Skip to content

King of Gods 1106

King Of Gods

บทที่ 1106 จำต้องตาย

ในห้องที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมฟุ้ง ราชาเซียนสังสารวัฏหยิบพู่กันทองพิเศษหลายด้ามขึ้นมาจากโต๊ะหนังสือ

“ระดับขั้นของพู่กันด้ามนี้อยู่ในชั้นนภา สามารถเพิ่มพูนพลังสำนึกรู้ เมื่อรวมกันแล้วยังกลายเป็นค่ายกลสังหารได้…”

ดวงตาสองข้างของราชาเซียนสังสารวัฏมองประเมินพู่กันในมือ จากนั้นจึงทอดสายตาไปบนสิ่งของชิ้นอื่นบนโต๊ะ

และในเวลานี้เอง ดวงตาของราชาเซียนสังสารวัฏพลันเต้นกระตุก

ดวงตาปกติของเขามืดสนิทไปทันใด ลายเส้นสีดำเป็นวงปรากฏขึ้นด้านบน

“กลิ่นอายของเนตรเทพเจ้า ตื่นขึ้นอีกส่วนหนึ่งแล้ว…”

ราชาเซียนสังสารวัฏตื่นตระหนก

“เติบโตขึ้นอีกเถอะ มีเพียงเช่นนี้ถึงจะกลายเป็นคุณค่าให้กับกายวัฏสงสาร!”

ราชาเซียนสังสารวัฏระบายยิ้มบาง

……

ในอารามเก่าแก่แห่งหนึ่ง

ชายผู้มีเกล็ดมังกรดำทั่วร่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชาที่ลุกโชนด้วยเพลิงสีดำ

“กลิ่นอายเนตรเทพเจ้าเพิ่มขึ้นอีกแล้ว!”

เสียงของป๋ายหลินดังขึ้นภายในร่างมังกรวารีล้างโลกา

“รอให้ข้าฟื้นฟูพลังก่อนเถอะ จะสังหารมันได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ!”

มังกรวารีล้างโลกาแค่นเสียงเย็น

“ด้วยความสามารถของเจ้า จะสังหารเขาตอนนี้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร!”

ป๋ายหลินเอ่ยต่อ

การเติบโตของจ้าวเฟิงอยู่ในสายตาของป๋ายหลินทั้งสิ้น

ความยากในการสังหารจ้าวเฟิง ป๋ายหลินรู้แจ้งอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นนางคงจะสังหารจ้าวเฟิงไปนานแล้ว คงไม่ตามหามังกรวารีล้างโลกาให้มาช่วยอีกแรงหนึ่ง

ในตอนนี้ นางไม่อาจพลาดโอกาสใดๆ ไป มิฉะนั้นแล้วนางจะไม่มีโอกาสอะไรอีก

“รีบออกจากสถานที่มรดกแห่งนี้ไปสังหารจ้าวเฟิงเถอะ!”

เสียงแน่วแน่ของป๋ายหลินดังขึ้นอีกครั้ง

“ตกลง!”

มังกรวารีล้างโลกาเอ่ยตอบอย่างร้อนใจถึงแม้ว่าสถานที่มรดกแห่งนี้จะล้ำค่าอย่างยิ่ง แต่การสังหารจ้าวเฟิง ทำลายมิติเนตรเทพเจ้าดั้งเดิม สำหรับมังกรวารีล้างโลกาแล้วก็เป็นความเย้ายวนใจที่ยากจะต้านทานไหว

……

ภายในฟ้าดินโลหะที่ว่างเปล่า

“อาวุธเทพศิโรราบ สำเร็จ!”

หลังจากที่แท่นโลหะส่งเสียง ก็ร่อนลงบนพื้นดิน

พรึ่บ!

บนชิ้นเหล็กทรงสามเหลี่ยมสีดำ อักษรสีเขียวลึกลับนับไม่ถ้วนเปล่งประกาย ก่อนโบยบินมาด้านหน้าจ้าวเฟิง

“อะไรกัน?”

ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะชัดๆ อาวุธเทพจะศิโรราบได้อย่างไรกัน?

อีกทั้งตามที่ได้ยินมา การจะให้อาวุธเทพยอมรับนั้นยากลำบากอย่างยิ่ง และตั้งแต่ต้นจบจบจ้าวเฟิงยังไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับอาวุธเทพ แล้วไยจึงทำให้อาวุธเทพศิโรราบได้สำเร็จ?

