเขาเพียงคนเดียวจะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งตำหนักไท่หวงที่นี่ได้อย่างไร
พรึ่บ ฟู่!
ภายในร่างของหนานกงเซิ่งก็ทะลักเงาแสงเทพโลหิตม่วงที่ชั่วร้ายบ้าคลั่งออกมา
ทั้งสามคนปลดปล่อยพลังเงาโลกมิติส่วนตัวสี่กลุ่ม สะเทือนฟ้าดิน มากพอจะทำให้ผู้แข็งแกร่งในขั้นราชาเซียนที่อาวุโสถอยร่นไป
ตู้ม!
พลานุภาพกดดันของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง ถูกพลังโลกมิติส่วนตัวที่แข็งแกร่งทั้งสี่กลุ่มกระแทกออกไปส่วนหนึ่ง
คุนอวิ๋นที่ต้านทานครึ่งเทพจวี้เหมิ่งเอาไว้ด้านหน้ารู้สึกผ่อนคลายลงมากทันที
“ฝ่ามือผนึกนภา!”
คุนอวิ๋นปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ของร่างกาย ผลักหลายสิบฝ่ามือออกมาอย่างช้าๆ
พรึ่บ! พรึ่บ! ฝ่ามือแสงสีทองจำนวนหลายสิบบิดเบี้ยวไปมา แทรกตัวเข้าสู่ฟ้าดิน เหมือนว่าสูญสลายไปทั้งอย่างนั้น
แต่ความจริง สำนึกรู้วิชาฝ่ามือเหล่านี้โจมตีไปยังพลานุภาพกดดันที่ไร้รูปร่างของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง ผนึกพลังเจตจำนงส่วนหนึ่งเอาไว้ เป็นการตัดความเชื่อมโยงระหว่างพลังเจตจำนงเหล่านี้กับครึ่งเทพจวี้เหมิ่งไปในเวลาเดียวกัน
“ไป!” คุนอวิ๋นรีบอาศัยโอกาสนี้หนีตามพวกจ้าวเฟิงไป
“หึ ครั้งนี้พวกเจ้าอย่าได้คิดจะหนีไป!”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งตื่นตะลึงไปเล็กน้อย ทั้งสี่คนร่วมมือกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถทำลายพลังเจตจำนงที่แกร่งกล้าของเขาได้
แต่เวลานี้เขายังคงใจชื้นส่วนหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าตำหนักไท่หวงยังมีเผ่าพันธุ์มนุษย์คนอื่นที่ไม่ได้ช่วยเหลือคุนอวิ๋นและจ้าวเฟิงในตอนนี้
หากเป็นเช่นนี้เขาจะสังหารคุนอวิ๋นและจ้าวเฟิงได้ ทั้งยังสามารถช่วยเหลือเซียนหมื่นปรากฏการณ์ หลังจากคุนอวิ๋นกับจ้าวเฟิงรวมทั้งครึ่งเทพจวี้เหมิ่งจากไปแล้ว เซียนคนอื่นที่นี่ยังนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม
“คิดไม่ถึงว่าจะรับมือกับครึ่งเทพได้!”
มีเสียงคนหนึ่งเอ่ยอย่างตื่นตะลึง
ถูกต้อง เมื่อครู่คุนอวิ๋นและเซียนสามคนที่เหลือร่วมมือกัน กลับรอดพ้นจากเงื้อมมือของครึ่งเทพได้
“นี่ยังไม่ใช่เพราะมีคุนอวิ๋นอยู่ด้วย จะต้องรู้นะว่าคุนอวิ๋นเป็นครึ่งเทพเกิดใหม่!”
เซียนเทวาเร้นลับชั้นต้นมีคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
พวกจ้าวเฟิงและคุนอวิ๋นหนีรอดได้อย่างราบรื่น ต้องยกประโยชน์ให้กับคุนอวิ๋น ด้วยพลังสำนึกรู้ตัวของคุนอวิ๋นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่หากต่อกรกับครึ่งเทพยังด้อยกว่าเล็กน้อย
ถึงแม้พลังของพวกจ้าวเฟิงจะเล็กจ้อย แต่กลับสามารถทำให้คุนอวิ๋นวางใจ สำแดงเคล็ดวิชา ‘ฝ่ามือผนึกนภา’ ที่แกร่งกล้าออกมา
“หึ ถูกฆ่าครึ่งเทพไล่สังหาร ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้!”