กระทั่งตัวจ้าวเฟิงยังสับสนงุนงง รู้สึกว่าแปลกประหลาดไม่น้อย

ทันใดนั้นเอง ในสมองก็ปรากฏข้อมูลชุดหนึ่งขึ้น “ตราประทับอาวุธเทพ!!”

ติ๊ง ติ๊ง!

รอบชิ้นเหล็กทรงสามเหลี่ยมสีดำด้านหน้าจ้าวเฟิง มีแผ่นเหล็กธาตุทองสีดำทรงประหลาดยืดยาวออกมา และกลายเป็นโล่โลหะสีเดียวกันอย่างรวดเร็ว ด้านบนเต็มไปด้วยลายเส้นสีเขียวยุ่งเหยิง

โครม!

ดาบทะลวงฟ้าของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งถูกต้านจากโล่ดำในทันที

เวลาเดียวกัน ด้านบนโล่ดำปรากฏแรงโต้กลับประหลาด

ตูม!

อานุภาพดาบทะลวงฟ้าของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งพลันถูกโต้กลับ พลังสีแดงเข้มที่น่ากลัวตรงดิ่งไปหาครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง

ฟิ้ว!

ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกได้รับบาดเจ็บบางส่วน กระอักเลือดออกมา

กริ๊ง! โล่ดำเปลี่ยนรูปกลายเป็นเหล็กสามเหลี่ยมอีกครั้ง แล้วร่วงหล่นลงสู่มือของจ้าวเฟิง

“อาวุธเทพปกป้องข้าเอาไว้!”

จ้าวเฟิงสีหน้าตะลึง ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ ดวงตาเทพเจ้าข้างซ้ายหดเกร็ง กลิ่นอายบรรพกาลดั้งเดิมที่แข็งแกร่วสาดกระจายออกมาทีละน้อย

“อาวุธเทพศิโรราบด้วยตนเอง และยังปล่อยพลังปกป้องข้าด้วยตนเองอีก?”

ในตอนนี้จ้าวเฟิงยังไม่กล้าเชื่อ ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย

ควรรู้ว่า ในสายตาของผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในดินแดนทวีป อาวุธเทพล้วนเป็นอาวุธต้องห้ามในตำนาน

เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว เหตุใดจ้าวเฟิงจึงรู้สึกว่าอาวุธเทพนี้จงใจมาประจบประแจงตนเอง

พรึ่บ!

ภาพรอบด้านเริ่มบิดเบี้ยวเลือนราง

ในวินาทีต่อมา จ้าวเฟิงและครึ่งเทพจวี้เหมิ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่มุมหนึ่งในร่างเทพ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมข้าถึงมาที่นี่ได้?”

สีหน้าครึ่งเทพจวี้เหมิ่งตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

เขาคิดว่าต่อให้จ้าวเฟิงได้ครอบครองอาวุธเทพ เขาก็ยังพอมีโอกาสตามหาสมบัติและโอกาสอื่นๆภายในนั้น ในตอนนี้คิดไม่ถึงเลยว่าจะออกจากส่วนศีรษะ มาถึงยังส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างเทพแทน

“เมื่อโอกาสสิ้นสุดลง ก็จะกลับมาในร่างเทพจริงๆ ด้วย!”

จ้าวเฟิงเข้าใจในจุดนี้ได้สักพักแล้ว

จากนั้น ดวงตาจ้าวเฟิงจ้องครึ่งเทพจวี้เหมิ่งเขม็ง จิตสังหารเย็นยะเยือกกระจายตัว

“แย่แล้ว!”

ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งรู้สึกถึงจิตสังหารที่เย็นยะเยียบกลุ่มนี้ ทั่วร่างสั่นสะท้าน

เดิมทีต่อให้เขาบาดเจ็บสาหัส แต่จะสังหารจ้าวเฟิงก็ง่ายดายอย่างยิ่ง

แต่ในตอนนี้จ้าวเฟิงได้รับอาวุธเทพลึกลับชิ้นหนึ่งมาครอบครอง อีกทั้งเขาก็ล่วงรู้ว่ามาว่าจ้าวเฟิงมีศรสังหารเทพด้วย

อาวุธที่น่ากลัวทั้งสองสิ่งนี้ ทำให้ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะต่อสู้

‘หนี!’ ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง วิ่งหนีทันที

“เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า!”

ในขณะที่ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งเตรียมจะหนีไป จ้าวเฟิงก็ปลดปล่อยวิชาดวงตาวิญญาณกระบวนท่าหนึ่ง

วู้ม…

มองเห็นเพียงเพลิงอัสนีทองม่วงกลุ่มหนึ่งระเบิดออกบนศีรษะครึ่งเทพ เพลิงอัสนีม่วงทองลุกลามเผาไหม้อย่างไม่หยุดยั้ง

“อ๊าก…” ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งร้องลั่นอย่างเจ็บปวด

หากเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์พร้อม สำหรับเขาแล้ววิชาดวงตาวิญญาณระดับนี้ไม่เจ็บไม่คันแม้แต่น้อย

แต่เมื่อสักครู่ พลังวิญญาณของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งถูกโต้กลับจากกลิ่นอายน่ากลัวในดวงเนตรของจ้าวเฟิง บวกกับเพลิงดวงตาอัสนีเทวะและเนตรเทพแยกส่วนก่อนหน้านี้ ทำให้ในตอนนี้พลังวิญญาณของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง เรียกได้ว่าอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“อาวุธเทพ!”

จ้าวเฟิงลองสื่อสารกับชิ้นเหล็กทรงสามเหลี่ยมในมือ แต่กลับพบว่าลวดลายสีเขียวด้านบนไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ไร้ซึ่งแสงสว่าง

“ลืมไปเลย จำต้องมีพลังเทพในตัวเองถึงจะสามารถใช้อาวุธเทพได้!”

จ้าวเฟิงตบศีรษะตนเอง

ทว่าตัวจ้าวเฟิงเองไม่มีพลังเทพแม้แต่น้อย พลังเทพที่โยกย้ายมาจากภายนอกก็ไม่สามารถกระตุ้นอาวุธเทพได้

“แต่จะปล่อยให้ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งหนีไปไม่ได้!”

จ้าวเฟิงแน่วแน่ ตัดสินใจจะสังหารอีกฝ่าย

อย่างแรก วันนั้นครึ่งเทพจวี้เหมิ่งไล่ล่าสังหารจ้าวเฟิงและพวก บีบให้พวกเขาถึงทางตัน ถึงขั้นเกือบจะสังหารจ้าวหยูเฟยแล้ว

อย่างที่สอง เรื่องที่ตนเองได้ครอบครองอาวุธเทพ จะปล่อยให้ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งแพร่งพรายออกไปไม่ได้

พลานุภาพของจ้าวเฟิงในขณะนี้ยังไม่แกร่งมากพอจะรักษาอาวุธเทพที่พิเศษชิ้นนี้เอาไว้ ด้วยเหตุนี้ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งจำต้องตายลงไปเสีย

“ธนูเหนือนภา!”

ในมือจ้าวเฟิงปรากฏธนูเก่าแก่สีเงินเข้ม เกิดเสียงดัง ‘ฟิ้ว’ เมื่อธนูแสงสีทองพุ่งออกไป

วินาทีต่อมา ธนูแสงสีทองม่วงที่ก่อตัวจากพลังวิญญาณ พุ่งทะลวงทรวงอกของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง

พลังอัสนีเทวะของจ้าวเฟิงถูกใช้ไปจนหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่อาศัยพลังจากวิญญาณเพื่อโจมตีวิญญาณที่อ่อนแอของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง

“หนี!” ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งโคจรพลัง และบินหนีไปในทันที

“จะหนีไปไหน!”

จ้าวเฟิงรีบโคจรวิชาปีกอัสนีโบยบิน ไล่ตามไปติดๆ

ร่างกายครึ่งเทพจวี้เหมิ่งบาดเจ็บสาหัส แต่ความเร็วยังคงมากกว่าจ้าวเฟิงเล็กน้อย

แต่จ้าวเฟิงก็ไล่ตามอย่างไม่ลดละ ซ้ำยังใช้ธนูเหนือนภายิงธนูแสงวิญญาณไม่หยุด การโจมตีของธนูแสงพวกนี้แฝงไปด้วยความเข้าใจที่จ้าวเฟิงมีต่อศาสตร์ลวงตา จึงขัดขวางครึ่งเทพจวี้เหมิ่งได้อยู่ระดับหนึ่ง

ณ มุมหนึ่งในร่างเทพ

พรึ่บ ฟู่!