ราชาเซียนอวี่หลิงเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
เขาเพียงแต่ไม่ยินยอม จ้าวเฟิงควรจะตายด้วยเงื้อมมือของเขา
“ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน!”
ราชาเซียนตี้กุ่ยรู้สึกหวาดหวั่น จึงเอ่ยลาราชาเซียนแห่งตำหนักไท่หวง
แต่เดิมเขาคิดว่าเขาร่วมมือกับตำหนักไท่หวง จะต้องสังหารจ้าวเฟิงได้แน่ ผลสุดท้ายกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ถึงเขาจะคิดเหมือนกันว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารจากครึ่งเทพ จ้าวเฟิงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่หากราชาเซียนตี้กุ่ยไม่ได้ยืนยันการตายของจ้าวเฟิงด้วยตนเอง ในใจจะรู้สึกกระวนกระวาย
ภายในอุโมงค์กำแพงผลึก!
พวกจ้าวเฟิงและคุนอวิ๋นพุ่งทะยานไปในนั้นอย่างรีบร้อน
“คุนอวิ๋น เจ้ารั้งท้าย!” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
คุนอวิ๋นอยากจะก่นด่าจ้าวเฟิงนัก แต่ก็ทำได้เพียงทำตาม
เวลานี้ในกลุ่มคนทั้งสี่ ผู้ที่ต้านทานการโจมตีของครึ่งเทพด้านหลังได้มีเพียงคุนอวิ๋นเท่านั้น อีกทั้งคุนอวิ๋นยังพบว่า พลานุภาพของพวกจ้าวเฟิงทั้งสามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง หากคนทั้งสี่ร่วมมือกันจะต้านทานครึ่งเทพจวี้เหมิ่งไม่ได้ได้อย่างไร แต่ทันทีที่ใครคนใดคนหนึ่งในพวกจ้าวเฟิงพ่ายแพ้ สถานการณ์จะเปลี่ยนไป
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ประเภทนี้ คุนอวิ๋นจำเป็นต้องรั้งท้าย
“โจมตีทะลวงฟ้า!”
พลังศักดิ์สิทธิ์เทวาเร้นลับที่แฝงไปด้วยพลังเทพทะลักออกทั่วร่างครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง
พรึ่บ โครม! รอบกายเขาพลันปรากฏเงาช้างตัวใหญ่บ้าคลั่งสีน้ำตาลเข้ม การร้องคำรามของช้างยักษ์นำระลอกโจมตีที่น่ากลัวทะลวงผ่านทั้งชั้นวิญญาณและวัตถุ กดดันมาทางกลุ่มคน
บึ้ม! ระลอกการโจมตีที่น่ากลัวกลุ่มนั้นทิ้งรอยแตกร้าวเป็นทางยาวไว้ในอุโมงค์เล็กแคบ
“สิบแปดฝ่ามือผนึกนภา!”
คุนอวิ๋นตะโกนเสียงกร้าว พลังวิญญาณและสายเลือดกระตุ้นออกมาจนหมด
พรึ่บ! พรึ่บ! ทั่วร่างของเขาเปล่งแสงทองประกาย ครึ่งเทพพลังหลอมรวมเข้ากับวิญญาณอย่างแนบแน่น ใช้สำนึกรู้ประหลาดบางอย่างสะบัดดเงาฝ่ามือสีทองสิบแปดสายออกมา ระหว่างบิดโค้งก็พุ่งไปยังระลอกการโจมตีที่หมายทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
“บัดซบ คุนอวิ๋นผู้นี้!”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งรู้สึกได้ว่าการโจมตีที่เขาปลดปล่อยออกมาลดพลังลงอย่างฉับพลัน จนต้องสบถออกมา
ทุกครั้งคุนอวิ๋นมักจะใช้วิชาฝ่ามือซับซ้อนดังกล่าวตัดทอนพลานุภาพโจมตีของเขา จากนั้นจึงใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งและสำนึกรู้ บวกกับเคล็ดวิชาป้องกัน หากตั้งรับการโจมตีของเขาอย่างจัง คุนอวิ๋นคงจะตายด้วยเงื้อมมือของเขานานแล้ว
โครม!
การโจมตีที่อ่อนกำลังลงจากฝ่ามือผนึกนภา หลังจากปะทะกับการลดทอนพลังจากมิติส่วนตัวของพวกจ้าวเฟิง ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นสำแดงเคล็ดวิชาป้องกันเพื่อตั้งรับการโจมตีของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง
“เจ้าแมวขโมยน้อย!”