จู่ๆ เงามืดสีทองขาวกระจายตัวปกคลุมทั่วผืนฟ้า ร่างคนผู้หนึ่งกระโจนออกมา

“ล้มเหลวเสียแล้ว!”

เซียนโม๋ยวนทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย

แม้กระทั่งทางเดินแสงเขายังผ่านไปไม่ได้ ในช่วงเวลาอันตรายสุดท้าย เขาออกจากทางเดินแสงจึงถูกส่งออกมา

โครม ฟู่!

ในเวลานี้เอง แรงกดดันน่าสะพรึงที่สะเทือนทั่วฟ้าดินก็กวาดผ่านจุดที่ไม่ไกลจากเขา

“ครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง!”

เซียนโม๋ยวนตกตะลึง รีบเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ หวังอย่างยิ่งว่าตนเองจะไม่ถูกครึ่งเทพต่างเผ่าพันธุ์ผู้นี้สังเกตพบ

และยามนี้เอง ด้านหลังปรากฏเส้นอัสนีสีชาดไล่ตามครึ่งเทพจวี้เหมิ่งไปติดๆ

“จะหนีไปไหน!”

จ้าวเฟิงตะโกนกร้าว ง้างสายธนูเหนือนภา

เปรี๊ยะ!

วิญญาณครึ่งเทพจวี้เหมิ่งถูกธนูลำแสงวิญญาณทะลวงผ่านอีกครั้ง

“นี่…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

เซียนโม๋ยวนยืนนิ่ง ชะงักค้างเป็นท่อนไม้

คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะไล่ล่าสังหารครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง หนำซ้ำครึ่งเทพจวี้เหมิ่งในตอนนี้ยังบาดเจ็บสาหัส ไม่กล้าต่อกรแม้แต่น้อย เอาแต่หลบหนีอย่างเดียว

เหมือนกันกับเซียนโม๋ยวน ในระหว่างทางก็มีเซียนมนุษย์และเซียนต่างเผ่าพันธุ์มากมายตื่นตกใจเพราะกลิ่นอายสะเทือนฟ้ามหาศาล จนมาเห็นภาพเหตุการณ์ที่ชวนตะลึงเช่นนี้

แต่ทว่า เซียนต่างเผ่าพันธุ์ทั่วไปเหล่านั้น เมื่อเห็นครึ่งเทพจวี้เหมิ่งถูกเด็กหนุ่มผมทองคนนั้นไล่ล่า พวกเขาย่อมหลบหลีกไปไกลๆ

“จ้าวเฟิง อย่ารังแกกันเกินไปนักเลย!”

ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งรู้สึกอับอาบอย่างมาก ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว

เขาผู้เป็นถึงครึ่งเทพต่างเผ่าพันธุ์ ในวันนี้กลับถูกไล่ล่าสังหารจากเซียนมนุษย์

แววตาจ้าวเฟิงเคร่งขรึมเล็กน้อย ไม่พูดอะไรออกมา

หากเปลี่ยนเป็นช่วงปกติ ถึงฝ่ายตรงข้ามจะเป็นครึ่งเทพที่บาดเจ็บสาหัส จ้าวเฟิงก็จะไม่ไล่ล่าอย่างไม่ลดละเช่นนี้

แต่ยามนี้จ้าวเฟิงไม่อาจปล่อยครึ่งเทพจวี้เหมิ่งไป เขาไม่สามารถปล่อยให้ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งนำความลับของตนไปป่าวประกาศได้

“แย่แล้ว ราชาเซียนต่างเผ่าพันธุ์!”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสังเกตเห็นว่าด้านหน้าไกลๆ มีราชาเซียนต่างเผ่าพันธุ์ผู้หนึ่ง

ถ้าหากครึ่งเทพจวี้เหมิ่งร่วมมือกับราชาเซียนต่างเผ่าพันธุ์ผู้นี้ ย่อมต้องสามารถรับมือจ้าวเฟิงและหนีไปได้อย่างราบรื่น

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องใช้เจ้าแล้ว!”

สีหน้าจ้าวเฟิงเคร่งขรึม ปรากฏศรสีทองแดงดอกหนึ่งในมือ

ที่แท้แล้ว ตอนที่แย่งชิงอาวุธเทพกัน จ้าวเฟิงมีแผนจะใช้ศรสังหารเทพ แต่ก็หวาดกลัวว่าในที่สุดจะเสียเปล่าหากไม่ได้อาวุธเทพมา

ในตอนที่ไล่ล่าสังหารเมื่อครู่ จ้าวเฟิงก็คิดจะใช้ศรสังหารเทพ แต่เขายังคงเสียดายอยู่

แต่เวลานี้ จ้าวเฟิงจำเป็นต้องใช้ศรสังหารเทพแล้ว!

จะปล่อยให้ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งหนีไปไม่ได้!

ฟู่!

สายตาจ้าวเฟิงเย็นชา ไม่ลังเลที่จะวางศรสังหารเทพไว้บนสายธนูเหนือนภา

พรึ่บ!

ในวินาทีที่พลังศักดิ์สิทธิ์หลอมรวมเข้าไป ก็เหมือนว่าศรสังหารเทพจะตื่นขึ้นอย่างนั้น มันปลดปล่อยแสงเทพสีทองที่ทะลวงผ่านฟ้าดิน พลานุภาพยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตลอยลงมาแล้วผสานเข้าไปในธนูเทพสีทองแดง

“ความรู้สึกแบบนี้!”

ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งที่กำลังหลบหนีมองเห็นราชาเซียนต่างเผ่าพันธุ์ผู้หนึ่ง คิดเอาว่าจะหนีไปได้อย่างง่ายดาย แต่ร่างกายและวิญญาณของเขากลับพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก

“ศรสังหารเทพ!”

ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งกวาดประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ สีหน้าซีดเผือดทันที

เปรี๊ยะ โครม! แสงเทพสีทองไร้ขอบเขตแหวกอากาศ ฟาดฟันทุกสรรพสิ่ง มาถึงด้านหน้าครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง แล้วกลืนกินร่างกายของเขาไปทันที

ในเวลาเดียวกัน พายุพลังที่น่ากลัวกลุ่มนี้รุกคืบไปด้านหน้าเรื่อยๆ และกลืนกินราชาเซียนอีกคนไปด้วย

อีกด้านหนึ่ง สถานที่ไกลลิบด้านหลังจ้าวเฟิง เซียนเผ่าพันธุ์มนุษย์หลายคนที่มาดูเรื่องสนุกอึ้งงันไป

“สังหารครึ่งเทพต่างเผ่าพันธุ์!”

“จ้าวเฟิงมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้แล้วหรือ?”

ในอีกมุมหนึ่ง เซียนโม๋ยวนตื่นตะลึง เอ่ยอย่างไร้สติ “นี่คือศรสังหารเทพ!”

เซียนโม๋ยวนไม่คิดว่าจ้าวเฟิงจะมีศรสังหารเทพจริงๆ ยามนั้นเขาพลันหวนนึกถึงการกระทำของตนเองในตอนแรก ก็รู้สึกว่าตนเองรนหาที่ตายอยู่หลายที

เปรี๊ยะ ฟุ่บ ฟุ่บ!

พายุในใจกลางของระเบิดจากศรสังหารเทพค่อยๆ อ่อนกำลังลง จ้าวเฟิงลอยตัวอยู่เหนือพายุนั้น ปรายตามองร่างที่แหลกละเอียดของครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง

“ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งตายแล้ว!”

จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ

“มิติเก็บของ!”

จ้าวเฟิงเจอมิติที่ไม่เสถียรแห่งหนึ่ง เป็นมิติเก็บของที่กำลังจะระเบิดออก

จ้าวเฟิงไม่พูดมากความ เอาสิ่งสะสมทั้งหมดของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งเก็บเข้าไปในมนตราอากาศ

ในตอนนี้ กลิ่นอายและพลานุภาพของศรสังหารเทพสลายตัวไปช้าๆ

“หืม? ที่นั่นคือ?”

จู่ๆ จ้าวเฟิงก็รู้สึกถึงกลิ่นอายเลือดลมบรรพกาลที่น่าทึ่ง ดวงตาสองข้างเพ่งมอง ทอดสายตาไปที่จุดหนึ่ง

มองเห็นแค่กำแพงผลึกที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรมถูกศรสังหารเทพของจ้าวเฟิงทำลายลงไปจนมองเห็นผลึกสีเลือดด้านใน

และภายในผลึกสีเลือดนั้น มีเลือดสีทองม่วงเป็นประกายอยู่หยดหนึ่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version