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงสื่อสารกับเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่ลอบเข้าไปในมนตราอากาศ
จ้าวเฟิงเคยเห็นความร้ายกาจของมีดสั้นทมิฬเล่มนั้นของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย กระทั่งชั้นผลึกที่แม้แต่ครึ่งเทพยังไม่สามารถทำลาย มีดเล่มนั้นยังทำลายลงได้อย่างง่ายดาย มีดสั้นทมิฬจะต้องมีพลานุภาพสังหารครึ่งเทพได้แน่
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกกรงเล็บสองข้าง ส่ายหน้าอย่างรุนแรง
ความหมายของเจ้าแมวขโมยก็คือ มันใช้พลังมากเกินไป ไม่อาจใช้พลังของมีดสั้นทมิฬได้อีกต่อไป ในเวลาเดียวกัน เจ้าแมวขโมยตัวน้อยก็ปฏิเสธที่จะมอบมีดสั้นทมิฬให้
จ้าวเฟิงเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย จากที่เขาสำรวจดูแล้ว เจ้าแมวขโมยน้อยในตอนนี้อ่อนแอจริงๆ ไม่เหมือนว่ามันกำลังหลอกเขา
โครม ตู้ม ตู้ม!
ที่โลกภายนอก การโจมตีของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง ถึงแม้จะถูกทั้งสี่คนร่วมแรงกันต้านเอาไว้ แต่ความเร็วของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งเหนือกว่าพวกเขา จึงไล่ตามทันอย่างรวดเร็ว
“โจมตีพร้อมกัน ทำให้เขาถอยไป!”
จ้าวเฟิงเอ่ยทันที
โจมตีครึ่งเทพ!
หนานกงเซิ่งและจ้าวหยูเฟยใจสั่นระรัว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
“ฝ่ามือสะท้านฟ้า!”
คุนอวิ๋นหัวเราะเสียงดัง กระตุ้นสายเลือดและร่างกาย รวมแก่นแท้พลังทั้งหมดไว้ที่หมัดทั้งสองข้าง และโจมตีออกไปอย่างรุนแรง
เห็นเพียงฝ่ามือแสงสุกสกาวสีทองหลายกลุ่ม สาดซัดพลานุภาพที่เขย่าฟ้าดิน ตรงดิ่งไปยังครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง
“มารป่วนนภา!”
“แสงม่วงกระตุ้นวิญญาณ!”
หนานกงเซิ่งและจ้าวหยูเฟยปลดปล่อยเคล็ดวิชาลับโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาเช่นกัน
เงาโลหิตแสงม่วงที่น่ากลัวบิดเบี้ยวตรงไปกลืนกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ฝ่ามือสายฟ้าทลายนภา!”
จ้าวเฟิงหลอมรวมพลังของมิติส่วนตัววายุอัสนีและขอบเขตแก่นแท้อัสนีเข้าไปในฝ่ามือทั้งสอง ส่งฝ่ามือแสงศักดิ์สิทธิ์อัสนีสีทองแดงที่เป็นรูปธรรมอย่างยิ่งออกมา
จ้าวเฟิงบีบฝ่ามืออัสนีศักดิ์สิทธิ์เส้นนี้จนเล็กจิ๋ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ปะทะเข้าใส่กำแพงผลึกทั้งสองด้านแล้วลดพลานุภาพการโจมตีทิ้งไป
“กล้าโต้กลับเสียด้วย!” ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งสีหน้าตะลึงงัน
พรึ่บ! ในมือครึ่งเทพจวี้เหมิ่งปรากฏขวานยักษ์สีแดงเข้ม ขวานยักษ์ยับเยินอย่างยิ่ง แต่กลับแผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงขวัญ
“ดาบทะลวงฟ้า!”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งเกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง โบกอาวุธเทพในมือทันที ฟันแสงสีแดงขนาดยักษ์หลายสาย ทำลายการโจมตีของทุกคนจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง
แต่เดิมเขาคิดว่าจ้าวเฟิงอยู่แค่ขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้น สามารถสังหารได้ก็เพียงดีดนิ้ว จะเดาได้อย่างไรกันว่าจ้าวเฟิงจะมีสหายอีกสองคน อีกทั้งพลานุภาพของพวกจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ บวกกับความร่วมมือของคุนอวิ๋น สี่คนผนึกกำลังจึงนับว่าใช้ได้อยู่ไม่น้อย